วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

“เกรท วรินทร ” เส้นทางชีวิตพระเอกที่เริ่มต้นจาก “ศูนย์”

ทางเดินสู่วงการบันเทิงของดาราแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนถูกชักนำโดยแมวมองตาดี บางคนตั้งใจไขว่คว้าลงสนามแข่งขันทุกเวทีเพื่อให้ตัวเองมีที่ยืนในวงการ สำหรับ  ปัญหกาญจน์” ที่แม้จะไม่ต้องดิ้นรนกับการก้าวเข้ามาเป็น “ดารา” มากนัก แต่เขาก็เริ่มต้นจากการเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มธรรมดา ที่เดินเข้าสู่วงการบันเทิงแบบไร้พี่เลี้ยง Sanook! Men ถือโอกาสชวนเขามาพูดคุยเกี่ยวกับรอยทางที่ผ่านมาและก้าวต่อไป ที่เขาบอกว่าทุกก้าวเดินของเขาล้วนเกิดจากความพยายาม ความตั้งใจ และถือว่าตัวเองนับ “ศูนย์” มาก่อน
ชีวิตวัยเด็กของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อย
ผมถูกสอนเรื่องระเบียบวินัยมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อเป็นตำรวจ เราก็จะซึมซับเรื่องระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา พูดง่ายๆ ว่าเป็นเด็กอยู่ในกรอบ อยู่บ้านจะมีการแบ่งเวลาเล่นเกม เวลาทำงาน เวลาเตะฟุตบอล และผมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาวคนกลางและน้องชายคนเล็ก จะผลัดกันทำงานช่วยที่บ้านขายของ พอโตขึ้นผมย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำที่จังหวัดลพบุรี อยู่กับคุณลุงคุณป้า จะห่างกับน้องๆ และที่บ้านไปช่วงหนึ่งเพราะกลับบ้าน 3 เดือนครั้ง แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัว
ตอนเด็กๆ คุณมีเป้าหมายชัดเจนไหม
ไม่ชัดเจนเลย สมัยก่อนคุณแม่บอกว่าเรียนให้จบนะ จบปริญญาตรีก็กลับมาทำงานที่บ้าน เพราะที่บ้านมีร้านขายทอง เรียนอะไรก็ได้ ขอแค่ให้เป็นคนดี ไม่ติดยาเสพย์ติด ให้ได้ปริญญาตรีมาก็ถือว่าเรียนจบ เลยไม่ค่อยกดดันตัวเอง
แล้วจุดเปลี่ยนชีวิตของคุณที่ทำให้คุณเข้ามาในวงการบันเทิงคืออะไร
สมัยผมเรียนปี 2 ปี 3 มีคนเห็นเราเล่นฟุตบอลอยู่ แล้วเขามาแนะนำว่าเป็นโมเดิลลิ่ง อยากให้ไปถ่ายรูป และแนะนำให้ไปเล่นฟิตเนส แล้วก็ไปลองแคสงาน
ตอนนั้นคุณมองวงการบันเทิงอย่างไรบ้าง
มองเห็นเป็นความสนุก และไม่เคยคาดคิดว่าเราจะได้มาทำอะไรแบบนี้ ไปถ่ายรูป ไปแคสโฆษณา เป็นโลกใบใหม่สำหรับเรา ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย กำไรชีวิต อยู่ๆ ก็ได้มาทำอะไรแบบนี้ ได้เงินมาจ่ายค่าห้องเอง จ่ายค่าโทรศัพท์ แม่ไม่ต้องให้ ภูมิใจมาก ช่วงนั้นใกล้เรียนจบแล้ว และเราก็แฮปปี้กับมัน เลยเหมือนว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเราอย่างหนึ่ง ตอนนั้นเลยตั้งเป้าในชีวิตไว้ว่าพอเริ่มทำงานในวงการแล้ว อยากทำให้มันยาวๆ เช่น หนัง 1 เรื่อง หรือ ละคร 1 เรื่อง ที่มันการันตีว่าเราจะก้าวไปเต็มตัว จะได้ทำงานในอาชีพนักแสดงได้ แต่ในอนาคตจะเป็นยังไงไม่รู้
ฟังๆ ดูมันเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าความตั้งใจ
ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ แต่ถ้ารับปริญญาแล้วยังไม่มีหนังหรือไม่มีละครก็จะไปบวช ตั้งใจจะบวช 6 เดือน หลังจากบวชเสร็จก็จะไม่ทำงานในวงการบันเทิงเลย และเผอิญมีหนังจากช่อง 7 ผู้กำกับเขาอยากให้เราไปเล่นหนังให้เขา ก็เรียกเราไปแคสแต่ยังไม่ได้คำตอบ แล้วระหว่างนั้นก็มีช่อง 3 ติดต่อเข้ามา จริงๆ เขาไม่ได้ติดต่อผมนะ (หัวเราะ) เขาติดต่อ ญาญ่า อุรัสยา แต่ว่าเราอยู่โมเดลลิ่งเดียวกันเขาก็เลยหนีบผมเข้าไปด้วย ผมได้ไปเทสพิธีกร พูดง่ายๆ ว่าตอนนั้นเหมือนรอ 2 ช่องที่จะให้คำตอบ เราจะโอเคหรือเปล่า ใจเราก็ลุ้นอะไรมาก่อนก็เอาอันนั้น สุดท้ายช่อง 3 มาก่อน เขาก็ให้เราเข้ามาเซ็นสัญญา ตอนนั้นเรารู้สึกว่าจะได้ทำงานกับช่อง 3 แล้วจริงๆ เหรอ มันเกินฝันมาก
เรื่องที่ตั้งใจกลับไม่เวิร์ค เรื่องที่ไม่ตั้งใจกลับเวิร์คอย่างนั้นหรือ
จำได้อยู่อย่างหนึ่งตอนที่เราเรียนดรออิ้ง ตอนที่เราวาดรูปแบบตั้งใจมากเท่าไหร่ แต่พอส่งไปกลับมามันมักจะผิดหวังเสมอ จะได้ C มั่ง C+ มั่ง แต่พอไปเทสหน้ากล้อง ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแค่ไปยืนหน้ากล้องแค่ยิ้มนิดหน่อย กลับว่าดีและกลายเป็นว่าเราสนุกกับมัน ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ตั้งใจทำมันเลย ก็เลยมองว่าหรือว่าเราจะชอบแบบนี้ แต่ตอนที่เราทำก็รู้สึกสนุกไม่เหนื่อยเหมือนตอนทำงาน ตอนเรียนวาดรูปพอคาดหวังไม่เคยจะดี ไม่เคยเหมือนที่เราหวังเลย เลยรู้สึกว่ามันน่าจะไม่ใช่ทางของเราแล้ว
วันแรกที่คุณมองตัวเองเล่นละครรู้สึกอย่างไรบ้าง
เขิน (หัวเราะ) รู้สึกว่าตอนแรกๆ ก็สนุกอยู่ แต่พอสักพักเริ่มกดดัน มีร้องไห้ด้วย ซึ่งเราเป็นคนที่ร้องไห้ยาก แต่ก็ไม่ท้อนะ เพราะเราก้าวเข้ามาแล้วต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดถึงจะยากแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้
มองย้อนกลับไปแล้วคุณรู้สึกอย่างไร ตอนนี้คุณเป็นพระเอกแล้ว
การเข้ามาในวงการ เริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ เราไม่มีผู้จัดการที่คอยสอนและได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง
คุณไม่มีพี่เลี้ยงแล้วคุณมีใครเป็นต้นแบบในวงการบันเทิง
มีหลายคนครับ พี่ต้น จักรกฤษณ์ อาหนิง นิรุตติ์ มีดาราผู้ใหญ่เยอะแยะหลายคนที่ผมร่วมงานด้วย พี่ปุ๊ มนตรี เจนอักษร แม่ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี หลายๆ คนที่อาจจะเอ่ยไม่หมด ผมเห็นเขามีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีฝีมือ มีวินัย แล้วก็การดูแลตัวเอง ก็เลยคิดว่าต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด อย่าคาดฝันไปไกล แค่รู้สึกว่าเราทำในสิ่งที่เราแฮปปี้ ทุกอย่างมันต้องดี
พอเริ่มมีชื่อเสียงแล้วชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ช่วงหลังๆ มาคนรู้จักเราเยอะ รู้สึกว่าไปเดินห้างแล้วคนมองเยอะ คนจำได้ ดีใจที่มีคนทักทายมีคนรู้จัก ขอถ่ายรูป เพราะเขาคือกำลังใจสำคัญของเรา แต่จะทำอะไรที่เป็นส่วนตัวไม่ค่อยได้ เพราะเราเป็นคนของสังคมมีแค่เรื่องนี้นิดหน่อย แต่เรื่องใช้ชีวิตตัวผมก็ใช้ชีวิตปกตินะ
ทางครอบครัวสนับสนุนไหม และคุณพ่อคุณแม่มีคำแนะนำอย่างไรบ้าง
แรกๆ เขาก็ไม่คิดหรอก แต่พอเรามาเป็นนักแสดงแล้วเขาก็ชอบ เรื่องวงการบันเทิงพ่อกับแม่เขาก็พูดว่าเขาคงไม่ได้มาดูแลเราเหมือนพ่อแม่คนอื่น เราคิดมากไหม น้อยใจไหม แต่ผมเริ่มต้นงานบันเทิงมาด้วยตัวเองก็เลยไม่ได้ซีเรียส และพ่อจะคอยสอนเรื่องการยกมือไหว้ การอ่อนน้อมถ่อมตน พ่อจะพูดเรื่องนี้อยู่เสมอ ซึ่งเราเข้าใจเหตุผล
ครอบครัวของคุณไม่ได้ลำบาก คนภายนอกเคยมองคุณถึงการได้มาซึ่งการเป็นพระเอกอย่างไรบ้าง
เคยมีคนพูดแล้วได้ยินว่าเราบ้านรวย พ่อเป็นตำรวจ แม่มีกิจการร้านทอง “เขาจะให้ลูกเขาเป็นพระเอกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็มีบอกว่าเป็นเด็กของผู้ใหญ่ที่ช่อง 3 แต่จะพูดกันตรงๆ นะ ผมพูดเลยว่าไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นแต่มันจี๊ด เรื่องพ่อแม่เนี่ยมันจี๊ด ถ้าใครมากระทบที่บ้าน ไม่อยากให้อะไรมากระทบกับครอบครัวเรา เราทำทุกอย่างมาด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นเด็กใคร ไม่ได้มีสัมพันธ์ที่พิเศษกับใคร มันก็สร้างความเซ็งเป็ดให้กับเราได้พักหนึ่ง แต่ก็เข้าใจแล้วก็หาย
สิ่งที่คุณได้รับจากวงการบันเทิงคืออะไร
วงการบันเทิงทำให้เราโตขึ้น ทำให้ความคิดของเราโตขึ้นกว่าคนในวัยเดียวกัน ทำให้เราได้ทำงานกับคนหลากหลายหน้าที่ ต้องใช้การปรับตัวเยอะ ทำให้เรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าคุณเป็นคนเบื้องหน้า คุณต้องเจอข่าวต่างๆ คุณมีวิธีการรับมืออย่างไรบ้าง
อันนี้มันเป็นปัจจัยภายนอกที่บางทีมันอาจจะทำให้เราเซ็ง ซึ่งเป็นประจำ (หัวเราะ) แต่ต้องบอกว่าเรื่องแบบนี้อยู่ที่ตัวเองล้วนๆ ถ้าสมมุติถูกข่าวที่มันไม่ดีมาโจมตีเรา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เป็นแบบนั้น อย่างแรกเลยโกรธ รู้สึกไม่ดี ทำไมต้องมาว่าแบบนี้ ทำไมต้องมาเขียนแบบนี้ หลายๆ อย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล บอกเลยนะว่าไม่อ่านเลย ผมไม่เล่นเฟชบุ๊ค อันที่เห็นอาจจะเป็นของแฟนคลับ ผมเล่นแค่ทวิตเตอร์กับอินสตราแกรม ผมทำใจยอมรับความจริงได้ว่าเราบกพร่องตรงไหน แต่อะไรที่ไม่จริงแล้วด่าไว้ก่อนไม่ไหวจริงๆ ทุกวันนี้คนใช้สติน้อย เห็นอะไรมาได้ยินมานิดหน่อย พิมพ์สนุกมือ ทำให้คนอื่นเสียหาย แต่สเต็ปต่อไปต้องเข้าใจ มันต้องเป็นแบบนี้แหละ เรามายืนอยู่ในวงการบันเทิง ต้องเข้าใจให้ได้ และถ้ามีโอกาสได้พูดก็พูดความจริง วงการบันเทิงก็เป็นแบบนี้ต้องอยู่กับมันให้ได้ เอาใจไปอินกับมันทุกปัญหาก็แย่
ภาพของคุณมักจะถูกมองว่าเป็นผู้ชายเจ้าชู้ จริงๆ แล้วคุณเจ้าชู้หรือเปล่า
มันเป็นภาพที่ผมสร้างขึ้นมา (ยิ้มกริ่ม) คือจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะสร้างหรอกนะ (หัวเราะ) เดี๋ยวพอดีคนกลัวกันหมด แต่ผมจะบอกว่า การที่เป็นผู้ชายเจ้าชู้มันแล้วแต่คนมอง เพราะว่าเราเป็นคนอารมณ์ดีมากกว่า เป็นคนคุยกับคนง่าย การที่ผมคุยกับคนง่าย ผมไม่ถือว่าเป็นการเจ้าชู้ เราเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี อย่าเข้าใจผิด แค่ยิ้มให้ อย่าคิดว่าจะไปจีบสิ แต่ผมมักโดนมองแบบนั้น
แล้วตัวคุณมีมุมองความรักแบบไหน
ความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรายังไม่พร้อม ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเราเขาก็จะเข้ามาสอนบทเรียนให้กับเรา ความรักเป็นอะไรที่ดี ดีมาก แต่ถ้ายังไม่พร้อมรับผิดชอบหัวใจใครสักคน ก็ให้ซื่อสัตย์กับตัวเองและคนที่เราคุยด้วย เราจะคุยกันแบบไหนอย่าหลอกเขา อย่าให้ความหวังเขา การทำให้คนอื่นเสียใจเราก็เสียใจด้วยนะ ทุกวันนี้ผมโตขึ้นด้วย เลยรู้สึกว่าถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่มีแฟนดีกว่า
การเข้ามาในวงการบันเทิงของคุณมันเหมือนเป็นความบังเอิญ แต่การจะอยู่ต่อไปนานๆ มันใช้ความบังเอิญไม่ได้ คุณคิดว่าอย่างไร
ตอนเข้ามาอาจจะเป็นดวงแต่พอมาอยู่แล้วดวงช่วยอะไรไม่ได้ ต้องช่วยตัวเอง เราเป็นนักแสดง และนักแสดงมีเยอะแยะมากมาย เราจะทำอย่างไรให้ยังคงเป็นซอสมะเขือเทศที่วางอยู่บนชั้นวางแบบที่มีหลายๆ ยี่ห้อ ทำอย่างไรให้ยังคงมีคุณภาพอยู่ ถึงราคาจะแพง วางอยู่สูง แต่คือคุณภาพของเรา เลยรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ปัจจัยภายนอกเลย อยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ถ้าเกิดเราทำดี ตั้งใจทำงาน ดูแลตัวเอง ขยันทำการบ้าน เราก็ต้องทำได้สิ ต้องดี คิดแบบนี้มาตลอด ไม่ได้แข่งกับใครอย่าไปโฟกัสที่คนอื่น ถ้าเราทำให้ดีอย่างน้อยคนก็ต้องพูดถึง ผลงานที่ออกมาคนก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็น
วันนี้คุณเป็นพระเอกที่อายุ 30 ปี สำหรับในวงการบันเทิงแล้ว ถือว่าอายุเยอะพอสมควร คุณวางแผนชีวิตของคุณไว้อย่างไรต่อไป
อย่าย้ำ (หัวเราะ) คิดไว้จริงๆ เลย จะอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรามีความรู้สึกว่าแฮปปี้กับการทำงานแบบนี้ มีนักแสดงหลายคนที่เราคิดว่าเมื่อก่อนเขาเป็นพระเอกเขาก็ยังเล่นละครอยู่ และก็เล่นเก่งด้วย เป็นตัวสำคัญ และยังคงทำงานได้อยู่ เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าถามว่าจะเป็นพระเอกอีกนานแค่ไหน อันนี้ตอบไม่ได้ ที่คิดไว้กับตัวเองอย่างต่ำต้อง 5 ปี จะยังคงดูแลตัวเองและยังอยู่ตรงนี้จนเขาไม่ให้เป็นพระเอกแล้วค่อยว่ากัน
ทุกวันนี้มีคนอยากเข้ามาในวงการบันเทิงเยอะมาก และมักคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบดาราชื่อดัง คุณมีคำแนะนำคนที่อยากเข้ามาในวงการอย่างไรบ้าง
มองว่าเขาเป็นไอดอลได้ เป็นสิ่งที่ดีถ้าคุณชื่นชอบในผลงานของเขา ชื่นชอบในการวางตัวของเขา ซึ่งไม่ผิดที่ใครจะมอง แต่ว่าอย่าเอาภาพตัวเองไปทับกับคนนั้น ทำตัวเองให้ดี รู้จักตัวเองให้มาก มองว่าเรารักในสิ่งที่เราทำจริงไหม รักในสิ่งที่เราทำมากแค่ไหน ถ้ารักในสิ่งที่ทำมาก ทุกอย่างมันจะเป็นอัตโนมัติ บอกตัวเองได้เลยว่าต่อไปคุณจะต้องทำอะไร คุณจะต้องเรียนอะไร คุณจะต้องทำยังไง คุณจะตั้งใจมากแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่รัก แต่คุณแค่อยากเป็นคนนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ หรือจะเข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ฉาบฉวย แล้วก็ออกไป บางคนก็มีแต่จะอยู่ได้ไม่นาน
คนทั่วไปมักมองว่าดารามีรายได้สูง ไม่ลำบาก บางครั้งมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น สำหรับคุณๆ คิดอย่างไร
คนที่คิดเขาก็ไม่ผิดหรอกที่คิดแบบนั้น แต่สิ่งที่เขาคิดมันง่ายไป ส่วนตัวผมนะ ผมไม่พูดถึงคนอื่น กว่าที่ผมจะมายืนตรงนี้ผมผ่านอะไรมามากมาย ผ่านการไม่นอนหลายวัน การทำงานที่ไม่ได้เงิน ผ่านการฝึกฝน ผ่านอะไรมาเยอะแยะ บางคนก็ผ่านมาแบบนี้แต่ไม่สำเร็จก็มีเยอะแยะไป อยากให้เขาคิดใหม่ ผมต้องแลกกับอะไรมากมาย
ทุกวันนี้คุณคิดตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
ทุกวันนี้เกินสิ่งที่ผมฝันไปเยอะ ผมเป็นคนไม่ตั้งเป้าหมายอะไรสูง แค่ได้เล่นละคร แค่มีคนบอกว่าเราเล่นเป็นตัวละครนี้ได้ดีมาก ผมถือว่าสำเร็จแล้ว กับชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เกินเป้าหมายในชีวิตที่คิดว่าผมจะเป็นได้ ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็นพระเอก ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งผมจะได้ทำงานในวงการบันเทิง แต่ตอนนี้มันทะลุไปไกล เลยรู้สึกว่าที่เหลือมันเป็นการที่ทำให้คนที่ชื่นชอบเรามีความสุข และเป็นอาชีพที่เราต้องรักษามันไว้ คิดแค่นี้ ส่วนประสบความสำเร็จไหม ผมว่ามันเลยจุดนั้นมาแล้วครับ
ความบังเอิญเป็นแค่ส่วนผลักดันโอกาสให้เขาเลือกที่จะละทิ้งหรือคว้าไว้เท่านั้น หากแต่เขาไม่เรียนรู้ ฝึกฝน พยายาม เราคงไม่ได้รู้จักเกรท วรินทรในฐานะพระเอกหนุ่มเนื้อหอมอย่างเช่นปัจจุบันก็เป็นได้
ขอขอบคุณS! MEN ผู้สนับสนุนเนื้อหา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น