CEO Lean 1509003-1
ถึงตอนนี้หลายคนคงเริ่มคุ้นกับคำว่า สตาร์ทอัพ (Startup) กันแล้ว ปัจจุบันและอนาคตการเริ่มธุรกิจแบบ สตาร์ทอัพ เป็นโอกาสและความหวังของคนรุ่นใหม่ มีไอเดียเป็นทุนจากนั้นสามารถหาวิธีหาเงินทุนได้โดยไม่ต้องเป็นหนี้ สิ่งที่ผมจะมาเล่านั้นวันนี้เป็นการเริ่มต้นธุรกิจแนวๆ เดียวกันนี้โดยใช้หลักคิดการเริ่มต้นแบบไม่ต้องสมบูรณ์พร้อม 100% เงินลงทุนน้อย และอยู่ในกลุ่มธุรกิจ Information business ซึ่งไม่ต้องมี Physical products และสามารถใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือทำงานได้อย่างเต็มที่

Startup

สตาร์ทอัพ เป็นโมเดลธุรกิจที่ต่างจากการเริ่มต้นทำธุรกิจแบบดั้งเดิม แบบดั้งเดิมคือกู้ยืมเงิน ลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ได้แก่ สำนักงาน หน้าร้าน แรงงาน การผลิต สต็อกสินค้า และโฆษณา ในขณะที่ สตาร์ทอัพ เป็นการเริ่มต้นธุรกิจโดยที่ไม่พร้อม มีไอเดีย หานายทุน ผู้ก่อตั้งทำงานกันเองสองสามคนขึ้นไป ช่วงสตาร์ทอัพจะยังไม่มีกำไร และอาจยังไม่มีกำไรไปเป็นปีแต่อยู่ได้ด้วยเงินของนายทุน โดยมากอยู่ในกลุ่มธุรกิจ Technology ได้แก่ Software application และ On-demand service (Uber, Grab Taxi เป็นต้น)

Lean Startup

sss
ส่วน ลีนสตาร์ทอัพ (Lean Startup) เป็นหลักคิดของ Eric Ries เขียนจากประสบการณ์การทำสตาร์ทอัพแล้วเจ๊งจึงหาวิธีทำธุรกิจสตาร์ทอัพแบบลีนที่สุด หรือภาษาอังกฤษดั้งเดิมเรียกว่า Bootstrap เริ่มธุรกิจแบบกระเบียดกระเสียร แต่วัตถุประสงค์ของ ลีนสตาร์ทอัพ คือเพื่อ ประหยัดทรัพยากรทั้งเงินและเวลา ผลักดันผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเพื่อวัดผลตอบรับว่าควรปรับปรุงเพื่อไปต่อ หรือยุติการพัฒนาแล้วเปลี่ยนตัวผลิตภัณฑ์ หลักคิดนี้ Eric Ries นำมาเขียนเป็นหนังสือ Lean Startup และแปลไทยโดยสำนักพิมพ์ WE Learn ในชื่อภาษาไทยว่า สร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ต้องเริ่มตอนที่ไม่พร้อม โดยบทความสรุปหลักคิด ลีนสตาร์ทอัพ ในภาพรวมเขียนไว้เข้าใจง่ายโดยบล็อก Designil ที่นี่ครับ 

Information Business ธุรกิจความรู้

อาชีพของผู้เขียนเว็บไซต์ CEO Blog คือ Information business แปลว่า ธุรกิจความรู้ 
คนทำอาชีพขายความรู้มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Infopreneur และผลิตภัณฑ์ในธุรกิจนี้เรียกว่า Information product
คุณสมบัติเด่นของอาชีพขายความรู้คือ คุณมีตัวเองเป็น สินค้าและแบรนด์ ขายความรู้ที่คุณมีอยู่แล้วในตัวเอง ดังนั้นต้นทุนเฉพาะหน้าจึงต่ำมาก กล่าวคือ ในช่วงเริ่มต้นคุณไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องมีพนักงาน และไม่ต้องสต็อกสินค้า ความรู้สามารถแพ็กเกจเป็นรูปแบบดิจิตอล อาทิ Ebook, Course Online หรือถ้าเป็น Off-line ได้แก่ งานอบรม/สัมมนา ทั้ง Public และ In-house

Lean Startup สำหรับธุรกิจความรู้

ข้อได้เปรียบของ Information business ธุรกิจความรู้ดังกล่าวไม่ได้แปลว่าการเริ่มอาชีพนี้จะง่ายไปกว่าการทำธุรกิจประเภทอื่นๆ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ธุรกิจคือธุรกิจ มีกระบวนการในการพัฒนา ฟันฝ่า ล้มเหลว เรียนรู้ สู่ความสำเร็จ เหมือนๆกัน
ครั้งแรกที่ผมรู้ตัวและตัดสินใจที่จะทำอาชีพขายความรู้ ผมใช้เวลาเป็นปีไปกับการสร้างฐานผู้ติดตามและสร้างกระแสว่าผมจะออกผลิตภัณฑ์ (ผลิตภัณฑ์ประเภทแรกคือ Ebook) ผมใช้เวลาขนาดนั้นก็เพราะอยากมั่นใจว่ามันจะเปรี้ยงอย่างแรงตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว
แต่เมื่อผมเปิดตัว Ebook ผลตอบรับคือ แป้กสนิท – Ebook ขายได้เพียงเล่มเดียวในราคา 79 บาทและหลังจากนั้นไม่ว่าจะผลักดันอย่างไรก็มาเป็นผล ประสบการณ์ครั้งนั้นเจ็บปวดมาก และความเจ็บปวดไม่ใช่เพราะขายไม่ออก แต่เพราะผมสูญเสียเวลาถึงหนึ่งปีเพื่อพบคำตอบ 1 วินาทีว่าผลิตภัณฑ์นี้ขายไม่ได้ เวลานี่แหละครับที่มีค่ามากจริงๆ และผมเอาคืนมาไม่ได้
หลังจากทำใจ ได้สติ และเรี่ยวแรงมากพอที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง ผมจึงเริ่มต้นใหม่กับเว็บไซต์ใหม่ที่ชื่อ TheCEOblogger ซึ่งปัจจุบันรีแบรนด์เป็น CEOblog โดยคราวนี้ผมดำเนินการแบบหลัก ลีนสตาร์ทอัพ โดยบังเอิญ (ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักหนังสือ Lean Startup)

เริ่มจาก Small niche

ความล้มเหลวของ Ebook เล่มแรกเกิดจากความกว้างและความมั่วของกลุ่มเป้าหมาย เว็บไซต์ตัวแรกผมพูดสารพัดเรื่องในเว็บฯเดียว ทำให้กลุ่มเป้าหมายบนเว็บไซต์ไม่โฟกัส เมื่อออกตัวผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นเรื่องธรรมะประยุกต์ก็กว้างไปอีก งานนี้จึงล้มเหลว
ต่อมาเป็น CEO Blog เน้นพูดเรื่องธุรกิจออนไลน์ จับกลุ่มเป้าหมายคือคนที่อยากสร้างรายได้จากอินเตอร์เน็ต แต่ผมเจาะให้ Niche ลงไปอีกคือกลุ่ม Blogger – Ebook เล่มที่สองชื่อว่า The Art of Blog บอกเล่าวิธีสร้างรายได้จาก Blog ด้วยวิธีต่างๆ ผลตอบรับออกมาดีมาก สร้างรายได้ Passive income วันแรก 20,000 บาท

การตลาดราคาประหยัด

ผมใช้หลักการตลาดที่เรียกว่า Content marketing เป็นการเขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย แล้วเอาเนื้อหานั้นไปเผยแพร่ตามพื้นที่ต่างๆ โดยมีการปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ อาทิ…
  • การเขียนลงเว็บบอร์ดก็เขียนเป็นภาษาเขียนแบบคนคุยกัน
  • เขียนลงในเฟซบุ๊คก็ปรับข้อความให้กระชับขึ้น
  • เขียนผ่าน Email marketing ก็เป็นภาษาเขียนที่เป็นทางการเล็กน้อย เป็นต้น
Content marketing เหล่านี้ฟรีในแง่ของเงินลงทุน ต้นทุนหลักๆคือความสม่ำเสมอและเวลาในการไปเผยแพร่ข้อมูลตามพื้นที่ต่างๆ แต่เมื่อทำต่อเนื่องอย่างน้อย 2 เดือนคนจะเริ่มจำคุณได้และส่วนหนึ่งจะเริ่มติดตามคุณ นั่นแปลว่า Awareness เริ่มเกิดแล้ว สำคัญคือการเผยแพร่ Content ตามพื้นที่เหล่านั้นมีเป้าหมายเพื่อส่งคนมาที่เว็บไซต์หลักของคุณ

ทำผลิตภัณฑ์เท่าที่ทำได้

มีคนที่เก่งการตลาดออนไลน์มากกว่าผมอีกมากมาย แต่ถ้าผมรอให้เก่งที่สุดก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรและก็ไม่รู้ว่าแค่ไหนจึงเรียกว่าเก่งที่สุด ดังนั้นหลักคิดคือ ทำเท่าที่รู้ ทำเท่าที่ทำได้ รู้แค่ไหนก็สอนคนที่รู้น้อยกว่าคุณเท่านั้นพอ! – นี่คือ Lean Startup ในหัวข้อที่เรียกว่า Minimum Viable Product หรือ MVP
MVP คือการทำผลิตภัณฑ์เท่าที่ใช้ได้ มีเพียงองค์ประกอบการใช้งานหลักๆ แล้วผลักดันออกสู่ตลาดเพื่อดูภาคปฏิบัติว่าใช้งานได้จริงหรือไม่ คนชอบหรือไม่ ฯลฯ หากขายได้ใช้งานได้ค่อยนำผลลัพธ์จากผู้ใช้งานกลับมาปรับปรุง ถ้าขายไม่ได้ก็ค่อยยุติโครงการนั้นๆไป

เปิดตัวให้เร็ว

นี่คือหัวใจสำคัญของ ลีนสตาร์ทอัพ – อย่าเสียเวลาเตรียมตัวนานจนเกินไป เช่นเดียวกับที่ผมประสบมากับตัวจาก Ebook เล่มแรกที่ใช้เวลาเขียนและสร้างกระแสเป็นปีและพังทลายภายในหนึ่งวินาทีที่เปิดตัวเมื่อพบคำตอบว่า ผมทำสินค้าผิดกลุ่ม
เมื่อมาถึง Ebook เล่มที่สอง ผมใช้เวลาในการสำรวจปัญหาในตลาด เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ Niche นั่นคือ Online marketing > Blogger > Hot-to make money from blog จากนั้นใช้เวลา 4 เดือนในการสร้างกระแสด้วย Content marketing และเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว

ปั้นธุรกิจความรู้ในแบบคุณ

ทุกคนมีความรู้เฉพาะตัวมากกว่าหนึ่งอย่าง แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ขายได้
วิธีทำคือเขียนรายการความรู้ที่คุณมี สมมุติคุณคนเดียว เก่ง Excel, เล่นเปียโนได้, มีความรู้ในการออกกำลังกาย ลองนึกย้อนกลับไปดูว่า
1. ความรู้ด้านไหนที่คนถามคุณมากที่สุด
2. ความรู้ด้านไหนที่มีคนเปิดเป็นธุรกิจสอนมากที่สุด
3. ความรู้ด้านไหนที่มีคนเปิดเว็บไซต์ให้ความรู้และตั้งกระทู้ถามมากที่สุด
ผมเชื่อว่าความรู้ในการออกกำลังกาย ได้รับความนิยมสูงที่สุดในบรรดาสามเรื่อง ฉะนั้นการเริ่มต้น Information business ในอุตสาหกรรมการออกกำลังกายน่าจะดีที่สุด แต่ช้าก่อน! คุณอาจทักผมว่า คนทำเยอะแล้วมันจะดีเหรอ?…
กลุ่มที่มีคนทำเยอะการแข่งขันย่อมสูง แต่ในอีกมุมคือหลักประกันว่ามีตลาดรองรับและเป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง (มีคนรอจ่ายเงิน) ในขณะที่การสอนเปียโนนั้นคุณอาจต้องออกแรงและเวลาในการดันตลาดของตัวเองขึ้นมาใหม่
ตอนที่ผมทำเนื้อหาด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งมีการแข่งขันสูงอยู่แล้วแต่สิ่งที่ผมทำคือหาช่องว่างที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม การตลาดออนไลน์ที่ผ่านมาถูกพูดถึง SEO, Google AdWord, Google AdSense, Affiliate marketing, Facebook marketing ฯลฯ แต่แทบไม่มีใครพูดถึง Blog marketing ทั้งๆ ที่ Blog คือรากฐานของการตลาดออนไลน์ที่จะรองรับทุกเครื่องมือที่กล่าวมา เมื่อผมเจาะด้านนี้จึงสามารถมีพื้นที่ปักหลักท่ามกลาง Niche การตลาดออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือ หาแนวทางที่คุณรู้และมีตลาดรองรับจากการสำรวจดังกล่าว จากนั้นหาช่องว่างว่าเนื้อหาด้านใดที่เป็นปัญหาและยังไม่ได้รับการตอบสนองมากเพียงพอ แล้วคุณก็สร้างธุรกิจความรู้โดยมุ่งไปที่การแก้ปัญหาให้กับช่องว่างนั้นๆ ก็จะสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขัน จากนั้นคุณค่อยขยับไปพัฒนาตลาดอื่นๆ ต่อไป
http://www.ceoblog.co/1509003-2/