วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

คุยกับ "วินัย วีระภุชงค์" ในวัย 81 ปี กับการพา "ไทยนครพัฒนา" ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ

updated: 24 ก.ย. 2558 เวลา 10:59:39 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หลังเก็บตัวเงียบมาพักใหญ่ เมื่อธุรกิจยาและธุรกิจโรงแรมถูกมรสุมกระหน่ำหลายครั้งหลายครา ทั้งที่เกี่ยวพันกับคดีทุจริตของนักการเมือง และการถอดสูตรยา"พีพีเอ" กระทบต่อ "ทิฟฟี่" ยาตัวหลักของบริษัท หรือแม้แต่โรงแรมที่กรุงพนมเปญ กัมพูชาถูกเผา แต่เมื่อทุกสิ่งผ่านการพิสูจน์ "วินัย วีระภุชงค์" ประธานกลุ่มไทยนครพัฒนา บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเวชภัณฑ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีโอกาสเล่าถึงธุรกิจ ระหว่างการไปร่วมสัมมนาที่โรงแรมโซฟิเทล อังกอร์ โภคีธรา กอล์ฟแอนด์ สปา รีสอร์ท เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

"วินัย วีระภุชงค์" วัย 81 ปี หน้าตาสดใสดูอ่อนกว่าอายุ สุขภาพยังแข็งแรงดี

ประโยคแรกที่เอ่ยเมื่อถามถึงธุรกิจ 

"ผมไม่ได้หวังอะไร ผมสม่ำเสมอ โรงแรมที่พนมเปญถูกเผาผมยังเฉย ๆ เลย มันเผาไปแล้ว คิดอะไรล่ะ" ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

วินัย เริ่มต้นเล่าถึงการขยายธุรกิจของไทยนครพัฒนาในอาเซียนว่า ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเวลานี้ได้เข้าไปลงทุนหมดแล้วทั้ง 10 ประเทศ และมั่นคงดีด้วย "คือก่อนจะเข้าไปก็ดูว่าแต่ละประเทศฐานของเราเป็นยังไง ไม่ได้คิดเรื่องผลประโยชน์อย่างเดียว เราต้องดูกำลังของเราด้วย คนของเราพร้อมไหม เราอยากทำธุรกิจก็อย่าเลือกทุกข์ ถ้าทุกข์ ไม่เอา ในเวียดนามเรามีโรงงานยา มีนำยาเข้า กัมพูชาก็เช่นกัน อินโดนีเซียเราต้องดูเราแข็งแรงพอไหม ทีมพร้อมไหม ถ้าไม่พร้อมเราก็ไม่ไป ไปแล้วทุกข์กังวล ก็อย่าไป"

"ธุรกิจ หลักของผมอยู่ในกรอบโรงงานยากับโรงแรม ผมชอบทำและผมมีความสุขส่วนน้ำดื่ม (ยี่ห้อลีออง) เป็นสินค้าใหม่ มีโรงงานที่เวียดนามและในกัมพูชา เป็นธุรกิจที่บังเอิญ ทีแรกลูกน้องเขาทำแล้วไปไม่ได้ เราเลยเอามาทำ บังเอิญว่ามันดีและโตขึ้นมาก" ซึ่งวินัยหมายถึงยอดขายที่ขายได้ปีละ 200 ล้านบาทเลยทีเดียว

เมื่อถามว่าระหว่างนี้ลดบทบาทในบริษัทลงไปมากจะ วางมือแล้วหรือ ? ประธานไทยนครพัฒนากล่าวปนหัวเราะ "ไม่วางหรอก แต่ให้คำปรึกษาแทน ส่วนคนที่ลงมือทำคือลูก ๆ หลาน ๆ เราจะทำตลอดคงไม่ได้ ลูกและหลานเขาก็เข้าใจนโยบาย ตอนนี้ลูก ๆ หลาน ๆ ก็ใจบุญ ธรรมะกันหมด"

"ผม บอกเสมอว่านโยบายหลักของเรา คือ ซื่อสัตย์ เห็นใจลูกน้อง ยิ่งกับคนจนความเป็นอยู่เขาน่าสงสาร คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ผมมีโอกาสมาทำยาขาย ก็พยายามทำดีที่สุดเพื่อให้ได้ยาดีแก่ประชาชน และราคาที่ดี ไม่เอาเปรียบ บอกดีคือดี สำหรับที่กัมพูชาหลังจากโรงแรมถูกเผา ก็มีคนมาร่วมหุ้น 5% ตอนนี้ 4 ธุรกิจที่นี่อยู่ได้ รัฐบาลเขาให้เกียรติเรามาก เขาว่าเรามาช่วยพัฒนา นี่คือสิ่งที่เราภูมิใจและผมตั้งใจไว้ ผมต้องการจะสร้างสิ่งที่ดี ๆให้เขา เมื่อประเทศเขาเจริญ เราก็ได้ด้วย ตอนแรกที่จะมาลงทุนคนเตือนเรื่อย โอ้ย...กัมพูชาอย่ามาเลย แต่ผมเห็นว่าจะรบกันไปจนตายเหรอ ไม่มีทางหรอก ผมจึงมาลงทุน"

หากเจาะลึกลงไปในธุรกิจที่มีอยู่ขณะนี้ไทยนครพัฒนายึด หัวหาดกลุ่มประเทศอินโดจีนและอาเซียนในธุรกิจยาไปหมดแล้ว กรอบหลักอีกอันคือธุรกิจโรงแรม ซึ่งนอกเหนือจากกลุ่มโภคีธราและรีสอร์ต 3 แห่งที่เสียมเรียบ พนมเปญ ประเทศกัมพูชา และที่ จ.กระบี่ ประเทศไทยแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการขยายโรงแรมในประเทศไทยไปในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่อง เที่ยวใหญ่ ๆ ปีละ 2 แห่งเป็นอย่างน้อย ไม่จำเป็นต้องระดับ 5 ดาว โดยปลายปีนี้พุ่งเป้าสร้างโรงแรมขนาด 3 ดาวที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งอยู่ระหว่างการดูพื้นที่วินัยมีคำแนะนำสำหรับการทำธุรกิจ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเอง "คุณต้องมองออกว่าที่ที่คุณจะทำธุรกิจ ทำแล้วไปได้ ยั่งยืนไหม คำว่า "เสี่ยง" มันต้องมี ถ้าคุณเสี่ยงแล้วเดือดร้อนก็ไม่ถูก ไม่ควรลงทุน แต่ถ้าเสี่ยงแล้วเอ้อ...ไม่เดือดร้อน คุณลงทุนไปสิ การลงทุนมันเสี่ยงหมดแหละ แต่ถ้าเสี่ยงแล้วเสียหายอย่าไปเสี่ยง"

"ถามผมนะ เขมรตอนนี้แน่นไปหมดแล้วแหละ แต่ธุรกิจท่องเที่ยวยังน่าลงทุน แต่ก่อนเหรอไม่มีอย่างนี้หรอก ทั้งเสียมเรียบทั้งพนมเปญไม่มีอะไร แต่ตอนนี้โรงแรมที่เสียมเรียบมี 20,000 ห้องได้ แขกมาเที่ยวปีหนึ่งคนละครั้งก็พอแล้ว เหลือแหล่ หรือถ้าคุณมีแบรนด์สินค้าดี ๆ จะมาลงทุนก็ยังมาได้อยู่นะ"

มาถึงคำถามยอดฮิต ยอดขายของไทยนครพัฒนา วินัยบอกว่าไม่ได้เพิ่มมากขึ้น เป็นปกติเท่าเดิม ดูจะอ่อนลงจากเดิมนิด ๆ ด้วยซ้ำไป "แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ค่อยหนักใจ ผมคิดว่าธุรกิจต้องคิดดี ถ้าคิดดีถึงทำ ถ้าไม่ดีจะแก้ยังไง เพราะฉะนั้น จะมายังไงผมไม่สน เพราะผมคิดไว้หมดแล้ว แก้แบบนี้รับได้ไหม ถ้ารับได้ก็จบ ไม่กังวลไม่ทุกข์"

"ผมถือว่ายอดขาย ขายมากขายน้อยไม่ติดใจ แต่ผมคิดว่าขายยังไงให้ประชาชนพึงพอใจ แล้วเราอยู่ได้ ผมไม่คิดว่ายอดขายเยอะ ส่วนแบ่งตลาดเยอะ เราดีใจ ไม่ใช่ เพราะถ้าเราดีใจคนอื่นก็ต้องเสียใจ ไม่เอา หลักการเป็นอย่างนี้ นโยบายเป็นอย่างนี้ ไปตรงไหนก็สบายใจหมด"

"สิ่งที่น่าห่วงตอนนี้ผม ห่วงคนรากหญ้าไม่มีเงิน ถ้ามีงานทำเขาก็มีเงิน ข้อสำคัญถึงแม้เขาไม่มีเงินแต่ต้องได้สินค้าดี ๆ ราคาถูก ซึ่งสินค้าเราคุณภาพดีและราคาก็ถูกกว่าฝรั่งเยอะ เราไม่ขึ้นราคายา คงเดิมขนาดราคาเดิมยังขายไม่ค่อยจะได้" (หัวเราะเสียงดัง)

ในสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวไปทั้งโลกวินัยบอกว่า ได้แต่หวังว่ามันจะดีขึ้น เมื่อถามว่าเมื่อไหร่ เขาบอกไม่รู้ "อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เพราะเรายังไม่รู้มันจะยังไง ดีไม่ดีเราไม่ได้ขายคนเดียว ขยันหน่อยก็จบ 

"เศรษฐกิจ มันไม่ใช่ดีตลอด มันมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา เหมือนคลื่น ในเมื่อเราตั้งใจทำดีแล้ว มันไม่ดีก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำแล้วมันไม่ดี นั่นแหละจะเสียใจ" ประธานไทยนครพัฒนากล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น