วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

3 นักเศรษฐศาสตรชี้ทางรอดไทยสู่บริบทใหม่ทางศก. หนุนการเติบโตอย่างยั่นยืน

updated: 18 ก.ย. 2558 เวลา 18:16:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
3 นักเศรษฐศาสตร์หัวกระทิ เสนอบริบทใหม่ของเศรษฐกิจ กับการเติบโตของไทยในอนาคต ด้านเศรษฐพุฒิ คกก.กนง.ชี้ ไทยต้องเพิ่มศักยภาพ โดยเพิ่มสังคมเมืองเพิ่มการบริโภคของประเทศ และแก้ระบบจัดการ 4 ด้าน ด้าน "รพี สุจริตกุล"กลต.เสนอพัฒนาตลาดทุนดึงนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ "กิตติพงษ์ จากเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ชี้ต้องปฏิรูปด้านภาษียกแผงสู่การพัฒนาศักยภาพประเทศ
ด้านที่สอง คือ ขาดด้านการประสานงาน โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐ รัฐกับเอกชน วิชาการ ทั้งที่ 3 หน่วยงานนี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนา

ด้านที่สามคือ การติดตามผล ซึ่งควรมีหน่วยงานที่มารับผิดชอบชัดเจน เพราะปัจจุบันประเทศไทยขาดการติดตามผล ในการทำแผนงานต่างๆ แต่ไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรงๆ หรือมีก็ทำกันหลายหน่วยงาน ไม่ชัดเจน ทำให้การแก้ไข หรือการกำหนดนโยบายต่างๆไม่สามารถทำได้เต็มที่

และด้านที่สี่ คือ การขาดความต่อเนื่องในการทำนโยบาย เพราะเมื่อรัฐบาลเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยน กลายเป็นปัญหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องปรับปรุง

ด้านนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวถึงบริบทใหม่ของระบบการเงินว่าจะมีสิ่งใดที่เป็นโอกาส หรือช่วยเพิ่มการเติบโตให้ประเทศได้ว่า Regionalization ในตลาดทุน จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุน และผู้ประกอบการที่จะมีทางเลือกในการลงทุนเพื่อเพิ่มผลประกอบการมากขึ้น หรือเพิ่มรายได้จากการลงทุนมากขึ้น

ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนคงเทียบไม่ได้กับประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูง เชื่อว่าการมีความเชื่อมโยงของภาคการเงินขึ้นแล้วโดยเฉพาะตลาดทุนอาจจะมีทั้งโอกาสและมีความเสี่ยงตามมา อยู่ที่เราจะปรับตัวกับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

"การเชื่อมโยงในตลาดทุน จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ คงไม่เฉพาะไทย แต่การทำเรื่องแบบนี้ไม่มีทางได้อย่างเดียว เมื่อเปิดก็จะต้องเป็นได้และเสีย การจะทำอย่างไรให้เข้ามามากขึ้น ต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันของตัวเอง ซึ่งมีทั้งการวางสถานะตัวเองให้ชัดเจน บุคลากร โครงสร้างพื้นฐานแข่งขันได้หรือไม่ การบังคับใช้กฎหมาย และผู้กำกับดูแล ทุกสิ่งต้องมาแข่งกันเพื่อให้ตลาดทุนไทยสามารถแข่งขันได้" นายรพี กล่าว

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีสถานะที่ชัดเจนเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะประโยชน์ของแต่ละประเทศจากการเชื่อมโยงในตลาดทุนนั้นมีไม่เท่ากัน โดยประเทศที่มีระดับการพัฒนามากกว่า และเปิดกว้างกว่าก็จะกลายเป็น Hub ได้ นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ต้องสร้างจุดเด่นและมี Internation Profile เพื่อเพิ่มมูลค่า เพราะการมีแต่ domestic product จะขาดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ขณะเดียวกันเห็นว่ากลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ คือการเข้าไปเกาะกลุ่มกับ ASEAN 5 เพื่อเป็นเครือข่ายให้มีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

ทั้งนี้เห็นว่า Strategic Position ของตลาดทุนไทยในระดับภูมิภาคนั้น จะต้อง 1.เป็นจุดที่เชื่อมโยงระหว่างกิจการใน GMS ที่ต้องการทุนกับนักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการลงทุนในภูมิภาคนี้ 2.กิจการไทยต้องเข้าถึงแหล่งทุนที่หลากหลายขึ้น เพิ่มโอกาสการลงทุนให้นักลงทุนไทย และประเทศเพื่อนบ้านสามารถใช้ตลาดทุนไทยเป็น springboard ในการเติบโตได้ 3.มีช่องทางระดมทุนในรูปแบบต่างๆ รองรับ เช่น หุ้นทุน, หุ้นกู้, Infrastructure trust, REIT เป็นต้น และ 4.Success case คือ Baht Bond ที่ได้รับความสนใจจาก issuers ทั้งภาครัฐและเอกชนจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ดี มองว่ายังมีความท้าทายจาก Regionalization ของตลาดทุนไทย คือ การพัฒนาและรักษากฎเกณฑ์/กติกาที่ได้มาตรฐานสากล, การประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ foreign regulators, กฎเกณฑ์ด้าน investor protection ที่เชื่อมโยงกับ cross border activities, ความรู้ความเข้าใจของผู้ขายและผู้ลงทุนต่อสินค้าที่มีความเสี่ยงมากขึ้น และสุดท้ายผู้ประกอบธุรกิจยังไม่ค่อยรุกออกไปแสวงหาโอกาสในพื้นที่ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหม่ ตลาดใหม่ ลูกค้าใหม่ รวมทั้งธุรกิจใหม่

ขณะที่ นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกับบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจจะต้องมีการปฎิรูปภาษีทั้งระบบ รวมถึงปฎิรูปกระบวนการจัดทำกฎหมายของไทย ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาใช้กระบวนการจัดทำกฎหมายไทยซึ่งใช้เวลากว่า20-22 เดือน กว่าที่จะมีการแก้ไขกฎหมายได้

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.)ได้เสนอการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องแก้ไขกฎหมายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ไม่เช่นนั้นถ้ามีการเลือกตั้งใหม่แล้วจะไม่สามารถที่จะแก้ไขกฎหมายได้เพราะไปขัดประโยชน์กับผู้มีอิทธิพล

ทั้งนี้กฎหมายที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ เช่นกฎหมายธุรกิจต่างด้าว กฎหมายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และกฎหมายที่สนับสนุนให้คนไทยไปต่างประเทศ รวมถึงการปฎิรูปภาษี และการปฎิรูปกระบวนการการขออนุญาตการเข้ามาประกอบธุรกิจการค้าการลงทุนได้อย่างสะดวกมากขึ้นจากเดิมจะต้องใช้เวลายุ่งยากกว่า 3 เดือน ลดลงเหมือนสิงคโปร์ที่ใช้เวลาแค่ 3 วัน ในขณะเดียวกันก็ควรมีการบังคับใช้กฎหมายไทยให้ถูกต้องด้วย

"คนไทยจะมองว่าการแก้ไขกฎหมายธุรกิจต่างด้าว หรือการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน จะถูกมองว่าเป็นการขายชาติ แต่ทุกวันนี้ก็มีนอมินีเข้ามาครอบครองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้ถูกต้องให้ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้มีการเก็บภาษีได้ ดีกว่าไปหลบเลี่ยงภาษีกัน" นายกิตติพงศ์กล่าว

นายกิติพงศ์กล่าวว่า การปฎิรูปภาษีจะต้องทำให้ภาษีลดลงที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มฐานภาษีให้มากขึ้น จากปัจจุบันมีคนเสียภาษี 10.5 ล้านคน จากจำนวนประชากรที่ได้รายได้ 35 ล้านคน และต้องสร้างแรงจูงใจและจิตสำนึกให้คนเข้ามาเสียภาษี มากขึ้น นอกจากนี้ควรมีการจัดทำข้อมูลให้ทุกคนขึ้นทะเบียนผู้เสียภาษี และมีการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบให้ประโยชน์ผู้เสียภาษีด้วย ซึ่งการปฎิรูปภาษีสามารถที่จะยึดโมเดลภาษีของสิงค์โปรมาใช้ได้เลย เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเป็นแบบไร้พรมแดนแล้ว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น