ฟรีแลนซ์: เมื่อทุกอย่างแม่งโดนรีทัช
(ขอโทษนะคะที่พูดคำว่าแม่ง)
---
เวลา:
ส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวละครหล ักในหนังเรื่องนี้คือ “เวลา” ซึ่งเป็นแกนกลางของสรรพสิ่ง ตั้งแต่เปิดเรื่องจนถึงจบ หนังเปิดเรื่องด้วยข้อมูลจา กสาธารณสุขว่า “คนเราควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง” ซึ่งข้อมูลนี้ก็ถูกล้มล้างด ้วยการทำลายสถิติของยุ่นซึ่ งทำสถิติอดนอนสูงสุด 5 วัน
หลังจากนั้นเราจะเห็น “นาฬิกา” หลอกหลอนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ราวกับโลกใบนี้ถูกควบคุมด้ว ย “เวลา” และทุกคนก็ไม่ต่างจากทาสที่ ต้องปฏิบัติตามเจ้านายล่องห นที่ตัวเองมองไม่เห็น
บทสนทนาส่วนใหญ่ของยุ่นกับเ จ๋ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องขอ ง “เวลา” ซึ่งจะต้องทำงานให้ทันตามกำ หนดส่ง พอยุ่นถามเจ๋ว่า “แฟนมึงนี่เลือกแล้วใช่ไหม” เจ๋ก็ตอบว่า “ไม่มีเวลาไปหา ก็อยู่แต่กับมึงนี่แหละ”
การพบกันของยุ่นกับหมออิมก็ ถูกกำหนดด้วย “เวลา” จะคุยกันนานนักก็ไม่ได้ เพราะเวลาระหว่างหมอกับคนไข ้ถูกกำหนดไว้แค่นั้น ยังมีคนไข้คนอื่นรอคิวอีกเย อะแยะ (ฉะนั้นคนไข้จึงควรรีบถกจู๋ ให้หมอตรวจนะคะ)
และสุดท้าย ก็เป็น “เวลา” นี่เองที่เกือบเป็นมัจจุราช มาเอาชีวิตของยุ่นไป
“เวลา” จึงไม่ใช่เวลาเฉยๆ แต่มันได้ถูกอะไรบางอย่างใน สังคมทุนนิยมและสังคมเมืองร ีทัชมันให้กลายเป็นสิ่งศักด ิ์สิทธิ์ที่ต้องปฏิบัติตามอ ย่างศิโรราบ อาจเพราะจำนวนของผู้คนที่มา กมายในเมือง (เหมือนในโรงพยาบาล) อาจเพราะการแข่งขันที่ใครทำ ได้ดีกว่าเร็วกว่าก็จะเป็นผ ู้ชนะ “เวลา” จึงเป็น “ของมีค่า” ที่มีค่าเกินกว่าที่เราจะใช ้มันไปกับการนอน จ้องดวงอาทิตย์ตกดิน หรือกระทั่งเดินสยาม (รวมถึงพี่สุชาติที่ไม่มีเว ลาถอดหมวกกันน็อก)
กระทั่งการมีแฟนก็ยังเป็นเร ื่อง “เสียเวลา” อย่างที่ยุ่นถามเจ๋ว่า “มีแฟนนี่มันไม่เสียเวลาเหร อวะ”
“เวลา” จึงไม่เพียงเป็นเงินเป็นทอง แต่มันแทบจะเป็นทุกอย่างของ ชีวิต เป็นโอกาส เป็นอนาคต เป็นช่องทางของการเอาชนะ และอื่นๆ อีกมากมายที่มีคุณค่า มนุษย์ในโลกใบนั้นจึงไม่ต้อ งการ “มีเวลา” แต่ต้องการ “ใช้เวลา” เพื่อทำอะไรที่มีประโยชน์ มีคุณค่า ในมุมของเขา
ยุ่นจึงมองโลกใบนี้ด้วยการว ัดหน่วยเวลาเป็น “ปริมาณงาน” ที่เขาจะทำได้ อย่างที่เขาคำนวณการเสียเวล าเป็น "งาน" ที่สามารถลบสิว อัพนม ได้กี่จุด กี่เต้า
ยุ่นอาจคิดหน่วยเวลาเป็น “งาน” แต่สิ่งที่แฝงฝังอยู่ในงานน ั้นคืออีกหลายสิ่งที่ถูก "รีทัช" ผนวกรวมเข้าไปใน “งาน” ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ ชื่อเสียง การเป็นที่หนึ่ง รางวัล การเอาชนะคนอื่น การได้รับการยอมรับ (เหมือนรางวัลโฆษณาที่ตั้งเ รียงรายเป็นแบ็กกราวนด์ตอนท ี่เขาคุยกับพี่เป้งที่เอเจน ซี่)
ในโลกใบนี้ “เวลา” มิได้มีหน่วยเป็นวินาที นาที ชั่วโมง แต่มันมีหน่วยเป็นคุณค่าเหล ่านั้น ยุ่นจึงไม่ยอมสูญเสียมันไปเ พื่อแลกกับการบูรณะฟื้นฟูร่ างกายของตัวเอง เพราะเขาอยู่ในโลกที่เวลาถู ก “รีทัช”
...
ร่างกาย:
ชอบอาชีพของพระเอกมาก มือรีทัชที่คอยขัดถูให้ผิวห นังคนอื่นเรียบเนียน แต่ตัวเองกลับมีผื่นขึ้นเห่ อเต็มไปหมด ส่วนตัวคิดว่า “การรีทัช” ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในห นังเรื่องนี้ เพราะมันคือการกลบเกลื่อนคว ามจริง และสร้างภาพลวงตาขึ้นมา แล้วพวกเราก็อยู่กับภาพลวงจ นเผลอคิดไปว่ามันคือความจริ ง ทั้งที่หลายสิ่งในชีวิตนั้น ไม่ใช่ “ความจริง” แต่อย่างใด แต่เราชินกับมันจนมันกลายเป ็น “ความจริง” ของชีวิต
โมเมนต์การตัดสินใจว่าจะนอน ให้ตรงเวลาที่หมอกำหนดหรือจ ะรีทัชเล็บน้องนางแบบให้สวย งาม สะท้อนให้เห็นว่า ยุ่นไม่ได้เป็นเจ้านายของตั วเอง คำว่า “ฟรีแลนซ์” ที่แปลว่า “อาชีพอิสระ” นั้น มิได้เป็นอิสระเหมือนชื่อขอ งมัน ความยึกยักยึดยื้อในช่วงเวล านั้นเหมือนการชักกะเย่อกัน ระหว่างตัวเอง (ที่ต้องดูแลตัวเอง) กับเจ้านาย-ซึ่งไม่ได้หมายถ ึงแค่ผู้ว่าจ้าง แต่ยังหมายถึงคู่แข่งในสายอ าชีพ โอกาสที่จะหายไป ความยอมรับในตัวเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกหล่อหลอ มขึ้นมาจากความเป็น “ฟรีแลนซ์” ซึ่งต้องแบกรับภาระและความร ับผิดชอบเหล่านี้ไว้กับตัวเ อง
ยุ่นจึงใช้เวลาไปกับการรีทั ชร่างกายคนอื่นมากกว่าที่จะ มาใส่ใจกับร่างกายตัวเอง เพราะเขาไม่ได้เป็นเจ้าของร ่างกาย และเขาไม่ได้เป็นอิสระ
...
ร่างกายภายใต้บงการหมอ:
เมื่อไปอยู่ในโรงพยาบาล ร่างกายของยุ่นก็ตกอยู่ภายใ ต้บงการของหมอ สั่งให้เปิดเสื้อ หันหลัง กระทั่งถอดกางเกงก็ต้องทำตา ม นี่คือความสัมพันธ์เชิงอำนา จในโรงพยาบาล ที่คนไข้ตกอยู่ภายใต้บงการข องหมอเสมอ
สถานะเหนือกว่า-ต่ำกว่าระหว ่างคนไข้กับหมอในหนังเรื่อง นี้น่าสนใจ เพราะมันค่อยๆ แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นระนาบ เดียวกัน กระทั่งหมอบอกคนไข้ว่า “เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ เป็นเพื่อนกันแล้ว” ความสัมพันธ์ตรงนี้น่าสนใจม าก และทำออกมาได้ดีมาก (เชื่อว่าผู้ชายหลายคนฝันถึ งคุณหมอแบบนี้ ผู้หญิงก็ด้วยแหละ) เพราะมัน “เซอร์เรียล” มาก ถ้าว่ากันตามประสบการณ์การห าหมอที่เราเคยผ่านกันมา แต่หนังสามารถเล่าความสัมพั นธ์ “เซอร์เรียล” นี้ให้เชื่อว่าจริงได้ ให้เชื่อว่ามีหมอแบบนี้อยู่ บนโลกใบนี้ด้วย หมอที่พูด “แม่ง / เสือก / กวนตีน” เป็นกันเองสุดๆ ใครจะไม่รักหมอแบบนี้ได้ลงคอ (อันนี้เป็นคาแรกเตอร์ในหนั ง ซึ่งสนุกและดูเป็นเพื่อนกัน ดี แต่แน่นอนว่าความเป็นกันเอง อาจไม่ต้องพูดคำหยาบก็ได้ ผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่ต้องตกใจ ไป)
ฉะนั้น ทั้งชีวิตของยุ่นจึงไม่ได้เ ป็นเจ้าของร่างกายของตัวเอง เลย ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน กระทั่งตอนหลับ งานก็ยังตามไปหลอกหลอนให้ต้ องตื่นขึ้นมาทำ ที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ “ร่างกาย” ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เป็ นเจ้าของ “ความคิด” ของตัวเองด้วย
ทั้งร่างกายและความคิดของยุ ่นอยู่ภายใต้โครงสร้างความค ิดและระบบบางอย่างที่กำหนดค ุณค่าให้เขาต้องใช้ชีวิตไปต ามนั้น โดยไม่เหลือพลังและเวลามานั ่งตั้งคำถามกับโครงสร้างล่อ งหนที่ว่า หรืออาจจะไม่มีทางเลือกก็เป ็นได้
...
คนป่วย:
นับเป็นบทสนทนาที่ทั้งน่ารั กและน่าเศร้าในคราวเดียวกัน ตอนที่หมออิมพยายามอธิบายว่ าการตรวจคนไข้ก็ไม่ต่างจากก ารที่คุณทำงาน เราต่างก็อยากทำงานให้ออกมา ดีที่สุด พร้อมบอกว่าหมอกับคนไข้ก็คื อเพื่อนร่วมงานกัน (ตรงนี้ก็เจ๋งอีกแล้ว) ทำให้เราเห็นว่าไม่ว่ามือรี ทัชหรือว่าหมอก็ถูกคุณค่าขอ งการงานกดดันให้ทำให้ดีที่ส ุดเช่นกัน เหมือนตอนที่หมอรู้สึกเฟลมา กที่วินิจฉัยโรคให้หลานลุงค นนั้นผิด จนต้องได้รับการรักษาจากยุ่ นบ้าง ทำให้เห็นว่าในชีวิตที่ต้อง แบกรับความกดดัน ความรับผิดชอบ และต้องทำให้ดีที่สุดตลอดเว ลา เราต่างก็เป็น “คนป่วย” ด้วยกันทั้งนั้น
...
ปากกาไฮไลท์เข็มฉีดยา:
(ชอบมุกรูปปั้นเซอร์ไอแซ็ก นิวตันโคตรๆ) ตอนที่ยุ่นไปหาของขวัญปีใหม ่ให้หมออิม โดยมีเกณฑ์ว่า “มีอะไรที่เป็นส่วนผสมของศิ ลปะและวิทยาศาสตร์บ้าง” ตรงนี้ทั้งตลกและทั้งเศร้า เขาคาดหวังว่า “ปากกาไฮไลท์รูปเข็มฉีดยา” จะช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่า ง “ศิลปะ” และ “วิทยาศาสตร์” ได้บ้าง
และนั่นเป็นเพียงครั้งเดียว ในเรื่อง ที่ยุ่นพยายามจะเข้าหา “คน” โดยไม่มีโหมดคิดเรื่อง “งาน” อยู่ในหัว
ที่จริงแล้ว ห้องตรวจเล็กๆ ห้องนั้นไม่ได้รักษา “ร่างกาย” แต่เยียวยา “จิตใจ” ของยุ่นต่างหาก เพราะมันเป็นเพียงสถานที่เด ียวและช่วงเวลาเดียวเท่านั้ นที่เขามีโอกาสได้ “แลกเปลี่ยน” กับมนุษย์อีกคนในฐานะเพื่อน มนุษย์ (แม้มีโอกาสกับเจ๋บ้าง แต่ก็มีเพียงเศษเสี้ยวระหว่ างการตามงานอีก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์)
เพราะหมออิมไม่ได้ตรวจ “โรค” แต่ตรวจ “คน”
ไม่ได้ถามไถ่ “อาการ” แต่ถามไถ่ “ชีวิต”
ปากกาไฮไลท์เข็มฉีดยาจึงไม่ เพียงเชื่อม “ศิลปะ“ กับ “วิทยาศาสตร์” แต่มันยังเป็นอุปกรณ์เชื่อม ช่องว่างระหว่างยุ่นกับอีกค นหนึ่งซึ่งไม่ได้ปฏิสัมพันธ ์กันด้วยงาน
...
หนังเรื่องนี้ได้จำลองโลกขอ งคนป่วย สังคมที่เต็มไปด้วยคนป่วยที ่ไม่รู้ตัวว่าป่วย ป่วยเพราะหมกมุ่นกับคุณค่าแ ละแรงกดดันที่ไม่อาจปฏิเสธจ ากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ทุ่มเทร่างกายและจิตวิญญาณใ ห้กับคุณค่าที่ถูก “รีทัช” ขึ้นมาจนไม่มีเวลาให้กับ “ความจริง” ง่ายๆ อย่างการนั่งคุยกัน มองตากัน สัมผัสมือกันและกัน
ความจริงง่ายๆ ที่เยียวยากันและกันได้
ห้องตรวจนั้นจึงเหมือนเป็นโ อเอซิสในชีวิตอันแห้งแล้ง เป็นพื้นที่แห่งการเยียวยา มิเพียงของคนไข้ แต่ยังรวมถึงของตัวหมอเอง หากมีโอกาสได้เล่าเรื่องราว ของตัวเองให้ “เพื่อนร่วมงาน” (คนไข้) ฟัง
ด้วยสถานะเช่นนี้ หมอจึงไม่ได้ทำหน้าที่ “หมอ” และไม่ได้เห็นคนไข้เป็น “ลูกค้า” หรือ “วัตถุ” ที่ต้องซ่อมแซมให้กลับมาใช้ งานได้ หรือ “การงาน” ที่ต้องทำให้เสร็จๆ ไป
ทั้งคู่จะกลายเป็น “มนุษย์” ที่ปฏิสัมพันธ์กันอย่างสิ่ง มีชีวิตที่มีหัวจิตหัวใจ
เมื่อนั้นหมอเองก็จะได้รับก ารเยียวยาไปพร้อมๆ กัน เมื่อปฏิสัมพันธ์กันบน “ความจริง” ที่ไม่ได้ถูก “รีทัช” โดยระบบ การงาน หน้าที่ เงินเดือน อำนาจ สถานะ และอีกสารพัดสิ่ง
หมอก็ไม่ใช่หมอ คนไข้ก็ไม่ใช่คนไข้ แต่ต่างเป็นเพื่อนกัน
ร่วมทุกข์ร่วมสุข แชร์ชีวิต แชร์ความทุกข์กัน
...
“พื้นที่เยียวยา” เช่นนี้หาได้ยากยิ่งในสังคม เมืองปัจจุบัน โอกาสและเวลาที่เราจะได้นั่ งคุย บอกเล่าอาการของความทุกข์ใน ชีวิตให้อีกคนหนึ่งฟังนั้นห าได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ละคนพยายามจะ “รีทัช” ตัวเองให้ดูดี แข็งแรง แข็งแกร่ง และเก่งกาจ ผ่านทั้งทางภาพถ่าย สเตตัส และการแสดงออกผ่านการบริโภค สิ่งต่างๆ (ซื้อรองเท้ากีฬาแล้วโพสต์ส เตตัสว่า "รองเท้าใหม่ ชีวิตใหม่")
เราต่างปกปิดความทุกข์และคว ามห่วยแตกของตัวเองเอาไว้ และรีทัชกลบเกลื่อนมันด้วยร อยยิ้มใสๆ
ไม่มีพื้นที่ให้ความทุกข์
ไม่มีเวลาให้ความทุกข์ในสัง คมนี้
หากมีความทุกข์ จงแก้ไขมันด้วยการทำงานหนัก
ทำแม่งให้ลืมไปเลยว่ากำลังท ุกข์
...
สังคมจึงเต็มไปด้วยคนป่วยที ่ไม่รู้ตัวว่าป่วย ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับคุณค ่าที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ทั้งสิ่งที่เรียกว่าความสำเ ร็จ การเอาชนะคะคาน การแข่งขัน การได้เป็นคนเก่ง คนเจ๋ง เสียงปรบมือชื่นชม เงินทอง เงินเดือน โอกาสที่ดีขึ้น เมื่อวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล ่านั้นที่ถูกปั้นแต่งให้ดูส วยงามน่าไขว่คว้านานมากขึ้น เท่าไหร่ก็ยิ่งหลุดออกมาได้ ยากขึ้นเท่านั้น
เมื่อใช้เวลาไปกับสิ่งเหล่า นั้นมากขึ้น ก็มีเวลาให้กับผู้คนที่สัมพ ันธ์ด้วยน้อยลง
ญาติสนิทมิตรสหายค่อยๆ หล่นหายไปจากชีวิต รู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในห้ อมล้อมของรางวัลที่ตัวเองไม ่อยากได้
เราไม่สามารถใช้ชีวิตกับ “ความจริง” ที่ไม่มีความหมายที่ถูกสร้า งขึ้นมาให้เลิศเลอได้อีกต่อ ไป
“ความจริง” อย่างการนั่งดูพระอาทิตย์ตก จึงไม่มีค่า
“ความจริง” อย่างการเดินสยามเพื่อเดินส ยามจึงไร้ประโยชน์
“ความจริง” อย่างการไปทะเลจึงไม่รู้สึก ผ่อนคลาย
เพราะใจเราติดอยู่กับ “ความหมาย” ที่สังคมหล่อหลอมให้เราให้ค ุณค่ากับมัน
รวมถึง “ความจริง” อย่างการยอมรับว่าตัวเองเป็ นทุกข์ เปล่าเปลี่ยว และต้องการใครสักคน (หรือหลายคน) มานั่งข้างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนทุกข์สุขกัน เราไม่สามารถยอมรับ “ความจริง” นี้ได้ จึงพยายามกลบเกลื่อนมันด้วย “ความหมาย” บางอย่างที่แลกมาด้วยการทำง านหนัก ไม่ต่างจากการ “รีทัช” แผลเป็นหรือร่องรอยอันไม่น่ าดู ไม่สมบูรณ์แบบให้เลือนหายไป
เราได้ภาพที่ดูน่าพอใจ
แต่เรารู้ดีแก่ใจว่าความจริ งก่อนหน้ารีทัชมันเป็นอย่าง ไร
“ฟรีแลนซ์” เผยให้เราเห็นถึงความไร้อิส ระในชีวิตของมนุษย์เมือง เห็นคนป่วยและสังคมป่วยๆ พร้อมหยิบยื่น “พื้นที่เยียวยา” มานำเสนอ
คำถามที่ผมได้ยินหนังเรื่อง นี้เอ่ยถามก็คือ
คุณมีโอกาสได้เปิดเผย “ผื่น” ของคุณให้ "เพื่อน" ดูครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
และคุณมีความสุขดีอยู่ไหม กับการนั่งรีทัชตัวเองทุกวั น?
(ขอโทษนะคะที่พูดคำว่าแม่ง)
---
เวลา:
ส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวละครหล
หลังจากนั้นเราจะเห็น “นาฬิกา” หลอกหลอนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง
บทสนทนาส่วนใหญ่ของยุ่นกับเ
การพบกันของยุ่นกับหมออิมก็
และสุดท้าย ก็เป็น “เวลา” นี่เองที่เกือบเป็นมัจจุราช
“เวลา” จึงไม่ใช่เวลาเฉยๆ แต่มันได้ถูกอะไรบางอย่างใน
กระทั่งการมีแฟนก็ยังเป็นเร
“เวลา” จึงไม่เพียงเป็นเงินเป็นทอง
ยุ่นจึงมองโลกใบนี้ด้วยการว
ยุ่นอาจคิดหน่วยเวลาเป็น “งาน” แต่สิ่งที่แฝงฝังอยู่ในงานน
ในโลกใบนี้ “เวลา” มิได้มีหน่วยเป็นวินาที นาที ชั่วโมง แต่มันมีหน่วยเป็นคุณค่าเหล
...
ร่างกาย:
ชอบอาชีพของพระเอกมาก มือรีทัชที่คอยขัดถูให้ผิวห
โมเมนต์การตัดสินใจว่าจะนอน
ยุ่นจึงใช้เวลาไปกับการรีทั
...
ร่างกายภายใต้บงการหมอ:
เมื่อไปอยู่ในโรงพยาบาล ร่างกายของยุ่นก็ตกอยู่ภายใ
สถานะเหนือกว่า-ต่ำกว่าระหว
ฉะนั้น ทั้งชีวิตของยุ่นจึงไม่ได้เ
ทั้งร่างกายและความคิดของยุ
...
คนป่วย:
นับเป็นบทสนทนาที่ทั้งน่ารั
...
ปากกาไฮไลท์เข็มฉีดยา:
(ชอบมุกรูปปั้นเซอร์ไอแซ็ก นิวตันโคตรๆ) ตอนที่ยุ่นไปหาของขวัญปีใหม
และนั่นเป็นเพียงครั้งเดียว
ที่จริงแล้ว ห้องตรวจเล็กๆ ห้องนั้นไม่ได้รักษา “ร่างกาย” แต่เยียวยา “จิตใจ” ของยุ่นต่างหาก เพราะมันเป็นเพียงสถานที่เด
เพราะหมออิมไม่ได้ตรวจ “โรค” แต่ตรวจ “คน”
ไม่ได้ถามไถ่ “อาการ” แต่ถามไถ่ “ชีวิต”
ปากกาไฮไลท์เข็มฉีดยาจึงไม่
...
หนังเรื่องนี้ได้จำลองโลกขอ
ความจริงง่ายๆ ที่เยียวยากันและกันได้
ห้องตรวจนั้นจึงเหมือนเป็นโ
ด้วยสถานะเช่นนี้ หมอจึงไม่ได้ทำหน้าที่ “หมอ” และไม่ได้เห็นคนไข้เป็น “ลูกค้า” หรือ “วัตถุ” ที่ต้องซ่อมแซมให้กลับมาใช้
ทั้งคู่จะกลายเป็น “มนุษย์” ที่ปฏิสัมพันธ์กันอย่างสิ่ง
เมื่อนั้นหมอเองก็จะได้รับก
หมอก็ไม่ใช่หมอ คนไข้ก็ไม่ใช่คนไข้ แต่ต่างเป็นเพื่อนกัน
ร่วมทุกข์ร่วมสุข แชร์ชีวิต แชร์ความทุกข์กัน
...
“พื้นที่เยียวยา” เช่นนี้หาได้ยากยิ่งในสังคม
เราต่างปกปิดความทุกข์และคว
ไม่มีพื้นที่ให้ความทุกข์
ไม่มีเวลาให้ความทุกข์ในสัง
หากมีความทุกข์ จงแก้ไขมันด้วยการทำงานหนัก
ทำแม่งให้ลืมไปเลยว่ากำลังท
...
สังคมจึงเต็มไปด้วยคนป่วยที
เมื่อใช้เวลาไปกับสิ่งเหล่า
ญาติสนิทมิตรสหายค่อยๆ หล่นหายไปจากชีวิต รู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในห้
เราไม่สามารถใช้ชีวิตกับ “ความจริง” ที่ไม่มีความหมายที่ถูกสร้า
“ความจริง” อย่างการนั่งดูพระอาทิตย์ตก
“ความจริง” อย่างการเดินสยามเพื่อเดินส
“ความจริง” อย่างการไปทะเลจึงไม่รู้สึก
เพราะใจเราติดอยู่กับ “ความหมาย” ที่สังคมหล่อหลอมให้เราให้ค
รวมถึง “ความจริง” อย่างการยอมรับว่าตัวเองเป็
เราได้ภาพที่ดูน่าพอใจ
แต่เรารู้ดีแก่ใจว่าความจริ
“ฟรีแลนซ์” เผยให้เราเห็นถึงความไร้อิส
คำถามที่ผมได้ยินหนังเรื่อง
คุณมีโอกาสได้เปิดเผย “ผื่น” ของคุณให้ "เพื่อน" ดูครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
และคุณมีความสุขดีอยู่ไหม กับการนั่งรีทัชตัวเองทุกวั
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น