วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทำงานประจำให้เป็น รักงานได้ แต่อย่ารักบริษัท เพราะบริษัทไม่ได้รักคุณ

พวกเราทำงานประจำกันอย่างไร เราทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลาให้คนรอบข้าง เรารักงานที่เราทำ เรารักบริษัทที่เราทำ แต่รู้ไหมว่าบริษัทที่คุณถวายชีวิตทำงานให้ ไม่เคยรักคุณกลับเลย ดังนั้นเรามาปรับความพอดีในการทำงานกันเถอะ

     "Love you job but don't love your company, because you may not know when your company stops loving you" Dr. APJ Abdul Kalam แนวคิดสำหรับพนักงานประจำที่กำลังทำงานถวายชีวิต หามรุ่ง หามค่ำ ให้กับบริษัท ด้วยความรักบริษัทและต้องการความก้าวหน้า แต่ปัญหาคือเมื่อคุณเจ็บป่วย หรือมีปัญหาชีวิตขึ้นมา บริษัทไม่เคยมีหน้าที่ จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือคุณ และพร้อมจะหาคนใหม่มาแทนคุณได้ทันที แต่เป็นครอบครัว คนรัก และเพื่อน ที่จะเข้าช่วยเหลือคุณ ดังนั้นเราจึงอยากแนะนำให้คุณรักในงานของคุณได้ แต่อย่ารักบริษัทที่คุณทำมากเกินไป จงแบ่งเวลาและกลับบ้านตรงเวลา อย่าทุ่มเวลาทั้งชีวิตให้กับบริษัทเพียงอย่างเดียว เพราะเหตุผลเหล่านี้

1. งานเป็นอะไรที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด (Never-ending process) ถึงคุณจะพยายามทำมันให้หมดทั้งคืน พรุ่งนี้คุณก็จะต้องเจอกับงานอื่นๆอีก

2. การเอาใจใส่ลูกค้าที่มีอยู่มากมายของคุณเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบริษัท แต่การเอาใจใส่ครอบครัวและคนรักของคุณ ก็สำคัญมากเช่นกันและมีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ 

3.  เมื่อคณมีความรัก หรือมีปัญหาชีวิต บริษัท, ท่านประธานกรรมการ, CEO, Director หรือลูกค้าสุดที่รักของคุณ ไม่สนใจที่จะช่วยเหลือคุณในเรื่องชีวิตส่วนตัว แต่คนที่ช่วยอยู่เสมอคือครอบครัวและเพื่อนๆของเรา

4. ชีวิตไม่ได้มีแค่งาน ลูกค้า และหัวหน้าเท่านั้น แต่การเข้าสังคม พบปะผู้คน พักผ่อน ออกกำลังกาย ก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตเช่นกัน อย่าปล่อยให้ชีวิตของคุณต้องว่างเปล่า บริษัทไม่เคยคิดจะอยู่ข้างคุณ นอกเวลางานอยู่แล้ว

5. บริษัทไม่ได้มองคนที่ทำงานถึงดึกๆทุกคืนว่าเป็นคนขยัน แต่บริษัทจะมองว่าคุณเป็นพนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำงานให้เสร็จภายในเวลางานได้
  
6. ถ้าคุณมีงานเยอะมาก และต้องทำงานดึกๆเป็นประจำเพราะทำไม่ทัน อย่าคิดว่าเป็นเพราะคุณไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะหัวหน้าของคุณต่างหากที่ไร้ความสามารถในการบริหารงาน 

     พวกเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องจักรครับ ดังนั้นในชีวิตของเราต้องมีอะไรมากกว่าแค่ทำงานให้เสร็จ เพื่อแลกกับเงินเดือนเท่ากันทุกเดือน ไม่ว่าคุณจะทำงานเยอะขึ้นแค่ไหน จะอยู่ดึกแค่ไหน เมื่อถึงวันนึงที่ร่างกายคุณเหนื่อยล้า เจ็บป่วย ไปทำงานไม่ได้ ใครกันแน่ที่อยู่ข้างเรา....

ที่มา: http://unlockmen.com/business/item/657-love-you-job-not-your-office.html


ขอโทษนะครับ คงไม่รังเกียจถ้าผมจะแชร์ความเห็นกับคุณด้วยนะครับ สิ่งที่คุณพูดมันก็ถูก จะว่าผิด มันก็ผิดนะครับ
ผมขอพูดในฐานะผมเป็นผู้บริหารและเป็นเจ้าของบริษัทคนนึงนะครับ.....

ก่อนอื่นผมบอกก่อนว่า ผมเป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 33 และเป็นคนที่ open หรือ totally opened mind person อยู่ในสังคมที่รายล้อมด้วยคนมากหน้าหลายตา มีการศึกษา และ อยู่ท่ามกลาง Western Attitude/Mind และบอกก่อนว่า ผมก็ไม่ได้จบ BBA หรือ อะไรที่เกี่ยวกับการบริหารมาเลยนะครับ

ถ้าเป็นองค์กรระดับใหญ่ สิ่งที่คุณพูดอาจถูก แต่ทำไมคุณไม่ลองนึกถึงว่า สุดท้ายแล้ว แนวทางและรูปแบบของบริษัท มันก็ขึ้นอยู่กับ ผู้บริหารที่เป็นผู้กำหนดทิศทาง และ รูปแบบ ขององค์กร ( Organization Direction / Organization Character )

องค์กรของผมก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มีพนักงานและผู้บริหารรวมกันก็ 30 +- นิดหน่อย แต่สิ่งที่ผมบอกพนักงานผมอยู่เสมอก็คือว่า ผมเห็นพวกเค้าเป็นทรัพย์สินของบริษัทอยู่เสมอ และ ผมก็รักและหวงทรัพย์สินของผมเป็นที่สุด ผมบอกเสมอว่า ทุกคนทุกตำแหน่ง มีความสำคัญกับผมเสมอ ผมไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ โดยที่ไม่มีพวกเค้า พวกเค้าคือฟันเฟืองที่สำคัญสำหรับผมเสมอ เราทำงานกันเป็นทีม และผมใช้ใจในการบริหาร และจะไม่ใช้อำนาจในการบริหารโดยเด็ดขาด ผมเอาใจพนักงานมาใส่ใจผมเสมอ และ ผมก็ขอให้พนักงานคิดในทางกลับกันว่า ถ้าพวกเค้าเป็นเจ้าของ เค้าจะคิดและทำยังไง สุดท้ายแล้วมันก็จะเข้าล็อกเลยว่า ใจเค้าใจเรา มันก็ลงตัวพอดี

ผมพูดเสมอว่า ผมใช้ใจในการบริหาร และ ยึดความถูกต้องมาก่อนเสมอ เพราะว่า ผมต้องแยกแยะ ระหว่าง คำว่า "ถูกต้อง และ ถูกใจ" ให้ชัดเจน เพราะถ้าเราเป็นผู้บริหารแล้ว แต่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างจะพัง แล้วยิ่งตลกเข้าไปใหญ่ว่า ความถูกต้องมักจะไม่ถูกใจอยู่บ่อยๆๆ ดังนั้นมันคือบททดสอบว่า เราสามารถก้าวข้ามจุดนี้ไปได้มั้ย ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าเป้นผู้บริหารดีกว่า แต่ถ้าทำได้ ก็เดินหน้าเต็มตัวเลย

ผมพูดกับพนักงานเสมอว่า ผมไม่ใช่คนรุ่นเก่าที่หงำเหงือกและใจแคบ ที่ผมพูดเช่นนี้ เพราะว่า บริษัทผมถูกบริหารมาโดยคุณพ่อผมและคุณอาของผม ซึ่งอายุก็ 60++ กันหมดแล้ว และ ถูกบริหารมาในระบบ family business ที่ยึดติดกับคำว่า ถูกใจต้องมาก่อนถูกต้องเสมอ แล้วพนักงานที่ผมรักทุกคน ก็ suffer หรือ อึดอัด กับระบบแบบนี้มานาน โดยระบบของคนจีน โบราณที่ใจแคบ และ เห็นแก่ตัว 

5-6 ปีก่อนที่ผมเข้ามาบริหารใหม่ๆๆ ผมรู้สึกได้เลยว่า แววตาทุกคนกำลังรอการเปลี่ยนแปลง และ ผมก็รู้สึกว่า คนรุ่นก่อนได้ทิ้งขี้ก้อนโตไว้ให้ผมอย่างเต็มตีน และ ผมก็ทนดูไม่ได้ที่ผมได้เสียคนดีๆๆไปเยอะเพราะคุณอาของผมที่ใจแคบ แต่คุณพ่อของผมเค้าใจกว้งพอสมควรแต่แกทำการตลาดอย่างหนักเพื่อหางานและรายได้เข้าบริษัท โดยที่ทิ้งให้คุณอาผมบริหารภายใน หรือ Admin Management ท้ายที่สุด ก็เลยเละเทะหนัก เพราะความโลภ เห้นแก่ตัว และ ใจแคบ ของคนคนนึงแค่นั้นเอง

มันเลยทำให้ผมถึงบางอ้อว่า เมื่อวันที่ผมก้าวขึ้นมาบริหารเต็มตัว โดยยึดหลัก CHANGE เท่านั้น ตอนแรกที่มีการเปลี่ยนแปลง หลายๆๆอย่างดูแย่หน่อย เพราะว่า บริษัท ไม่เคยมีระบบมาก่อน พอเราป้อนระบบที่ถูกต้องเข้าไป มันเลยติดๆๆขัดๆๆ แต่พอมันเข้าระบบ ทุกอย่างก็ smooth ครับ

ดังนั้น ผมกำลังจะสื่อว่า สำหรับผมแล้ว ผมรักพนักงานทุกคน และ บริษัทของผม ซึ่งผมเป็นคนวาง รูปแบบ (Character) และ แนวทาง (Direction) ของบริษัทไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ผมกล้าพูดแบบลุกผู้ชายว่า บริษัทผม และ น่าจะอีกหลายๆๆบริษัท ก็รักพนักงานครับผม 

การที่คุณทำงานหามรุ่ง หามค่ำ ก็ไม่ได้แปลว่า คุณจะถูกบริษัทรัก คุณก็พูดถูก แต่เมื่อไหร่ที่คุณมีใจให้บริษัท บริษัทก็จะเห็นถึงใจของคุณแน่นอน โดยแปลสภาพออกมาเป็น การขึ้นเงือนเดือนทุกปี ไม่ต่ำกว่า 10% ถึง 40% ต่อคน ขึ้นอยู่กับผลงาน(ใจของคุณ) , โบนัส ไม่ต่ำกว่า 2 เดือนเป็นอย่างน้อย ถึง 4 เดือน, ประกันชีวิตและอุบัติเหตุ ซึ่งไม่เกี่ยวกับประกันสังคมและ อื่นๆๆอีกมากมาย ทั้งนี้ ก็มาจากใจของคุณที่มีใจกับบริษัทนั่นเอง แล้วพองานเดิน เงินเข้า มันก็จะแปลสภาพออกมาในรูปนี้

ผมพูดอยู่เสมอว่า ผมไม่ใช่นายของพนักงานผมทั้งหลาย ผมก็เป็นลูกจ้างของบริษัทเหมือนๆๆพวกเค้า เราทุกคนเป็นลูกจ้างซึ่งถูกจ้างโดย "บริษัท" ที่ผมวางแนวทางไว้แล้ว และอีกอย่าง ผมพูดกับพนักงานเสมอว่า ห้องทำงานผมเปิดตลอดที่จะรับฟังพวกเค้า และ พร้อมที่จะช่วยเหลือในทุกๆๆด้านตามสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือ เรื่องส่วนตัว 

การที่คุณจะแบ่งเวลายังไงกับครอบครับ หรือ คนที่คุณรัก นั่นเป็นการบริหารการจัดการด้วยตัวคุณเอง ผมทำงาน ทุกวัน บางครั้งวันหยุด ผมก็ยังต้องทำงานบ้าง และ สิ่งสำคุญคือ ผมก็ต้องมานั่งแบกรับ ตัวเลขรายรับ-รายจ่ายให้มัน balance กันอีกด้วย แล้วคุณคิดว่า ผมจะไม่แย่กว่าคุณหรอครับ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ยังมีเวลาส่วนตัวกับครอบครัวได้ชิวๆๆ

ตามความเห็นผมตามข้อๆๆที่คุณแจงมานะครับ

1. คุณพูกถูกครับ แต่ถ้ามีใจกับมันแล้ว และ วางแผนจัดการงานดีๆๆ ทุกอย่างลงตัวครับ

2.คุณก็พูดถูกครับ แต่ แบ่งแยกดีๆๆระหว่าง คำว่า หน้าที่ กับ ความรับผิดชอบ แล้วคุณก็จะพบคำตอบครับ Professional and well plan

3.คุณก็พูดถูกอีกครับ แต่องค์กรผม ไม่ใช่เป็นแบบนั้นครับ และผมก็เชื่อว่า ยังมีอีกหลายองค์กรทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ ก็เป็นแบบผมครับ เหมือนที่ผมบอกว่า อย่าดูที่องค์กรครับ ให้ดูที่คนวางแนวทาง และ กำหนดทิศทาง ขององค์กรเป็นหลักครับ แล้วคุณจะเห็นภาพเองครับ

4. คุณก็พูดถูกอีกครับ แต่ ... ถ้าแนวทาง และ ทิศทางขององค์กร ถูกวางมาในอีกรูปแบบ มันก็จะไม่ใช่อย่างที่คุณพูด เช่น ผมมีการจัด outing ทุกปี , มีการ grouping เพื่ออกกำลังกายกันทุกสัปดาห์ ตีแบต , คลอดลูก บริษัท ช่วยค่าใช้จ่าย พร้อมผู้บริหารก็ให้เงินรับขวัญอยู่เสมอ , ญาติๆๆของพนักงานเสียชีวิต บริษัทก็เป็นเ้จาภาพให้เสมอ และอื่นๆๆอีกมากมาย..... เพราะ ไม่ไช่บริษัทรักทรัพย์สิน(พนักงานทุกคน)ของเค้าหรอครับ ?

5. ประสิทธิภาพ หรือ potential ของพนักงานไม่ได้อยู่ที่ทำงานได้ตรงเวลา ส่งงานตรงเวลา แต่อยู่ที่ว่ามีใจให้กับงาน และ รับผิดชอบงานแค่ไหนครับ

6.คุณก็พูดถูกครับ แต่ ถ้าหัวหน้า หรือ ผู้บริหารพยายามป้อนหรือสอนงานแบบเต็มตีน แต่คุณไม่รับ หรือ ใจไม่เอา ก็ไม่มีประโยชน์ครับผม potential ของผู้บริหารจิงๆๆอยู่ที่ว่า จะทำยังไงให้บริษัทเดินไปในทางที่ถูกต้อง และ รักษาทรัพย์สิน(พนักงานทุกคน)ให้อยู่คงไปตลอดแล้วเดินไปด้วยกัน และ โตไปพร้อมกับบริษัท ในทุกๆๆด้าน ไม่ว่า หน้าที่การงาน รายได้ ความรู้ และ อื่นๆๆอีกมากมาย

ท้ายที่สุดแล้ว You get what you give ครับผม และจำไว้ว่า "บริษัท" ซึ่งก็คือนายจ้างของผมและพนักงานทุกคน ไม่ไง่และหูตาไม่เคยบอดนะครับ "บริษัท" จะรับรู้ถึงใจ และ น้ำใจทุกๆๆคนได้อย่างดี แต่การที่บริษัทจะตอบแทนหรือแสดงออกถึงความรักที่มีต่อทุกๆๆคนได้ก็ต่อเมื่อพนักงานและผู้บริกหารทำงานกันด้วยใจ แบบ Well Plan and Well Organized ครับผม พนักงานทำงานด้วยใจ งานเดินลื่น เงินเข้า ขนาดองค์กรใหญ่ขึ้น ผมที่ออกมาก็คือ สวัสดิการทั้งหลาย ครับผม 

ผมยังมีอะไรอีกเยอะที่อยากจะแชร์ครับ แต่เดี๋ยวมันจะยาวไปครับ เอาเป็นว่า ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราครับผม และจำไว้ว่า "บริษัท" ที่ถูกวางแนวทาง และ ทิศทาง โดยผู้บริหาร ที่ใช้ใจ และ เอาใจเค้าใส่ใจเราเสมอ จะเป็น "บริษัท" ที่มองเห็นถึงใจพนักงานทุกคน เสมอ ครับ ...... เพราะมัน operate โดยใจ และ ความถูกต้อง โดยไม่มี ความถูกใจ เข้ามาเกี่ยวเลยครับ

ขอบคุณมากครับผม ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ แม้ผมจะอายุน้อย แต่ผมเจอมาเยอะพอสมควร ล้มและเจ็บมาไม่น้อยครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น