คนไทยคงจะคุ้นกับชื่อของ Carnegie (คาร์เนกี้) โดยเฉพาะมูลนิธิที่ทำการกุศลทั่วโลกตลอดเวลา วันนี้ขอย้อนประวัติไปทำความรู้จักกับชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ที่ต่างกับคนรวยทั่วไป คือ เขายังคงเป็นที่รัก ด้วยน้ำใจที่มีต่อส่วนรวมมากกว่าความลุ่มหลงในกองเงินกองทอง จนเป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้
en.wikipedia.org
Andrew Carnegie เกิดจากครอบครัวผู้อพยพจากหมู่บ้านเล็กๆ ในสก็อตแลนด์ มาเผชิญโชคในอังกฤษ ในปี 2387ครอบครัวของเขาเข้ามาทำงานเป็นช่างทอผ้า ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของอังกฤษ จนกระทั่งมีการปฏิวัติอุสาหกรรม มีการนำเครื่องจักรทอผ้าไอน้ำมาใช้แทนแรงงานคน ครอบครัว Carnegie ต้องตกงาน พ่อของเขาต้องตระเวนไปทั่ว เพื่อวิงวอนของานทำ
บ้านเล็กๆ ในสก็อตแลนด์อันเป็นที่กำเนิดของเด็กอพยพ Carnegie
Wikimedia Commons
Wikimedia Commons
เขาเขียนถึงเหตุการณ์นี้ว่า “ผมคิดอยู่เสมอว่าความเจ็บปวดของพ่อ สามารถเยียวยาได้ถ้าผมเติบใหญ่ขึ้น”
เมื่อถึงจุดต่ำสุดครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอาศัยบ้านญาติ ซึ่งแบ่งห้องนอน1 ห้องให้ทุกคนในครอบครัวนอนยัดเยียดรวมกัน ส่วนตัวเขาต้องไปทำงานเฝ้าหม้อไอนน้ำของเครื่องจักร ตอนอายุเพียง 13 ปี ซึ่งเขาเล่าว่ามันทำให้เขาฝันร้ายอยู่เสมอว่าหม้อไอน้ำนั้นระเบิดใส่ตัวเขา
สภาพเด็กที่ต้องไปทำงานโรงงาน
New York Public Library
New York Public Library
ต่อมา Carnegie เปลี่ยนอาชีพมาทำ พนักงานส่งเอกสาร ในสำนักงานโทรเลข หลายปีที่ทำงานที่นี่เขาพยายามทำความรู้จักบุคคลสำคัญของเมือง และได้ขยับขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่โทรเลข นอกจากนี้ยังรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่คุมรางรถไฟ และได้รับเงินค่อนข้างดี ทั้งยังทำกำไรให้แก่เส้นทางรถไฟสายนี้ตลอด 10 ปีต่อมา
en.wikipedia.org
จากรายได้ที่มากขึ้น Carnegie เริ่มทำสิ่งที่ต่างจากพ่อแม่ที่ขายแรงงาน นั่นคือการลงทุน สร้างตู้นอนของขบวนรถไฟเป็นครั้งแรก ด้วยเงิน 217 เหรียญ แต่ทำเงินกลับมาถึงปีละ 5,000 เหรียญ เขายังได้ลงทุนในการสร้างสะพานข้ามรถไฟด้วย และมันทำเงินปีละ 2,400 เหรียญ
en.wikipedia.org
เมื่อฐานะดีขึ้นเขาย้ายมายังสหรัฐฯ ที่ซึ่งแม่ของเขาสามารถพักในห้องสูทราคาแพงบนย่านแฟชั่นได้ ส่วนตัวเขาได้เข้าลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ตั้ง Carnegie Steel Company และกว่าสิบๆปีผ่านไปธุรกิจของเขาก็ขยายเป็นอาณาจักรใหญ่ จากนวัตกรรมใหม่ที่เขานำมาปรับใช้
John Inghan นักประวัติศาสต์ชื่นชมว่า ความอัจฉริยะในการสร้างเนื้อสร้างตัวของ Carnegie คือ วิสัยทัศน์ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกล่วงหน้า
Wikimedia Commons
ปี2440 เขากลับไปยังสก็อตแลนด์บ้านเกิด แล้วซื้อคฤหาสน์หลังมหึมา ที่ถูกเรียกขานว่า “สวรรค์บนดิน” และอีก 3 ปีต่อมา บริษัทของ Carnegie เพียงแห่งเดียวผลิตเหล็กกล้าได้มากกว่าที่ประเทศอังกฤษทั้งประเทศผลิตได้
Wikimedia Commons
ปี 2444 Carnegie ในวัย 66 ปี ขายกิจการเหล็กกล้าของเขาให้แก่กลุ่มทุน JP Morgan ในราคา 480 ล้านเหรียญ (16,800 ล้านบาท) และทำให้ Morgan บอกกับเขาว่า ยินดีด้วย ตอนนี้คุณเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกแล้ว
Wikimedia Commons
เขามีคติประจำใจว่า “คนที่ตายไปกับความร่ำรวย คือคนที่น่าสมเพช” ดังนั้นเขาจึงอุทิศชีวิตที่เหลือ 18 ปี ไปกับการช่วยเหลือผู้อื่น เขาบริจาคเงินสร้างห้องสมุด 3,000 แห่ง และสวนสาธารณะ ใช้เงินเพื่อส่งเสริมการศึกษา ศิลปะ และสันติสุขของโลก ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาตายจากโลกนี้ไป โดยทิ้งความดีมากมายให้โลกระลึกถึง
commons.wikimedia.org
นี่แหละคนรวยที่สุดในโลก ที่อยู่ในใจคนมาจนถึงปัจจุบันนี้ แชร์เรื่องนี้ให้เพื่อนคุณได้รู้จักเขาด้วยสิครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น