24 กุมภาพันธ์ 2015
อิสรนันท์
เพิ่งจะมอบของขวัญปีใหม่ให้กับลูกหลานมังกรได้ไม่นานกับการเดินหน้าปราบข้าราชการกังฉินที่โกงบ้านกินเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากได้จับกุมโจว หย่งคุน อดีตบิ๊กหมายเลข 3 แห่งทำเนียบผู้นำจงหนานไห่และหัวโจกการทุจริตคอร์รัปชันไร้เทียมทานที่ฉาวโฉ่ที่สุดแห่งยุค มีทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่ในชื่อของคนในครอบครัวและคนสนิทรวมแล้วกว่า 90,000 ล้านหยวน หรือกว่า 450,000 ล้านบาท
ตรุษจีนปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ได้มอบอั่งเปาซองใหญ่หลายซองด้วยการเดินหน้าใช้อาญาประกาศิตฟาดฟันกับทุจริตคอร์รัปชันต่อไปชนิดรั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ โดยไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ใกล้ชิดกับผู้นำจงหนานไห่มากน้อยแค่ไหน หลังจากเมื่อปีที่แล้ว มาตรการคุมเข้มการฉ้อราษฎร์บังหลวงสามารถป้องกันการติดสินบนข้าราชการได้กว่า 1,500 ล้านหยวน (ราว 7,500 ล้านบาท)
เห็นได้จากกรณีไฟเขียวให้กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมประกาศปลดหลี่ เค่อหมิง น้องชายคนเล็กสุดของนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง จากตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการผูกขาดใบยาสูบแห่งชาติ ซึ่งได้สวมหัวโขนนี้ตั้งแต่ปี 2546 แล้วโยกไปเป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการรัฐวิสาหกิจแทน ทั้งนี้เพื่อขจัดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หลังจากกลุ่มต่อต้านการสูบบุหรี่ได้กล่าวหารัฐบาลว่าเอาอกเอาใจสำนักงานบริหารการผูกขาดใบยาสูบแห่งชาติมากจนผิดสังเกต จนเหิมเกริมกล้าคัดค้านร่างกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคาร รวมทั้งจำกัดพื้นที่การสูบบุหรี่กลางแจ้ง และยุติการโฆษณาบุหรี่ทั้งหมด นอกเหนือจากคัดค้านนโยบายจะปรับเพิ่มราคาและการเรียกเก็บภาษีบุหรี่ โดยอ้างว่าไม่ควรใช้นโยบายที่มีลักษณะเผด็จการ หรือแผ่ขยายอำนาจครอบงำคนอื่น เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นธรรมเนียมที่ประชาชนปฏิบัติกันมานานหลายร้อยปีแล้ว
ผลจากการล็อบบี้ของสำนักงานบริหารการผูกขาดใบยาสูบแห่งชาติที่ครองส่วนแบ่งตลาดบุหรี่ในประเทศถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การตรากฎหมายห้ามการโฆษณาบุหรี่เมื่อปีที่แล้วคลายความเข้มงวดกวดขันลงไปมาก ทั้งๆ ที่รัฐบาลกำลังเร่งรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ที่กำลังเป็นวิกฤติใหญ่ของประเทศ เนื่องจากมีสิงห์อมควันมากที่สุดในโลกถึงกว่า 300 ล้านคน อีกหลายล้านคนได้รับผลทางอ้อมจากควันบุหรี่จากผู้สูบบุหรี่รอบข้าง แม้ว่ารายได้ของกิจการผูกขาดบุหรี่พุ่งขึ้นเป็น 7-10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของรัฐ เฉพาะปี 2556 เพียงปีเดียวสามารถทำรายได้เข้าคลังถึง 816,000 ล้านหยวน (ราว 4,183,040 ล้านบาท) ก็ตาม
อั่งเปาซองที่ 2 ก็คือศาลในนครเซี่ยงไฮ้ได้ตัดสินจำคุกหวง เฟิงผิง ศัลยแพทย์ทางประสาท อดีตรองประธานโรงพยาบาลหัวซานในเซี่ยงไฮ้ อดีตประธานสมาคมอุตสาหกรรมและอดีตรองผู้อำนวยการคณะกรรมการวางแผนสาธารณสุขและครอบครัว เป็นเวลา 19 ปี นับตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อปลายปี 2556 ในข้อหายักยอกเงินและรับสินบนจากบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งสื่อระบุว่าเป็นบริษัทแกล็กโซ สมิธไคลน์ (จีเอสเค) สัญชาติอังกฤษ รวมเป็นเงินกว่า 4.4 ล้านหยวน (ราว 23 ล้านบาท)
หลังจากตำรวจตรวจพบซองบรรจุเงินสดกว่า 400 ซอง ที่บ้านของศัลยแพทย์ทางประสาทผู้นี้ นอกจากนี้ ยังพบทองคำแท่งและเงินตราต่างประเทศที่ซุกไว้ที่ท้ายรถยนต์ส่วนตัว ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้รายงานว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขมักจะถูกจับตามองว่าเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ส่วนใหญ่เป็นผลจากระบบประมูลจัดซื้อยาที่คลุมเครือ ขณะที่เงินเดือนของบรรดานายแพทย์ถือว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อปีที่แล้ว ศาลได้สั่งปรับสั่งปรับยักษ์ใหญ่เวชภัณฑ์ของอังกฤษแห่งนี้เป็นเงิน 3,000 ล้านหยวน โทษฐานแอบจ่ายเงินใต้โต๊ะผ่านบริษัทนำเที่ยวเพื่อส่งเสริมการขาย ด้วยการหลอกว่ามีการประชุมต่างๆ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
อั่งเปาซองที่ 3 มาจากรายงานพิเศษชิ้่นหนึ่งของหนังสือพิมพ์ปักกิ่งไทมส์และหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ ที่เปิดเผยว่ามีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนอย่างน้อย 70 บริษัท ที่ต่างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายปราบปรามการคอร์รัปชัน เป็นเหตุให้ต้องปรับโครงสร้างองค์กรใหม่รวมไปถึงการโละทิ้งผู้บริหารระดับสูงกันระนาว ดีกว่าปล่อยให้ฉุดลากบริษัทให้ต้องล่มจมตามไปด้วย โดยเฉพาะบริษัทหลายบริษัทที่เป็นของพรรคพวกเพื่อนฝูงของโจว หย่งคัง อาทิ ปิโตรไชน่า รัฐวิสาหกิจน้ำมันยักษ์ใหญ่ ปรากฎว่าทั้งหลี่ หัวหลิน รองผู้จัดการทั่วไปและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนต่างถูกนำตัวไปสอบสวนในข้อหาพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจำนวนหนึ่งของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในมณฑลเสฉวน ที่อดีตบิ๊กบอสด้านความมั่นคงเคยเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มาก่อน ก็ถูกสอบสวนคดีทุจริตเช่นกัน เช่นเดียวกับ เหอ เยี่ยน ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทกั๋วเถิงอิเล็กทรอนิกส์ ในเมืองเฉิงตู ถูกจับในข้อหายักยอกเงินกองทุนเมื่อต้นปี 2557
ก่อนหน้านี้ ศาลมณฑลเหอเป่ยได้ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตหลิว เถี่ยหนัน ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพลังงานแห่งชาติ ซึ่งเคยทำธุรกิจร่วมกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างน้อย 5 แห่ง ในข้อหารับสินบนหลังจากถูกสอบสวนและถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อปลายปี 2556 ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งหลิวผู้พ่อและหลิว เต๋อเฉิง ผู้เป็นลูกชาย ต่างยอมรับสารภาพว่ารับเงินสินบนเป็นเงินกว่า 35 ล้านหยวน (ราว 175 ล้านบาท ) ช่วงที่หลิวผู้พ่อรั้งตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสด้านการวางแผนเศรษฐกิจหลายตำแหน่งระหว่างปี 2545-2555 ในจำนวนนี้รวมไปถึงการรับสินบน จำนวน 400,000 หยวน (ราว 2,000,000 บาท) จากซ่ง จั้วเหวิน ประธานหนานซานกรุ๊ป เมื่อปี 2545-2546 และซ่ง จั้วเหวิน ยังได้จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาเป็นพิเศษเมื่อปี 2548 อีก 7,500,000 หยวน (ราว 37,500,000 บาท) เป็นค่าวิ่งเต้นเพื่อทำสัญญาขายอะลูมินากับสาขาของบริษัทอะลูมิเนียมจีน และยังรับสินบนอีกกว่า 16 ล้านหยวน จากชิว เจี้ยนหลิน ประธานเจ้อเจียง เหิงอี้ กรุ๊ป เพื่อขออนุมัติโครงการก่อสร้างโรงงานเคมี
หนังสือพิมพ์ปักกิ่งไทมส์ยังรายงานด้วยว่า หุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายรายรวมทั้งหุ้นของเล่อทีวี บริษัทเว็บไซต์บันเทิงยอดนิยม จูงมือกันดิ่งลงเหว เมื่อลิ่ง จี้ฮัว อดีตคนสนิทของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ถูกทางการควบคุมตัวไปสอบสวนในข้อหาเกี่ยวพันกับการทุจริตคอร์รัปชัน โดยลิ่ง จี้ฮัว และลิ่ง หวันเฉิง น้องชายได้ร่วมกันตั้งบริษัทบริหารการลงทุนฮุ้ยจิน ลี่ฟาง เมื่อปี 2551 และได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทด้านเทคโนโลยี 7 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างปี 2552 -2557
แต่อั่งเปาซองไหนก็ไม่หนักอึ้งเท่ากับการลงอาญาประกาศิตให้ประหารชีวิต หลิว ฮั่น วัย 48 ปี มหาเศรษฐีและอดีตประธานกลุ่มบริษัทฮั่นหลง มายนิ่ง เจ้าของกิจการเหมืองแร่รายใหญ่ระดับทวีปเอเชีย ผู้ติดอันดับ 230 ของคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโจว ปิน ลูกชายคนโตของโจว หย่งคัง พร้อมด้วยหลิว เว่ย น้องชายและผู้ช่วยอีก 4 คนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือน มี.ค. 2556 หลังจากศาลฎีกาประชาชนแห่งมณฑลหูเป่ยได้ตัดสินยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินว่าจำเลยเหล่านี้รวมทั้งสมัครพรรคพวกอีก 35 คนมีความผิดจริงในสารพัดข้อหารวม 13 กระทง ทั้งสมคบกันทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งพัวพันมาเฟียเปิดบ่อนพนันและค้าอาวุธปืนผิดกฎหมายในมณฑลเสฉวน ลักขโมย กรรโชกทรัพย์ ฟอกเงิน ก่อคดีอาชญากรรมทางการเงิน กอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาสมัยที่โจว หย่งคัง ยังมีอิทธิพลมากล้นในฐานะเลขาธิการพรรคประจำเสฉวน นอกเหนือจากก่อคดีลักพาตัวมาทรมาน และสังหารโหดเหยื่ออย่างน้อย 9 ราย
ตลอดช่วงที่ถูกคุมขัง หลิว ฮั่น ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ไม่เคยฆ่าใคร และไม่ได้ค้าปืนเถื่อน พร้อมกับยืนยันว่าบริษัทฮั่นหลง มายนิ่ง ในเสฉวนที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือเมื่อปี 2540 เป็นกิจการเหมืองแร่ระดับยักษ์ใหญ่มีธุรกิจมากมายกว้างขวางในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ถึงขนาดเตรียมวางแผนซื้อกิจการบริษัทซันแดนซ์ รีซอร์ส ของออสเตรเลีย ซึ่งส่งออกเหล็กในแอฟริกาตะวันตก
ข่าวนี้มีขึ้นขณะผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทางอินเทอร์เน็ตโดยศูนย์สำรวจสังคม ไชน่ายูธเดลี่ เกี่ยวกับโทษประหารชีวิตพบว่า มีผู้เห็นด้วยที่จะให้คงบทลงโทษประหารชีวิตในคดีทุจริตคอร์รัปชันมากถึง 73.2 เปอร์เซ็นต์ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว คณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติ ได้เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะปรับลดบทลงโทษสูงสุดจากประหารชีวิต เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิตใน 9 ความผิดอาญาที่ไม่รุนแรง อาทิ การทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการ การค้าแรงงานมนุษย์ การบังคับผู้อื่นให้ค้าประเวณี ขัดขวางการจับกุมหรือต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน การปล่อยข่าวลือในช่วงภาวะสงคราม การลักลอบขนอาวุธ ปลอมแปลงเงิน ค้าอาวุธ นับเป็นเป็นย่างก้าวสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ ว่ากระบวนการยุติธรรมจีนมีระดับมาตรฐานสากล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เฉอ ห่าว แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ให้ความเห็นว่า ความผิดอาญาที่จะลดโทษจากประหารชีวิตเหลือแค่จำคุกตลอดชีวิตนั้น ส่วนใหญ่เป็นความผิดทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่เข้าข่ายว่าเป็นความผิดขั้นร้ายแรง แต่เมื่อพิจารณาถึงการรณรงค์ต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันแล้ว ประชาชนกลับรู้สึกว่ายังอยากจะให้คงบทลงโทษสูงสุดประหารชีวิตไว้ก่อน
ควบคู่ไปกับการเชือดไก่ให้ลิงดู สี จิ้นผิง ก็ยังตรากฎเหล็กเพิ่มเติมเพื่อให้การป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชันได้ผลมากขึ้น โดยเมื่อปลายเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ ที่กำหนดขนาดของห้องทำงานรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับมณฑลและท้องถิ่นต่างๆ ว่าจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่โตเกินกว่า 30 ตารางเมตร ส่วนห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับๆ รองลงไปจะต้องใหญ่ไม่เกิน 24 ตารางเมตร อีกทั้งยังบังคับให้ทุกคนใช้ห้องน้ำรวม ไม่แยกห้องน้ำอภิสิทธิ์ของข้าราชการระดับสูงอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ข้าราชการถลุงเงินก้อนมหาศาลของรัฐด้วยการแข่งกันปลูกสร้างอาคารสำนักงานใหญ่โตมหึมายิ่งกว่าทำเนียบขาวหรือวังเอลิเซในฝรั่งเศส
กฎเหล็กนี้มีขึ้นหลังเมื่อช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว กระบี่มือหนึ่งสี จิ้นผิง ได้ดัดนิสัยข้าราชการที่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย ด้วยการสั่งรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้น ส่งผลให้การจัดเลี้ยงสังสรรค์ระดับมณฑลและระดับชาติลดลงกว่าครึ่ง ส่วนงานสังสรรค์ระดับอำเภอลดลง 1 ใน 3 ผลตามมาก็คือไม่เพียงแต่ช่วยลดรายจ่ายของรัฐบาลเท่านั้น ยังช่วยผลเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการ ผลพลอยได้ตามมาก็คือทำให้ข้าราชการมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นเฉลี่ย 30 นาที จากผลการศึกษาเกี่ยวกับนโยบายการรัดเข็มขัด 8 ข้อเพื่อควบคุมความฟุ้งเฟ้อและความล่าช้าของระบบราชการ ที่จัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งแห่งจีนพบว่างานสังสรรค์ของรัฐบาลทุกลำดับชั้นที่เจ้าหน้าที่ระดับอำเภอต้องเข้าร่วมด้วยลดลงเหลือเฉลี่ยแค่อาทิตย์ละ 12.2 งาน เทียบกับปี 2556 ที่แต่ละอาทิตย์ข้าราชการต้องไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลี่ยแล้ว 18.2 งาน
มณฑลกวางตุ้งเป็นอีกมณฑลหนึ่งที่เข้าร่วมกระบวนการ “ตีเหล็กขณะยังร้อน” ด้วยการยกระดับการดัดนิสัยข้าราชการที่ชอบความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ด้วยการออกคำสั่งห้ามข้าราชการทุกระดับชั้นจัดงานแต่งงานหรืองานศพที่หรูหราฟุ่มเฟือย อันเป็นช่องทางหนึ่งของการคอร์รัปชันในรูปของการรับซองงานที่หนาปึ้กอัดแน่นด้วยธนบัตรก้อนโตเกินความจำเป็น คำสั่งนี้่ยังคลุมไปถึงการต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 10 วัน ว่าจะจัดงานแต่งงานหรือจัดงานศพ รวมทั้งต้องแจ้งค่าใช้จ่ายในรายงานประจำปี ที่สำคัญยังออกกฎเหล็ก “4 ไม่” ได้แก่ ไม่เชิญแขกซึ่งเกี่ยวข้องกับงาน ไม่รับของขวัญและเงินสดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงาน ไม่ใช้เงินของรัฐ และไม่จัดงานพิธีฟุ่มเฟือย
จากรายงานของหนังสือพิมพ์ปักกิ่งนิวส์ระบุว่า ในพฤติกรรมอวดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยทั้งหลายแหล่นั้น ค่านิยมที่จะจัดงานแต่งงานอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมีมากถึง 17 เปอร์เซ็นต์ของพฤติกรรมอวดรวย แซงหน้าการนำรถยนต์ของรัฐไปใช้เพื่ออวดหน้าอวดตาเสียอีก ดังกรณีของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบวินัยในกรุงปักกิ่งผู้หนึ่งที่ทุ่มเงินถึง 40,000 หยวน (ราว 200,000 บาท) จัดเลี้ยงโต๊ะจีน 26 โต๊ะในงานแต่งงานของลูกสาวสุดรัก ขณะที่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่งในมณฑลนี้ได้มอบเงินก้นถุงจำนวน 37,000 หยวน (ราว 185,000 บาท) เป็นของขวัญงานแต่งงานของลูกชาย
จาง จงเหลียง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาด้านสถิติ ประจำสำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ด้วยว่ามาตรการรัดเข็มขัดของสี จิ้นผิง ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างน้อย 6 ประเภท โดยเฉพาะธุรกิจการรับจัดเลี้ยง ที่ยอดการโตลดลงเหลือแค่ เพียง 3.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2556 เทียบกับปี 2554 ที่ธุรกิจนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 8.8 เปอร์เซ็นต์ อีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ได้รับกระทบไม่ใช่น้อยก็คืออุตสาหกรรมบุหรี่และไวน์ โดยยอดขายไวน์ราคาแพงในปี 2556 ลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับธุรกิจภัตตาคารและโรงแรมระดับหรูจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงปักกิ่ง ตลอดจนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูของต่างชาติที่ยอดขายรถลดวูบลง
แต่ผลที่เห็นได้ชัดทันตาก็คือ รัฐบาลสามารถลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยในภาครัฐลงได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ จากถ้อยแถลงของคณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัย (ซีซีดีไอ) พรรคคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่าเงินงบประมาณเพื่อใช้จัดการประชุมสัมมนา การเดินทางดูงานต่างประเทศ และการจัดซื้อยานพาหนะ ในรอบปี 2556 ลดลงประมาณ 53 เปอร์เซ็นต์, 39 เปอร์เซ็นต์ และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2555 พร้อมกันนี้ คณะผู้คุมกฎเหล็กของพรรคยังได้ประจานรายชื่อข้าราชการ 183 คนที่ละเมิดมาตรการรัดเข็มขัด 8 อย่างเพื่อไม่ให้ข้าราชการคนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง ถือเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับตัวเลขของข้าราชการที่ถูกจับกุมและถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันเมื่อปี 2556 ที่มีมากถึง 31,555 คน ในจำนวนนี้เป็นข้าราชการระดับสูงกว่า 680 คน และเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ล้วนถูกจำคุกอย่างน้อย 5 ปี ขึ้นไป
ส่วนมณฑลที่ครองแชมป์มณฑลที่เป็น “รังใหญ่” หรือศูนย์รวมของเหล่ากังฉินโกงกินบ้านเมืองมากที่สุดก็คือมณฑลกวางตุ้ง โดยเมื่อปีที่แล้ว มีข้าราชการอาวุโสกว่า 90 คนถูกจับกุมในข้อหาคอร์รัปชัน มากกว่าทุกมณฑลและทุกเขตปกครองอื่นๆ ในประเทศ อีก 37 คนอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของศาล ในจำนวนนี้รวมไปถึงเหลียง อี้หมิน อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นครเม่าหมิง เจียง จวินอวี้ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกฎหมายและการเมืองนครเสิ่นเจิ้น และเว่ย หลี่คุน อดีตประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีนประจำนครหยางเจียง ฯลฯ นอกจากนี้ ทางการยังได้สั่งปิด “คลับส่วนตัว” 31 แห่ง อายัดทรัพย์ต้องสงสัยว่าเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชามากกว่า 65 ล้านหยวน (ราว 325 ล้านบาท) นอกเหนือจากยึดบัตรวีไอพีของข้าราชการอีก 30 ใบ
นอกเหนือจากข้าราชการพลเรือนและนักธุรกิจใหญ่น้อยที่ถูกจับกุมและลงโทษในคดีทุจริตคอร์รัปชันแล้ว สี จิ้นผิง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ซึ่งควบคุมกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีกำลังพลมากถึง 2 ล้าน 3 แสนคน ยังได้ยื่นมือเข้าไปกวาดล้างการทุจริตภายในกองทัพด้วย ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปกองทัพให้มีศักยภาพและโปร่งใสมากขึ้น หลังจากที่ทางการแทบจะไม่ประสบความสำเร็จในการกวาดล้างการทุจริตในกองทัพนับตั้งแต่ประกาศจะล้างบางตั้งแต่ทศวรรษ 2553 ด้วยการห้ามกองทัพข้องเกี่ยวกับธุรกิจ แต่กองทัพก็ไม่ฟัง ยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำข้อสัญญาในเชิงพาณิชย์มาตลอด โดยแทบไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบ หนำซ้ำยังปล่อยปละละเลยให้มีการติดสินบนเพื่อขอมาเป็นทหารและเพื่อซื้อขายตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับชั้นผู้น้อยขึ้นไป จนผู้สันทัดกรณีหลายคนเตือนว่าจะมีผลต่อความเข้มแข็งของกองทัพ อาทิ จู เฟิง ศาสตราจารย์ด้านวิเทศสัมพันธ์แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่ให้ความเห็นตรงไปตรงมาว่า การคอร์รัปชันในกองทัพนั้นเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวยิ่งกว่ากองทัพสหรัฐฯ เสียอีก ขณะที่นายพลหลิว หยวน ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีหลิว เส้าฉี ชี้ว่า “ไม่ว่าประเทศใดก็ไม่สามารถต่อกรกับกองทัพจีนได้” แต่กองทัพจีนก็อาจแหลกลาญตั้งแต่ยังไม่ทันร่ายเพลงทวนจากปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของนายพลกังฉินภายในกองทัพที่มีอำนาจสั่งการให้ทหารระดับล่างทำตามคำสั่งด้วยการรับเงินสินบนในทุกระดับชั้น
หนึ่งในการกวาดล้างการทุจริตในกองทัพที่สี จิ้นผิง สืบสานนโยบายต่อจากอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ก็คือการจับนายพลสวี ไฉโห่ว เมื่อกลางปีที่แล้ว ในข้อหากระทำผิดร้ายแรงทั้งรับเงินโดยตรงหรือผ่านทางเครือญาติเพื่อเลื่อนยศทหาร และรับเงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจ จนนำไปสู่การถอดยศ ถูกปลดจากตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางและสมาชิกคณะกรมการเมืองหรือโปลิตบุโร องค์กรที่ทรงอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วนำตัวขึ้นศาลทหารเมื่อปี 2555 หลังจากอัยการทหารได้ค้นบ้านพักหรูในกรุงปักกิ่ง แล้วพบคลังสมบัติซุกซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดิน ในจำนวนนี้รวมไปถึงเงินสดทั้งเงินหยวน เงินดอลลาร์และเงินยูโร มากกว่า 1 ตัน อัญมณีอีกนับไม่ถ้วน วัตถุโบราณหายาก และหยกล้ำค่าจำนวนหลายร้อยกิโลกรัม จนต้องใช้รถบรรทุกทหารมากกว่า 10 คัน มาขนทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ และเมื่อต้องจำนนต่อหลักฐาน นายพลสวีจึงค่อยยอมรับสารภาพว่า รับสินบนจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับความช่วยเหลือในการเลื่อนยศทหาร
นับเป็นนายทหารระดับสูงคนล่าสุดจากบรรดานายทหารหลายพันคนที่ต้องโทษในคดีทุกจริตคอร์รัปชัน หลังจากอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ได้ทิ้งทวนก่อนถอดหัวโขนให้สี จิ้นผิง ขึ้นมาแทน ด้วยการตรากฎเหล็กข้อใหม่บังคับให้นายทหารระดับสูงจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ทั้งรายได้ เงินฝาก และอสังหาริมทรัพย์ ต่อคณะกรรมาธิการการทหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ถือเป็นมาตรการสำคัญที่เชื่อว่าจะช่วยลดการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ กระทั่งนำไปสู่การปลดพลโทกู่ จวิ้นซาน วัย 56 ปี ออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมพลาธิการทางทหารแห่งส่านซี เมื่อมีการร้องเรียนว่านายพลกู่ได้แอบซื้อที่ดินแปลงหนึ่งในใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้มูลค่า 20 ล้านหยวน (ราว 100 ล้านบาท) แล้วขายต่อให้กับนักธุรกิจในราคาแพงลิบลิ่วถึง 2,000 ล้านหยวน (ราว 10,000 ล้านบาท)
และเมื่อสี จิ้นผิง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดแห่งทำเนียบจงหนานไห่แล้วก็เดินหน้าสานต่อนโยบายของหู จิ่นเทา ด้วยการออกคำสั่งเป็นชุดๆ หนึ่งในคำสั่งชุดแรกก็คือการออกกฎเข้มเมื่อปลายปี 2555 ห้ามนายทหารระดับสูง รวมทั้งลูกหลาน คนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย หรือตัวแทน รับมอบกระเช้าของขวัญทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระเช้าของขวัญ เหล้าบุหรี่ รวมถึงดอกไม้ ช่อดอกไม้ ต้นไม้ ป้ายผ้ามงคลสีแดง บัตรกำนัล สินค้าทั่วไป และของที่ระลึกทุกชนิด รวมทั้งห้ามร่วมงานจัดเลี้ยงที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาจากพรรคคอมมิวนิสต์ หรือไปค้างแรมในโรงแรมหรูหรือสถานที่พักตากอากาศระดับหรูหรา ระหว่างการเดินทางเพื่อไปสัมมนาไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ
ด้านกระทรวงกลาโหมก็ร่วมลงมือ “ตีเหล็กตั้งแต่ยังร้อน” ออกกฎระเบียบใหม่ห้ามรถซีดานหรู 11 ยี่ห้อ อาทิ เมอร์เซเดส เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, ลินคอล์น, คาดิแลก, เบนท์ลีย์, จากัวร์ และพอร์ซหรือปอร์เช่ ใช้ป้ายทะเบียนทางการของกองทัพ เพื่อไม่ให้นำไปใช้เป็นข้ออ้างที่จะใช้สิทธิพิเศษของกองทัพ ยกเว้นรถอเนกประสงค์ ประเภท SUVs ที่ได้รับการผ่อนปรน ยกเว้นรถแลนด์ โรเวอร์, ปอร์เช่ คาเยน และออดี คิว 7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น