วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

Evapolar แอร์ส่วนตัว เย็นได้ทุกที่ ทุกเวลา


อากาศร้อนๆ แบบนี้ เวลาอยู่บ้าน อยู่คอนโด คนเดียวแล้วเปิดแอร์ให้เย็นทั้งห้อง ทั้งวัน ทั้งคืนเปลืองคงจะไฟน่าดู แล้วถ้าอยู่บ้านคนเดียว เปิดแอร์ให้เย็นคนเดียว อยู่ตรงไหนเย็นตรงนั้นได้ จะประหยัดกว่าไหม? แน่นอนครับว่าใช่ เพราะแอร์ส่วนตัวเครื่องนี้เขายืนยันมาแบบนั้น
c9w3v5dtc9qkjsrx1knyEvapolar แอร์ส่วนตัว ทรงลูกบาศก์ขนาดเพียง 16 เซ็นติเมตรเท่านั้น แต่สามารถทำให้อุณหภูมิรอบๆ ลดลงได้เหลือ 21 องศาเซลเซียส อีกทั้งลมที่ยังไม่ทำให้ผิวแห้ง เพราะสามารถเพิ่มความชื้นในอากาศได้ถึง 60%และยังสามารถกรองอากาศได้อีกด้วย Evapolar ทำให้ลมผ่านแผ่นทำความเย็นที่ทำมาจาก nanomaterial โดยมีน้ำเป็นตัวดูดซับความร้อนเอาไว้ ทำให้ลมที่ออกมาจาก Evapolar นั้นมีความเย็นกว่าอากาศโดยรอบ ซึ่งสามารถให้ความเย็นได้ต่อเนื่องถึง 6-8 ชั่วโมง และกินไฟเพียง 18 W เท่านั้น

Evapolar เป็นโครงการที่วางขายผ่านเว็บไซต์ Indiegogo ในราคาเริ่มต้น $149 หรือประมาณ 5,500 บาทpdopjixnirhabpagljtwevapolar-3ที่มา coolthings.com

Google และ MIT จับมือพัฒนาเทคโนโลยีถ่ายภาพสัตว์ไม่ติดกรง ถ่ายภาพผ่านกระจกไม่ติดเงาสะท้อน

 เคยเป็นป่ะ? จะถ่ายรูปของที่โชว์อยู่ในตู้กระจกทีไร สะท้อนเห็นเงาตัวเองทุกที ไม่ว่าจะเอียงมุมไหน หลบไปทางไหน ก็ติดเงาซะท้อนไปซะหมด หรือแม้แต่เวลาไปเที่ยวสวนสัตว์ อยากจะถ่ายภาพเสือหรือนกน่ารักๆ แต่ดันมีกรงขวางอยู่ จะถ่ายเสือดันได้กรงมาแทน > <  แต่ต่อไปปัญหานี้จะหมดไปเมื่อ Google และ MIT ได้ร่วมมือกันวิจัยเทคโนโลยีใหม่ที่จะทำให้เราไม่ต้องหงุดหงิดใจกับปัญหาภาพสะท้อนหรือสิ่งกีดขวางในภาพอีกต่อไป ^ ^ 
 ทีมนักวิจัยจาก MIT และ Google นั้นร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี Obstruction-Free Photo ขึ้นมา ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญในการถ่ายรูป รายงานข่าวระบุว่าทางทีมวิจัยดังกล่าวได้นำเสนอเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบใหม่ที่สามารถลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ในภาพถ่ายออกไปได้ โดยเทคนิคที่เค้าใช้ก็คือ เค้าจะถ่ายเป็นวิดีโอสั้นๆ ระหว่างถ่ายก็ขยับกล้องไปมา จากนั้นซอฟต์แวร์จะดึงภาพจากวิดีโอบางเฟรมมาเปรียบเทียบกันแล้วหาว่า สิ่งไหนเป็นภาพที่เราต้องการจะถ่ายจริงๆ และสิ่งไหนเป็นสิ่งกีดขวางในภาพนั้นกันแน่ (อาจจะเป็นภาพสะท้อนในกระจก หรือภาพของรั้วที่กีดขวางอยู่) ซึ่งการวิจัยอัลกอริทึมนี้ จะทำให้ซอฟต์แวร์สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือจุดที่เราต้องการถ่าย หรือสิ่งไหนเป็นสิ่งกีดขวาง แล้วก็จะเติมเต็มภาพที่เราต้องการโดยนำภาพจากเฟรมต่างๆมารวมเข้าด้วยกัน จนกว่าภาพนั้นจะสมบูรณ์
ส่วนเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ Obstruction-Free Photo แบบนี้จะพร้อมให้ใช้งานหรือมาถึงสมาร์ทโฟนของเราเมื่อไหร่ตอนนี้คงยังบอกไม่ได้ แต่ลองมีเดโมแบบนี้ออกมาแล้วคาดว่าคงไม่นานเกินรอค่ะ
 Source : engadget

“ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวัน” ของสี จิ้นผิง (6): จากข้าราชการกังฉินถึง“บรรพชิตจอมปลอม”

24 กันยายน 2015
อิสรนันท์
ขณะที่ “ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวัน”ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งและแผ่ขยายวงกว้างมากขึ้นไปเกือบทั่วทุกวงการ ไม่ใช่แต่ในหมู่ข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนในตอนแรกเท่านั้น หากยังครอบคลุมไปถึงธุรกิจภาคเอกชน มาเฟีย วงการศาสนาหรือแม้กระทั่งในครอบครัว จนเริ่มมีเสียงเปรยด้วยความสงสัยว่าขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงวันจะรุดหน้าไปถึงระดับใด สิ้นสุดตรงจุดไหน ที่สำคัญ จะบานปลายกลายเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งที่ 2 หรือไม่ ตามอย่าง “แก๊ง 4 คน” นำโดยนางเจียง ชิง ภริยาอดีตประธานเหมา เจ๋อตง เพียงแต่อาจจะโชคดีกว่าตรงที่เป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมของฝ่ายธรรมะ ไม่ใช่ฝ่ายมารซ่อนรูปเหมือนในอดีต
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง  ที่มาภาพ : http://www.slate.com/
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://www.slate.com/
ข้อสังเกตนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พีเพิลเดลี กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้นำเสนอบทวิจารณ์ชิ้นหนึ่งของกู่ โป๋จง ซึ่งพีเพิลเดลีไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเป็นใคร ผิดจากปรกติที่มักจะบอกว่าเป็นใคร ทำงานที่ไหน แต่ข้อมูลจากเว็บไซต์ของสมาคมนักเขียนจีนระบุว่าเป็นข้าราชการคนหนึ่งซึ่งประจำการที่ฝ่ายการเมืองทั่วไปในกองทัพ ในบทความชิ้นนี้ที่ไม่ปรากฏในสื่ออื่นได้ประณามอดีตผู้นำหลายคนโดยไม่ระบุชื่อว่ายังคงยึดติดในอำนาจและสร้างความแตกแยกขึ้นภายในพรรค
บทวิจารณ์ใน “หน้าทฤษฏี” ของพีเพิลเดลีซึ่งมีทุกวันยกเว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์กล่าวว่า “ผู้นำบางคนไม่เพียงแต่สร้างบริวาร (ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ) และสั่งให้สร้างเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้พวกเขายังคงมีอิทธิพลต่อไปในอนาคตเท่านั้น แต่ยังต้องการจะเข้าไปแทรกแซงในปัญหาสำคัญๆ ในองค์กรต่างๆ ที่พวกเขาเคยทำงานอยู่ แม้ว่าจะเกษียณมาแล้วหลายปีดีดักแล้วก็ตาม”
กู่ โป๋จง ให้ความห็นว่าการกระทำของอดีตผู้นำเหล่านั้นทำให้ผู้นำรุ่นใหม่รู้สึกเหมือนกับถูกมัดมือมัดเท้า ต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขและความกังวลทั้งๆ ที่ไม่ควรจะบังเกิดขึ้น
“นอกจากนี้ อดีตผู้นำเหล่านี้ยังทำให้บางองค์กร…เกิดแตกแยกเป็นกลุ่มๆ จนเจ้าหน้าที่เริ่มรู้สึกท้อแท้หรือขวัญเสีย ส่งผลกระทบต่อการประสานงานและศักยภาพ”
บทวิจารณ์ของกู่ยังได้เปรียบเทียบอดีตผู้นำที่เกษียณแล้วว่าเหมือนกับน้ำชาที่หายร้อนแล้ว ซึ่งไม่ถือเป็นน้ำชาที่ดีอีกต่อไป “ควรจะสร้างเป็นปทัสถานใหม่ว่าเมื่อคุณพ้นจากตำแหน่งแล้ว คุณก็ควรทิ้งความเห็นต่างๆ ไว้เบื้องหลัง”
ปรากฏว่า มีการอ้างอิงคำอุปมานี้บนทวิตเตอร์ของจีนอย่างซิน เว่ยโป๋ ที่โพต์ข้อความหนึ่งว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากชาขิง (คำว่าขิงในภาษาจีนออกเสียงว่าเจียง พ้องกับเสียงของเจียง เจ๋อหมิน) ยังต้องการเป็นชาขิงร้อนๆ ต่อไปเหมือนก่อนหน้า ในกรณีนี้ ก็ควรจะเททิ้งเสีย”
ขณะที่สื่อตะวันตกนำมาขยายความต่อบทความของกู่ โป๋จง ว่า โจว หย่งคัง อดีตผู้นำหมายเลข 3 ของจงหนานไห่ และอดีต “ซาร์ความมั่นคง” นั้น เป็นที่รู้กันไปทั่วว่าเป็นพันธมิตรกับอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ซึ่งบริหารแดนมังกรระหว่างปี 2532-2545 แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลคอยชักใยอยู่เบื้องหลังตลอดช่วงทศวรรษให้หลังช่วงที่หู จิ่นเทา ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแทน
สื่อตะวันตกยังรายงานด้วยว่า มีการตั้งข้อสงสัยไปทั่วว่าอดีตประธานาธิบดีเจียงจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่จะถูกสี จิ้นผิง และคณะกรรมการตรวจสอบวินัยประจำคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือผู้คุมกฎของพรรค (ซีซีดีไอ) เล่นงานย้อนหลังหรือไม่ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.พ. ซีซีดีไอได้โพสต์บทความชิ้นหนึ่งบนออนไลน์ถึงเรื่องราวของมหาขุนนางกังฉินผู้ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดการคอร์รัปชันในสมัยราชวงค์ชิง ซึ่งผู้สันทัดกรณีหลายคนเชื่อตรงกันว่าเป็นการตีกระทบชิ่งถึงเซิง ชิงหง อดีตรองประธานาธิบดีผู้เป็นมือขวาของเจียง
ขณะเดียวกัน ก็แทบไม่น่าเชื่อว่าการกวาดล้างการทุจริตอาจจะขยายวงกว้างลามไปถึงวงการศาสนาแล้ว เมื่อมีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งซึ่งแทบไม่เป็นที่สังเกตของใครๆ ว่าพระมหาเถระสือ หย่งซิน เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินหรือเสี้ยวลิ้มยี่แห่งเขาซงซาน มณฑลเหอหนาน ทางภาคกลางของแดนมังกร จู่ๆ พลันงดภารกิจเดินทางเยือนไทยในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่าติดภารกิจ แล้วมอบหมายให้พระมหาเถระสือ หย่งฟู รองเจ้าอาวาสทำหน้าที่แทน นำคณะพระสงฆ์จากแดนมังกร 40 รูป พร้อมด้วยนักธุรกิจอีกกว่า 80 คน เดินสายคารวะศาสนสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญหลายแห่งในหลายจังหวัดของแดนดินถิ่นลุ่มเจ้าพระยา
พระมหาเถระ สื่อ หย่งซิน วัย 50 ปี เจ้าของฉายา "พระซีอีโอ" หรือ "ซีอีโอกังฟู" ที่มาภาพ : http://ichef.bbci.co.uk/news/
พระมหาเถระ สื่อ หย่งซิน วัย 50 ปี เจ้าของฉายา “พระซีอีโอ” หรือ “ซีอีโอกังฟู” ที่มาภาพ : http://ichef.bbci.co.uk/news/
ข่าวเล็กๆ ชิ้นนี้ปรากฏในหนังสือพิมพ์ไชนาเดลีเมื่อปลายเดือน ก.ค. ที่เพิ่งผ่านมา จากนั้น สำนักข่าวตะวันตกรวมไปถึงซีเอ็นเอ็นและข่าวออนไลน์ของหนังสือพิมพ์ดิอินดีเพนเดนท์ ได้นำไปต่อยอดว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งปวง อาจเป็นเพราะพระมหาเถระ สื่อ หย่งซิน วัย 50 ปี เจ้าของฉายา “พระซีอีโอ” หรือ “ซีอีโอกังฟู” อาจจะกำลังถูกตรวจสอบตามนโยบาย “หักเขี้ยวเสือ” ของสี จิ้นผิง
ทั้งซีเอ็นเอ็นและสำนักข่าวตะวันตกต่างอ้างเอกสารของผู้ใช้นามแฝงว่าสือ เจิ้งยี่ ที่อ้างว่าเคยเป็นผู้คุมกฎของวัดเส้าหลิน ที่โพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา กล่าวหาพระมหาเถระสือ หย่งซิน ว่าเป็น “บรรพชิตจอมปลอม”เนื่องจากทำผิดศีลหลายข้อ โดยเฉพาะศีล 2 ข้อสำคัญ ได้แก่ ศีลข้อ 2 อทินนาทานา เวรมณี ที่ห้ามลักทรัพย์ หรืองดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ แต่จากรายงานของหนังสือพิมพ์สเปนฉบับหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กล่าวหาพระมหาเถระสือ หย่งชิน ว่าได้ แอบยักยอกทรัพย์ของวัดเส้าหลินไปเป็นสมบัติส่วนตัว โดยซุกซ่อนเงินไว้ในบัญชีลับส่วนตัวในต่างประเทศหลายบัญชีด้วยกัน รวมแล้วกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือนับแสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อบ้านพักสุดหรูไว้ทั้งในสหรัฐฯ และเยอรมนี บ้านบางหลังได้กลายเป็นรังรักสำหรับเสพสุขกับภริยาลับบางคน
ในโพสต์ของสือ เจิ้งยี่ ยังได้กล่าวหาเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินว่าทำผิดศีลข้อที่ 3 กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม แต่เจ้าอาวาสกลับแอบมีเมียเก็บหลายคน ในจำนวนนี้มีพิธีกรชื่อดังและแม่ชีรวมอยู่ด้วย แถมยังมีลูกนอกกฎหมายกับลี่ จิงเชียง นักศึกษาจีนคนหนึ่งที่กำลังเรียนอยู่ที่เยอรมนี โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้ส่งเสีย ไม่นับรวมไปถึงการแอบไปซื้อบริการโสเภณีในมณฑลเหอหนาน ซึ่งโชคร้ายถูกจับได้เพราะบังเอิญตำรวจไปกวาดล้างโสเภณีในช่วงนั้นพอดี แต่วัดเส้าหลินช่วยกันกลบข่าวนี้ อ้างว่าที่เจ้าอาวาสไปยังสถานที่อโคจรแห่งนั้นก็เพื่อไปทำพิธีทางศาสนาเท่านั้น
ที่มาภาพ : http://www.shaolintempleuk.org/wp-content/uploads/2014/08/%E2%80%9D%C2%A2%E2%89%88%C3%86%C3%95%C4%B1-1.jpg
ที่มาภาพ : http://www.shaolintempleuk.org/wp-content/uploads/2014/08/%E2%80%9D%C2%A2%E2%89%88%C3%86%C3%95%C4%B1-1.jpg
สื่อออนไลน์ยังโพสต์ข้อความที่กล่าวหาเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินว่าไม่ทำตัวให้สำรวมสมกับเป็นเจ้าอาวาสวัดเก่าแก่มีอายุยาวนานว่า 1,500 ปี ภาพที่เห็นเป็นประจำในสื่อต่างๆ ก็คือภาพของเจ้าอาวาสกำลังถือไอโฟนสาละวนอยู่กับการต้อนรับผู้นำโลกและผู้นำยักษ์ใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรม ตั้งแต่สมเด็จพระบรมราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ไปจนถึงทิม คุก ซีอีโอของบริษัทแอปเปิล หรือภาพการรับมอบของถวายที่สุดหรูหรา อาทิ รถรถโฟล์กสวาเกนสุดหรูมูลค่า 1 ล้านหยวน (ราว 5 ล้านบาท) หรือการสั่งทอจีวรทองคำผืนหนึ่งในราคา 160,000 หยวน (ราว 800,000 บาท) เฉพาะค่าด้ายทองคำอย่างเดียวก็ตกถึง 50,000 หยวน (ราว 250,000 บาท) เป็นต้น
แม้จะมีข่าวลือหนาหูมานานกว่า 4 ปี แต่สำนักงานกิจการศาสนาของจีนเพิ่งจะแถลงเป็นครั้งแรกว่ากำลังตรวจสอบข่าวนี้ ขณะที่วัดเส้าหลินได้แถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหวังทำลายชื่อเสียงของเจ้าอาวาสรวมทั้งชื่อเสียงของวัดเส้าหลิน ทั้งยังตั้งรางวัล 50,000 หยวน (ราว 250,000 บาท) ให้กับผู้ที่สามารถกระชากหน้ากากตัวการปล่อยข่าวลือเหล่านี้ได้
อันที่จริงสารพัดข่าวฉาวโฉ่นี้เริ่มแพร่สะพัดนับตั้งแต่พระมหาเถระสือ หย่งซิน ขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี 2542 จากนั้นก็เริ่มแปลงวัดเส้าหลินให้เป็นพุทธพาณิชย์ที่มีมูลค่านับแสนล้านบาท สมกับที่เป็นพระมหาเถระองค์แรกที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ
เริ่มตั้งแต่การปรับค่าเข้าชมวัดคนละ 100 หยวน (ราว 500 บาท) ทำให้แต่ละปี วัดเส้าหลินมีรายได้จากค่าเข้าชมกว่า 750 ล้านบาท วัดเส้าหลินอ้างว่ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากบัตรผ่านประตู ได้นำไปมอบให้กับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้ทันสมัย
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งพระเส้าหลินเดินสายไปแสดงศิลปะกังฟูยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนทำให้ศิลปะการต่อสู้แบบกังฟู โดยเฉพาะเพลงหมัดมวยที่ดัดแปลงมาจากสัตว์ ไม่ว่าจะเพลงหมัดพยัคฆ์ เพลงหมัดงู เพลงหมัดตั๊กแตน ท่านกกระเรียน เพลงหมัดวานร หรือเพลงหมัดเมา ศีรษะเหล็ก ฯลฯ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมทั้งยังร่วมการแข่งขันชกมวยในลาสเวกัส หรือทำธุรกิจดันดารากังฟูให้ดังอย่างเฉินหลงและหลี่เหลียงเจี๋ย หรือเจ็ต ลี ศิษย์สายตรงรุ่นใหม่ ซึ่งชำนาญในเพลงหมัดมวยและวิทยายุทธเกือบทุกด้าน นอกเหนือจากแตกฉานในอาวุธ 18 ประเภท
ที่เห็นผลมากที่สุดก็คือโครงการแปลงวัดเป็นคอมเพล็กซ์ ต่อยอดจากโครงการเร่งขยายสาขาของวัดเส้าหลินไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมแล้วราว 40 แห่ง อาทิที่สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี อาร์เจนตินา หรือแม้กระทั่งที่ประเทศไทย ราวกับแฟรนไชส์ของแม็คโดนัลด์ สตาร์บัคส์ เคเอฟซี หรือต้องการแข่งกับสวนสนุกของดิสนีย์แลนด์ที่ภายในทำเป็นคอมเพล็กซ์เช่นกัน ฯลฯ เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา พระมหาเถระสือ หย่งซิน เพิ่งเซ็นเช็คงวดแรก 3 ล้านดอลลาร์ จาก 297 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างคอมเพล็กซ์สาขาใหม่ที่ออสเตรเลีย ซึ่งภายในมีทั้งวัดเส้าหลิน โรงแรม โรงเรียนสอนกังฟู และสนามกอล์ฟ
ที่ก้าวไกลไปกว่านั้นก็คือ การนำวัดเส้าหลินไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ในฐานะเป็นบริษัทท่องเที่ยว ปรากฏว่าเพียงแค่วันแรกๆ ก็สามารถขายหุ้นที่เปิดขายต่อสาธารณะได้กว่า 100 ล้านหยวน
หลักฐานทั้งหมดนี้จึงทำให้หลายคนเชื่อว่าพระมหาเถระสือ หย่งซิน อาจจะกำลังถูกทางการสอบสวนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเงียบๆ อยู่จริง แต่สื่อทางการยังไม่รายงานยืนยันหรือปฏิเสธข่าวลือนี้

ยังไม่เลิกรา จับข้าราชการกังฉินต่อ

ในช่วงไล่เลี่ยกัน ทางการแถลงว่าสามารถยึดเงิน 6,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 216,628 ล้านบาท) ที่ได้จากเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตคอร์รัปชันกลับเป็นของรัฐ โดยข้าราชการกังฉินตลอดจนนักธุรกิจและประชาชนทั่วไปที่ได้รับการยกเว้นภาษีโดยไม่มีเหตุอันควรจะต้องคืนที่ดินและทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายแก่รัฐบาล
ด้านสำนักข่าวปักกิ่งนิวส์ได้เปิดเผยสถิติที่น่าสนใจของการกวาดล้างทุจริตในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐอาวุโสระดับมณฑล เขตปกครองตนเอง และเทศบาลนครทั่วประเทศ พบว่ามณฑลกวางตุ้งทางภาคใต้นำโด่งเป็นอันดับหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการมากถึง 90 คน
อันดับสองเป็นของมณฑลหูเป่ยทางภาคกลาง มีเจ้าหน้าที่ถูกสอบสวน 61 คน ส่วนอันดับรองลดหลั่นลงมา ได้แก่ มณฑลเสฉวน 54 คน มณฑลเหอหนาน 52 คน และมณฑลซานซี 50 คน ตามลำดับ ทั้งนี้ ยูนนานกับเหอเป่ยมีเจ้าหน้าที่รัฐถูกสอบสวนในข้อหาคอร์รัปชันน้อยที่สุด 29 ราย จากสถิตินี้ยังสะท้อนให้เห็นว่ามีการจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 20 คน ในมณฑลต่างๆ ถึง 15 แห่งด้วยกัน
ส่วนความคืบหน้าในการจับกุมข้าราชการกังฉินนั้น ล่าสุดสำนักงานอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้อง 2 คนสนิทของโจว หย่งคัง อดีตผู้นำหมายเลข 3 ของทำเนียบจงหนานไห่ คนแรกได้แก่หลี่ ตงเซิง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจวัย 59 ปี ในข้อหาใช้ตำแหน่งหน้าที่อันมิชอบเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนแลกกับผลประโยชน์มหาศาล ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งที่สถานีโทรทัศน์กลางแห่งชาติจีน (ซีซีทีวี) กระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ สำนักการเมืองและกฎหมายกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์
อีกคนหนึ่งก็คือจี้ เหวินหลิน วัย 49 ปี อดีตรองผู้ว่าการมณฑลไหหลำ ที่ถูกตั้งข้อหาเดียวกันว่าได้กระทำความผิดในสมัยที่ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการประจำในคณะกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเสฉวน สำนักงานกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ และรัฐบาลท้องถิ่นไหโข่ว มณฑลไหหลำ
สื่อจีนรายงานว่า ศาลประชาชนในเมืองเทียนจินหรือเทียนสินซึ่งเคยพิพากษาลงโทษ โจว หย่งคัง จะเป็นผู้พิจารณาคดีนี้ แต่สื่อไม่ได้ให้รายละเอียดว่าทุจริตเป็นเงินก้อนใหญ่ขนาดไหนและการพิจารณาคดีจะมีขึ้นเมื่อใด
ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นเดือน ส.ค. คณะกรรมการตรวจสอบวินัยประจำคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ซีซีดีไอ) ได้สั่งยึดเงินของข้าราชการระดับล่างในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งที่ยักยอกเงินของแผ่นดินจำนวน 821 ล้านหยวน (ราว 4,105 ล้านบาท) นับเป็นหนึ่งในเงินก้อนใหญ่สุดที่รัฐได้คืนจากการปราบปรามการคอร์รัปชัน
ขณะที่สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางการได้สั่งปลดจาง เพ่ยซาน อดีตข้าราชการระดับล่างที่ดูแลด้านเกษตรกรรม บริเวณชานกรุงปักกิ่งจากการเป็นสมาชิกพรรคและนำตัวฟ้องศาล หลังจากซีซีดีไอได้ทำการตรวจพบว่าจางได้ยักยอกเงิน 3 ล้านหยวน ในกองทุนเพื่อการลงทุนทางการเงินระหว่างปี 2551-2557 ไปเข้าบัญชีการลงทุนในชื่อของตัวเอง และได้ประโยชน์ก้อนมหาศาลกลับเข้ากระเป๋าตัวเองจากเงินลงทุนก้อนนี้ เพราะในช่วงนั้นราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จีนพุ่งเป็นจรวดกว่า 150 เปอร์เซ็นต์ ภายในช่วง 12 เดือน ก่อนที่หุ้นเริ่มตกเมื่อกลางเดือน มิ.ย.
ในส่วนความคืบหน้าของ “ปฏิบัติการตาข่ายใหญ่เท่าฟ้า” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “สกายเน็ต” อันเป็นบันไดขั้นที่ 3 ของขบวนการหักเขี้ยวเสือ ด้วยการขอความร่วมมือจากนานาประเทศให้ส่งตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีไปต่างประเทศกลับมาดำเนินคดีในจีนนั้น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือถึงรัฐบาลปักกิ่งเตือนไม่ให้ส่งสายลับไปตามล่าผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีไปกบดานอยู่ที่สหรัฐฯ พร้อมกับกล่าวหาสายลับกลุ่มนี้ซึ่งส่วนใหญ่สังกัดกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ว่าเดินทางเข้าประเทศด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจ จากนั้นก็ใช้กลวิธีต่างๆ ข่มขู่หมายบีบคั้นให้ผู้ต้องหาจำยอมต้องเดินทางกลับประเทศเพื่อไปรับโทษตามกฎหมาย อาทิ การขู่ทำร้ายลูกเมียหรือญาติสนิทมิตรสหายที่ยังอาศัยอยู่ในจีน ปรากฏว่านับวันปฏิบัติการข่มขู่ในทำนองนี้ยิ่งหนักข้อมากขึ้น ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ต้องหาที่หลบหนีคดียอมเดินทางกลับประเทศกว่า 930 คน นับตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา

http://thaipublica.org/2015/09/xi-jinping-6/

ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวัน” ของสี จิ้นผิง (ตอนที่ 5): “ตัดไม้ข่มนาม” ลงโทษ “เสือและแมลงวัน” และจัดระเบียบสังคม ลูกคนรวย

26 มิถุนายน 2015
อิสรนันท์
ในที่สุดการลงทุนทุ่มสุดตัวทั้งแรงกายและแรงใจเพื่อจะโค่นต้น “ผลไม้พิษแห่งการทุจริตคอร์รัปชัน” ของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ก็เริ่มทยอยเห็นผลสำเร็จทีละน้อยๆ สมกับหยาดเหงื่อที่หยาดหยดมานานกว่า 2 ปี
ขณะไล่ต้อนข้าราชการกังฉินจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป ถ้าไม่ถูกจับกุมก็ยินยอมไปมอบตัวแต่โดยดีเพื่อหวังความปรานีจากศาลที่จะลดหย่อนผ่อนโทษลงบ้างจากโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตเหลือแค่จำคุกตลอดชีวิตก็ยังดี แต่หลายคนกลับตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยการฆ่าตัวตายหนีอายที่จะถูกสังคมรุมประณาม
สำนักข่าวซินหัวและหนังสือพิมพ์เซาท์ไชนามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า จากผลการมุ่งปราบการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้ข้าราชการกังฉินฆ่าตัวตายหนีผิดอย่างน้อย 3 คนเมื่อเดือน เม.ย. หลังจากมีคนฆ่าตัวตาย 4 คนเมื่อเดือน มี.ค. รายล่าสุดก็คือเฉิน เทียนหง วัย 34 ปี นายอำเภอในมณฑลเจียงสู ซึ่งกระโดดจากชั้น 21 ของสถานที่ราชการร่วงสู่พื้นดับอนาถ ก่อนหน้านี้ นายตำรวจระดับสูงในมณฑลเฮยหลงเจียงก็ผูกคอตาย ตามหลังเลขาธิการพรรคเมืองอี้โจว ในมณฑลกวางสี ทางภาคใต้ ที่กระโดดตึกตาย
ซินหัวรายงานว่า ตัวเลขของข้าราชการที่ฆ่าตัวตายพุ่งสูงผิดสังเกตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2546-2555 มีรายงานการฆ่าตัวตายของข้าราชการ 112 ราย แต่ตัวเลขที่สูงผิดปรกตินี้พุ่งขึ้น 54 รายนับจากเดือน ม.ค. 2553 – เม.ย. 2557 ในจำนวนนี้สามารถยืนยันได้ 23 คนว่าเป็นข้าราชการ
ที่มาภาพ : http://si.wsj.net/public/resources/images/BN-JA979_0623cw_P_20150622235330.jpg
ที่มาภาพ : http://si.wsj.net/public/resources/images/BN-JA979_0623cw_P_20150622235330.jpg
เมื่อปีที่แล้ว เวบไซต์ของพีเพิล ทรีบูน นิตยสารในเครือของหนังสือพิมพ์ประชาชนรายวันรายงานว่ามีข้าราชการฆ่าตัวตาย 36 คน แต่ Knowlesys สื่อออนไลน์ที่คอยสำรวจความเห็นของประชาชนกล่าวว่าตัวเลขการฆ่าตัวตายมีมากถึง 72 คน โดยได้มาจากการรวบรวมข่าวจากสื่อต่างๆ
ที่น่าสังเกตก็คือ แทบไม่มีสื่อใดระบุถึงเหตุผลของการฆ่าตัวตาย เพียงแค่ระบุกว้างๆ ว่ามาจาก “ภาวะซึมเศร้า” กระทั่งผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายคนตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าราชการเหล่านั้น นักวิชาการหลายคนให้คำตอบว่าอาจเป็นผลพวงจากการปราบการทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่าการที่มีสถิติการฆ่าตัวตายของข้าราชการพุ่งขึ้นผิดปรกตินี้ ทำให้พรรคฯ ต้องทำการสำรวจทั่วประเทศว่ามีเจ้าหน้าที่กี่คนฆ่าตัวตาย อันจะมีผลทางกฎหมายเพราะเท่ากับต้องปิดคดีโดยปริยาย
แต่ข่าวนี้ก็ถูกกลบความสำคัญไปจากข่าวการปิดฉากอภิมหากาพย์การทุจริตคอร์รัปชันที่อื้อฉาวที่สุดในรอบ 70 ปี ของแดนมังกรนับตั้งแต่การปิดคดีแก๊ง 4 คน นำโดยนางเจียง ชิง ภริยาของอดีตประธานเหมา เจ๋อ ตุง เมื่อศาลประชาชนชั้นกลางหมายเลขหนึ่งของเทศบาลนครเทียนสินได้ตัดสินเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ให้จำคุกตลอดชีวิต โจว หย่งคัง วัย 72 ปี อดีตผู้นำอันดับ 3 ในจงหนานไห่ เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการประจำในคณะกรมการเมืองหรือโปลิตบูโร และอดีตหัวหน้าคณะกรรมาธิการกลางกิจการกฎหมายและการเมือง อันเป็นหน่วยงานด้านกฎหมายและความมั่นคงสูงสุดของประเทศที่มีอำนาจเหนือตำรวจและศาล จนได้รับฉายาว่า “ซาร์ความมั่นคง” จนกระทั่งเกษียณตัวเองในปี 2555 และได้หายหน้าหายตาจากการรู้เห็นของประชาชนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2556 ก่อนจะมีข่าวว่าถูกจับเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ตามด้วยการตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เม.ย.
นอกจากนี้ ศาลประชาชนในนครเทียนสินยังได้ตัดสินให้ยึดทรัพย์สินส่วนตัวทั้้งหมดของโจว รวมทั้งสั่งตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย นับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของแดนมังกรที่ถูกตัดสินความผิดในศาล ซึ่งได้พิจารณาคดีแบบปิด เนื่องจากหลักฐานบางส่วนเกี่ยวข้องกับความลับของรัฐ หลังจากโจวยอมสารภาพผิดทั้งในข้อหารับสินบน, ใช้อำนาจโดยมิชอบ และมอบเอกสาร 6 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ 5 ฉบับเป็นเอกสารลับสุดยอดให้แก่เกา หย่งเจิ้ง หมอดูเจ้าของสมญา “ปรมาจารย์ซี่กง”
ในคำพิพากษาของศาลประชาชนในนครเทียนสินระบุว่า โจวได้ใช้อำนาจในทางมิชอบสั่งให้ผ่องถ่ายเงินกว่า 2,100 ล้านหยวน (ราว 10,500 ล้านบาท) ไปให้ลูกชายและนักธุรกิจคนอื่นๆ จนสร้างความเสียหายใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 1,480 ล้านหยวน (ราว 7,400 ล้านบาท) นอกจากนี้ อดีตซาร์ความมั่นคงยังได้รับสินบน 130 ล้านหยวน (ราว 650 ล้านบาท) จากเครือข่ายคนสนิทด้วย
ภาพจากสถานีโทรทัศน์กลางแห่งชาติจีน (ซีซีทีวี) แสดงให้เห็นว่าผมของโจวที่เคยดำสนิทกลับขาวโพลนทั้งศีรษะ ขณะที่ท่าทีที่เคยขึงขัง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง ก็หายไประหว่างนั่งรับฟังการตัดสินของศาลด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะก้มหน้ายอมรับผิดด้วยทราบดีว่าความผิดที่ตัวเองก่อไว้นับตั้งแต่สมัยที่ควบคุมดูแลบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (ซีเอ็นพีซี) กระทั่งก้าวขึ้นมาเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลเสฉวน และเป็นหนึ่งในคณะโปลิตบูโรนั้นได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้แก่งานของพรรคคอมมิวนิสต์ ด้วยความสำนึกผิดนี้ตัวเองจึงตัดสินใจไม่ยื่นอุทธรณ์
“ผมยอมรับข้อกล่าวหาทั้งปวง ด้วยข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ประจักษ์ชัดเจน ผมยอมรับและสำนึกผิด” โจว หย่งคัง แถลงกลางศาล
สำนักข่าวซินหัวได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่าการพิจารณาคดีต่อเนื่องไปจนถึงการตัดสินคดีของโจว หย่งคัง ในครั้งนี้ต่างจากการพิจารณาคดีคอร์รัปชันของป๋อ ซีไหล อดีตดาวรุ่งพุ่งแรงกระทั่งได้เป็นเลขาธิการพรรคประจำฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นคนสนิทของโจว หย่งคัง และเป็นคู่แข่งคนสำคัญของสี จิ้นผิง ก่อนจะกลายเป็นดาวร่วงเมื่อถูกจับ ถูกฟ้อง และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเมื่อปี 2556 โทษฐานพัวพันกับการคอร์รัปชัน ฆาตกรรม จารกรรม รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ หนึ่งในความแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือศาลไม่ได้ประกาศล่วงหน้าถึงกำหนดวันพิจารณาคดีของโจว อีกทั้งไม่ได้ส่งมอบวิดีโอฉบับเต็มรวมไปถึงคำสารภาพของภรรยาและลูกชายของโจวให้สื่อ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะหลักฐานบางส่วนเกี่ยวข้องกับความลับของรัฐ ต่างจากการพิจารณาคดีป๋อ ซีไหล ที่นอกจากจะประกาศวันล่วงหน้าแล้ว ยังมีการตรวจแก้ขั้นตอนการพิจารณาคดีในศาล ก่อนจะเผยแพร่ทางออนไลน์
ที่มาภาพ : http://www.scmp.com/sites/default/files/styles/486x302/public/2013/09/04/9e684ca1963b9b2cfb7b5dc531b0c12a.jpg?itok=Czu5k9E5
ที่มาภาพ : http://www.scmp.com/sites/default/files/styles/486×302/public/2013/09/04/9e684ca1963b9b2cfb7b5dc531b0c12a.jpg?itok=Czu5k9E5
ผู้สันทัดกรณีหลายคนให้ความเห็นกับซินหัวว่าความแตกต่างนี้อาจเป็นเพราะความกลัวที่ว่าโจวอาจจะกลับคำรับสารภาพเหมือนกับที่ป๋อ ซีไหล เคยทำมาก่อนหน้า
การปิดฉากมหากาพย์การทุจริตคอร์รัปชันของ “บิ๊กเสือ” โจว หย่งคัง สะท้อนถึงความกล้าผิดปรกติของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่จะเดินหน้าฟาดฟันการฉ้อราษฎร์บังหลวงในระดับสูงในทุกวงการรวมไปถึงกองทัพ และขณะนี้ยังได้ขยายวงกว้างไปเกือบทั่วทุกมุมเมือง เป้าหมายต่อไปก็คือการตรวจสอบบรรดาบริษัทและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ซึ่งควบคุมภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ เช่น พลังงาน ธนาคาร การสื่อสารโทรคมนาคม ฯลฯ แม้จะมีเสียงทักท้วงว่าหากยังขืนเดินหน้าจับเสือตัวใหญ่ต่อ ดังกรณีการจับกุมลิ่ง จี้ฮัว มือขวาของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา อาจทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนยิ่งเกิดการแตกแยก จนอาจบ่อนเซาะฐานรากของพรรคฯ ได้

รายได้ภัตตาคารหรูหด-หม้อไฟและฟาสต์ฟู้ดบูม

อย่างไรก็ดี หวัง สีซาน หัวหมู่ทะลวงฟันการคอร์รัปชันยืนยันหยักแน่นว่า “ไม่มีเขตต้องห้าม” ในการต่อกรกับการทุจริตซึ่งมีเค้าว่าคงจะยืดเยื้อไปอีกนาน เห็นได้จากการการตรวจสอบยอดเงินของรัฐที่ถูกละเลงผ่านการจัดงานเลี้ยงกันอย่างฟุ่มเฟือยในช่วงเดือน ก.พ. พบว่าเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์จากเดือน ม.ค. บ่งชัดว่า ยังมีจุดเสียอยู่ภายในพรรคที่จะต้องถูกกำจัดโดยเร็ว โดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของบรรดาเจ้าของภัตตาคารหรูที่ว่ารายได้หดตัวลงกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีที่แล้ว อันเป็นผลพวงจากนโยบายคุ้มเข้มการใช้จ่ายในภาครัฐโดยเฉพาะการสั่งห้ามจัดงานเลี้ยงหรูหราผสมผสานกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ในรายงานของสมาคมโรงแรมแห่งประเทศจีนระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว แม้จำนวนลูกค้าของภัตตาคารระดับบนจะมากขึ้นราว 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เม็ดเงินที่ลูกค้าควักกระเป๋าจ่ายกลับลดลงเฉลี่ยแล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นข้าราชการใช้เงินในภัตตาคารน้อยลง ทำให้กิจการของภัตตาคารหรูต้องถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ พลิกโฉมจากขนาดใหญ่โตและหรูหราไปเป็นขนาดเล็กและเรียบง่ายแทน ทำให้ “หม้อไฟและฟาสต์ฟู้ด” กลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมียอดจำหน่ายสูงขึ้นกว่า 16 และ 11 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
ในรายงานของสมาคมโรงแรมจีนอ้างผลการสำรวจรายได้ของภัตตาคารใน 4 เมืองใหญ่ ได้แก่ ปักกิ่ง เทียนสิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง พบว่ากรุงปักกิ่งเป็นที่เดียวที่ภัตตาคารมีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2556 โดยมีรายได้เพียง 71,000 ล้านหยวน (ราว 355,000 ล้านบาท) น้อยกว่ารายได้ของภัตตาคารในกวางตุ้งถึง 1 ใน 4 ส่วน
ส่วนพื้นที่ที่มีอัตราการบริโภคในภัตตาคารมากที่สุดก็คือ มณฑลกวางตุ้ง ด้วยมูลค่าราว 284,000 ล้านหยวน (ราว 1,500,000 ล้านบาท) ตามด้วยมณฑลซานตง และมณฑลเจียงซู ที่มีรายได้กว่า 200,000 ล้านหยวน

จัดระเบียบสังคม-“ครู-ลูกคนรวย”ห้ามอวดเบ่งอวดรวย

นอกจาก “ตัดไม้ข่มนาม” ลงโทษ “เสือและแมลงวัน” อย่างไม่เห็นแก่หน้าค่าตาใครๆ อันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายน้ำแล้ว ผู้นำจงหนานไห่ได้เริ่มหันมาแก้ปัญหาที่ต้นน้ำด้วยการเริ่ม “จัดระเบียบสังคม” เพื่อสกัดกั้นการคอร์รัปชันตั้งแต่ต้นทาง ล่าสุดก็คือการสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้โรงเรียนและครูบาอาจารย์รับของขวัญหรือค่าเรียนพิเศษหรือแป๊ะเจี๊ยะ ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงคอร์รัปชันในแวดวงการศึกษานอกเหนือจากการยักยอกเงินตามโรงเรียนทั่วประเทศ
ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างคณะกรรมการกลางการตรวจสอบวินัย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงพาณิชย์ ที่มีขึ้นเมื่อกลางเดือน มิ.ย. ย้ำว่า “ครูต้องไม่ใช้ตำแหน่งและอำนาจไปในทางมิชอบ หรือตักตวงผลประโยชน์ให้ตัวเอง …. หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ให้ความร่วมมือในการบังคับใช้ข้อห้าม และกระทำการณ์อันขัดต่อกฎระเบียบ ก็จะต้องถูกสอบสวนและเปิดโปงความจริง”
ในระเบียบข้อบังคับล่าสุดยังสั่งห้ามครูบาอาจารย์ตอบรับคำเชิญชวนไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือตั้ง “ชั้นเรียนพิเศษ” ที่ผิดกฎระเบียบด้วย
ที่มาภาพ : http://news.xinhuanet.com/english/2008-04/23/xinsrc_22204052319456272374445.jpg
ที่มาภาพ : http://news.xinhuanet.com/english/2008-04/23/xinsrc_22204052319456272374445.jpg
พร้อมกันนี้ ผู้นำจงหนานไห่ยังสั่งยกเครื่องภาพลักษณ์ของบรรดาลูกเศรษฐีที่เป็นนักธุรกิจภาคเอกชน รวมทั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวที่ตามใจลูกหลานจนเสียคน ชอบอวดเบ่ง อวดรวย และใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย โดยกรมงานแนวร่วมกลางในสังกัดคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำด้านการเมือง ธุรกิจ และการศึกษา ที่ไม่ใช่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์ ได้เตรียมจัดทำคู่มือการวางตัวของนักธุรกิจภาคเอกชนให้รู้จักคุณค่าของเงิน รวมไปถึงการอบรมสอนสั่งลูกๆ ไม่ให้อวดเบ่ง อวดรวย โดยไม่รู้จักหาเงินหรือไม่รู้วิธีสร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง
ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้ เดลี่ รายงานว่า เมื่อปี 2556 มีการจัดปาร์ตี้มั่วเซ็กซ์และยาเสพติดของพวกหนุ่มสาวที่ร่ำรวย ภาพหลุดจากงานปาร์ตี้ที่แพร่กระจายทางออนไลน์เผยให้เห็นว่ามีทั้งนายแบบนางแบบรวมทั้งทายาทมหาเศรษฐีทั้งหญิงและชาย ที่ยังช่วยกันกระพือความร่ำรวยด้วยการแลกกันถ่ายรูปบัญชีเงินฝากในธนาคาร ซึ่งบางบัญชีมีตัวเลขสูงถึง 3,700 ล้านหยวน
ในบทความของกรมงานแนวร่วม ซึ่งเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ย้ำว่าพฤติกรรมอวดรวยของนักธุรกิจรุ่นใหม่หรือทายาทเศรษฐีที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่ปัญหาธรรมดาๆ ที่ทางการสามารถนิ่งดูดายได้อีกต่อไป เนื่องจากในระยาวแล้วจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของสังคมต่อภาคธุรกิจเอกชน พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้ผู้ประกอบการรุ่นหนุ่มสาวลงทุนในเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะการเจียดเงินและเจียดเวลาส่วนหนึ่งไปช่วยงานการกุศล แทนที่จะให้ความสำคัญแต่เรื่องคุณภาพชีวิตของตัวเองเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม หลิน ฮั่น นักสะสมงานศิลปะ วัย 28 ปี ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ เอ็ม วูดส์ ซึ่งไม่แสวงหากำไรในกรุงปักกิ่งแย้งว่า สื่อมวลชนมักเพ่งเล็งแต่พวกลูกเศรษฐีที่ชอบอวดเบ่งและอวดรวย แต่ไม่มองในภาพรวมทั้งหมดว่ายังมีลูกเศรษฐีอีกไม่ใช่น้อยที่กำลังพยายามสร้างสรรค์ผลงานและค้นหาคุณค่าของตัวเอง อีกทั้งยังมีจิตสำนึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
“เรายินดีที่จะทำตัวติดดิน และผมเชื่อว่าเวลาจะเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนได้” ฮั่น นักสะสมงานศิลปะรุ่นใหม่ย้ำ
การจัดระเบียบทางสังคมอีกทางหนึ่งก็คือการให้ข้าราชการและภรรยาไปดูงานในคุก รวมทั้งดูสภาพความเป็นอยู่ในคุกของอดีตข้าราชการที่ถูกตัดสินจำคุกในข้อหาคอร์รัปชัน ดังการดูงานในคุกของข้าราชการและภรรยากว่า 70 คนในมณฑลหูเป่ย ถือเป็นการศึกษานอกสถานที่เพื่อเตือนสติไม่ให้คอร์รัปชัน
หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลีรายงานว่าคณะกรรมการกลางฝ่ายวินัยของพรรคฯ ได้กำหนดเป็นนโยบายที่จะต้องให้ข้าราชการทั่วประเทศเดินทางไปดูคุกเพื่อกระตุ้นข้าราชการให้ตระหนักว่าการคอร์รัปชันนั้นจะส่งผลเช่นไร ปรากฎว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจีนต่างให้ความเห็นชื่นชมกับแผนการนี้ ทั้งยังเสนอให้ขยายแผนการนี้ออกไป
ด้านหนังสือพิมพ์โกลบัลไทมส์รายงานว่า สมาชิกพรรคในเมืองเทียนสินได้เปลี่ยนนามบัตรใหม่ด้วยการใส่ตำแหน่งในพรรคของตัวเองก่อนตำแหน่งในรัฐบาล เพื่อสนองนโยบายของหวัง สีซาน ที่ว่าพรรคมีบทบาทนำในเรื่องของความโปร่งใสและข้าราชการจะต้องเป็นสมาชิกพรรคก่อนจะทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติต่อไป

ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวัน” ของสี จิ้นผิง (ตอนที่ 4) : “สกายเน็ต” ปฏิบัติการตาข่ายใหญ่เท่าฟ้า

19 พฤษภาคม 2015
อิสรนันท์
2 ปีนับตั้งประกาศวาระแห่งชาติว่าต้องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้พ้นไปจากแดนมังกร โดยจะกระชากตัวเหล่ากังฉินที่โกงกินบ้านเมืองมาลงโทษ ไม่ว่าจะเป็น “พยัคฆ์ร้าย” ตัวใหญ่ หรือนัยหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ระดับสูง อาทิ เลขาธิการพรรคประจำมณฑลหรือนายทหารระดับสูง และ “แมลงหวี่แมลงวัน” ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างในท้องถิ่น อาทิ ครูหรือข้าราชการท้องถิ่น หรือพวก “หมาจิ้งจอก” หรือข้าราชการขี้ฉ้อราว 16,000-18,000 คน ที่หอบเงินที่ได้จากการกินสินบาทคาดสินบนรวมกันแล้วกว่า 8 แสนล้านหยวนหนีไปเสวยสุขในต่างประเทศระหว่างช่วงกลางทศวรรษ 2543–2551 ปรากฏว่าระหว่างเดือน ก.ค. ถึงสิ้นปีที่ผ่านมา จีนสามารถนำตัวผู้ต้องหา 680 คน กลับไปดำเนินคดี ในจำนวนนี้ราว 40 เปอร์เซ็นต์ สมัครใจขอกลับไปดำเนินคดีในประเทศหลังได้รับการเกลี้ยกล่อมจากตำรวจที่ให้ความหวังว่าจะได้รับลดหย่อนผ่อนโทษหนักเป็นเบา
ขณะนี้ สี จิ้นผิง ผู้นำหมายเลขหนึ่งแห่งทำเนียบจงหนานไห่ ได้ยกระดับการกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชันสู่ระดับการปราบปรามข้ามพรมแดน ด้วยการร่วมกับนานาประเทศให้ช่วยส่งตัวกังฉินเหล่านั้นกลับมารับโทษในประเทศ โดยไม่ปล่อยให้เสวยสุขในฐานะผู้ลี้ภัยในประเทศนั้นๆ อีกต่อไป
พูดง่ายๆ ก็คือ จากแผนบันไดขั้นแรกภายใต้รหัส “ปฏิบัติการปราบพยัคฆ์และแมลงหวี่แมลงวัน” สู่บันไดขั้นที่ 2 ภายใต้ชื่อรหัส “ปฏิบัติการล่าหมาจิ้งจอก” ผู้นำจงหนานไห่ได้เริ่มแผนบันไดขั้นที่ 3 ภายใต้ชื่อรหัสว่า “ปฏิบัติการตาข่ายใหญ่เท่าฟ้า” หรืออาจจะเรียกด้วยสำบัดสำนวนว่า “แหเหินหาว” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “สกายเน็ต” โดยดึงมาจากสำนวนจีนที่ว่า “ตาข่ายฟ้าแม้กว้างใหญ่แต่ไร้รูรั่ว” ทั้งนี้เพื่อจะอุดรูรั่วหรือช่องโหว่ต่างๆ ระหว่างเหวี่ยงแหหรือตาข่ายจับกังฉินที่หลบหนีไปต่างประเทศ ภายใต้การร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ให้ช่วยตามจับผู้ต้องหาที่หลบหนีคดี ตลอดจนเดินหน้ากวาดล้างธนาคารใต้ดินหรือโพยก๊วนและบริษัทที่ช่วยเจ้าหน้าที่เหล่านี้ยักย้ายถ่ายเทโอนเงินที่ยักยอกไปไว้ในต่างประเทศด้วย
จากรายงานของหนังสือพีเพิลเดลีบ่งบอกว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบในปฏิบัติการ “แหเหินหาว” ประกอบด้วยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลางของพรรคหรือผู้คุมกฎ โดยมี หวัง ฉีซาน สมาชิกคณะกรรมการประจำในคณะกรมการเมืองหรือโปลิตบุโร อดีตหัวหน้าคณะเจรจาด้านยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ผู้เป็นคนสนิทของสี จิ้นผิง เป็นหัวหน้าในการรณรงค์แบบครบวงจร นอกจากนี้ ยังมีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะหรือกระทรวงตำรวจสันติบาล ที่เคยรับผิดชอบโดยตรงในปฏิบัติการ “ล่าหมาจิ้งจอก 2557” มีกระทรวงต่างประเทศ และสำนักงานองค์กรของคณะกรรมการกลางพรรค ที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราเอกสารเดินทาง เพื่อป้องกันผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปต่างประเทศแบบ “วันเวย์ทิกเก็ต” คือไปแล้วไปลับไม่กลับมา รวมทั้งมีหน้าที่เจรจาต่อรองกับรัฐบาลนานาประเทศให้ส่งตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในประเทศ และร่วมกันสอบสวนความผิดของผู้ต้องหา ที่ขาดไม่ได้คือสำนักอัยการของศาลสูงที่จะดูแลกระบวนการยุติธรรม ธนาคารประชาชนจีน หรือธนาคารกลาง ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการบรรดาธนาคารเอกชนผิดกฎหมายและตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินนอกอาณาเขต
ปฏิบัติการ “สกายเน็ต” นี้จะทำควบคู่กันทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ในระดับประเทศนั้นจะมีการตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นในทุกมณฑลเพื่อช่วยในการส่งนักโทษหนีคดีกลับประเทศ รวมทั้งเป็นยามเตือนภัยล่วงหน้า ต้องรีบแจ้งให้ทางการทราบภายใน 24 ชั่วโมงหากผู้ต้องหาหลบหนี
เพียงไม่กี่วันหลังประกาศ “ปฏิบัติการสกายเน็ต” ตำรวจสากลหรืออินเตอร์โปลในจีนก็สามารถจับกุม ไต้ ซื่อหมิน อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนในเซี่ยงไฮ้ ที่ต้องสงสัยว่ายักยอกเงิน 11 ล้านหยวน (ราว 55 ล้านบาท) ได้เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ในข้อหาพยายามลอบกลับเข้าประเทศโดยใช้บัตรประจำตัวและพาสปอร์ตปลอม หลังจากหนีการไล่ล่ามาตั้งแต่เดือน ส.ค. 2544 เชื่อว่าไปกบดานอยู่ที่สหรัฐฯ เบลิซ และเกาหลีใต้ ถือเป็นอาชญากรเศรษฐกิจคนแรกที่ถูกจับตามปฏิบัติการสกายเน็ต และนับเป็นตัวอย่างความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในเจียงสู เซี่ยงไฮ้และอานฮุย อีกทั้งยังถือเป็นสัญญาณดีของความร่วมมือระหว่างรัฐบาลประเทศต่างๆ
ส่วน “สกายเน็ต” ในระดับระหว่างประเทศนั้น เริ่มเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา เมื่อคณะผู้คุมกฎพรรคและอินเตอร์โปลจีนได้เผยแพร่ 100 รายชื่อผู้ต้องหาที่พัวพันการทุจริตคอร์รัปชันที่ต้องการตัวมากที่สุด พร้อมกับขอให้อินเตอร์โปล ออกหมายแดงหรือหมายจับเพื่อให้ประเทศสมาชิกของอินเตอร์โปลให้ความร่วมมือตามจับกุม รวมทั้งเปิดเจรจากับ 39 ประเทศที่ได้ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับจีน และอีก 52 ประเทศที่ทำสนธิสัญญาความช่วยเหลือด้านการดำเนินคดีทางอาญา กับอีก 91 ประเทศภูมิภาคและองค์กรระหว่างประเทศ ที่ได้ลงนามข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจ ตลอดจนกับประเทศที่ไม่ได้ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับจีน อาทิ สหรัฐฯ คานาดา อังกฤษ และฝรั่งเศส ขอให้ส่งตัวอาชญากรเศรษฐกิจและการเงินเหล่านี้กลับมารับโทษในประเทศ
ที่มาภาพ : http://www.independent.co.uk/incoming/article10142325.ece/alternates/w620/19-Xi-Jinping-AFP-Getty.jpg
ที่มาภาพ : http://www.independent.co.uk/incoming/article10142325.ece/alternates/w620/19-Xi-Jinping-AFP-Getty.jpg
นอกเหนือจากการหาหนทางนำทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบกลับคืนจากต่างประเทศ ถือเป็นความคืบหน้าจากเดือน ต.ค. ปีที่แล้วเป็นต้นมา ที่จีนสามารถนำตัวอาชญากรทางการเงิน 49 คน จาก 17 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ แคนาดา และ ออสเตรเลีย กลับมาดำเนินคดีในประเทศ อีกทั้งยังได้ยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการรับสินบนหรือยักยอกกองทุนสาธารณะรวม 3,000 ล้านหยวน (ราว 15,000 ล้านบาท) ในต่างประเทศ
สำหรับผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ 100 ผู้ต้องสงสัยพัวพันการยักยอกทรัพย์ รับสินบน และฟอกเงิน แยกเป็นผู้ชาย 77 คน ผู้หญิง 23 คน ในบัญชีดำนี้จะมีทั้งภาพถ่ายของผู้ต้องสงสัย หมายเลขบัตรประชาชน พาสปอร์ต จุดหมายเดินทาง และอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด ในจำนวนผู้ต้องหาทั้ง 100 คน ซึ่งมีทั้งข้าราชการ ตำรวจ นักบัญชี ฯลฯ เชื่อว่ากบดานอยู่ในสหรัฐฯ และแคนาดา มากถึง 66 คน ที่เหลือกระจายกันอยู่ในเอเชีย และมีเพียงน้อยนิดไม่กี่คนหนีไปซูดาน, กานา, เบลิซ และ เซนต์ คิตส์ แอนด์ เนวิส
บีบีซีรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาจีนได้ส่งรายชื่อ 150 ผู้ต้องหาให้สหรัฐฯ และอีก 50 คนให้กับอังกฤษ ซึ่งต่างตั้งเงื่อนไขว่ายินดีให้ความร่วมมือหากทางการจีนจะพิจารณาคดีโดยยุติธรรมและงดเว้นการลงโทษหนักนั่นก็คือประหารชีวิต เช่นเดียวกับฝรั่งเศสซึ่งได้แบะท่าเมื่อปลายปีที่แล้วว่ายินดีจะร่วมมือในการจับกุมกังฉิน 10 คนที่หนีมากบดานในฝรั่งเศสภายใต้เงื่อนไขว่าจีนจะต้องไม่ตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหาเหล่านี้ ด้านแคนาดาและออสเตรเลีย อันเป็น 2 ประเทศที่เชื่อว่ามีอาชญากรการเงินจีนหนีไปอยู่มากที่สุดต่างประกาศว่ายินดีให้ความร่วมมือภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่ต้องโทษประหารชีวิต
เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา อิตาลีได้ส่งสัญญาณอันดีด้วยการส่งกลับผู้ต้องหาหญิงชาวจีนกลับไปดำเนินคดีในข้อหายักยอกเงินกว่า 1.4 ล้านหยวน (ราว 7 ล้านบาท) นับเป็นรายแรกที่ถูกส่งกลับและเชื่อว่าจะมีตามมาอีกหลายราย
ส่วนที่คานาดา ทางการกำลังจับตามองไมเคิล ชิง โม่ เอี๋ยง หรือเจิ้ง มู่หยาง นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 45 ปีในแวนคูเวอร์ ที่ได้รับสิทธิให้พำนักในประเทศนี้เป็นการถาวรในฐานะผู้ลี้ภัยเมื่อปี 2539 แม้จะปฏิเสธไม่ให้สัญชาติแคนาดาก็ตาม หลังจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ ที่เกาะติดเรื่องการคอร์รัปชันในแดนมังกรเปิดโปงว่าชิง โม่ เอี๋ยง กับเจิ้ง มู่หยาง ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ 100 ผู้ต้องหาที่จีนต้องการตัวมากที่สุดในข้อหารับสินบนและแอบโยกย้ายทรัพย์สิน เป็นคนคนเดียวกัน โดยเป็นบุตรชายของเจิ้ง เว่ยเกา อดีตเลขาธิการพรรคผู้ทรงอิทธิพลในเหอเป่ยแต่ถูกขับออกจากพรรคเมื่อปี 2546 หลังถูกสอบในคดีคอร์รัปชัน ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อปี 2553 หลังจากจำนนต่อหลักฐาน ชิง โม่ เอี๋ยง ก็ยอมรับสารภาพเมื่อต้นเดือน พ.ค. ว่าเป็นคนที่จีนต้องการตัวจริง แต่ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ส่วนแดนอินทรีอเมริกานั้น ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ที่ปลอดภัยของบรรดากังฉินที่หอบเงินไปเสพย์สุขในประเทศนี้ผ่านการฟอกเงินและธนาคารใต้ดิน นอกจากเป็นเพราะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายกับจีนแล้ว ยังเป็นเพราะท่าทีของสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างปกป้องผู้ต้องหาเหล่านี้โดยอ้างว่ากฎหมายของจีนยังมีมาตรฐานต่ำ ที่สำคัญก็คือมความเชื่อผิดๆ ว่าจีนจะดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยอย่างไม่เป็นธรรม และมักจะตัดสินประหารชีวิตซึ่งเป็นโทษสูงสุดที่สหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ด้วยจุดยืนดังกล่าว ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จึงมีผู้ต้องหาจีนเพียง 2 คนถูกนำตัวจากสหรัฐฯ กลับไปดำเนินคดีในแดนมังกร จากทั้งหมดกว่า 150 คนที่ทางการจีนเชื่อว่าได้หลบหนีอยู่ในประเทศนี้ แถมบางคนยังได้กรีนการ์ด หรือวีซ่าพำนักถาวรแล้ว โดยผู้ต้องหา 2 คนที่ถูกส่งตัวกลับจีนแก่หยู เจิ้นตง อดีตประธานสาขากวงตั้ง ไคผิง ของแบงก์ ออฟ ไชนา ที่กบดานอยู่ในแดนอินทรี มานาน 3 ปี อีกคนหนึ่งก็คือเฉียน เจี้ยนจวิน อดีตเจ้าหน้าที่บริษัทคลังธัญพืช ที่ต้องสงสัยฟอกเงิน 300 ล้านหยวน (ราว 1,500 ล้านบาท) และได้วีซ่าเข้าสหรัฐฯ โดยไม่ถูกต้อง
จากปฏิบัติการสกายเน็ต ทำให้สหรัฐฯ ได้จับกุมนางเจ้า ซือหลิน อดีตภรรยาของเฉียน เจี้ยนจวิน ในข้อหาแอบอ้างว่าได้สมรสกัน และแจ้งเท็จเกี่ยวกับแหล่งเงิน เพื่อให้ได้รับวีซ่าเข้าประเทศ ผ่านโครงการนักลงทุนเพื่อการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ ทั้ง 2 คนถูกฟ้องในข้อหาสมรู้ร่วมคิดเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และข้อหาฟอกเงิน โดยศาลห้ามประกันตัวเพราะเกรงว่าจะหลบหนี
ในส่วนของการอายัดทรัพย์สินของข้าราชการขี้ฉ้อที่หมกเม็ดอยู่ในต่างประเทศนั้น รัฐบาลได้เดินหน้าว่าจะอายัดคฤหาสน์หรูในเมืองคานส์มูลค่า 6.95 ล้านอียูของป๋อ ซีไหล อดีตโปลิตบุโรที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ว่าจะมีการประกาศขายเมื่อปลายปีที่แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมอายัดคฤหาสน์หรูขนาด 4,000 ตารางฟุตในลอสแอนเจลิสของจาง ชูกวาง อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงรถไฟ ซึ่งถูกประหารชีวิตเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้วในข้อหาคอร์รัปชัน
พร้อมๆ ไปกับการไล่ล่าและจับกุมกังฉิน ทางการปักกิ่งยังได้ทำสงครามจิตวิทยาควบคู่กันไปด้วยเพื่อข่มขวัญผู้ที่คิดจะหนีไปกบดานในต่างประเทศให้คิดทบทวนใหม่ให้ดี โดยเมื่อต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ของคณะผู้คุมกฎได้เผยแพร่คำสารภาพของหวัง กั๋วเชียง อดีตเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเหลียวหนิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงชีวิตความเป็นอยู่ของหมาจิ้งจอกขณะกำลังหลบหนีการไล่ล่าของตำรวจ โดยหวังยอมรับว่าได้แอบขนเงินกว่า 200 ล้านหยวน (ราว 1,000 ล้านบาท) ออกนอกประเทศและหลบหนีไปเสพสุขที่อเมริกานาน 3 ปี
ในคำสารภาพของหวังกล่าวว่า “การที่ต้องเช่าบ้านอยู่กับคนแปลกหน้านั้นแสนเลวร้ายยิ่ง เจ้าของบ้านเป็นคนร่างสูงใหญ่เหมือนกับม้าและชอบจ้องมองภรรยาของผมด้วยสายตาหื่นกระหาย ทำให้พวกเรากลัวกันมาก ภรรยาของผมอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา ผมเองก็พร้อมจะรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น” ท้ายสุดตัวเองเริ่มมีอาการซึมเศร้ากระทั่งตัดสินใจยอมมอบตัว ผู้คุมกฎให้ความเห็นว่าเอกสารให้การนี้สะท้อนภาพที่ชัดเจนมากที่กังฉินที่ซ่อนตัวอยู่ในต่างประเทศควรจะอ่าน

“ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวัน” ของสี จิ้นผิง (3)

22 มีนาคม 2015
อิสรนันท์
จากนโยบาย “สี่ทันสมัย” และ “ปฏิรูปและเปิดกว้าง” ของคนโตตัวเล็ก เติ้ง เสี่ยวผิง สู่ “ทฤษฎี 3 ตัวแทน” ของอดีตประธานาธิบดี เจียง เจ๋อหมิน และแนวคิดว่าด้วย “การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์” ของอดีตประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ขณะนี้แดนมังกรกำลังก้าวสู่ยุค “สี่ด้านถ้วนทั่ว” ที่สี จิ้นผิง ผู้นำจงหนานไห่ เพิ่งประกาศหลังผ่านพ้นวันตรุษจีนเพียงไม่กี่วันให้เป็นหลักการสำคัญหรือเข็มมุ่งในการบริหารประเทศในทุกๆ ด้าน ประกอบด้วย สร้างสังคมมีกินแบบพอเพียง, ลงลึกการปฏิรูป, ปกครองตามหลักนิติรัฐ และเข้มงวดวินัยพรรคฯ
ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแดนมังกรที่นำปรัชญาการปกครองของขงจื่อและหานเฟยซึ่งเน้นในเรื่องหลักนิติรัฐมาผสมผสานกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงและการเดินหน้าปฏิรูปพรรคฯ และกองทัพให้โปร่งใส ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศในยุคที่กำลังปรับกระบวนทัพใหม่ รวมไปถึงด้านการต่างประเทศ ด้วยการหวนกลับไปคบมิตรแดนใกล้และไกลที่มีผลประโยชน์สอดคล้องกันเพื่อตอบโต้มิตรเทียมแดนไกลที่จ้องจะฉกฉวยประโยชน์จากแดนมังกรเพียงอย่างเดียว
อาจจะเป็นเพราะตระหนักดีว่านโยบาย “สี่ด้านถ้วนทั่ว” นั้นจะบ่มเพาะทั้งมิตรและศัตรู ซึ่งก็คือผู้สูญเสียผลประโยชน์จากนโยบายนี้ จู่ๆ สี จิ้นผิง จึงขยับตัวครั้งใหญ่ 2 ขยักด้วยกัน ขยักแรกก็คือสั่งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญในสำนักงานความมั่นคงกลางที่ขึ้นตรงต่อสำนักงานกลางของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ มีหน้าที่หลักในการดูแลด้านการรักษาความปลอดภัยของบรรดาผู้นำจงหนานไห่โดยตรง รวมไปถึงคอยปกป้องทำเนียบจงหนานไห่อันเป็นที่ที่พักของผู้นำสูงสุดด้วย อาจจะเป็นเพราะถือคติว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” หรือ “ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่ามาเสียใจในภายหลัง” เพราะไม่อยากเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยนางอินทิรา คานธี อดีตนางสิงห์เหล็กแห่งแดนภารตะอินเดีย ที่ถูกองครักษ์ประจำตัวหันกระบอกปืนมากระหน่ำยิงจนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์อ้างแหล่งข่าววงในว่า เพื่อป้องกันองครักษ์ประจำตัวไม่ให้กลายเป็นหอกข้างแคร่โดยไม่รู้ตัวในช่วงที่กำลังกวาดล้างนายทหารระดับบิ๊กๆ ครั้งใหญ่ ผู้นำจงหนานไห่จึงได้เลื่อนตำแหน่ง พล.ต. หวัง เส้าจวิน วัย 60 ปี ซึ่งเคยติดตามตัวเองไปตรวจกองทัพภาคนานกิงเมื่อปลายปีที่แล้ว จากรองผู้บัญชาการฝ่ายบริหารเป็นผู้บัญชาการสำนักงานความมั่นคงกลางและยังควบตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารรักษาความปลอดภัยกลาง ส่วน พล.ท. เฉา ชิง ผู้บัญชาการถูกโยกไปนั่งเก้าอี้รองผู้บัญชาการกองทัพภาคปักกิ่ง
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://www.afr.com/content/dam/images/j/j/z/1/x/image.imgtype.afrArticleInline.620x0.png/1423667773580.jpg
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://www.afr.com/content/dam/images/j/j/z/1/x/image.imgtype.afrArticleInline.620×0.png/1423667773580.jpg
ผู้สันทัดกรณีหลายคนให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่สี จิ้นผิง จะกันไว้ดีกว่าแก้เช่นนี้ เนื่องจากสำนักงานความมั่นคงกลางและกรมทหารรักษาความปลอดภัยกลางเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจล้นเหลือและเคยสร้างเกียรติประวัติสามารถสยบความพยายามจะยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธมาแล้วหลายครั้ง รวมไปถึงการจับกุมแก๊งออฟโฟร์ หรือ “แก๊ง 4 คน” ผู้นำการปฏิวัติวัฒนธรรมภายใต้การนำของนางเจียง ชิง ภริยาของประธานเหมา เจ๋อตุง เมื่อปี 2519 นอกจากนี้ยังเป็นเพราะต้องการขุดรากถอนโคนอิทธิพลของอดีตผู้บริหารบางคนรวมไปถึงลิ่ง จี้ฮัว อดีตที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ที่กำลังถูกสอบสวนในคดีทุจริตคอร์รัปชัน
ขยักที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการสับเปลี่ยนตำแหน่งในสำนักงานความมั่นคงกลางก็คือ การเดินหน้าลงดาบฟันนายทหารระดับนายพลอีก 14 คน ในกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (พีแอลเอ) ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็น “ยอดขุนพลพยัคฆ์” ของกองทัพ นับเป็น “บิ๊กเสือ” ระลอก 2 ที่ถูกจับในข้อหาพัวพันการทุจริตคอร์รัปชันในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน
ถือเป็นฟ้าผ่ากลางฤดูร้อนที่ไม่มีใครระแคะระคายมาก่อน หนึ่งนั้นเป็นเพราะนายทหารระดับขุนพลพยัคฆ์เกือบทุกคนล้วนแต่เคยเป็นเลขานุการหรือคนสนิทของอดีตผู้บัญชาการ และนายทหารอาวุโสที่ดูแลการปฏิบัติงานของกองทัพในต่างแดนซึ่งส่วนใหญ่เพิ่งจะเกษียณอายุเมื่อปี 2556
นอกจากนี้ “บิ๊กเสือ” ที่ถูกหักเขี้ยวบางคนเพิ่งจะได้เลื่อนยศเป็นนายพลเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา หรือมีตำแหน่งเป็นถึงบัญชาการทหารระดับมณฑล หรือนายทหารจากหน่วยนาวิกโยธิน รวมถึงจากโรงเรียนเสนาธิการทหารด้วย การกระทำเช่นนี้จึงเท่ากับฉีกตำราหรือธรรมเนียมปฎิบัติของกองทัพ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาจะให้เกียรติบรรดานายทหารระดับนายพลที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งใหม่ๆ จะไม่มีการจับกุมหรือตั้งข้อหาใดๆ
ในช่วงนี้ แต่การสร้างธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ของสี จิ้นผิง และพีแอลเอ เหมือนกับตัดไม้ข่มนาม ทำให้นายทหารกังฉินไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ระดับ “บิ๊กเสือ” แค่ไหนต่างหวาดผวาไม่แน่ใจว่าจะโดนหวยล็อกในวันใด โดยไม่มีข้ออ้างหรือข้อยกเว้นใดๆ
หนึ่งใน “ยอดขุนพลพยัคฆ์” ที่ถูกจับกุมก็คือกัว เจิ้งกัง วัย 45 ปี บุตรชายของ กัว ปั๋วเซียง อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอดีตนายพลสวี ไฉโฮ่ว วัย 71 ปี อดีต “บิ๊กเสือ” รายแรกที่ถูกจับและถูกตัดสินจำคุกเมื่อปีที่แล้วในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะเมื่อกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
กัว เจิ้งกัง ถูกจับกุมในข้อหา “มีการกระทำที่ขัดต่อวินัยอย่างร้ายแรง” ทั้งๆ ที่เพิ่งติดยศนายพลและได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานคณะกรรมการประสานงานการเมืองประจำกองบัญชาการทหารประจำมณฑลเจ้อเจียงเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา คาดว่าการสอบสวนอาจโยงใยนำไปสู่การจับกุมกัว ปั๋วเซียง ผู้เป็นพ่อ และนางอู่ ฟางฟาง ภรรยา ที่เชื่อว่ามีส่วนพัวพันกับกรณีอื้อฉาวในโครงการก่อสร้างอาคารของกองทัพในเขตที่ดินของกองทัพในเมืองหางโจว
ทั้งนี้ นิตยสารการเงินไฉจิงเผยว่า นางอู่เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทตงอู่ ที่ประสบปัญหาในโครงการก่อสร้างตลาดผลิตภัณฑ์โลหะบนพื้นที่ 300,000 ตารางเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2554 แต่ขณะนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ทั้งๆ ที่ได้เก็บค่าเช่าจากกลุ่มผู้ทำสัญญาเช่ากว่า 500 ล้านหยวน (ราว 2,500 ล้านบาท) แล้ว ทำให้กลุ่มผู้เช่ารวมตัวประท้วงที่บริเวณโครงการก่อสร้างเมื่อช่วงวันปีใหม่ที่ผ่านมา บางรายขู่จะยื่นฟ้องบริษัทกรณีที่โครงการล่าช้า ขณะที่หลายรายร้องตระโกน “กัว เจิ้งกัง คืนเงินให้พวกเราด้วย”
ด้านหนังสือพิมพ์พีแอลเอ เดลี่ อันเป็นหนังสือพิมพ์รายวันของกองทัพปลดแอก ยังได้เปิดเผยรายชื่อ “บิ๊กเสือ” บางคนที่เพิ่งถูกจับกุมล็อตใหม่ว่ารวมไปถึงหวัง อ้ายกั๋ว อดีตผู้บัญชาการหน่วยส่งกำลังบำรุงร่วม ประจำกองบัญชาการนครเสิ่นหยาง อันเป็นฐานอำนาจของอดีตนายพลสวี ถูกจับในข้อกล่าวหาละเมิดวินัยพรรคฯ อย่างร้ายแรงมาตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว อีกรายหนึ่งก็คือ จู เหอผิง อดีตเลขาฯ ของนายพลจาง ว่านเหนียน อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อกลางเดือน ม.ค. ผ่านมา หลังจากถูกจับและถูกสอบสวนเมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีหลาน เหว่ยเจี๋ย อดีตรองผู้บัญชาการทหาร ประจำกองบัญชาการหูเป่ย ถูกศาลทหารเมืองกวางโจวในมณฑลกวางตุ้งตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเมื่อเดือน ม.ค. นี้ในข้อหารับสินบน เมื่อไม่สามารถแจกแจงที่มาของทรัพย์สินจำนวนมหาศาลได้ อีกทั้งยังมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย อีกคนหนึ่งก็คือหยวน ซื่อจวิน อดีตผู้บัญชาการทหาร ประจำกองบัญชาการหูเป่ย ที่ถูกสอบสวนมาตั้งแต่เดือน ต.ค. ปีที่แล้ว และจาง ตงซุ่ย ที่เพิ่งติดยศนายพลเมื่อวันที่ 7 ม.ค. นี้
นักวิชาการปักกิ่งบางคนให้ความเห็นว่า การกวาดล้างในกองทัพปลดแอกอาจจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากงบประมาณประจำปีของกองทัพเพิ่มขึ้นด้วยเลข 2 หลัก เป็นอย่างน้อย 887,000 ล้านหยวน ผลจากการกวาดล้าง “บิ๊กเสือ” ในกองทัพ ทำให้เกิดคำถามตามมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่าควรจะมี “การแปรรูปกองทัพปลดแอก” จากกองทัพของพรรคฯ มาเป็นกองทัพประชาชนของประเทศหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่เป็นกองทัพเป็ดง่อยที่ไร้ประสิทธิภาพในการสู้รบ อย่างไรก็ดี นายทหารส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่มีนโยบายในเรื่องนี้
หลังจาก “บิ๊กเสือ” สวี ไฉโฮ่ว เสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน สื่อใหญ่น้อยได้ก็ทยอยเปิดโปงพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงของสวี โดยเฉพาะการตบทรัพย์จากผู้ที่ต้องการมาเป็นทหารหรือต้องการเลื่อนตำแหน่ง เมื่อเร็วๆ นี้สถานีโทรทัศน์ฟีนิกซ์ได้สัมภาษณ์นายทหารหลายคนรวมไปถึงนายทหารคนสนิทคนหนึ่งของสวีที่ยอมรับว่าได้จ่ายเงินใต้โต๊ะ 10-20 ล้านหยวนให้สวี
ขณะที่สำนักข่าวซินหัวรายงานสั้นๆ ว่า แม้อัยการทหารจะตัดสินใจถอนฟ้องอดีตนายพลสวีเนื่องจากเสียชีวิตแล้วแต่กระบวนการยึดทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบจะยังคงดำเนินต่อไป ส่วนใหญ่ทรัพย์สินเหล่านี้ ซึ่งมีทั้งเงินสด หยก เพชร ภาพวาด และโบราณวัตถุหายาก ซุกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินภายในบ้านพักในกรุงปักกิ่ง ซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวางถึง 2,000 ตารางเมตร
นักวิเคราะห์บางคนมองว่า การที่อดีตนายพลสวีต้องกลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ในชั่วพริบตาเป็นผลจากการต่อสู้ทางการเมืองภายในพรรค เนื่องจากนายพลสวีเป็นเด็กปั้นของอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิง และยังเป็นพันธมิตรกับโจว หย่งคัง อดีตผู้นำหมายเลข 3 ของจงหนานไห่ที่ถูกจับและถูกตัดสินจำคุกในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันเช่นกัน
นอกเหนือจากการกวาดล้างใหญ่ในกองทัพปลดแอกแล้ว คณะกรรมการตรวจสอบวินัยประจำคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือผู้คุมกฎของพรรค ยังได้เริ่มกระบวนการสอบสวนเลี่ยว หย่งหยวน รองประธานวิสาหกิจปิโตร ไชน่า ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่สุดของประเทศ ซึ่งเคยเป็นมือขวาของ เจียง เจี๋ยหมิ่น อดีตประธานซีเอ็นพีซี ผู้เป็นคนสนิทของโจว หย่งคัง ในข้อหามีการกระทำที่ละเมิดวินัยพรรคฯ อย่างร้ายแรงระหว่างนั่งแป้นเป็นผู้จัดการทั่วไปของไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอร์ป (ซีเอ็นพีซี) บริษัทแม่ของปิโตรไชน่า นับเป็นรองประธานปิโตรไชน่ารายที่สองที่ถูกสอบสวนในข้อหาร้ายแรงนี้ ซึ่งหมายถึง “ทุจริตคอร์รัปชัน”
ทั้งนี้ เลี่ยว หย่งหยวน ลูกหม้อของซีเอ็นพีซี ได้ชื่อว่าเป็นผู้คร่ำหวอดในภาคน้ำมันและก๊าซของแดนมังกร มากว่า 30 ปี ช่วงที่สี จิ้นผิง ค่อยๆ ตะล่อมกวาดล้างใหญ่ในเอ็นพีซีและปิโตรไชน่า ฐานใหญ่ของโจว หย่งคัง เลี่ยว หย่งหยวน กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานของปิโตรไชน่าเมื่อเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว โดยไม่ถูกสอยร่วงตามนายเก่าแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้คุมกฎของพรรคแถลงว่า ภายในปีนี้จะมีการล้างบางการทุจริตคอร์รัปชันในวิสาหกิจรัฐรายใหญ่ 26 ราย นอกเหนือจากซีเอ็นพีซีแล้ว ขณะนี้ก็ยังดำเนินการไต่สวน สวี เจี้ยนอี ประธานบริษัทไชนา เอฟเอดับเบิลยู คอร์ป วิสาหกิจรัฐรายใหญ่ในภาครถยนต์ด้วย
ขณะที่การรณรงค์กวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชันยังเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งนั้น หน่วยงานต่างๆ ก็เริ่มขยับตามโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากจงหนานไห่ก่อน ล่าสุดบริษัทชิโนเปก บริษัทน้ำมันแห่งชาติจีน อันเป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทางด้านพลังงานและเคมีที่ทรงอิทธิพลของโลก ได้ประกาศคำสั่งห้ามพนักงานระดับสูงและระดับกลาง ตลอดจนพนักงานของกลุ่มบริษัทลูกและบริษัทในเครือ จัดงานศพและงานแต่งงานอย่างฟุ่มเฟือย โดยจำกัดคนร่วมงานได้ไม่เกิน 150 ราย อีกทั้งยังระบุชัดว่า ไม่ควรเชิญเจ้าหน้าที่ในระดับซูเปอร์ไวเซอร์ พนักงานในบังคับบัญชา ลูกค้า หรือบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกับสายงานมาร่วมงาน และไม่ควรมีการมอบของขวัญแก่กันในงานลักษณะนี้ รวมทั้งห้ามเบียดบังใช้ยานพาหนะของบริษัทฯ ไปในงานมงคลและอวมงคลนี้ เพื่อลดความฟุ่มเฟือยและการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง
คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจากสื่อออนไลน์ได้โหมวิพากษ์วิจารณ์แฟชั่นการอวดรวยของหลิว เป๋าลี่ เศรษฐีจากธุรกิจพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ในเหอเป่ย ที่ทุ่มเงินกว่าพันล้านบาทจัดงานแต่งงานสุดหรูหราอลังการให้กับหลิว เฮ่อ ลูกชาย กับเจ้าสาวที่เป็นลูกผู้ใหญ่บ้านเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว เฉพาะค่าโต๊ะก็ตกตัวละ 9,999 หยวน (ราว 50,000 บาท) ไม่นับรวมค่ารถโรลสรอยซ์ แฟนทอม 30 คัน ไว้คอยรับส่งแขกอีกราว 200 ล้านหยวน (ราว 1,000 ล้านบาท) ค่ารถเฟอร์รารีสีแดงสำหรับบ่าวสาว และค่าจ้างนักร้องนักแสดงชื่อดังมาร่วมให้ความบันเทิง โดยไม่สนใจที่จะให้ความร่วมมือกับสี จิ้นผิง ที่รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนประหยัดเพื่อลดการคอร์รัปชันลงแต่ประการใด
บทบาทของสื่อออนไลน์ในการตีแผ่งานแต่งงานที่เหมือนกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำของหลิว เป๋าลี่ มีขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ซึ่งเกาะติดกระแสการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างไม่ยอมปล่อย ได้นำเสนอรายงานพิเศษว่าอาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้การกำจัดการคอร์รัปชันได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อก็คืออินเทอร์เน็ต
ในรายงานพิเศษชิ้นนี้อ้างรายงานประจำปีของคณะนักวิจัยแห่งสถาบันสังคมศาสตร์แห่งชาติจีนที่รวบรวมไว้ในหนังสือ “สมุดปกฟ้าว่าด้วยสื่อใหม่” (Blue Book of New Media) ซึ่งฉบับล่าสุดเผยแพร่เมื่อกลางปี 2557 ระบุว่าสื่อใหม่ในจีนได้ก้าวสู่ยุค “ไมโคร” แล้ว เนื่องจากผู้ที่เข้ามาแชตส่วนใหญ่เป็นพวกชนชั้นกลาง ขณะที่ผู้ใช้ไมโครบล็อกส่วนใหญ่เป็นพวกรากหญ้า โดยประเด็นที่นำเสนอนั้นมีหลากหลายคละเคล้ากันทั้งเรื่องส่วนตัว เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมไปถึงการเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งการเปิดโปงในโลกออนไลน์นี้ได้ช่วยกระตุ้นความสนใจของประชาชนให้มาเข้าร่วมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น
ในรายงานประจำปีของหนังสือเล่มนี้นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาระบุว่า สื่อออนไลน์ได้ช่วยจุดกระแสการตีแผ่การทุจริตฉ้อฉลของข้าราชการกว่า 156 ราย จนนำไปสู่การจับกุมและการสั่งฟ้อง ส่วนใหญ่ในข้อหาทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง 44 ราย และการใช้อำนาจในทางที่ผิด 16 ราย เทียบกับการเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ที่มีเพียง 78 รายเท่านั้น ในจำนวนนี้เป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง 29 ราย และใช้อำนาจในทางที่ผิด 10 ราย
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://www3.pictures.zimbio.com/gi/Xi+Jinping+Nuclear+Security+Summit+2014+rVIVeH6XQg5l.jpg
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://www3.pictures.zimbio.com/gi/Xi+Jinping+Nuclear+Security+Summit+2014+rVIVeH6XQg5l.jpg
หนึ่งในความสำเร็จที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีบรรณาธิการของนิตยสารการเงินไฉจิง ได้ใช้ไมโครบล็อกส่วนตัวเปิดโปงการทุจริตของหลิว เถี่ยหนัน อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพลังงานแห่งชาติและอดีตรองประธานคณะกรรมการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติ จนนำไปสู่การถูกปลดออกจากตำแหน่งในข้อหาคอร์รัปชันเมื่อกลางเดือน พ.ค. 2556 ก่อนจะถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากยอมรับสารภาพว่ารับเงินสินบนกว่า 35 ล้านหยวน (ราว 175 ล้านบาท) ช่วงที่ดูแลการวางแผนเศรษฐกิจระหว่างปี 2545-2555
นอกจากนี้ ผลจากการจุดพลุข่าวการคอร์รัปชันของหลิว จื้อจวิน รัฐมนตรีกระทรวงรถไฟ บนโลกออนไลน์ที่เรียกร้องให้ตรวจสอบทรัพย์สินของหลิวที่เชื่อว่ามีมากกว่า 800 ล้านหยวน (ราว 4,000 ล้านบาท) ไม่นับรวมรถยนต์อีก 16 คัน นำไปสู่การจับกุม การปลดจากตำแหน่ง และการตัดสินประหารชีวิตหลิวเมื่อกลางปี 2556 ในข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวงและใช้อำนาจในทางมิชอบ จนทำให้กระทรวงรถไฟเต็มไปด้วยสารพัดปัญหา รวมทั้งหนี้สินก้อนโตจากโครงการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง
ยิ่งกว่านั้น ชาวเน็ตยังประสบความสำเร็จในการรณรงค์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ต้องเปิดเผยทรัพย์สินในครอบครอง โดย หลิว จื้อจวิน เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนแรกที่ต้องแสดงทรัพย์สินในครอบครองต่อสาธารณะ ทำให้คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางจำต้องเดินหน้าไฟเขียวให้แก้ไขกฎการรายงานสินทรัพย์ในครอบครองของนายทหารรวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์และเงินฝากต่อคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง ตามที่อดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ได้ชงเรื่องไว้หวังจะสร้างความโปร่งใสขึ้นในกองทัพปลดแอกแต่กลับถูกดองเรื่องมานาน
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยได้ชี้ถึงจุดอ่อนของการเปิดโปงผ่านสื่อออนไลน์ว่าต้องอาศัยเวลานานพอควรกว่าจะบังเกิดผล อาทิ มีข้าราชการแค่ 5 คนจาก 950 คน ที่ถูกเปิดโปงบนโลกออนไลน์แล้วถูกจับกุมและลงโทษ ซึ่งถือว่าน้อยมาก จุดอ่อนอีกจุดหนึ่งอันเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สุดก็คือจะถูกรัฐบาลเข้ามาควบคุม “ข่าวลือ” จากสื่ออินเทอร์เน็ตได้ง่าย แม้ว่าข่าวลือที่ว่านั้นจะมีมูลความจริงอยู่บ้างก็ตาม

“ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวัน” ของสี จิ้นผิง (2)

24 กุมภาพันธ์ 2015
อิสรนันท์
เพิ่งจะมอบของขวัญปีใหม่ให้กับลูกหลานมังกรได้ไม่นานกับการเดินหน้าปราบข้าราชการกังฉินที่โกงบ้านกินเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากได้จับกุมโจว หย่งคุน อดีตบิ๊กหมายเลข 3 แห่งทำเนียบผู้นำจงหนานไห่และหัวโจกการทุจริตคอร์รัปชันไร้เทียมทานที่ฉาวโฉ่ที่สุดแห่งยุค มีทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่ในชื่อของคนในครอบครัวและคนสนิทรวมแล้วกว่า 90,000 ล้านหยวน หรือกว่า 450,000 ล้านบาท
ตรุษจีนปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ได้มอบอั่งเปาซองใหญ่หลายซองด้วยการเดินหน้าใช้อาญาประกาศิตฟาดฟันกับทุจริตคอร์รัปชันต่อไปชนิดรั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ โดยไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ใกล้ชิดกับผู้นำจงหนานไห่มากน้อยแค่ไหน หลังจากเมื่อปีที่แล้ว มาตรการคุมเข้มการฉ้อราษฎร์บังหลวงสามารถป้องกันการติดสินบนข้าราชการได้กว่า 1,500 ล้านหยวน (ราว 7,500 ล้านบาท)
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://image1-cdn.n24.de/image/4512700/4/large16x9/wwt/xi-jinping_620x349.jpg
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://image1-cdn.n24.de/image/4512700/4/large16x9/wwt/xi-jinping_620x349.jpg
เห็นได้จากกรณีไฟเขียวให้กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมประกาศปลดหลี่ เค่อหมิง น้องชายคนเล็กสุดของนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง จากตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการผูกขาดใบยาสูบแห่งชาติ ซึ่งได้สวมหัวโขนนี้ตั้งแต่ปี 2546 แล้วโยกไปเป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการรัฐวิสาหกิจแทน ทั้งนี้เพื่อขจัดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หลังจากกลุ่มต่อต้านการสูบบุหรี่ได้กล่าวหารัฐบาลว่าเอาอกเอาใจสำนักงานบริหารการผูกขาดใบยาสูบแห่งชาติมากจนผิดสังเกต จนเหิมเกริมกล้าคัดค้านร่างกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคาร รวมทั้งจำกัดพื้นที่การสูบบุหรี่กลางแจ้ง และยุติการโฆษณาบุหรี่ทั้งหมด นอกเหนือจากคัดค้านนโยบายจะปรับเพิ่มราคาและการเรียกเก็บภาษีบุหรี่ โดยอ้างว่าไม่ควรใช้นโยบายที่มีลักษณะเผด็จการ หรือแผ่ขยายอำนาจครอบงำคนอื่น เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นธรรมเนียมที่ประชาชนปฏิบัติกันมานานหลายร้อยปีแล้ว
ผลจากการล็อบบี้ของสำนักงานบริหารการผูกขาดใบยาสูบแห่งชาติที่ครองส่วนแบ่งตลาดบุหรี่ในประเทศถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การตรากฎหมายห้ามการโฆษณาบุหรี่เมื่อปีที่แล้วคลายความเข้มงวดกวดขันลงไปมาก ทั้งๆ ที่รัฐบาลกำลังเร่งรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ที่กำลังเป็นวิกฤติใหญ่ของประเทศ เนื่องจากมีสิงห์อมควันมากที่สุดในโลกถึงกว่า 300 ล้านคน อีกหลายล้านคนได้รับผลทางอ้อมจากควันบุหรี่จากผู้สูบบุหรี่รอบข้าง แม้ว่ารายได้ของกิจการผูกขาดบุหรี่พุ่งขึ้นเป็น 7-10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของรัฐ เฉพาะปี 2556 เพียงปีเดียวสามารถทำรายได้เข้าคลังถึง 816,000 ล้านหยวน (ราว 4,183,040 ล้านบาท) ก็ตาม
อั่งเปาซองที่ 2 ก็คือศาลในนครเซี่ยงไฮ้ได้ตัดสินจำคุกหวง เฟิงผิง ศัลยแพทย์ทางประสาท อดีตรองประธานโรงพยาบาลหัวซานในเซี่ยงไฮ้ อดีตประธานสมาคมอุตสาหกรรมและอดีตรองผู้อำนวยการคณะกรรมการวางแผนสาธารณสุขและครอบครัว เป็นเวลา 19 ปี นับตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อปลายปี 2556 ในข้อหายักยอกเงินและรับสินบนจากบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งสื่อระบุว่าเป็นบริษัทแกล็กโซ สมิธไคลน์ (จีเอสเค) สัญชาติอังกฤษ รวมเป็นเงินกว่า 4.4 ล้านหยวน (ราว 23 ล้านบาท)
หลังจากตำรวจตรวจพบซองบรรจุเงินสดกว่า 400 ซอง ที่บ้านของศัลยแพทย์ทางประสาทผู้นี้ นอกจากนี้ ยังพบทองคำแท่งและเงินตราต่างประเทศที่ซุกไว้ที่ท้ายรถยนต์ส่วนตัว ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้รายงานว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขมักจะถูกจับตามองว่าเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ส่วนใหญ่เป็นผลจากระบบประมูลจัดซื้อยาที่คลุมเครือ ขณะที่เงินเดือนของบรรดานายแพทย์ถือว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อปีที่แล้ว ศาลได้สั่งปรับสั่งปรับยักษ์ใหญ่เวชภัณฑ์ของอังกฤษแห่งนี้เป็นเงิน 3,000 ล้านหยวน โทษฐานแอบจ่ายเงินใต้โต๊ะผ่านบริษัทนำเที่ยวเพื่อส่งเสริมการขาย ด้วยการหลอกว่ามีการประชุมต่างๆ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
อั่งเปาซองที่ 3 มาจากรายงานพิเศษชิ้่นหนึ่งของหนังสือพิมพ์ปักกิ่งไทมส์และหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ ที่เปิดเผยว่ามีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนอย่างน้อย 70 บริษัท ที่ต่างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายปราบปรามการคอร์รัปชัน เป็นเหตุให้ต้องปรับโครงสร้างองค์กรใหม่รวมไปถึงการโละทิ้งผู้บริหารระดับสูงกันระนาว ดีกว่าปล่อยให้ฉุดลากบริษัทให้ต้องล่มจมตามไปด้วย โดยเฉพาะบริษัทหลายบริษัทที่เป็นของพรรคพวกเพื่อนฝูงของโจว หย่งคัง อาทิ ปิโตรไชน่า รัฐวิสาหกิจน้ำมันยักษ์ใหญ่ ปรากฎว่าทั้งหลี่ หัวหลิน รองผู้จัดการทั่วไปและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนต่างถูกนำตัวไปสอบสวนในข้อหาพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจำนวนหนึ่งของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในมณฑลเสฉวน ที่อดีตบิ๊กบอสด้านความมั่นคงเคยเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มาก่อน ก็ถูกสอบสวนคดีทุจริตเช่นกัน เช่นเดียวกับ เหอ เยี่ยน ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทกั๋วเถิงอิเล็กทรอนิกส์ ในเมืองเฉิงตู ถูกจับในข้อหายักยอกเงินกองทุนเมื่อต้นปี 2557
ก่อนหน้านี้ ศาลมณฑลเหอเป่ยได้ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตหลิว เถี่ยหนัน ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพลังงานแห่งชาติ ซึ่งเคยทำธุรกิจร่วมกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างน้อย 5 แห่ง ในข้อหารับสินบนหลังจากถูกสอบสวนและถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อปลายปี 2556 ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งหลิวผู้พ่อและหลิว เต๋อเฉิง ผู้เป็นลูกชาย ต่างยอมรับสารภาพว่ารับเงินสินบนเป็นเงินกว่า 35 ล้านหยวน (ราว 175 ล้านบาท ) ช่วงที่หลิวผู้พ่อรั้งตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสด้านการวางแผนเศรษฐกิจหลายตำแหน่งระหว่างปี 2545-2555 ในจำนวนนี้รวมไปถึงการรับสินบน จำนวน 400,000 หยวน (ราว 2,000,000 บาท) จากซ่ง จั้วเหวิน ประธานหนานซานกรุ๊ป เมื่อปี 2545-2546 และซ่ง จั้วเหวิน ยังได้จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาเป็นพิเศษเมื่อปี 2548 อีก 7,500,000 หยวน (ราว 37,500,000 บาท) เป็นค่าวิ่งเต้นเพื่อทำสัญญาขายอะลูมินากับสาขาของบริษัทอะลูมิเนียมจีน และยังรับสินบนอีกกว่า 16 ล้านหยวน จากชิว เจี้ยนหลิน ประธานเจ้อเจียง เหิงอี้ กรุ๊ป เพื่อขออนุมัติโครงการก่อสร้างโรงงานเคมี
หนังสือพิมพ์ปักกิ่งไทมส์ยังรายงานด้วยว่า หุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายรายรวมทั้งหุ้นของเล่อทีวี บริษัทเว็บไซต์บันเทิงยอดนิยม จูงมือกันดิ่งลงเหว เมื่อลิ่ง จี้ฮัว อดีตคนสนิทของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ถูกทางการควบคุมตัวไปสอบสวนในข้อหาเกี่ยวพันกับการทุจริตคอร์รัปชัน โดยลิ่ง จี้ฮัว และลิ่ง หวันเฉิง น้องชายได้ร่วมกันตั้งบริษัทบริหารการลงทุนฮุ้ยจิน ลี่ฟาง เมื่อปี 2551 และได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทด้านเทคโนโลยี 7 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างปี 2552 -2557
แต่อั่งเปาซองไหนก็ไม่หนักอึ้งเท่ากับการลงอาญาประกาศิตให้ประหารชีวิต หลิว ฮั่น วัย 48 ปี มหาเศรษฐีและอดีตประธานกลุ่มบริษัทฮั่นหลง มายนิ่ง เจ้าของกิจการเหมืองแร่รายใหญ่ระดับทวีปเอเชีย ผู้ติดอันดับ 230 ของคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโจว ปิน ลูกชายคนโตของโจว หย่งคัง พร้อมด้วยหลิว เว่ย น้องชายและผู้ช่วยอีก 4 คนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือน มี.ค. 2556 หลังจากศาลฎีกาประชาชนแห่งมณฑลหูเป่ยได้ตัดสินยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินว่าจำเลยเหล่านี้รวมทั้งสมัครพรรคพวกอีก 35 คนมีความผิดจริงในสารพัดข้อหารวม 13 กระทง ทั้งสมคบกันทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งพัวพันมาเฟียเปิดบ่อนพนันและค้าอาวุธปืนผิดกฎหมายในมณฑลเสฉวน ลักขโมย กรรโชกทรัพย์ ฟอกเงิน ก่อคดีอาชญากรรมทางการเงิน กอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาสมัยที่โจว หย่งคัง ยังมีอิทธิพลมากล้นในฐานะเลขาธิการพรรคประจำเสฉวน นอกเหนือจากก่อคดีลักพาตัวมาทรมาน และสังหารโหดเหยื่ออย่างน้อย 9 ราย
ตลอดช่วงที่ถูกคุมขัง หลิว ฮั่น ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ไม่เคยฆ่าใคร และไม่ได้ค้าปืนเถื่อน พร้อมกับยืนยันว่าบริษัทฮั่นหลง มายนิ่ง ในเสฉวนที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือเมื่อปี 2540 เป็นกิจการเหมืองแร่ระดับยักษ์ใหญ่มีธุรกิจมากมายกว้างขวางในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ถึงขนาดเตรียมวางแผนซื้อกิจการบริษัทซันแดนซ์ รีซอร์ส ของออสเตรเลีย ซึ่งส่งออกเหล็กในแอฟริกาตะวันตก
ข่าวนี้มีขึ้นขณะผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทางอินเทอร์เน็ตโดยศูนย์สำรวจสังคม ไชน่ายูธเดลี่ เกี่ยวกับโทษประหารชีวิตพบว่า มีผู้เห็นด้วยที่จะให้คงบทลงโทษประหารชีวิตในคดีทุจริตคอร์รัปชันมากถึง 73.2 เปอร์เซ็นต์ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว คณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติ ได้เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะปรับลดบทลงโทษสูงสุดจากประหารชีวิต เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิตใน 9 ความผิดอาญาที่ไม่รุนแรง อาทิ การทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการ การค้าแรงงานมนุษย์ การบังคับผู้อื่นให้ค้าประเวณี ขัดขวางการจับกุมหรือต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน การปล่อยข่าวลือในช่วงภาวะสงคราม การลักลอบขนอาวุธ ปลอมแปลงเงิน ค้าอาวุธ นับเป็นเป็นย่างก้าวสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ ว่ากระบวนการยุติธรรมจีนมีระดับมาตรฐานสากล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เฉอ ห่าว แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ให้ความเห็นว่า ความผิดอาญาที่จะลดโทษจากประหารชีวิตเหลือแค่จำคุกตลอดชีวิตนั้น ส่วนใหญ่เป็นความผิดทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่เข้าข่ายว่าเป็นความผิดขั้นร้ายแรง แต่เมื่อพิจารณาถึงการรณรงค์ต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันแล้ว ประชาชนกลับรู้สึกว่ายังอยากจะให้คงบทลงโทษสูงสุดประหารชีวิตไว้ก่อน
ควบคู่ไปกับการเชือดไก่ให้ลิงดู สี จิ้นผิง ก็ยังตรากฎเหล็กเพิ่มเติมเพื่อให้การป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชันได้ผลมากขึ้น โดยเมื่อปลายเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ ที่กำหนดขนาดของห้องทำงานรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับมณฑลและท้องถิ่นต่างๆ ว่าจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่โตเกินกว่า 30 ตารางเมตร ส่วนห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับๆ รองลงไปจะต้องใหญ่ไม่เกิน 24 ตารางเมตร อีกทั้งยังบังคับให้ทุกคนใช้ห้องน้ำรวม ไม่แยกห้องน้ำอภิสิทธิ์ของข้าราชการระดับสูงอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ข้าราชการถลุงเงินก้อนมหาศาลของรัฐด้วยการแข่งกันปลูกสร้างอาคารสำนักงานใหญ่โตมหึมายิ่งกว่าทำเนียบขาวหรือวังเอลิเซในฝรั่งเศส
กฎเหล็กนี้มีขึ้นหลังเมื่อช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว กระบี่มือหนึ่งสี จิ้นผิง ได้ดัดนิสัยข้าราชการที่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย ด้วยการสั่งรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้น ส่งผลให้การจัดเลี้ยงสังสรรค์ระดับมณฑลและระดับชาติลดลงกว่าครึ่ง ส่วนงานสังสรรค์ระดับอำเภอลดลง 1 ใน 3 ผลตามมาก็คือไม่เพียงแต่ช่วยลดรายจ่ายของรัฐบาลเท่านั้น ยังช่วยผลเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการ ผลพลอยได้ตามมาก็คือทำให้ข้าราชการมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นเฉลี่ย 30 นาที จากผลการศึกษาเกี่ยวกับนโยบายการรัดเข็มขัด 8 ข้อเพื่อควบคุมความฟุ้งเฟ้อและความล่าช้าของระบบราชการ ที่จัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งแห่งจีนพบว่างานสังสรรค์ของรัฐบาลทุกลำดับชั้นที่เจ้าหน้าที่ระดับอำเภอต้องเข้าร่วมด้วยลดลงเหลือเฉลี่ยแค่อาทิตย์ละ 12.2 งาน เทียบกับปี 2556 ที่แต่ละอาทิตย์ข้าราชการต้องไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลี่ยแล้ว 18.2 งาน
มณฑลกวางตุ้งเป็นอีกมณฑลหนึ่งที่เข้าร่วมกระบวนการ “ตีเหล็กขณะยังร้อน” ด้วยการยกระดับการดัดนิสัยข้าราชการที่ชอบความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ด้วยการออกคำสั่งห้ามข้าราชการทุกระดับชั้นจัดงานแต่งงานหรืองานศพที่หรูหราฟุ่มเฟือย อันเป็นช่องทางหนึ่งของการคอร์รัปชันในรูปของการรับซองงานที่หนาปึ้กอัดแน่นด้วยธนบัตรก้อนโตเกินความจำเป็น คำสั่งนี้่ยังคลุมไปถึงการต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 10 วัน ว่าจะจัดงานแต่งงานหรือจัดงานศพ รวมทั้งต้องแจ้งค่าใช้จ่ายในรายงานประจำปี ที่สำคัญยังออกกฎเหล็ก “4 ไม่” ได้แก่ ไม่เชิญแขกซึ่งเกี่ยวข้องกับงาน ไม่รับของขวัญและเงินสดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงาน ไม่ใช้เงินของรัฐ และไม่จัดงานพิธีฟุ่มเฟือย
จากรายงานของหนังสือพิมพ์ปักกิ่งนิวส์ระบุว่า ในพฤติกรรมอวดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยทั้งหลายแหล่นั้น ค่านิยมที่จะจัดงานแต่งงานอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมีมากถึง 17 เปอร์เซ็นต์ของพฤติกรรมอวดรวย แซงหน้าการนำรถยนต์ของรัฐไปใช้เพื่ออวดหน้าอวดตาเสียอีก ดังกรณีของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบวินัยในกรุงปักกิ่งผู้หนึ่งที่ทุ่มเงินถึง 40,000 หยวน (ราว 200,000 บาท) จัดเลี้ยงโต๊ะจีน 26 โต๊ะในงานแต่งงานของลูกสาวสุดรัก ขณะที่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่งในมณฑลนี้ได้มอบเงินก้นถุงจำนวน 37,000 หยวน (ราว 185,000 บาท) เป็นของขวัญงานแต่งงานของลูกชาย
จาง จงเหลียง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาด้านสถิติ ประจำสำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ด้วยว่ามาตรการรัดเข็มขัดของสี จิ้นผิง ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างน้อย 6 ประเภท โดยเฉพาะธุรกิจการรับจัดเลี้ยง ที่ยอดการโตลดลงเหลือแค่ เพียง 3.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2556 เทียบกับปี 2554 ที่ธุรกิจนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 8.8 เปอร์เซ็นต์ อีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ได้รับกระทบไม่ใช่น้อยก็คืออุตสาหกรรมบุหรี่และไวน์ โดยยอดขายไวน์ราคาแพงในปี 2556 ลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับธุรกิจภัตตาคารและโรงแรมระดับหรูจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงปักกิ่ง ตลอดจนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูของต่างชาติที่ยอดขายรถลดวูบลง
แต่ผลที่เห็นได้ชัดทันตาก็คือ รัฐบาลสามารถลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยในภาครัฐลงได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ จากถ้อยแถลงของคณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัย (ซีซีดีไอ) พรรคคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่าเงินงบประมาณเพื่อใช้จัดการประชุมสัมมนา การเดินทางดูงานต่างประเทศ และการจัดซื้อยานพาหนะ ในรอบปี 2556 ลดลงประมาณ 53 เปอร์เซ็นต์, 39 เปอร์เซ็นต์ และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2555 พร้อมกันนี้ คณะผู้คุมกฎเหล็กของพรรคยังได้ประจานรายชื่อข้าราชการ 183 คนที่ละเมิดมาตรการรัดเข็มขัด 8 อย่างเพื่อไม่ให้ข้าราชการคนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง ถือเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับตัวเลขของข้าราชการที่ถูกจับกุมและถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันเมื่อปี 2556 ที่มีมากถึง 31,555 คน ในจำนวนนี้เป็นข้าราชการระดับสูงกว่า 680 คน และเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ล้วนถูกจำคุกอย่างน้อย 5 ปี ขึ้นไป
ส่วนมณฑลที่ครองแชมป์มณฑลที่เป็น “รังใหญ่” หรือศูนย์รวมของเหล่ากังฉินโกงกินบ้านเมืองมากที่สุดก็คือมณฑลกวางตุ้ง โดยเมื่อปีที่แล้ว มีข้าราชการอาวุโสกว่า 90 คนถูกจับกุมในข้อหาคอร์รัปชัน มากกว่าทุกมณฑลและทุกเขตปกครองอื่นๆ ในประเทศ อีก 37 คนอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของศาล ในจำนวนนี้รวมไปถึงเหลียง อี้หมิน อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นครเม่าหมิง เจียง จวินอวี้ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกฎหมายและการเมืองนครเสิ่นเจิ้น และเว่ย หลี่คุน อดีตประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีนประจำนครหยางเจียง ฯลฯ นอกจากนี้ ทางการยังได้สั่งปิด “คลับส่วนตัว” 31 แห่ง อายัดทรัพย์ต้องสงสัยว่าเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชามากกว่า 65 ล้านหยวน (ราว 325 ล้านบาท) นอกเหนือจากยึดบัตรวีไอพีของข้าราชการอีก 30 ใบ
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://images.zeit.de/politik/ausland/2013-09/XiJinping-2/XiJinping-2-540x304.jpg
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://images.zeit.de/politik/ausland/2013-09/XiJinping-2/XiJinping-2-540×304.jpg
นอกเหนือจากข้าราชการพลเรือนและนักธุรกิจใหญ่น้อยที่ถูกจับกุมและลงโทษในคดีทุจริตคอร์รัปชันแล้ว สี จิ้นผิง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ซึ่งควบคุมกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีกำลังพลมากถึง 2 ล้าน 3 แสนคน ยังได้ยื่นมือเข้าไปกวาดล้างการทุจริตภายในกองทัพด้วย ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปกองทัพให้มีศักยภาพและโปร่งใสมากขึ้น หลังจากที่ทางการแทบจะไม่ประสบความสำเร็จในการกวาดล้างการทุจริตในกองทัพนับตั้งแต่ประกาศจะล้างบางตั้งแต่ทศวรรษ 2553 ด้วยการห้ามกองทัพข้องเกี่ยวกับธุรกิจ แต่กองทัพก็ไม่ฟัง ยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำข้อสัญญาในเชิงพาณิชย์มาตลอด โดยแทบไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบ หนำซ้ำยังปล่อยปละละเลยให้มีการติดสินบนเพื่อขอมาเป็นทหารและเพื่อซื้อขายตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับชั้นผู้น้อยขึ้นไป จนผู้สันทัดกรณีหลายคนเตือนว่าจะมีผลต่อความเข้มแข็งของกองทัพ อาทิ จู เฟิง ศาสตราจารย์ด้านวิเทศสัมพันธ์แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่ให้ความเห็นตรงไปตรงมาว่า การคอร์รัปชันในกองทัพนั้นเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวยิ่งกว่ากองทัพสหรัฐฯ เสียอีก ขณะที่นายพลหลิว หยวน ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีหลิว เส้าฉี ชี้ว่า “ไม่ว่าประเทศใดก็ไม่สามารถต่อกรกับกองทัพจีนได้” แต่กองทัพจีนก็อาจแหลกลาญตั้งแต่ยังไม่ทันร่ายเพลงทวนจากปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของนายพลกังฉินภายในกองทัพที่มีอำนาจสั่งการให้ทหารระดับล่างทำตามคำสั่งด้วยการรับเงินสินบนในทุกระดับชั้น
หนึ่งในการกวาดล้างการทุจริตในกองทัพที่สี จิ้นผิง สืบสานนโยบายต่อจากอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ก็คือการจับนายพลสวี ไฉโห่ว เมื่อกลางปีที่แล้ว ในข้อหากระทำผิดร้ายแรงทั้งรับเงินโดยตรงหรือผ่านทางเครือญาติเพื่อเลื่อนยศทหาร และรับเงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจ จนนำไปสู่การถอดยศ ถูกปลดจากตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางและสมาชิกคณะกรมการเมืองหรือโปลิตบุโร องค์กรที่ทรงอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วนำตัวขึ้นศาลทหารเมื่อปี 2555 หลังจากอัยการทหารได้ค้นบ้านพักหรูในกรุงปักกิ่ง แล้วพบคลังสมบัติซุกซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดิน ในจำนวนนี้รวมไปถึงเงินสดทั้งเงินหยวน เงินดอลลาร์และเงินยูโร มากกว่า 1 ตัน อัญมณีอีกนับไม่ถ้วน วัตถุโบราณหายาก และหยกล้ำค่าจำนวนหลายร้อยกิโลกรัม จนต้องใช้รถบรรทุกทหารมากกว่า 10 คัน มาขนทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ และเมื่อต้องจำนนต่อหลักฐาน นายพลสวีจึงค่อยยอมรับสารภาพว่า รับสินบนจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับความช่วยเหลือในการเลื่อนยศทหาร
นับเป็นนายทหารระดับสูงคนล่าสุดจากบรรดานายทหารหลายพันคนที่ต้องโทษในคดีทุกจริตคอร์รัปชัน หลังจากอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ได้ทิ้งทวนก่อนถอดหัวโขนให้สี จิ้นผิง ขึ้นมาแทน ด้วยการตรากฎเหล็กข้อใหม่บังคับให้นายทหารระดับสูงจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ทั้งรายได้ เงินฝาก และอสังหาริมทรัพย์ ต่อคณะกรรมาธิการการทหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ถือเป็นมาตรการสำคัญที่เชื่อว่าจะช่วยลดการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ กระทั่งนำไปสู่การปลดพลโทกู่ จวิ้นซาน วัย 56 ปี ออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมพลาธิการทางทหารแห่งส่านซี เมื่อมีการร้องเรียนว่านายพลกู่ได้แอบซื้อที่ดินแปลงหนึ่งในใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้มูลค่า 20 ล้านหยวน (ราว 100 ล้านบาท) แล้วขายต่อให้กับนักธุรกิจในราคาแพงลิบลิ่วถึง 2,000 ล้านหยวน (ราว 10,000 ล้านบาท)
และเมื่อสี จิ้นผิง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดแห่งทำเนียบจงหนานไห่แล้วก็เดินหน้าสานต่อนโยบายของหู จิ่นเทา ด้วยการออกคำสั่งเป็นชุดๆ หนึ่งในคำสั่งชุดแรกก็คือการออกกฎเข้มเมื่อปลายปี 2555 ห้ามนายทหารระดับสูง รวมทั้งลูกหลาน คนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย หรือตัวแทน รับมอบกระเช้าของขวัญทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระเช้าของขวัญ เหล้าบุหรี่ รวมถึงดอกไม้ ช่อดอกไม้ ต้นไม้ ป้ายผ้ามงคลสีแดง บัตรกำนัล สินค้าทั่วไป และของที่ระลึกทุกชนิด รวมทั้งห้ามร่วมงานจัดเลี้ยงที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาจากพรรคคอมมิวนิสต์ หรือไปค้างแรมในโรงแรมหรูหรือสถานที่พักตากอากาศระดับหรูหรา ระหว่างการเดินทางเพื่อไปสัมมนาไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ
ด้านกระทรวงกลาโหมก็ร่วมลงมือ “ตีเหล็กตั้งแต่ยังร้อน” ออกกฎระเบียบใหม่ห้ามรถซีดานหรู 11 ยี่ห้อ อาทิ เมอร์เซเดส เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, ลินคอล์น, คาดิแลก, เบนท์ลีย์, จากัวร์ และพอร์ซหรือปอร์เช่ ใช้ป้ายทะเบียนทางการของกองทัพ เพื่อไม่ให้นำไปใช้เป็นข้ออ้างที่จะใช้สิทธิพิเศษของกองทัพ ยกเว้นรถอเนกประสงค์ ประเภท SUVs ที่ได้รับการผ่อนปรน ยกเว้นรถแลนด์ โรเวอร์, ปอร์เช่ คาเยน และออดี คิว 7

ขบวนการหักเขี้ยวเสือและเด็ดปีกแมลงหวี่แมลงวันของ “สี จิ้นผิง” (1)

22 มกราคม 2015
อิสรนันท์
ผ่านพ้นวันปีใหม่ได้เพียงวันเดียว ผู้นำจงหนานไห่ในกรุงปักกิ่งก็มอบของขวัญชิ้นใหม่ให้กับลูกหลานแดนมังกรด้วยการสั่งจับกุมและสั่งปลดจาง คุนเซิง รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศควบตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการทูต ในข้อหาทุจริตรับสินบนและใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ นับเป็นเจ้าหน้าที่คนแรกของปีแพะและเป็นนักการทูตระดับสูงสุดของกระทรวงต่างประเทศที่ถูกสอบสวนในคดีร้ายแรงนี้
ถัดจากนั้นเพียงสัปดาห์ดียว ทางการยังได้สั่งปลดหยาง เว่ยเจ๋อ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขาเมืองนานกิงวัย 52 ปี ในข้อหาทำผิดวินัยและฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ซึ่งหมายถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ตามด้วยการรวบตัวหม่า เจี้ยน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของกระทรวงนี้มานานถึง 3 ปี กระทั่งได้ควบตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติของสำนักงานต่อต้านการจารกรรมของจีน ฐานมีพฤติกรรมละเมิดวินัยของพรรคคอมมิวนิสต์ อันเป็นศัพท์ที่รัฐบาลปักกิ่งใช้สื่อถึงการคอร์รัปชัน ขณะที่ครอบครัวและคนใกล้ชิดของหม่าอีกหลายสิบคนถูกควบคุมตัวไปทำการสอบปากคำ
การประเดิมศักราชใหม่ด้วยการจับกุมข้าราชการกังฉินทั้ง 3 คนนี้ โดยเฉพาะหม่า ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลิง จี้หัว อดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา เท่ากับตอกย้ำสัจธรรมข้อหนึ่งที่ถือเป็นรอยด่างพร้อยหรือความอัปยศของแดนดินถิ่นมังกรอันกว้างใหญ่ไพศาลว่า สาเหตุหนึ่งที่ไม่เคยก้าวขึ้นมาเป็นมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงสักทีไม่ว่าจะผ่านมากี่พันปีแล้วก็ตาม สืบเนื่องจากอุดมไปด้วยคนพันธุ์พิเศษกลุ่มหนึ่ง ที่รู้จักกันในชื่อของ “กังฉิน”ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกช่วงทุกตอนของประวัติศาสตร์กระทั่งถึงยุคปัจุุบัน ในฐานะเป็นตัวการโกงกินชาติ ถึงขั้นยอม “ขายชาติ” แลกกับเงินทองหรือสาวงาม จนสิ้นราชวงศ์หรือสิ้นชาติ
ที่น่าอัปยศที่สุดก็คือ คนพันธุ์พิเศษนี้ไม่เคยสูญพันธุ์ไปจากแผ่นดินนี้ ทั้งๆ ที่เป็นต้นเหตุทำให้จีนพ่ายศึกเผ่าอนารยชนนอกด่านหลายครั้งหลายครา ไม่ว่าจะเป็นมองโกล แมนจู นักล่าอาณานิคมตะวันตก และท้ายสุดพ่ายต่ออดีตสลัดเตี้ยหรือแดนซามูไรญี่ปุ่น จนถูกดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นยักษ์หลับหรือยักษ์ป่วย แม้จะมีความพยายามปราบปรามในทุกยุคทุกสมัยแล้วก็ตาม
ในบรรดากังฉินคนโกงกินชาติที่ขึ้นชื่อลือเลื่องที่สุดในประวัติศาสตร์แดนมังกร เห็นจะไม่มีใครเกินอภิมหากังฉินนาม “ฉินไขว้” มหาเสนาบดีในสมัยราชวงศ์ซ้องที่โกงกินชาติซ้ำยังรับสินบนจากพวกจินหรือกิม บรรพบุรุษของแมนจู จนกล้าปลอมราชโองการหลอกให้แม่ทัพงักฮุยหรือเยว่เฟยกลับเมืองหลวงแล้วหาเหตุฆ่าตายในคุก สร้างความเคียดแค้นให้กับประชาชน ซึ่งได้ล้างแค้นด้วยการปั้นแป้งตัดเป็นท่อนๆ แล้วจับเป็นคู่ติดกัน แทนสัญลักษณ์ของฉินไขว้และภรรยา จากนั้นนำไปทอดในน้ำมันเดือด ก่อนจะเคี้ยวกินให้หายแค้น กลายเป็นตำนานอาหารยอดฮิตจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ “โหยวจ๋ากุ่ย” หรือ “อิ่วจาก้วย” แปลว่า “ผีทอดน้ำมัน” แล้วเพี้ยนกลายเป็น”ปาท่องโก๋” นั่นเอง
อีกคนหนึ่งก็คือ “เหอเซิน” อัครมหาเสนาบดีจีนสมัยปลายรัชสมัยเฉียนหลงฮ่องเต้ ผู้ร่ำรวยล้นฟ้ามากกว่าราชสำนักไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แค่ช่วง 15 ปีเท่านั้น อดีตพลทหารหนุ่มผู้จับพลัดจับผลูขึ้นมาเป็นใหญ่แบบก้าวกระโดดถึงขั้นได้เป็นราชบุตรเขย จากความเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ได้ทุจริตฉ้อฉลจนสามารถสะสมเงินทองและทรัพย์สินต่างๆ ถึง 1,100 ล้านตำลึง เทียบกับราชสำนักที่มีงบประมาณแค่ 2 ล้านตำลึง ในจำนวนนี้มีทั้งเงินสด 10 ล้านตำลึง ทองคำ 84,000 ตำลึง เครื่องเพชรมูลค่า 8 ล้านตำลึง ไม่นับรวมที่ดินและอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก รวมทั้งคฤหาสน์กงหวังฝู่ ซึ่งถูกยึดหลังสิ้นรัชสมัยเฉียนหลง และขณะนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่่อดังในกรุงปักกิ่ง อันเนื่องจากคงสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันงดงาม นอกเหนือจากเป็นสัญลักษณ์การคอร์รัปชันครั้งใหญ่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง
แม้ว่าแดนมังกรจะเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยมภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่กังฉินที่โกงกินชาติบ้านเมืองก็ยังไม่หายไป ยังคงแทรกอยู่ในทุกวงการโดยเฉพาะในระบบราชการที่ฟอนเฟะเปิดช่องให้ร่วมกันโกงกินชาติอย่างขว้างขวางและยาวนาน จนบ่อนเซาะประเทศให้อ่อนแอลง แม้ว่าผู้นำพรรคและรัฐบาล 4 ชุดที่ผ่านมา รวมไปถึงอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทาและอดีตนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า จะประกาศนโยบายคล้ายคลึงกันว่าจะเร่งปราบการทุจริตคอร์รัปชัน แต่คำมั่นสัญญานั้นก็เป็นเพียงลมปากที่ปลิวหายไปกับสายลม เพราะจนถึงทุกวันนี้ การทุจริตคอร์รัปชันยังคงระบาดไปทั่วทุกระดับชั้น โดยเฉพาะในหมู่ญาติโกโหติกาและคนสนิทของผู้นำจงหนานไห่หลายต่อหลายคน อย่างดีก็แค่จับปลาซิวปลาสร้อยได้บ้างพอเป็นกระษัย แต่ไม่เคยจับปลาตัวใหญ่ได้แม้แต่ตัวเดียว
“ปู่เวิน” อดีตนายกรัฐมนตรีสายปฏิรูป ซึ่งมีภาพลักษณ์ว่าเป็นผู้นำมือสะอาด เคยแถลงยอมรับก่อนจะถอดหัวโขนทิ้งหลังจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2556 ว่า การแพร่ระบาดของคอร์รัปชันยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและเป็นภัยคุกคามพรรค แม้รัฐบาลจะลงมือกวาดล้างมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่แล้วปู่เวินกลับเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยให้แม่ ลูกเมีย และญาติพี่น้อง ร่วมกันทุจริตคอร์รัปชันจนร่ำรวยผิดปรกติและซุกซ่อนทรัพย์สินมากถึง 2,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 81,000 ล้านบาท)
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ซึ่งเป็นคนจุดพลุข่าวนี้ยังให้รายละเอียดว่า มารดาวัย 90 ปีของเวินได้ลงทุนในบริษัทประกันผิงอัน อินชัวแรนซ์ กรุ๊ป มากถึง 120 ล้านดอลลาร์ ขณะที่บรรดาญาติสนิทมิตรสหายของเวินได้ถือครองหุ้นในบริษัทนี้รวมมูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์ แต่ทนายของเวินได้ปฏิเสธข่าวนี้ ด้านทางการได้เซ็นเซอร์ข่าวนี้ทันที อย่างไรก็ดี เวินกลับเดินเรื่องขอให้คณะโปลิตบุโรหรือคณะกรมการเมืองไต่สวนอย่างเป็นทางการเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง จากนั้นข่าวนี้ก็เงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ :  http://www.inpraiseofchina.com/wp-content/uploads/2014/07/Xi-Jinping.jpg
สี จิ้นผิง ที่มาภาพ : http://www.inpraiseofchina.com/wp-content/uploads/2014/07/Xi-Jinping.jpg
เมื่อ สี จิ้นผิง ขึ้นมาเป็นผู้นำจงหนานไห่รุ่นที่ 5 เมื่อปลายปี 2555 นอกจากจะเดินตามผู้นำรุ่นพี่ด้วยการลั่นกลองรบทำสงครามปราบปรามเหล่า “พยัคฆาและแมลงหวี่แมลงวัน” หรือนัยหนึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตคอร์รัปชัน ยักยอกเงินหลวง หรือผลาญเงินงบประมาณในโครงการที่เปล่าประโยชน์ ในทุกระดับชั้นและในทุกท้องที่ โดยไม่เห็นแก่หน้าค่าตาว่าเป็นใครหรือเป็นเด็กเส้นของใคร
แถมยังได้รื้อฟื้นการปกครองภายใต้หลักนิติรัฐของขงจื่อ เม่งจื๊อ หานเฟยหรือแมคเคียเวลลีแห่งแดนมังกร ที่เน้นว่า “ใครทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน” ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ปานไหนก็ตาม นั่นหมายความว่า ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่เยี่ยงเสือร้าย อันหมายถึงข้าราชการระดับสูงทั้งพลเรือนและทหาร ตลอดจนผู้นำระดับสูงภายในพรรค ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ นักการเมืองทั้งดาวรุ่ง-ดาวร่วง หรือตัวเล็กจ้อยดุจแมลงวันแมลงหวี่ ซึ่งก็คือข้าราชการระดับล่างทั่วไปที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เมื่อทำผิดก็จะถูกลงโทษหนักหน่วงมากขึ้น ไม่ใช่แค่ปลดจากตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงอาจต้องโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ไว้หน้าใครๆ ทั้งสิ้น
ที่ผิดไปจากอดีตผู้นำรุ่นก่อนๆ ก็คือ สี จิ้งผิง ไม่ได้พูดแค่ปากแต่ลงมือทำอย่างจริงจัง โดยวางแผนล้อมปราบเป็นขั้นตอนครอบคลุมเจ้าหน้าที่ทุกระดับ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตคอร์รัปชันแล้วหนีไปเสพสุขในต่างประเทศ เพียงแค่ 2 ปีที่ขึ้นมาเป็นผู้นำจง หนานไห่ สี จิ้นผิง ก็ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามคอร์รัปชันแห่งชาติจีนเผยว่า ปีที่แล้ว มีข้าราชการราว 10,840 ราย ถูกสอบสวนในข้อหาทุจริต เพิ่มขึ้นถึง 19.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันรวม 8,222 คดี มากกว่าเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 24 เปอร์เซ็นต์ โดย 82 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่ถูกตรวจสอบเกี่ยวข้องกับการรับสินบนเป็นเงินกว่า 50,000 หยวน (ราว 265,000 บาท) หรือยักยอกเงินหลวงเป็นเงินกว่า 100,000 หยวน (530,000 บาท) และผลการตรวจสอบพบว่ามีข้าราชการที่ทำผิดจริงจนถูกดำเนินคดีจำนวน 3,095 ราย เพิ่มจากปีก่อนหน้า 7.4 เปอร์เซ็นต์
ก่อนจะถึงขั้นตอนของการลงดาบฟันข้าราชการทุกระดับชั้นไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหาร สี จิ้นผิง ได้ทะยอยออก“บัญญัติ 100 ประการ” เพื่อเป็นแนวทางให้ข้าราชการทุกระดับนำไปปฏิบัติ จะได้เป็นเกราะป้องกันการทุจริตไปในตัว อาทิ ห้ามจัดงานเลี้ยงหรูหรา งดรับของขวัญราคาแพง ห้ามมีเมียน้อย ยกเลิกระบบอภิสิทธิชน ด้วยการจัดระเบียบการใช้รถประจำตำแหน่ง ปฏิรูประเบียบว่าด้วยการคัดเลือกคนไปฝึกอบรมหรือเดินทางดูงานในประเทศและต่างประเทศ ตรวจสอบการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และการปฏิบัติงานในฐานะผู้บริหาร อาทิ ค่าสมาชิกคลับ ค่าสันทนาการและการดูแลสุขภาพ
อาศัยจังหวะเหมาะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของแดนมังกรเมื่อปี 2554 เริ่มหดตัวมากที่สุดในรอบ 23 ปี ขณะที่หนี้รวมของรัฐบาลท้องถิ่นสูง 13 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 12 ล้านล้านหยวน ผู้นำหมายเลข 1 ในจงหนานไห่จึงได้โอกาสสั่งปรับลดเงินเดือนและอภิสิทธิ์ของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจราว 30 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันที่มีรายได้สูงสุดไม่เกินปีละ 6 แสนหยวน (ราว 3.1 ล้านบาท) ทั้งยังสั่งตัดลดงบประมาณฟุ่มเฟือย ตลอดจนสั่งระงับแผนก่อสร้างหรือซ่อมแซมบูรณะสถานที่ราชการ โรงแรมสำหรับข้าราชการ สถานที่จัดการประชุม ตลอดจนการก่อสร้างสถานีรถไฟ เป็นเวลา 5 ปี หลังจากรัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งได้ใช้งบอีลุ่ยฉุยแฉกไปกับการตกแต่งอาคารสถานที่อย่างสุดแสนวิจิตรอลังการเกินตัว ดังกรณีของเมืองฟู่หยาง มณฑลอานฮุย หนึ่งในมณฑลยากจนที่สุดในประเทศ ซึ่งได้ผลาญงบประมาณกว่า 30 ล้านหยวน (ราว 152 ล้านบาท) ก่อสร้างศูนย์ราชการขนาดใหญ่ ภายในตกแต่งอย่างหรูหราประดับผนังด้วยทองคำและโคมไฟระย้า เลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส จนมีการเรียกขานในเชิงประชดประชันว่าเป็น “ทำเนียบขาวของจีน” ฯลฯ คำสั่งห้ามก่อสร้างนี้คลุมไปถึการงุบงิบก่อสร้างโดยอ้างว่าได้รับบริจาคหรือมีผู้ให้การสนับสนุน หรือร่วมมือกับบริษัทเอกชนในโครงการก่อสร้าง
ข้าราชการคนใดกล้าฝ่าฝืน “บัญญัติ 100 ประการ” นี้ก็จะถูกลงโทษหนักถึงประหารชีวิต หรือเบาลงมาหน่อยก็แค่จำคุกตลอดชีวิต ปรากฎว่าตลอดช่วง 2 ปีนี้มีข้าราชการระดับสูงหลายคนรวมไปถึงรัฐมนตรีถุูกประหารชีวิตเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ใครทำตาม
หลังจากใช้มาตรการค่อยๆ ล้อมคอก ตะล่อมจับปลาซิวปลาสร้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น ท้ายสุด สี จิ้นผิง ผู้สวมวิญญาณเป็นบู๊สี เจ้าตำหนักจงหนานไห่ แข่งกับบู๊สง ผู้เยี่ยมยุทธ์และมีขวัญกล้าสะกดคำว่าหวาดกลัวไม่เป็น กระทั่งสามารถฆ่าเสือด้วยมือเปล่า จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานวีรบุรุษผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซาน ก็สามารถพิชิตเสือร้ายตัวเป้งที่สุดในประวัติศาสตร์รอบร้อยปี
โดยอภิมหาหัวโจกการทุจริตคอร์รัปชันไร้เทียมทานที่ฉาวโฉ่ที่สุดแห่งยุคที่ถูกสี จิ้นผิง พิชิตได้ด้วยกลยุทธ์ค่อยๆ โอบล้อมทีละนิดๆ เหมือนยุทธวิธี “ป่าล้อมเมือง” จากวงนอกกระทั่งสามารถทะลวงถึงหัวใจได้ก็คือ โจว หย่งคัง อดีตผู้นำหมายเลข 3 แห่งทำเนียบจงหนานไห่ ที่ถูกจับ จากนั้นถูกขับออกจากพรรคและถูกฟ้องเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2557 ที่ผ่านมาในสารพัดข้อหาตั้งแต่ทำผิดวินัยพรรคอย่างร้ายแรงซึ่งหมายถึงการคอร์รัปชัน ใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อหาประโยชน์ให้ครอบครัวและคนสนิทอย่างน้อย 300 คน รับสินบนก้อนใหญ่โดยตรงหรือผ่านครอบครัว ชู้รัก และคนสนิท ทำให้ประเทศสูญเสียผลประโยชน์และทรัพย์สินมหาศาล ผิดศีลกาเมฯ กับผู้หญิงหลายคนผ่านการใช้อิทธิพลอำนาจและเงิน ที่สำคัญก็คือเปิดเผยความลับของพรรคและรัฐ พร้อมกันนี้ ทางการยังได้อายัดทรัพย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในชื่อของคนในครอบครัวและคนสนิทรวมแล้วกว่า 90,000 ล้านหยวน หรือกว่า 450,000 ล้านบาท ได้ด้วยมือเปล่า