ระหว่างเส้นทางสู่ความสำเร็จ เรามักจะเกิดข้อสงสัยตลอดเส้นทางที่เราก้าวไป คนที่สามารถเคลียร์ข้อสงสัยให้ตนเองได้จึงประสบความสำเร็จ อาจจะฟังซีดี อ่านหนัง เข้าประชุม หรือปรึกษาอัพไลน์ที่ประสบความสำเร็จก็ได้ วันนี้ผมขอนำเสนอข้อสงสัยต่างๆทั้ง 15ข้อ (ตามความคิดส่วนตัวของผม)
1.ทำไมคนสมัครมาใหม่ๆก็ว่าดีชวนคนนั้นคนนี้ สักพักก็เลิก
ตอบ เกิดจาก 2 สาเหตุ
1.เชื่อว่าดี แต่ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ เลยชวน2 เลิก3 สมัครเข้ามาเพราะรู้สึกว่าได้ก็ดี (แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) ดูแล้วน่าจะสำเร็จยาก แต่ลองๆทำดูเผื่อดี
ตอบ เกิดจาก 2 สาเหตุ
1.เชื่อว่าดี แต่ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ เลยชวน2 เลิก3 สมัครเข้ามาเพราะรู้สึกว่าได้ก็ดี (แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) ดูแล้วน่าจะสำเร็จยาก แต่ลองๆทำดูเผื่อดี
บอกเลยถ้าลองๆทำ เดี๋ยวเดียวก็ลองๆเลิกดู เพราะทำแบบไม่เชื่อว่าทำได้ พอเจออุปสรรคนิดหน่อยก็เลิกเลย
เพราะความไม่เชื่อเลยออกแรงไม่เต็มที่ เหมือนเราไม่เชื่อว่าเราจะยกลังนี้ได้ เลยออกแรงไม่เต็มที่ พอยกไม่ขึ้นก็คิดว่า "กูว่าแล้ว"
เพราะความไม่เชื่อเลยออกแรงไม่เต็มที่ เหมือนเราไม่เชื่อว่าเราจะยกลังนี้ได้ เลยออกแรงไม่เต็มที่ พอยกไม่ขึ้นก็คิดว่า "กูว่าแล้ว"
คนส่วนใหญ่พอเห็นคนอื่นทำได้ ก็อยากได้บ้าง แต่ไม่ได้ศึกษาให้ท่องแท้ว่าที่เค้าทำได้ เค้าทำอย่างไร เค้าทำแบบไหน แล้วเค้าพยายามขนาดไหน เค้าถึงทำได้
ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงมักลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยทักษะและความสามารถเดิม จึงไม่สำเร็จอย่างที่หวัง เช่น คุณเป็นวิศวกร แต่อยู่ๆอยากเป็นหมอศัลยกรรม เพราะเห็นหมอศัลยกรรมรวยจัง อยู่ๆก็ลุกขึ้นเอาเครื่องมือของวิศวกร ทั้งปากกาเขียนแบบ ไม้บรรทัด มาผ่าตัดศัลยกรรมคนไข้ แล้วหน้าเค้าจะออกมาเป็นคนไหมเนี่ย
ต่อให้คุณจบปริญญาเอกด้านไหนมาก็ตาม แค่คุณอยากทำอาชีพใหม่ คุณยังต้องเรียนใหม่เลย ธุรกิจเลกาซีนี้เป็นอาชีพที่ใหม่สำหรับคุณ ดังนั้น ควรศึกษาให้เข้าใจเลกาซี ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจเลกาซี ผ่านระบบS55 ในช่วง 2-3 เดือนแรก อย่าเพิ่งคาดหวังผลลัพธ์ แต่หากได้ผลก็ถือว่ากำไรไป แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณเข้าใจธุรกิจเลกาซีจริงๆ และฝึกทักษะที่จำเป็นได้แล้ว ผมรับรองเลยว่าคุณจะสามารถสำเร็จได้อย่างที่คนสำเร็จเค้าทำได้เช่นกัน
2.ไม่เห็นความคุ้มค่า เพราะสมัครถูกเลยทิ้งง่าย ลองสมัครซัก 5,000,000 รับรองโดนปฏิเสธ 100คน ยังไม่เลิกเลย
หากลองคิดให้ดี เราลงทุนจ่ายค่าเล่าเรียน ลงทุนเวลา สิบกว่าปี เรียนจนจบปริญญาตรี ปริญญาโท แต่จบมารับเงินเดือนหลักหมื่น เรากลับทุ่มเทและอดทน แต่ในธุรกิจนี้สามารถทำให้เราเปลี่ยนชีวิตได้หลักแสนหลักล้าน ความทุ่มเท ความอดทน เราต้องมากกว่าเรียนปริญญาด้วยซ้ำ แถมยังได้รายได้แบบPassive Income ที่เราทำเสร็จแล้วหยุดก็ยังคงมีรายได้ นั่นคือเหตุผลที่คนสำเร็จ ทุ่มเท มุ่งมั่น อดทน จนคนรอบข้างหาว่าบ้า แต่ความจริงเพราะเขารู้ว่าถ้าสำเร็จแล้วคุ้มขนาดไหน
ยกตัวอย่าง หากวันนี้มีคนเสนอให้คุณเดินทางไปทำงานที่ฮ่องกง เป็นเวลา 3 ปี ให้เงินเดือน เดือนละ 30,000 บาท คุณอาจไม่รับข้อเสนอ แต่หากข้อเสนอคือให้เงินเดือน เดือนละ 3,000,000 บาท ผมว่าคุณคงรีบตอบรับทันทีเลยใช่ไหมครับ
สุดท้ายคนสำเร็จจะใช้กฎสถิติ ไม่ใช้กฎความคาดหวัง (หวังว่าเค้าจะทำ)
กฎสถิติว่าด้วยปริมาณ หากชวน 100คน ทำจริงแค่ 2 คน ยังได้เดือนละล้านได้เลย ต่อให้ถูกปฏิเสธ 98ครั้งก็ไม่เป็นไร
กฎสถิติว่าด้วยปริมาณ หากชวน 100คน ทำจริงแค่ 2 คน ยังได้เดือนละล้านได้เลย ต่อให้ถูกปฏิเสธ 98ครั้งก็ไม่เป็นไร
ผมสังเกตผู้คนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายระดับสูง รวมถึงตัวผมเองด้วย
ไม่ใช่ว่าเค้าเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จง่ายๆสบายๆ แบบ สมัครมา ลองใช้สินค้าประทับใจ บอกต่อใครก็ซื้อหมด ชวนใครก็ทำด้วย 3เดือนแสน ลาออกจากงานประจำ 12 เดือนล้าน ชีวิตเปลี่ยน
แต่ทุกคนจะมีช่วงล้มลุกคลุกคลาน ชวนคนไม่ได้ คนที่มีอยู่ก็หลับ ท้อจนถึงขีดสุด แต่ไม่เลิก มุ่งมั่นทำต่อเนื่องจนเป็นมืออาชีพ และประสบความสำเร็จ
ผมเคยถามตัวเองและคนเหล่านั้นว่าเพราะอะไร ช่วงที่ท้อสุดๆแต่ไม่เลิก พบว่า ทุกคนเข้าใจดีว่า การสร้างธุรกิจเครือข่ายคือ การสร้างทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้แบบ Passive ที่ง่ายที่สุดปลอดภัยสุดแล้ว จึงอดทนทำต่อ เพียงเพราะเห็นคุณค่าและความสวยงามของธุรกิจนี้
ชีวิตจริง หาเงินเดือนละแสนไม่ยากนะ แต่หาPassive เดือนละแสนไม่ง่ายนะ
เช่น เพื่อนผมทำงานเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ คือเป็นเซลล์ขายคอนโด คอนโดดีๆขายง่ายค่าคอมดี ขายเดือนละไม่กี่ห้องก็ได้เงินเป็นแสน โดยเฉพาะเป็นฟรีแลนซ์ขายมันทุกโครงการเลย
แต่การได้Passive เดือนละแสนจากคอนโดก็ไม่ง่าย เพื่อนผมลงทุนซื้อคอนโดปล่อยเช่า ห้องละ 2-3ล้าน เก็บค่าเช่าได้ 10,000-15,000บาทต่อเดือน เค้าทำมา 7-8ปีละ ตอนนี้มีเกือบ10ห้องให้เช่า เก็บค่าเช่าได้เดือนละแสนกว่าบาท เพียงแต่ยังเอามาใช้ไม่ได้ เพราะต้องเอาค่าเช่าไปผ่อนธนาคารก่อน จนกว่าจะหมดถึงเป็นของเรา หากมีเงินสดเลยสัก 20-30ล้าน แล้วซื้อสด ปล่อยเช่าอาจได้ค่าเช่าเลย แต่ปัญหาคือเงินสดไม่มี เลยไม่ง่ายที่จะได้
อีกตัวอย่างคือ เพื่อนอีกคนเล่นหุ้น จ้องหน้าจอทั้งวัน บางวันอารมณ์ดีบอกวันนี้กำไร 30,000บาท เรายังตื่นเต้นว่า หูยแบบนี้เดือนนึงก็900,000เลยสิ แต่อีกวันหน้าเบี้ยวเลยขาดทุน50,000
ในบางวันที่ดีก็ได้เป็นแสน จะเห็นว่าการหาเงินแสนจากการเล่นหุ้นไม่ยากเท่าไร
แต่การหาPassive จากหุ้นเดือนละแสนก็ไม่ง่ายนะ เหมือนเพื่อนอีกคนของผม เค้าทำงานประจำไปด้วย แต่หักเงินเดือนตัวเองเดือนละ 10,000บาท มาออมในหุ้น โดยทุกๆเดือนเค้าจะนำเงิน 10,000บาท ไปซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีมีปันผล เช่น หุ้นน้ำมันพืชบางตัว ปันผล 5-6% ต่อปี หุ้น ปตท. ปันผล4-5% ต่อปี สะสมไปเรื่อยๆ ดีกว่าฝากธนาคารดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเลยดิน ให้เงินทำงานเป็นปันผล
เพียง 10ปี ผ่านไป เค้าก็จะมีเงินออมในหุ้น 1,200,000บาท (ไม่รวมราคาหุ้นขึ้นหรือลง) ปันผลเฉลี่ย 5%ต่อปี เค้าจะได้ปันผล 60,000บาท ต่อปี (เฉลี่ย 5,000บาท ต่อเดือน)
ถ้าทำแบบนี้อีก 100ปี ก็คงมีปันผล 50,000บาท ต่อเดือน
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าหาเงินแสนไม่ยาก แต่หา Passive เดือนละแสนก็ไม่ง่ายเช่นกัน แถมอาจมีความเสี่ยงที่พบบ่อยอีกเช่น
ปล่อยเช่าคอนโด แต่ผู้เช่าเบี้ยวค่าเช่า แล้วหนีไปเลย ระหว่างหาผู้เช่ารายใหม่ไม่ได้ ก็ต้องควักเนื้อตัวเองผ่อนแบงค์ไปก่อน
ปล่อยเช่าคอนโด แต่ผู้เช่าเบี้ยวค่าเช่า แล้วหนีไปเลย ระหว่างหาผู้เช่ารายใหม่ไม่ได้ ก็ต้องควักเนื้อตัวเองผ่อนแบงค์ไปก่อน
หรือกรณีปันผลจากหุ้น หากเศรษฐกิจไม่ดี ผลประกอบการไม่เข้าเป้า ก็อาจมีการลดปันผลลงได้ เป็นต้น
คนที่เข้าใจเรื่องการสร้างทรัพย์สินดี จะเห็นว่า การสร้างเครือข่ายนั้น ปลอดภัยและปราศจากความเสี่ยง จึงไม่เลิกที่จะสร้างเครือข่าย จนสำเร็จเข้าสักวัน ตามคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิก"
คนที่ไม่เข้าใจเรื่องการสร้างทรัพย์สิน เวลาทำเครือข่ายไป3เดือน รายได้ยังไม่ถึงหมื่นบาทต่อเดือน ก็แอบคิดว่าเสียเวลา เราทำอย่างอื่น ได้เงินมากกว่านี้ตั้งเยอะ
ผมไม่เถียงเลย แต่ถ้าสิ่งที่คุณทำมันสร้างทรัพย์สินที่ก่อให้เกิด Passiveได้ง่ายกว่านี้ ปลอดภัยกว่านี้ล่ะก็ เลิกทำเครือข่ายเถอะ แต่ถ้าสิ่งที่ไปทำเป็นเพียงแค่ หาเงินได้ แต่ไม่ได้ Passive ผมว่าอย่าทิ้งเครือข่ายเลย
ผมเสียดายแทนอัพไลน์เก่าๆของผม ทั้งอัพไลน์ติดตัวผม อัพไลน์สูง ต่างชิงเลิกไปซะก่อน ผมคิดว่าพวกเค้าสอนผมมา แล้วผมทำได้เดือนละหลายล้าน พวกเค้าก็ต้องทำได้ ถ้าไม่เลิกไปซะก่อน
ขอให้วันนี้ คุณรู้ก่อนตอนนี้ แล้วไม่พูดว่ารู้งี้ตอนหลังนะครับ
2.ทำไมต้องเข้าเซนเตอร์ ?
ตอบ เป็นคำถามที่น่าสนใจ แต่หากถามกลับว่า แล้วคนที่ทำสำเร็จได้เงินเป็นแสนเป็นล้าน พวกเค้าชอบเข้าเซนเตอร์มั้ย ?
ตอบ เป็นคำถามที่น่าสนใจ แต่หากถามกลับว่า แล้วคนที่ทำสำเร็จได้เงินเป็นแสนเป็นล้าน พวกเค้าชอบเข้าเซนเตอร์มั้ย ?
คำตอบก็คงเหมือนเรา คือ "ไม่ชอบ"
อ้าว ถ้าไม่ชอบแล้ว เข้าเซนเตอร์ทำไม ? ทำไมไม่นอนอยู่บ้านหรืออกไปDiner หรู ก็ได้เงินตั้งเยอะแล้วนี่
แสดงว่าการเข้าเซนเตอร์ต้องสำคัญมากแน่ๆเลย พวกเขาถึงจัดเวลาเข้าเซนเตอร์ทุกสัปดาห์ แม้จะสำเร็จไปแล้วก็เถอะ
การเข้าเซนเตอร์นั้นไม่ใช่เพียงเพื่อมาเรียนรู้วิธีสร้างเครือข่ายเท่านั้น แต่เซนเตอร์คือเครื่องมือที่ช่วยทำให้เรา"สร้างธุรกิจได้มากกว่าแรงงานเราและความสามารถเรา"
ตัวอย่างเช่น ผมจบเภสัชฯ ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ก็เปิดใจเจ้าของธุรกิจไม่ได้ จนชวนพี่เค้ามาเซนเตอร์ เจอเจ้าของธุรกิจเหมือนเค้า มาแบ่งปันข้อคิด ประสบการณ์ พวกเค้าเข้าใจหัวอกเจ้าของธุรกิจเหมือนกัน ซึ่งผมไม่เข้าใจ ผมไม่เคยต้องลงทุนหลายๆล้านเพื่อสต๊อกสินค้า ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนลูกจ้างเป็นร้อยคนทุกเดือน ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อขยายสาขา ฯลฯ ที่เจ้าของธุรกิจเค้าคุยกัน สุดท้ายผมเปิดใจพี่คนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะผม แต่เพราะเซนเตอร์
การมาเซนเตอร์จึงไม่ใช่แค่มาเรียน แต่มาสร้างชีวิต ที่บางครั้งเราได้รับการแบ่งปันประสบการณ์จากคนอื่น บางทีเราก็ช่วยคนอื่นบ้างด้วยประสบการณ์ของเรา
เซนเตอร์จึงเป็นมากกว่าโรงเรียน มากกว่ามหาวิทยาลัย แต่เป็นเครื่องมือที่ผ่อนแรงให้เราสร้างธุรกิจได้มากกว่าความสามารถเรา
ดังนั้น ไม่มีคำว่า "รู้หมดแล้ว เรียนมาเยอะแล้ว" ออกจากปากผม เพราะผมไม่ได้มาเซนเตอร์เพื่อมาเรียนอย่างเดียว แต่มาสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ต่างหาก
ในบางครั้งที่เราต้องติดธุระจริงๆ เช่น ไปเที่ยวต่างประเทศครึ่งเดือน หรือมีงานแต่งญาติสนิท เป็นต้น ตัวเราอาจไม่ได้มาเซนเตอร์ แต่องค์กรของเราหลายสิบหลายร้อยคน เข้าเซนเตอร์ ทำให้ธุรกิจเราไม่สะดุด ยังคงเดินหน้าต่อ เพราะตัวเราไม่ได้เป็นสาเหตุของรายได้ แต่เซนเตอร์เป็นเครื่องมือในระบบที่ช่วยเป็นสาเหตุของรายได้แทนตัวเรา นี่คือสาเหตุที่ทำให้เราเกษียณได้
ช่วงแรกของการมาเซนเตอร์ เรามาเพื่อเป็นคนรับความรู้ เสมือนหนึ่งมาเรียนในคณะธุรกิจเครือข่าย
พอเราเริ่มประสบความสำเร็จ อัพไลน์จะให้เรามีบทบาทในการสอนเนื้อหาในเซนเตอร์ เสมือนเป็นครูผู้ช่วย
พอเราสำเร็จมากๆ องค์กรเราขนาดใหญ่ เราต้องแยกรอบเซนเตอร์ที่เป็นรอบของเราเอง เสมือนเราเป็นอาจารย์เต็มตัว แต่เป็นช่วงที่เราสร้างPassive ได้แล้ว
เพียงแต่ คนที่จะสอนได้ต้องเป็นมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่นักทฤษฎี เราจึงเรียนรู้คู่ลงมือทำ และกลับมาเรียนใหม่ จนประสบความสำเร็จ
ตามปกติถ้าเราอยากเป็นหมอ เราต้องสอบเข้าไปเรียนหมอ 6ปี จบมาเป็นหมอได้ อยากเป็นวิศวะต้องสอบเข้าไปเรียนวิศวะ 4 ปี จบมาเป็นวิศวะได้ เพราะอาชีพแต่ละอาชีพต้องการมืออาชีพมาทำงาน เมื่อเราสำเร็จการศึกษาก็ต้องมาหางานทำ หากจบมาแล้วไม่ทำงานก็ไม่ได้เงิน อดตาย หรือไม่ก็เกาะแม่กิน
แต่ในธุรกิจเครือข่าย เป็นอาชีพนึงที่ต้องการมืออาชีพเหมือนกัน ต่างกันตรงที่อาชีพนี้เรียนไปทำไป 3-5ปี เรียนจบมา ไม่ต้องหางานทำ รวยเลย มีPassive Income เลย. ต่อให้อยู่เฉยๆ ไม่อดตาย ไม่ต้องเกาะแม่กิน แถมเลี้ยงดูพ่อแม่ได้อีกด้วย
ดังนั้นการเข้าเซนเตอร์ก็คือการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย คณะธุรกิจเครือข่าย จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ล้มเหลวในธุรกิจเครือข่าย เพราะ ไม่เรียน แต่จะทำเลย
ลองคิดดู หากคุณป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัด คนผ่าตัดเราไม่เคยเรียนหมอเลย แค่อยากเป็นหมอ แต่ไม่เรียน เราจะให้เขาผ่าเราไหม ใครกล้าก็แสดงว่าอยากตายนั่นเอง
เคล็ดลับง่ายๆคือ เราต้องเรียนรู้ คู่การลงมือทำ เรียนไป ทำไป ปรับปรุงไป จนเป็นมืออาชีพ
ที่สำคัญการเข้าเรียนในเซนเตอร์สัปดาห์ละ 1-2 วัน ไม่จำเป็นต้องทำทั้งชีวิต เพราะ 3-5ปี พอเราสำเร็จเท่าที่เราต้องการ เราจะเกษียรได้เลย
ดังนั้น เราอดทน ยอมเหนื่อยมากขึ้นอีกนิด หลังเลิกงานประจำแล้วมาเรียนรู้ที่เซนเตอร์ แค่สัปดาห์ละ 1 วัน จนเราประสบความสำเร็จ
เราจะไม่ต้องทนตื่นเช้า ฝ่ารถติด เบียดเสียดบนรถไฟฟ้า ไปทำงานทุกวันอีกเลย ชั่วชีวิต
เรียกว่า "ลำบากชั่วคราวสบายชั่วโคตร"
ทุกวันนี้การที่ผมไปเซนเตอร์ทุกสัปดาห์ ไม่ใช่เป็นการทำงานเพื่อหาเงินอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นงานหลังเกษียณ เพราะไม่มีอะไรทำ อยู่บ้านทุกวันก็เบื่อ ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบไปเที่ยวเท่าไรนัก นานๆไปทีรู้สึกดี ไปบ่อยก็เหนื่อย ก็จะเน้นไปฟรีกับบริษัทก็หลายครั้งต่อปี
ดังนั้นการมาเซนเตอร์ของผม ทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่าในชีวิตที่เหลืออยู่ เราได้มาแบ่งปันประสบการณ์ ได้แนะนำสิ่งที่เรารู้สิ่งที่เราทำสำเร็จให้กับผู้คนที่มีความฝัน ความรับผิดชอบ ที่เค้าเลือกธุรกิจเครือข่ายเป็นเครื่องมือสู่ความสำเร็จ
เซนเตอร์เป็นเหมือนสมาคมของคนมีฝัน ทำให้ตัวเรามีคุณค่าที่ได้แบ่งปันความรู้ความสามารถ เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมาเป็นผู้รับ จากเซนเตอร์จนเราพลิกชีวิตได้ วันนี้เรามาเป็นผู้ให้บ้าง ทำให้มีความสุขและภาคภูมิใจมาก
ตอนผมทำงานประจำ ผมเคยถามเพื่อนร่วมงานว่า อยากทำงานประจำตลอดชีวิตหรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง
เกือบ 100% ตอบว่า อยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง เว้นพวกตอบกวนตีนกับคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบใครเท่านั้นที่อยากทำงานประจำเพราะมันสบายดี ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวเจ้านายก็สั่ง ไม่สั่งเราก็ชิว
แต่คนส่วนใหญ่มีพ่อมีแม่ที่อยากตอบแทนพระคุณ คนส่วนใหญ่วางแผนมีครอบครัว มีลูก มีสามีหรือภรรยาเป็นของตัวเอง จึงรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงฝันอยากรวย อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
คนอยากรวยส่วนใหญ่คือคนที่สำนึกรับผิดชอบ ตอบแทนคุณพ่อแม่ และดูแลครอบครัวให้ดี มีเงินช่วยเหลือสังคม
คุณก็คือคนคนนั้นใช่ไหม?
พอฝันกันเสร็จ ผมก็ถามเพื่อนๆว่า แล้วทำไมไม่ไปเริ่มทำธุรกิจของตัวเองล่ะ ?
คำตอบส่วนมากคือ ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ไม่รู้จะทำอะไรดี ผมพบว่าคนรวยที่ประสบความสำเร็จทุกคนส่วนใหญ่เริ่มด้วยคำตอบแบบเดียวกัน แต่เขามีวิธีคิดต่างกัน คือ Why กับ How
ข้อ3.ไม่มีเงิน
ตอบ
คนทั่วไปชอบใช้วิธีคิดว่า Why คือ "ทำไมเราถึงไม่มีเงินนะ?"
คำตอบของเขาคือ เราเกิดมาจน เราเงินเดือนไม่สูง เราความรับผิดชอบเยอะ เราไม่เก่ง เราไม่หล่อฯลฯ ล้วนคิดได้แต่ข้ออ้างแห่งความล้มเหลวล้วนๆ
ตอบ
คนทั่วไปชอบใช้วิธีคิดว่า Why คือ "ทำไมเราถึงไม่มีเงินนะ?"
คำตอบของเขาคือ เราเกิดมาจน เราเงินเดือนไม่สูง เราความรับผิดชอบเยอะ เราไม่เก่ง เราไม่หล่อฯลฯ ล้วนคิดได้แต่ข้ออ้างแห่งความล้มเหลวล้วนๆ
แต่คนสำเร็จใช้วิธีคิดว่า How คือทำอย่างไรเราจะมีเงินนะ ?
คำตอบอาจจะไม่ออกมาทันทีเหมือนตั้งคำถามว่า Why เพราะ "การคิดหาทางออก มันไม่ได้ง่ายเหมือนการคิดหาข้ออ้าง"
คำตอบอาจจะไม่ออกมาทันทีเหมือนตั้งคำถามว่า Why เพราะ "การคิดหาทางออก มันไม่ได้ง่ายเหมือนการคิดหาข้ออ้าง"
แต่คนสำเร็จจะถามย้ำๆกับตัวเองว่าทำยังไงๆๆๆๆ จนคิดออก แล้วเขาก็ลงมือทำ เช่น
ไปยืมแม่ดีกว่า
ไปกู้แบงค์ กู้สหกรณ์โรงงาน
ลองหารายได้เสริมดีกว่า
หรือชวนคนที่มีเงินมาหุ้นกับเราดีกว่า ฯลฯ
ไปยืมแม่ดีกว่า
ไปกู้แบงค์ กู้สหกรณ์โรงงาน
ลองหารายได้เสริมดีกว่า
หรือชวนคนที่มีเงินมาหุ้นกับเราดีกว่า ฯลฯ
สุดท้ายเค้าอาจล้มลุกคลุกคลาน ต้องลำบากกว่าคนที่ไม่คิดทำอะไร แต่ถ้าเขาอดทน สู้ไม่ถอย สุดท้ายเขาก็คือHero ของครอบครัว คือคนประสบความสำเร็จ คือคนที่เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่และครอบครัว เขาคือผู้ชนะ คือคนประสบความสำเร็จ คือคนรวยรุ่นแรกของวงศ์ตระกูล ไม่ใช่คนจนรุ่นที่ 55ของวงศ์ตระกูล
พวกเราเคยดูหนังดูละครใช่ไหม? เรื่องราวของคนสำเร็จหลายๆคนจะถูกนำมาสร้างเป็นหนังเป็นละคร ซึ่งตอนจบเขาประสบความสำเร็จ
เราไม่เคยเห็นหนังเห็นละครเรื่องไหนเอาเรื่องคนธรรมดาที่ใจไม่สู้มาทำใช่ไหม ที่ทั้ง 20ตอน
เริ่มตอนคือตื่นเช้า ฉากต่อมาวิ่งขึ้นรถไฟฟ้า ถึงที่ทำงาน เจ้านายด่า เพื่อนๆปลอบใจ เย็นกลับบ้าน เบียดคนบนรถไฟฟ้า ถึงบ้านกินข้าวนอน
ตื่นมาตอนที่2 คือฉากต่อมาวิ่งขึ้นรถไฟฟ้า ถึงที่ทำงาน เจ้านายด่า เพื่อนๆปลอบใจ เย็นกลับบ้าน เบียดคนบนรถไฟฟ้า ถึงบ้านกินข้าวนอน ไปตลอด 20ตอนแล้วก็จบเรื่อง ตอนแก่ตาย
วันนี้คนส่วนใหญ่ยังคงวนเวียนกับ "Why" ทำไมๆๆๆๆ อ้างๆๆๆให้ตัวเองจนและไม่ต้องพยายามทำไรเพิ่ม ผมเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน จนจุดเปลี่ยนของชีวิตผมคือวันที่เปลี่ยนวิธีคิด เป็น "How"
ผมอยากเปิดร้านขายยา ผมไม่มีเงิน กลับไปขอเงินแม่ แม่ไม่มี ผมคิดจะกู้ ก็ไม่มีหลักทรัพย์ไปค้ำและไม่มีใครยอมค้ำให้
คิดวนเวียนตลอดเวลา ปรึกษาเพื่อนๆ ก็ชวนให้เลิกคิดแล้วกลับมาจนเหมือนเดิม (แน่ล่ะ ถ้าเพื่อนรู้ว่าทำไงรวย เค้าก็รวยไแล้ว) จนเดินเข้าร้านหนังสือ เจอหนังสือเงินสี่ด้านและโรงเรียนสอนธุรกิจ ซื้อมาอ่าน
อ่านจบ ปิดร้านขายยาทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดเลย
สุดท้ายธุรกิจเครือข่ายคือทางออกของคนอย่างเรานี่เอง ไม่ต้องลงทุนเป็นแสนเป็นล้าน แค่หลักร้อยหลักพัน เราพอมี หากไม่มี ขอยืมแม่ก็พอได้ ต่อให้ทำยังไม่สำเร็จก็ไม่ต้องปิดกิจการ เพราะไม่มีค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ ค่าลูกจ้าง
แบบนี้ผมสำเร็จชัว(แต่ไม่รู้จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง)
ผมใช้เงินเก็บที่พอมี บวกกับไปแนะนำพี่สาวเรื่องสินค้าว่า
ผม "มันดีต่อสุขภาพของแม่มากๆเลยนะ เจ๊ใหญ่ซื้อให้แม่กินสิ "
เจ๊ใหญ่ถาม "แล้วซื้อที่ไหน"
ผม "ซื้อที่ผมนี่แหละ"
แล้วก็เก็บเงินเจ๊ เอาไปซื้อสินค้าให้แม่กิน
ผม "มันดีต่อสุขภาพของแม่มากๆเลยนะ เจ๊ใหญ่ซื้อให้แม่กินสิ "
เจ๊ใหญ่ถาม "แล้วซื้อที่ไหน"
ผม "ซื้อที่ผมนี่แหละ"
แล้วก็เก็บเงินเจ๊ เอาไปซื้อสินค้าให้แม่กิน
เราได้เริ่มทำธุรกิจ
เจ๊ได้กตัญญู ซื้อสินค้าดีๆให้แม่กิน
แม่ก็ได้สุขภาพดีๆกลับมา ทุกคนมีแต่ได้กับได้
พอแม่กินดีหายปวดเข่า ความดันลง ภูมิแพ้ไม่กำเริบ ก็แนะนำพี่สะใภ้ พี่ชาย เพื่อสร้างธุรกิจต่อเนื่อง
ทุกเดือนผมยังคงไปหาเจ๊ใหญ่ เพื่อให้เจ๊ใหญ่ซื้อสินค้าให้แม่กิน จนผมมีรายได้ 40,000บาทต่อเดือน ก็ซื้อให้แม่เองได้ แต่เจ๊ใหญ่เราก็ให้กินด้วย
ผมทำงานอย่างหนัก เสมือนหนึ่งเอางานทั้งชีวิตมาทำให้เสร็จ จะได้สบายในช่วงชีวิตที่เหลือ
ในที่สุดวันที่ผมมีรายได้ 2 ล้านบาทต่อเดือน ช่วงต้นปี 2554 ตรงกับวันตรุษจีน
ผมถอนเงินสด 700,000บาท
ไปให้แต๊ะเอียแม่ 400,000บาท
ให้เจ๊ใหญ่ 100,000บาท (ในฐานะผู้มีพระคุณของผม)
ให้เจ๊หุ้ย 100,000บาท (ในฐานะที่คอยอบรมเลี้ยงดูผมมาตลอด)
ให้เจ๊หมวย 100,000บาท (ในฐานะที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิดยัน 9 ขวบ ยังกับแม่คนที่2เลย)
ไปให้แต๊ะเอียแม่ 400,000บาท
ให้เจ๊ใหญ่ 100,000บาท (ในฐานะผู้มีพระคุณของผม)
ให้เจ๊หุ้ย 100,000บาท (ในฐานะที่คอยอบรมเลี้ยงดูผมมาตลอด)
ให้เจ๊หมวย 100,000บาท (ในฐานะที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิดยัน 9 ขวบ ยังกับแม่คนที่2เลย)
ถ้าวันนั้นยังคิดแต่ Why =ทำไมเราไม่มีเงิน คงไม่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
แล้วคุณล่ะครับ เปลี่ยนจากwhy เป็น how หรือยัง?
ปล.บางคนเคยได้ยินเรื่อง Why สำคัญกว่า How ผมตอบเลยว่าใช่ ในช่วงก่อนเริ่มต้นเพื่อคิดให้จบ แต่ต้อง Why เป้าหมายนะครับ ไม่ใช่Why ข้ออ้าง เช่น ทำไมเราต้องประสบความสำเร็จ ทำไมเราต้องมีเงิน ทำไมเราต้องจัดเวลา ทำไมเราต้องพัฒนาตัวเอง ทำไมเราต้องเข้าเซนเตอร์
นอกนั้น เมื่อคิดจบแล้ว How อย่างเดียวเลย ทำยังไง ทำยังไง ทำยังไง ทำยังไง เลิกคิดเรื่องที่คิดจบไปแล้ว มุ่งแต่ทำให้ถึงเป้าหมาย เราคือคนสำเร็จ1,000,000%
แต่ทุกครั้งที่ท้อ เราก็ต้อง Why เป้าหมาย อีกครั้งเพื่อให้กำลังใจตัวเอง สุดท้าย คุณคือผู้ชนะ
4.ไม่มีเวลา
ตอบ ผมเข้าใจดีเรื่องเวลาของมนุษย์เราทุกคนมีจำกัด เราไม่มีเวลาไปทำเรื่องที่เราไม่เห็นว่าสำคัญหรอก คงไม่มีใครไปนั่งขี้ทั้งๆที่ไม่ปวด นั่งไปกี่ชั่วโมงก็เสียเวลาเปล่า แต่เวลาปวดสุดๆสิ ต่อให้กำลังทำงานสำคัญขนาดไหน ก็ต้องไปขี้ก่อน
ตอบ ผมเข้าใจดีเรื่องเวลาของมนุษย์เราทุกคนมีจำกัด เราไม่มีเวลาไปทำเรื่องที่เราไม่เห็นว่าสำคัญหรอก คงไม่มีใครไปนั่งขี้ทั้งๆที่ไม่ปวด นั่งไปกี่ชั่วโมงก็เสียเวลาเปล่า แต่เวลาปวดสุดๆสิ ต่อให้กำลังทำงานสำคัญขนาดไหน ก็ต้องไปขี้ก่อน
ผมเป็นคนนึงที่เคยรู้สึกว่าธุรกิจเครือข่ายไม่สำคัญกับชีวิตผม เพราะผมไม่รู้ว่ามันดียังไง ให้อะไรกับเราบ้าง หรืออาจเป็นเพราะผมไม่เคยลำบากมาก่อน เป็นลูกคนเล็ก อยากได้อะไรก็ขอ ขอแม่ไม่ได้ ก็ขอเฮีย ขอเฮียไม่ได้ก็ขอเจ๊ เดี๋ยวต้องได้สักคน (ไม่กลัวถูกปฏิเสธด้วย บางทีก็ตื้อแม่ จะเอาให้ได้)
แต่เพราะผมเป็นคนขี้เกรงใจ บ่อยครั้งที่ผมเกรงใจเพื่อน เกรงใจรุ่นพี่ ไปฟังธุรกิจเครือข่าย หลายๆครั้ง จำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง เหมือนเราไม่รู้ว่าเราโตมาจากข้าวมื้อไหน ผมก็จำไม่ได้ว่าการประชุมรอบไหนที่ทำให้คนอย่างผมเห็นความสำคัญของธุรกิจนี้ขึ้นมา จากที่เมื่อก่อนไม่เคยมีเวลา (ไม่เคยแบ่งเวลา) มาสนใจธุรกิจเครือข่ายเลย แต่พอเรารู้จักมันจริงๆ ผมศึกษามันจริงจังมาก ทั้งฟังซีดี เข้าประชุม อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเครือข่าย อย่างเงินสี่ด้าน และโรงเรียนสอนธุรกิจ ของโรเบิร์ต คิโยซากิ จนผมมารู้ตัวอีกที เรามีเวลาให้แต่ธุรกิจเครือข่าย จนเราไม่มีเวลาให้ละครหลังข่าวอีกต่อไป (เราเลิกกันเถอะ ญาญ่า) ผมไม่มีเวลาให้เกมส์Winning Eleven ที่ผมเป็นประธานชมรมอยู่อีกต่อไป ผมไม่มีเวลาให้ช่อง9การ์ตูน ที่ผมติดตามมาตั้งแต่จำความได้ ลาก่อนนะน้าต๋อย เซมเบ้ นอกจากเวลา กิน นอน ทำงานประจำ และเวลาให้ครอบครัวแล้ว ผมมีเวลาที่เหลือให้ธุรกิจเครือข่ายเท่านั้น เพราะผมรู้แล้วว่ามันคือทางที่จะทำให้ผมย่นย่อระยะเวลาแห่งความลำบากได้ ผมไม่ต้องทำงานหนักตลอดชีวิตแล้ว ผมแค่ทำงานหนักชั่วคราวในธุรกิจเครือข่าย ผมจะได้พลังทวีคูณและได้ Passive Income ใน3-5ปี แล้วเราจะสบายตลอดชีวิต
ผมใช้เวลาเกือบ 2ปี กว่าจะมีรายได้เดือนละ 100,000บาท แต่พอปีที่4 ก็ได้เดือนละ 1,000,000บาท ผมไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน ไม่ต้องฝ่ารถติด หรือเบียดเป็นปลากระป๋องในรถไฟฟ้าอีกเลย ชีวิตออกแบบได้มันดีอย่างนี้นี่เอง ตื่นกี่โมง นอนกี่โมง กินอะไรไม่ต้องดูราคา มีเวลาให้กับคุณแม่ และครอบครัว
โชคดีที่เราเกรงใจเพื่อน ไปฟังให้มันหน่อย วันนี้เลยไม่ต้องเกรงใจเจ้านายอีกต่อไป
หากวันนี้คุณให้เวลากับสิ่งที่คุณเคยทำ คุณก็จะได้แต่สิ่งที่คุณเคยได้ในชีวิตเดิมๆ
แต่หากวันนี้คุณให้เวลากับสิ่งที่คุณไม่เคยให้มาก่อน คุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยได้มาก่อนเช่นกัน คือชีวิตที่ออกแบบได้ ไร้กังวล อิสรภาพทางการเงินและเวลา สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกเลย
แต่หากวันนี้คุณให้เวลากับสิ่งที่คุณไม่เคยให้มาก่อน คุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยได้มาก่อนเช่นกัน คือชีวิตที่ออกแบบได้ ไร้กังวล อิสรภาพทางการเงินและเวลา สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกเลย
5.รายชื่อหมด ไม่รู้จะชวนใคร
ตอบ แค่เปลี่ยนคำถามจาก "รายชื่อหมด" เป็น "จะไปหารายชื่อจากไหนดี?" วนเวียนไปวนเวียนมาเดี๋ยวก็เจอ
ผมชวนพี่น้อง ญาติโก โหติกา ของผมจนหมด ไม่ใครทำธุรกิจกับผมเลย มีแต่คนใช้สินค้า
ชวนเพื่อนๆ ต่างก็ปฏิเสธผมกันทุกคนโดยไม่ได้นัดหมาย
ถามว่าท้อไหม ตอบตรงๆว่า ท้อสิ แต่ไม่ถอยเฟ้ย
คำถามยังวนเวียนในใจ เราจะไปชวนใครดีๆๆๆๆๆๆ
ลองมาคิดๆดู ถ้าเราเปิดร้านขายสังฆทาน ในที่เที่ยวกลางคืน อย่าง RCA คงไม่มีใครซื้อมั้ง
ถ้าเราเปิดโชว์รูมขายรถเบนซ์ เพื่อนๆญาติๆเราก็ไม่มีใครมีเงินซื้อเหมือนกัน
แต่ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย เราต้องหาทำเลที่มีคนสนใจโอกาสนี้ ในเมื่อธุรกิจนี้ไม่ต้องลงทุน ไม่มีความเสี่ยง ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำไฟ ไม่มีค่าลูกจ้าง เอาวะ เจอคนทำจริงปีละ 1 คน แค่2 ปี มีซ้ายขวาเอาจริง ก็ได้เงินล้านได้ เรื่องไรเราจะเลิก
ผมคิดตลอดเวลาว่าจะชวนใครดี แล้วก็ถามตัวเองว่าเราอยากเจอคนแบบไหน?
เราอยากเจอคนที่ขยัน นิสัยดี ไม่มีอีโก้ และต้องการรายได้เพิ่มเดือนละ 100,000-200,000บาท
ผมจึงเริ่มถามหาคนแบบนั้นกับพี่สาวผม พี่สะใภ้ผม พี่ชาย และเพื่อนๆ ประมานว่า "รู้จักใครที่เป็นคนดี ขยันๆ เก่งๆ และอยากมีรายได้เพิ่มสักเดือนละ 100,000 บาท บ้างไหม ?"
ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้รายชื่อเท่าไร แต่บางคนก็พอรู้จักเพื่อนๆที่ขายประกันบ้าง ชอบทำเครือข่ายบ้าง และเพื่อนๆที่ขยันหาเงินบ้าง เขาก็จะให้ชื่อผมมา ผมก็โทรหมด ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่สำคัญเท่ากับทำสม่ำเสมอ เพราะเจอซ้ายคนขวาคนที่เอาจริง ก็เดือนละล้านได้ ต่อให้ชวน 100คน. ปฏิเสธ 98 ตอบรับ2 ก็ยังได้ล้านเลย
ปกติผมเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้า ก็ไปถามคนที่เขาทักคนไม่รู้จักเก่งๆว่าทำไง พวกเขาบอกว่าให้ยิ้มให้คนก่อน ใครยิ้มตอบคนนั้นคุยได้ แต่ให้เริ่มคุยเรื่องทั่วๆไปก่อน พยายามไปในที่ที่จะเจอคนอยากรวย อยากทำธุรกิจ เช่น ในงานหนังสือแห่งชาติ ก็ควรไปโซนหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ไปโซนนิยาย ไปงานสัมนนา SME. ไม่ไปงาน Job fair เพราะเราต้องการนักธุรกิจ ไม่ใช่ลูกจ้าง
แม้กระทั่งส่งข้อความคุยกับเพื่อนๆใน Line และใน Facebook ก็ทำหมด เพียงแต่เราคุยตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม บอกเลยว่าอยากคุยกับคนที่สนใจอยากมีรายได้แบบมั่นคง(Passive Income) ที่แม้เราจะหยุดทำงานแต่เงินไม่หยุด หรืออะไรก็แล้วแต่
หนังสือรุ่น สมุดเฟรนด์ชิพ ที่ไหนมีเบอร์โทรเราคุยหมด เพราะเรารู้ว่า ถ้าเราทำธุรกิจ เราคงต้องทำกับคนไม่รู้จักส่วนใหญ่เลย แต่ก็ต้องเริ่มโปรโมทจากคนใกล้ตัว
สิ่งที่ทำให้ผมทำแบบนี้ได้ เพราะผมศึกษา ผมสัมผัสธุรกิจเครือข่ายมากพอ จนเกิดความมั่นใจว่า "ธุรกิจนี้คือ นวตกรรมแห่งการเปลี่ยนชีวิต คนธรรมดาอย่างเรา"
ผมอาจจะยังพูดไม่เก่งนัก ที่จะทำให้คนเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ ได้แต่ชวนมาฟัง บางคนก็ปฏิเสธเฉยๆ บางคนก็ชวนเราเลิก บางคนก็ดูถูกเรา แต่ผมกลับมั่นใจว่า หากวันนึง เค้าได้รู้จักธุรกิจเครือข่ายเหมือนที่ผมรู้จัก เค้าจะเข้าใจเรา แล้วตั้งใจทำธุรกิจนี้เหมือนเราแน่นอน
ผมจึงต้องรีบประสบความสำเร็จ เพราะ "พูดให้ฟังจะดังแค่หู ต้องสำเร็จให้ดูจะสะท้านถึงใจ"
เมื่อสองปีก่อน อยู่ๆก็มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรมาหาผม
ผมรับสาย ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงสาวหวานๆ ก็พูดกับผม
สาวเสียงหวาน "นุ๊กใช่มั้ย เราก้อยนะ"
ผม "ก้อยไหน?"
สาวเสียงหวาน "ก้อยเพื่อนนุ้ยไง"
ผม "ภรรยาผมชื่อนุ้ย แต่นุ้ยไม่มีเพื่อนชื่อก้อยนี่นา"
สาวเสียงหวาน "เพื่อนนุ้ยตอนอยู่เตรียมอุดมไง"
ผม "ภรรยาผม จบจาก ม.พายัพ ที่เชียงใหม่ เกิดและโตที่เชียงใหม่ ไม่เคยมาเรียนเตรียมอุดมนะ ผิดคนหรือเปล่าครับคุณ"
สาวเสียงหวาน "ไม่ผิดหรอก ก็นุ้ยเป็นคนให้เบอร์นุ๊กมากับเรา จำเราไม่ได้เหรอ ตอน ม.4 เราเจอนุ๊กมารับนุ้ยที่โรงเรียนเตรียมอุดมบ่อยๆ"
ผม"อ๋อ!!! จำได้แล้ว แต่นุ้ยที่ว่านั่นคือแฟนเก่าของผมตอน ม.4 นี่นา (แฟนเก่าเมื่อ5คนที่แล้ว ดันชื่อนุ้ยเหมือนภรรยาเราสิ)"
ก้อย "จำได้แล้วใช่ไหม"
ผม"ใช่ๆ เออ แล้วโทรมามีอะไรหรือ?"
ก้อย "อ้อ พอดีเราทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ธนาคารซิตี้แบงค์อะ ตอนนี้เราต้องหาคนมาฝากเงินให้ได้เดือนละ 6 คน ขั้นต่ำต้องฝากคนละ 2,000,000บาท ขึ้นไป เป็นฝากประจำ 1ปี ดอกเบี้ยดีมากๆเลยนะ เห็นนุ้ยบอกว่านุ๊กน่าจะสนใจ"
ผม "อ้าว แล้วทำไม นุ้ยไม่ฝากล่ะ"
ก้อย "นุ้ยบอกไม่มีเงินถึง 2,000,000 บาท เราเลยถามว่าแล้ว รู้จักใครที่มีเงินถึง 2,000,000บาทบ้าง นุ้ยก็เลยให้เบอร์นุ๊กมาไง "
ผม "โอวววว "
ก้อย " เราขอนัดเจอนุ๊กได้ไหม แล้วเราจะเอารายละเอียดไปให้ดู ดีมากๆเลยนะ ดีกว่าฝากทั่วๆไปเยอะเลย แถมได้บัตร ซิตี้โกลด์ด้วย ไปจอดรถที่ธนาคารฟรีทุกสาขาเลย นุ๊กว่างวันนี้หรือพรุ่งนี้ดี?"
ผม"เอ่อ...วันนี้ก็ได้ เย็นๆเรามีนัดที่บ้านไร่กาแฟ เอกมัยตอน 1 ทุ่ม "
ก้อย "เสร็จกี่โมง เดี๋ยวเราไปหา"
ผม "คาดว่า 3 ทุ่มน่าจะเสร็จ"
ก้อย "โอเคร เจอกันนะจ๊ะ"
ผม "ครับ"
สุดท้ายผมได้พบกับก้อย ได้ฝากเงินกับเขาไป เพราะผลตอบแทนก็ดีพอควร
หลังจากนั้นผมก็ สปอนเซอร์ก้อย ทำธุรกิจกับผม แต่ก้อยบอกว่าสมัครไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร พยายามเข้าทำตรงไหนก็สำเร็จได้ เราไม่ชวนย้ายสายอยู่แล้วเพราะเรายึดมั่นในกฎจรรยาบรรณและวัฒนธรรมองค์กร
ผมได้ข้อคิดหลังจากได้พบกับเพื่อนเก่าคนนี้
เค้าทำงานธนาคาร มีเป้าต้องหา คนฝากเงินให้ได้ 6คนต่อเดือน (ขั้นต่ำคนละ2 ล้าน)
ต้องทำแบบนี้ 3 เดือนติดกันจึงจะผ่านโปร เพื่อบรรจุเป็นพนักงานประจำ เงินเดือน 30,000บาท ค่าคอมนิดหน่อย (หลักพัน) ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงิน 2,000,000ที่เอามาฝาก
แต่เค้าก็พยายามโทรหาคนรู้จัก ทุกคน และต่อรายชื่อไปยังเป้าหมายที่คาดว่าจะมีเงิน 2 ล้าน มาฝาก เพื่อผ่านโปร เท่านั้น เค้าพยายามอย่างมาก บ้านอยู่ งามวงศ์วาน แต่นัดเจอผม 3 ทุ่ม ที่เอกมัย คุยจบ 5ทุ่มกว่า กลับบ้านที่งามวงศ์วาน น่าจะถึงหลังเที่ยงคืน แต่เค้าก็ทุ่มเทมาก
ผมคิดว่า ถ้าเราทุ่มเทแบบ ก้อย ในการทำธุรกิจเครือข่าย
โทรหาทุกคนที่เรารู้จัก
ใครไม่เอา ก็ต่อรายชื่อถามหาคนที่มี" ฝัน " มีเป้าหมาย มีครอบครัวต้องดูแล มีพ่อแม่ที่ต้องทดแทนพระคุณ แล้วลุยงานจนสำเร็จ แบบที่ก้อยทำ
คุณจะไม่ใช่แค่ ผ่านโปร แต่จะ "พลิกชีวิต" เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงศ์ตระกูลของคุณไปตลอดกาล
ตอบ แค่เปลี่ยนคำถามจาก "รายชื่อหมด" เป็น "จะไปหารายชื่อจากไหนดี?" วนเวียนไปวนเวียนมาเดี๋ยวก็เจอ
ผมชวนพี่น้อง ญาติโก โหติกา ของผมจนหมด ไม่ใครทำธุรกิจกับผมเลย มีแต่คนใช้สินค้า
ชวนเพื่อนๆ ต่างก็ปฏิเสธผมกันทุกคนโดยไม่ได้นัดหมาย
ถามว่าท้อไหม ตอบตรงๆว่า ท้อสิ แต่ไม่ถอยเฟ้ย
คำถามยังวนเวียนในใจ เราจะไปชวนใครดีๆๆๆๆๆๆ
ลองมาคิดๆดู ถ้าเราเปิดร้านขายสังฆทาน ในที่เที่ยวกลางคืน อย่าง RCA คงไม่มีใครซื้อมั้ง
ถ้าเราเปิดโชว์รูมขายรถเบนซ์ เพื่อนๆญาติๆเราก็ไม่มีใครมีเงินซื้อเหมือนกัน
แต่ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย เราต้องหาทำเลที่มีคนสนใจโอกาสนี้ ในเมื่อธุรกิจนี้ไม่ต้องลงทุน ไม่มีความเสี่ยง ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำไฟ ไม่มีค่าลูกจ้าง เอาวะ เจอคนทำจริงปีละ 1 คน แค่2 ปี มีซ้ายขวาเอาจริง ก็ได้เงินล้านได้ เรื่องไรเราจะเลิก
ผมคิดตลอดเวลาว่าจะชวนใครดี แล้วก็ถามตัวเองว่าเราอยากเจอคนแบบไหน?
เราอยากเจอคนที่ขยัน นิสัยดี ไม่มีอีโก้ และต้องการรายได้เพิ่มเดือนละ 100,000-200,000บาท
ผมจึงเริ่มถามหาคนแบบนั้นกับพี่สาวผม พี่สะใภ้ผม พี่ชาย และเพื่อนๆ ประมานว่า "รู้จักใครที่เป็นคนดี ขยันๆ เก่งๆ และอยากมีรายได้เพิ่มสักเดือนละ 100,000 บาท บ้างไหม ?"
ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้รายชื่อเท่าไร แต่บางคนก็พอรู้จักเพื่อนๆที่ขายประกันบ้าง ชอบทำเครือข่ายบ้าง และเพื่อนๆที่ขยันหาเงินบ้าง เขาก็จะให้ชื่อผมมา ผมก็โทรหมด ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่สำคัญเท่ากับทำสม่ำเสมอ เพราะเจอซ้ายคนขวาคนที่เอาจริง ก็เดือนละล้านได้ ต่อให้ชวน 100คน. ปฏิเสธ 98 ตอบรับ2 ก็ยังได้ล้านเลย
ปกติผมเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้า ก็ไปถามคนที่เขาทักคนไม่รู้จักเก่งๆว่าทำไง พวกเขาบอกว่าให้ยิ้มให้คนก่อน ใครยิ้มตอบคนนั้นคุยได้ แต่ให้เริ่มคุยเรื่องทั่วๆไปก่อน พยายามไปในที่ที่จะเจอคนอยากรวย อยากทำธุรกิจ เช่น ในงานหนังสือแห่งชาติ ก็ควรไปโซนหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ไปโซนนิยาย ไปงานสัมนนา SME. ไม่ไปงาน Job fair เพราะเราต้องการนักธุรกิจ ไม่ใช่ลูกจ้าง
แม้กระทั่งส่งข้อความคุยกับเพื่อนๆใน Line และใน Facebook ก็ทำหมด เพียงแต่เราคุยตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม บอกเลยว่าอยากคุยกับคนที่สนใจอยากมีรายได้แบบมั่นคง(Passive Income) ที่แม้เราจะหยุดทำงานแต่เงินไม่หยุด หรืออะไรก็แล้วแต่
หนังสือรุ่น สมุดเฟรนด์ชิพ ที่ไหนมีเบอร์โทรเราคุยหมด เพราะเรารู้ว่า ถ้าเราทำธุรกิจ เราคงต้องทำกับคนไม่รู้จักส่วนใหญ่เลย แต่ก็ต้องเริ่มโปรโมทจากคนใกล้ตัว
สิ่งที่ทำให้ผมทำแบบนี้ได้ เพราะผมศึกษา ผมสัมผัสธุรกิจเครือข่ายมากพอ จนเกิดความมั่นใจว่า "ธุรกิจนี้คือ นวตกรรมแห่งการเปลี่ยนชีวิต คนธรรมดาอย่างเรา"
ผมอาจจะยังพูดไม่เก่งนัก ที่จะทำให้คนเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ ได้แต่ชวนมาฟัง บางคนก็ปฏิเสธเฉยๆ บางคนก็ชวนเราเลิก บางคนก็ดูถูกเรา แต่ผมกลับมั่นใจว่า หากวันนึง เค้าได้รู้จักธุรกิจเครือข่ายเหมือนที่ผมรู้จัก เค้าจะเข้าใจเรา แล้วตั้งใจทำธุรกิจนี้เหมือนเราแน่นอน
ผมจึงต้องรีบประสบความสำเร็จ เพราะ "พูดให้ฟังจะดังแค่หู ต้องสำเร็จให้ดูจะสะท้านถึงใจ"
เมื่อสองปีก่อน อยู่ๆก็มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรมาหาผม
ผมรับสาย ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงสาวหวานๆ ก็พูดกับผม
สาวเสียงหวาน "นุ๊กใช่มั้ย เราก้อยนะ"
ผม "ก้อยไหน?"
สาวเสียงหวาน "ก้อยเพื่อนนุ้ยไง"
ผม "ภรรยาผมชื่อนุ้ย แต่นุ้ยไม่มีเพื่อนชื่อก้อยนี่นา"
สาวเสียงหวาน "เพื่อนนุ้ยตอนอยู่เตรียมอุดมไง"
ผม "ภรรยาผม จบจาก ม.พายัพ ที่เชียงใหม่ เกิดและโตที่เชียงใหม่ ไม่เคยมาเรียนเตรียมอุดมนะ ผิดคนหรือเปล่าครับคุณ"
สาวเสียงหวาน "ไม่ผิดหรอก ก็นุ้ยเป็นคนให้เบอร์นุ๊กมากับเรา จำเราไม่ได้เหรอ ตอน ม.4 เราเจอนุ๊กมารับนุ้ยที่โรงเรียนเตรียมอุดมบ่อยๆ"
ผม"อ๋อ!!! จำได้แล้ว แต่นุ้ยที่ว่านั่นคือแฟนเก่าของผมตอน ม.4 นี่นา (แฟนเก่าเมื่อ5คนที่แล้ว ดันชื่อนุ้ยเหมือนภรรยาเราสิ)"
ก้อย "จำได้แล้วใช่ไหม"
ผม"ใช่ๆ เออ แล้วโทรมามีอะไรหรือ?"
ก้อย "อ้อ พอดีเราทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ธนาคารซิตี้แบงค์อะ ตอนนี้เราต้องหาคนมาฝากเงินให้ได้เดือนละ 6 คน ขั้นต่ำต้องฝากคนละ 2,000,000บาท ขึ้นไป เป็นฝากประจำ 1ปี ดอกเบี้ยดีมากๆเลยนะ เห็นนุ้ยบอกว่านุ๊กน่าจะสนใจ"
ผม "อ้าว แล้วทำไม นุ้ยไม่ฝากล่ะ"
ก้อย "นุ้ยบอกไม่มีเงินถึง 2,000,000 บาท เราเลยถามว่าแล้ว รู้จักใครที่มีเงินถึง 2,000,000บาทบ้าง นุ้ยก็เลยให้เบอร์นุ๊กมาไง "
ผม "โอวววว "
ก้อย " เราขอนัดเจอนุ๊กได้ไหม แล้วเราจะเอารายละเอียดไปให้ดู ดีมากๆเลยนะ ดีกว่าฝากทั่วๆไปเยอะเลย แถมได้บัตร ซิตี้โกลด์ด้วย ไปจอดรถที่ธนาคารฟรีทุกสาขาเลย นุ๊กว่างวันนี้หรือพรุ่งนี้ดี?"
ผม"เอ่อ...วันนี้ก็ได้ เย็นๆเรามีนัดที่บ้านไร่กาแฟ เอกมัยตอน 1 ทุ่ม "
ก้อย "เสร็จกี่โมง เดี๋ยวเราไปหา"
ผม "คาดว่า 3 ทุ่มน่าจะเสร็จ"
ก้อย "โอเคร เจอกันนะจ๊ะ"
ผม "ครับ"
สุดท้ายผมได้พบกับก้อย ได้ฝากเงินกับเขาไป เพราะผลตอบแทนก็ดีพอควร
หลังจากนั้นผมก็ สปอนเซอร์ก้อย ทำธุรกิจกับผม แต่ก้อยบอกว่าสมัครไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร พยายามเข้าทำตรงไหนก็สำเร็จได้ เราไม่ชวนย้ายสายอยู่แล้วเพราะเรายึดมั่นในกฎจรรยาบรรณและวัฒนธรรมองค์กร
ผมได้ข้อคิดหลังจากได้พบกับเพื่อนเก่าคนนี้
เค้าทำงานธนาคาร มีเป้าต้องหา คนฝากเงินให้ได้ 6คนต่อเดือน (ขั้นต่ำคนละ2 ล้าน)
ต้องทำแบบนี้ 3 เดือนติดกันจึงจะผ่านโปร เพื่อบรรจุเป็นพนักงานประจำ เงินเดือน 30,000บาท ค่าคอมนิดหน่อย (หลักพัน) ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงิน 2,000,000ที่เอามาฝาก
แต่เค้าก็พยายามโทรหาคนรู้จัก ทุกคน และต่อรายชื่อไปยังเป้าหมายที่คาดว่าจะมีเงิน 2 ล้าน มาฝาก เพื่อผ่านโปร เท่านั้น เค้าพยายามอย่างมาก บ้านอยู่ งามวงศ์วาน แต่นัดเจอผม 3 ทุ่ม ที่เอกมัย คุยจบ 5ทุ่มกว่า กลับบ้านที่งามวงศ์วาน น่าจะถึงหลังเที่ยงคืน แต่เค้าก็ทุ่มเทมาก
ผมคิดว่า ถ้าเราทุ่มเทแบบ ก้อย ในการทำธุรกิจเครือข่าย
โทรหาทุกคนที่เรารู้จัก
ใครไม่เอา ก็ต่อรายชื่อถามหาคนที่มี" ฝัน " มีเป้าหมาย มีครอบครัวต้องดูแล มีพ่อแม่ที่ต้องทดแทนพระคุณ แล้วลุยงานจนสำเร็จ แบบที่ก้อยทำ
คุณจะไม่ใช่แค่ ผ่านโปร แต่จะ "พลิกชีวิต" เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงศ์ตระกูลของคุณไปตลอดกาล
6.คนรอบข้างแอนตี้
ตอบ เวลาผมเจอคนรอบข้างแอนตี้ ผมนี่ดีใจเลย แสดงว่ายังไม่มีใครสมัคร ถ้าคนรอบข้างเห็นดีด้วยหมด แสดงว่าไม่เหลือใครให้เราชวนแล้ว
ตอบ เวลาผมเจอคนรอบข้างแอนตี้ ผมนี่ดีใจเลย แสดงว่ายังไม่มีใครสมัคร ถ้าคนรอบข้างเห็นดีด้วยหมด แสดงว่าไม่เหลือใครให้เราชวนแล้ว
สมัยก่อนตอน 7-11 เข้ามาไทยใหม่ๆ ไม่มีใครซื้อแฟรนด์ไชด์เลย เพราะคนไม่เข้าใจค่าลิขสิทธิ์ ที่ต้องแบ่งให้ 7-11 แต่พอทุกวันนี้ ใครจะเปิดร้านสะดวกซื้อต้องนึกถึง 7-11 เป็นอย่างแรก แต่เราก็จะเห็น 7-11 เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
งานของเราคือการให้ความรู้กับผู้คน จนคนเข้าใจข้อดีและประโยชน์ของธุรกิจเครือข่าย เราก็จะสามารถขายแฟรนด์ไชด์ให้เค้าได้
สำคัญวันนี้คุณ เข้าใจธุรกิจนี้ดีหรือยัง ไปเข้าเซนเตอร์ ฟังซีดี ซะ
คนทั่วไปไม่เรียนรู้ ไม่ฟังซีดี ไม่เข้าเซนเตอร์ จึงไม่สามารถขยายแฟรนด์ไชส์ได้ ทำได้แค่เพียงขายสินค้าให้คนรอบข้าง รายได้จึงมีขีดจำกัด แค่หลักหมื่น แถม เมื่อหยุดขายรายได้ก็หยุดอีก ดังนั้นเราจึงต้องศึกษาธุรกิจนี้ให้เข้าใจอย่สงถ่องแท้
เมื่อเราเข้าใจธุรกิจนี้อย่างถ่องแท้ คุณจะเป็นคนหนึ่งมี่สามารถขยายแฟรนด์ไชส์ของคุณได้จนเกิดพลังทวีคูณและเกิดPassive Income
ไม่งั้น อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คุณจะพบว่า คนในรายชื่อของคุณ รวมทั้งคนบางคนที่คุณไปชวนเค้า แต่เค้าไม่เอา เพราะเราอธิบายไม่ได้ คนพวกนี้จะไปเจอมืออาชีพมาเคลียร์ แล้วสมัครลุยเต็มที่ มากกว่าเราซะอีก เพราะเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ จากมืออาชีพ แล้วกลับมาชวนคุณกลับ
วันนั้น คุณจะพูดว่า "รู้งี้" ตอนนั้นชั้นเอาจริงกว่านี้ก็คงดี คนเหล่านี้รู้จักธุรกิจนี้หลังชั้นอีก แต่เค้าสำเร็จก่อนชั้นได้ยังไง
7.ทีมงานไม่เชื่อ ไม่ฟังเรา ไม่ศรัทธาเรา
ตอบ จำได้ไหมครับ กับคำนี้ "พูดให้ฟังจะดังแค่หู ต้องสำเร็จให้ดูจะสะท้านถึงใจ"
ตอบ จำได้ไหมครับ กับคำนี้ "พูดให้ฟังจะดังแค่หู ต้องสำเร็จให้ดูจะสะท้านถึงใจ"
หากเราถามตัวเองว่า
เวลาเราเลือกเชื่อพูดของใคร เราจะเลือกเชื่อคนแบบไหน?
เวลาเราเลือกเชื่อพูดของใคร เราจะเลือกเชื่อคนแบบไหน?
ระหว่าง คนมีความรู้ กับ คนไม่มีความรู้
เราก็ต้องเชื่อคนที่มีความรู้แล้วอธิบายที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นได้แน่ๆ เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ฟังซีดี เข้าเซนเตอร์ เข้าคอร์สต่างๆ เราจะกลายเป็นคนที่มีความรู้ไปสอนทีมงานของเราได้
และหากเราศรัทธาใครสักคน เราจะเลือกศรัทธาใคร? ระหว่าง คนที่มีผลงาน มีประสบการณ์ มีภาพความสำเร็จ กับคนที่มีแต่ความรู้แต่ไม่เคยลงมือทำ เรียกว่ารู้แต่ทฤษฎี
ประมานว่า คนที่จบหมอมาและเคยผ่าตัดช่วยชีวิตคนมาหลายสิบคน กับคนที่จบหมอเกียรตินิยม แต่ยังไม่เคยผ่าตัดใคร
เราก็คงเลือกเชื่อคนที่มีผลลัพธ์ความสำเร็จที่ชัดเจน มีประสบการณ์ในการฝ่าฟันอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ จะมาเป็นโค้ชให้เราได้
ดังนั้นถ้าเรา "เรียนรู้แล้วต้องลงมือทำ " และ"กลับมาเรียนรู้แล้วลงมือทำซ้ำ" ปรับปรุงพัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จ สุดท้ายเราไม่ต้องไปขอให้ใครมาศรัทธาเรา แต่คนจะศรัทธาเราด้วยผลงานของเรา
"คุณจะไม่ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ แต่คุณจะได้ในสิ่งที่เราคู่ควร"
หนังสือเรื่อง "21 กฎเหล็กแห่งความเป็นผู้นำ " ของ จอห์น ซี แม็กเวลล์ ได้อธิบาย และแบ่งระดับความเป็นผู้นำไว้ 1-10คะแนน
หากเรามีความเป็นผู้นำ 6 คะแนน เราจะมีคนเชื่อถือเรา แค่คนที่คะแนนต่ำกว่า 6 คะแนน เท่านั้น
คนที่มีความเป็นผู้นำมากกว่าเรา เราจะนำเค้าไม่ได้ นอกจากเราจะพัฒนาความเป็นผู้นำของเราให้มากกว่าเค้าซะก่อน
ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นพัฒนาความเป็นผู้นำของคุณให้สูงขึ้นทีละขั้น แล้วคุณจะมีแต่คนเชื่อถือคุณ
หลายปีก่อน ผมมีทีมงานใหม่คนหนึ่ง เป็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนไหว แต่มีศักยภาพคนนึง เค้าเข้ามาร่วมธุรกิจกับผมในช่วงก่อนสิ้นเดือนเพียงแค่ 2 วัน แต่เค้าก็สามารถขึ้นตำแหน่งแรกที่มีรายได้ประมาน 5,000บาทได้ ภายใน 2 วัน เนื่องจากเค้าซื้อของใช้เองจำนวนมาก และชวนเพื่อนที่ทำงานอีกคนซื้อตามเค้า ทั้งสองคนมีกำลังซื้อสูง แค่ยอดที่เค้าซื้อใช้กันสองคน ก็ทำให้พี่ท่านนี้จบ Topaz ได้ไม่ยาก มีรายได้ประมาน 5,000บาท
พอวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ 1 ของเดือนถัดมา มีงานรับเข็มที่เซนเตอร์ และพี่ท่านนี้ได้มารับเข็มแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ ทุกคนประทับใจพี่ท่านนี้เมื่อรู้ว่าเข้ามาเพียง 2 วัน ก็พิชิตตำแหน่ง Topaz ได้แล้ว
เสียงปรบมือมากมาย คนมารุมจับมือ สร้างความฮึกเหิมให้พี่ท่านนี้เป็นอย่างมาก ตอน After เค้าประกาศจะได้เงินล้านเลยทีเดียว
หลังจบรอบรับเข็ม ก็มีรอบผู้นำต่อ ซึ่งอนุญาติให้ Topaz ใหม่เข้าได้ ผมจึงชวนพี่ท่านนี้เข้าด้วย ซึ่งพี่เค้าก็ตื่นเต้นที่จะได้เข้ารอบผู้นำ
ในรอบผู้นำ มีการสอนเรื่อง คุณสมบัติของคนที่จะประสบความสำเร็จ คือ ต้องมีความเป็นผู้นำ (LEADERSHIP)
L = Lead by Example ต้องทำเป็นแบบอย่าง อย่าสักแต่พูด
E = Enthusiasm มีความกระตือรือร้น
A = Attitude มีทัศนคติที่ดี
D = Determination ต้องตัดสินใจสำเร็จแบบไม่เหลียวหลัง หรือ ฟันธง ว่าเราสำเร็จได้
E = Education ต้องเรียนรู้มากๆให้ถ่องแท้ในธุรกิจ รักการเรียนรู้
R = Relationship ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
S = Sincerity ต้องมีความเป็นกันเองกับผู้อื่น
H = Honesty ต้องมีความซื่อสัตย์
I = Initiative ต้องมีความคิดสร้างสรรค์
P = Patient ต้องมีความอดทนต่อแรงกดดัน
E = Enthusiasm มีความกระตือรือร้น
A = Attitude มีทัศนคติที่ดี
D = Determination ต้องตัดสินใจสำเร็จแบบไม่เหลียวหลัง หรือ ฟันธง ว่าเราสำเร็จได้
E = Education ต้องเรียนรู้มากๆให้ถ่องแท้ในธุรกิจ รักการเรียนรู้
R = Relationship ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
S = Sincerity ต้องมีความเป็นกันเองกับผู้อื่น
H = Honesty ต้องมีความซื่อสัตย์
I = Initiative ต้องมีความคิดสร้างสรรค์
P = Patient ต้องมีความอดทนต่อแรงกดดัน
10คุณสมบัติ นี้ เป็นตัวชี้วัดระดับความเป็นผู้นำของเรา และความเป็นผู้นำ ส่งผลต่อระดับความสำเร็จของเรา
พอจบประชุม ผมรีบเข้าห้องน้ำเพราะปวดฉี่มาก พอออกจากห้องน้ำจะมานำAfter กลุ่ม ผมพบพี่ท่านนี้นั่งร้องไห้หนักมาก และมีคนกำลังปลอบเค้าอยู่ ผมเดินเข้าไปถาม
ผม"พี่ เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม?"
พี่ท่านนั้น "พี่ว่าพี่ทำไม่ได้แน่ๆเลย ธุรกิจนี้ (ร้องไห้ต่อ)"
ผม "อ้าว มะกี้พี่ยังประกาศจะได้เงินล้านอยู่เลย ตอนจบรอบรับเข็ม"
พี่ท่านนั้น " ก็พี่ฟังเนื้อหาเรื่องคุณสมบัติของผู้ประสบความสำเร็จแล้ว พี่ไม่มีสักข้อเลย แล้วพี่จะทำได้ยังไง"ร้องไห้ต่อเนื่อง
ผม"???" "เอ่อ พี่ไม่มีซักข้อเลยรึ?"
พี่ท่านนั้น "ใช่ ไม่มีเลย พี่ทำไม่ได้แน่" ร้องไห้ต่อ
ผม "ขนาดพี่ไม่มีซักข้อ พี่ยังทำ 2 วัน จบTopaz เลยนะ ถ้าพี่ฝึกได้ซัก 1-2 ข้อ ผมว่าพี่จบ Ruby แน่ และถ้าฝึกได้ซัก 4-5 ข้อ พี่ก็ได้เงินล้านแล้วล่ะมั้ง"
พี่ท่านนั้น หยุดร้องไห้ " เออ จริงด้วย งั้นชั้นฝึกข้อไหนก่อนดี 5555 ชั้นทำได้แน่ๆเลย"
ผม "???"
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องราวนี้คือ ทุกคนสามารถพัฒนาได้ หากวันนี้เรายังไม่เก่งพอ แต่เราเข้าเรียนรู้จนเรารู้ว่าเราขาดอะไร เราน่าจะดีใจมากกว่าเสียใจ เพราะ
" คนที่รู้ปัญหา แปลว่า ปัญหานั้นถูกแก้ไปแล้วกว่าครึ่ง"
ลงมือทำในสิ่งที่เราทำได้ ดูแลคนที่เชื่อเรา พร้อมพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น มีความเป็นผู้นำมากขึ้น สุดท้ายคนที่เคยไม่เชื่อเราจะกลับมาเชื่อเรา เพราะผลงานของเรา
คุณทำได้
8.ไม่ชอบขายของ
ตอบ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์เจอ เพื่อนหรือคนรู้จัก มาขายของให้เราที่บ้าน เช่นพวกยาสีฟัน เครื่องกรองน้ำ กรองอากาศ
ตอบ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์เจอ เพื่อนหรือคนรู้จัก มาขายของให้เราที่บ้าน เช่นพวกยาสีฟัน เครื่องกรองน้ำ กรองอากาศ
เราเองก็ไม่ได้อยากจะซื้อ แต่ถ้าไม่ซื้อเพื่อนก็ไม่ยอมกลับ สุดท้ายเราก็รำคาญจึงต้องซื้อของมา ตั้งทิ้งไว้เป็นยันต์กันผี คราวหน้าใครมาขายเรา เราจะบอกว่า "ซื้อมาแล้วนี่ไง"
พฤติกรรมการตื้อ ง้อ ขอ ขาย ให้ช่วยซื้อ เราเองไม่ชอบเลย ที่คนพวกนั้นมาทำกับเรา เราเองก็มีคุณธรรม จริยธรรม เราไม่สามารถทำกับใครแบบนี้ได้แน่ๆ เราจึงไม่ชอบขายของ
แต่ผมเคยลองคิดกลับกันว่า เพื่อนเราคนนั้น ที่มาตื้อเรา เค้าทำเพราะเขาชอบตื้อ ง้อ ขอ ขาย ให้ช่วยซื้อจริงๆรึ
จริงๆเค้าก็คงไม่ชอบทำหรอก แต่เขาทำทำไม?
ใครจะไปชอบทำแบบนั้นให้คนรำคาญ ให้คนดูถูก แต่เขาทำแบบนั้นทำไม
สุดท้ายผมพบคำตอบว่า แผนธุรกิจของเครือข่ายสมัยเก่าๆนั้นเป็นแผนแบบ Stair Step ที่ยิ่งขายได้เยอะยิ่งได้ส่วนลดเยอะ เช่น
ขายได้เดือนละ 10,000 บาท ได้3%
ขายได้เดือนละ 100,000บาท ได้10%
ขายได้เดือนละ 200,000บาท ได้20%
ขายได้เดือนละ 10,000 บาท ได้3%
ขายได้เดือนละ 100,000บาท ได้10%
ขายได้เดือนละ 200,000บาท ได้20%
จริงๆขายไม่ถึงเป้า เขาก็ไม่ไล่ออก ไม่เป็นไร แต่พวกที่เกือบถึงจะเป็นมากๆ เช่น
ขายได้ 180,000บาท ขาดอีก 20,000บาท จะครบ200,000
เราเลยตกมาอยู่ระดับ 10%x180,000=18,000บาท
ขายได้ 180,000บาท ขาดอีก 20,000บาท จะครบ200,000
เราเลยตกมาอยู่ระดับ 10%x180,000=18,000บาท
แต่หากเราซื้อตุนไว้ก่อน อีก 20,000บาท ให้ครบ 200,000บาท เราจะกลายเป็นได้เงิน 20%x200,000=40,000บาท !!!!
คิดดูซื้อตุนไว้ 20,000บาท รายได้เพิ่มจาก 18,000เป็น 40,000 (เพิ่มขึ้นตั้ง 22,000บาท เยอะกว่าเงินที่ซื้อตุนอีก ) สุดท้ายเลยตุนไว้ และเป็นแบบนี้ทุกเดือน จนของเต็มบ้าน ก็เลยต้องเอาไปยัดเยียดเพื่อนๆ บางทีเราไปยืมเงินเพื่อนมา 20,000เพื่อปิดยอด พอต้นเดือนต้องรีบเอาไปขายเพื่อเอาเงินไปคืนเจ้าหนี้ จึงทำให้เค้าต้องทน ตื้อ ง้อ ขอ ขาย ให้เราช่วยซื้อ
แต่แผนธุรกิจสมัยใหม่ โดยเฉพาะแผนแมทชิ่ง ทุกคนได้รายได้เหมือนกันทุกคน ได้เปอร์เซนเดียวกัน ไม่ต้องซื้อของตุนอีกต่อไป พฤติกรรมการตื้อ ง้อ ขอ ขาย ให้ช่วยซื้อ จึงสูญพันธุ์ไปจากโลกเครือข่ายแล้ว
ในความเป็นจริง พวกเราทุกคน ต่างอยู่กับการขายมาตั้งแต่เด็ก
ตอนเด็กๆ เราเคยขายไอเดียว่า ของเล่นนี้มันดียังไง ให้พ่อแม่เราเพื่อให้พ่อแม่เราซื้อให้เรา
ตอนเป็นวัยรุ่น เราก็เคย ขายความคุ้มค่าและความสนุกที่เราจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด กับเพื่อนๆ ให้พ่อแม่ซื้อความคิดนั้น และยอมให้เราไป รวมถึงให้เงินเราไปเที่ยวด้วย
ตอนสมัครงาน เราก็ขายข้อดีของตัวเรา เพื่อให้เค้ารับเราเข้าทำงาน
ตอนเราไปกู้เงินธนาคารเพิ่อมาลงทุนเปิดกิจการของเรา เราก็ไปขายโครงการของเราเพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้ให้เรา
แม้กระทั่ง ดารา ที่มาโฆษณาในทีวี ก็มาขายของให้เรา
ศิลปินนักร้อง ก็ออกมาโปรโมทขายบัตรคอนเสริท ให้เราซื้อไปดูเค้า
ดังนั้น หากเราต้องการประสบความสำเร็จในงานใดๆก็ตามเราต้อง"ขายเก่ง" ไม่ใช่ "ยัดเยียดเก่ง"
เพราะการขายเก่งจะทำให้คนอยากซื้อของเราด้วยความเต็มใจ
แต่การยัดเยียดเก่งจะทำให้คนซื้อเพราะรำคาญ
คนขายเก่ง จะทำให้คนซื้อประทับใจ อยากคุยกับเรา และยินดีแนะนำเพื่อนๆมาซื้อกับเรา โดยไม่ต้องร้องขอ
แต่คนยัดเยียดเก่ง จะทำให้คนซื้อรำคาญ กลัวที่จะรับโทรศัพท์เรา และพยายามกันเพื่อนๆของเขาไม่ให้เราไปยุ่งด้วย เพราะกลัวเราจะไปทำให้เพื่อนเค้าอึดอัดรำคาญอีก
ลองทบทวนดูว่าที่ผ่านมาคุณเคยทำให้ใครอึดอัดรำคาญไหม ถ้าเคย ขอให้เลิกยัดเยียด ตื้อ ง้อ ขอ ให้เค้าได้แล้ว
เรามา "ขาย" ให้เก่งกันเถอะ
เมื่อสี่ปีก่อน ผมต้องการซื้อรถใหม่คันหนึ่ง คือ Mercedes Benz E Coupe สีขาวหลังคาแก้ว เบาะสีแดง อ๊อฟชันครบๆ เต็มๆ ซึ่ง ณ ตอนนั้น (ปี 2010) Benz E coupe ของโชว์รูม อย่างเป็นทางการ ราคาเกือบ 6 ล้าน แต่ถ้าซื้อกับผู้นำเข้าอิสระ (เกรมาเก็ต) จะถูกลงมาประมาน 1 ล้านบาท ในอ๊อฟชันเดียวกัน เหลือ 4,800,000บาท
ผมลังเลอยู่นานว่าจะซื้อโชว์รูมดีหรือรถนำเข้าดี
ที่โชว์รูมมีข้อดี ตรงมีวารันตี บำรุงรักษาฟรี 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง แต่ราคาแพงกว่า 1 ล้าน แถมอ๊อฟชันก็ห่วยมาก
ที่เกรมาเก็ตถูกกว่า 1 ล้าน แถมอ๊อฟชันเต็ม ขาดแค่ไม่มีวารันตี ยังไง 3 ปีแรก คงไม่ถึงกับเสียค่าซ่อมเป็น ล้านมั้ง ผมจึงตัดสินใจจะซื้อจากเกรมาเก็ต
แต่สิ่งที่ทำให้ผมลังเลคือ ที่โชวรูมนั้นโจมตีว่ารถนำเข้าอิสระผลิตที่อังกฤษ ซึ่งมาตรฐานน้ำมันที่อังกฤษนั้นระดับ ยูโร4 แต่ประเทศไทยนั้นเป็นระดับยูโร2 ซึ่งไม่สะอาดเท่าที่อังกฤษ ดังนั้นถ้าเราซื้อรถสเป็คอังกฤษมา กรองน้ำมันจะตันเพราะน้ำมันในไทยไม่เหมาะกับรถมาตรฐานอังกฤษ เนี่ยจอดเสียตรึมเลย
ผมพยายามถามข้อมูลจากผู้นำเข้าอิสระที่จะขายให้ผม เค้าก็ออกแนวรำคาญแล้วบอกว่า "พี่ขายมาตั้งเป็นร้อยคันไม่เห็นมีปัญหาเลย" แล้วก็พยายามให้ผมวางเงินจองท่าเดียว จนผมอึดอัด และไม่อยากรับโทรศัพท์เขาเลย
ผมเลยบอกเค้าว่าผมตัดสินใจซื้อกับโชว์รูมแล้วครับ เค้าดูโกรธและว่าผมว่า "จะโง่เสียเงินฟรีเป็นล้านก็ตามใจ"
ผมแอบโกรธ แต่ก็ดีใจที่ไม่ต้องรับโทรศัพท์เค้าอีก
หลังจากนั้นผมก็ หาข้อมูลจากผู้นำเข้าออสระเจ้าอื่นเรื่องน้ำมันของอังกฤษ กับไทย
จนมาลงตัวที่ผู้นำเข้าอิสระเจ้านึง ที่ให้ข้อมูลผมได้ และพูดคุยดี แม้ผมจะถามมากก็ยังคุยดี เพราะเจ้าของเป็นคนชอบรถ เลยชอบคุยเรื่องรถ
คนขายเจ้านี้บอกผมว่า ประเทศไทยนำเข้ารถรุ่นนี้มากจนประเทศอังกฤษปรับ สเป็คของรถที่สั่งนำเข้าไทยเพื่อใช้น้ำมันยูโร2 ได้แล้ว ตั้งแต่ 4 เมษายน 2010
ดังนั้น รถที่เค้านำเข้าตั้งแต่ 4 เมษา 2010 สามารถใช้น่ำมันไทยได้แล้วครับ
ผมจึงตัดสินใจซื้อกับเค้า แม้จะแพงกว่าเจ้าอื่นนิดหน่อยก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่า เค้าให้สิ่งที่เราต้องการได้ เราจึงเต็มใจซื้อกับเค้า แถมยังแนะนำเพื่อนซื้อรถกับเค้าอีก 2 คนด้วย
วันนี้คุณให้สิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือยัง หรือเพียงแค่ยัดเยียดสิ่งที่คุณอยากขาย
บางครั้งสิ่งที่ลูกค้าต้องการอาจไม่ใช่ตัวสินค้า แต่เป็นข้อมูลที่ทำให้เค้าสบายใจที่จะใช้สินค้านั้นๆ ก็ได้นะครับ เราจึงควร รู้ลึก รู้จริง ในสิ่งที่เราจะขาย แล้วคุณจะพบว่า " การขาย" เป็นเรื่องง่าย และสนุกมาก แถมยังได้รายได้ดีมากๆด้วยครับ
9.ไม่ชอบงานแบบนี้ ไม่ใช่แนว
ตอบ
ผมเคยคิดว่าอยากทำงานที่ตัวเองชอบ ถนัด ทำแล้วรวย แล้วต้องเท่ห์ด้วย สุดท้ายมันหาไม่เจอจริงๆ ถ้าใครได้ทำงานแบบนั้นถือว่าโชคดีสุดๆ แต่ผมเป็นคนส่วนใหญ่ จึงต้องเลือกว่าระหว่าง งานที่ชอบหรืองานที่ถนัดหรืองานที่รวยหรืองานที่เท่ห์
ตอบ
ผมเคยคิดว่าอยากทำงานที่ตัวเองชอบ ถนัด ทำแล้วรวย แล้วต้องเท่ห์ด้วย สุดท้ายมันหาไม่เจอจริงๆ ถ้าใครได้ทำงานแบบนั้นถือว่าโชคดีสุดๆ แต่ผมเป็นคนส่วนใหญ่ จึงต้องเลือกว่าระหว่าง งานที่ชอบหรืองานที่ถนัดหรืองานที่รวยหรืองานที่เท่ห์
มันคงต้องเริ่มจากเป้าหมายชีวิตเราก่อนว่าเราต้องการอะไรในอีก 3-5ปี ข้างหน้า และต้องการอะไรในอีก 10-20ปีข้างหน้า
คำตอบของผมคือ เงินและเวลา เพราะผมอยากให้แม่หมดห่วงในตัวผม แล้วยกกิจการที่บ้านให้พี่ชายผมไปสักที ผมอยากพาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปใช้ชีวิต เพราะแม่ต่อสู้ชีวิตมาตลอด 60ปี ตั้งแต่ 9ขวบก็ต้องไปอยู่โรงงานทอผ้าแล้ว จนอายุ 69ปี(วันที่ผมจบเภสัชฯจุฬาฯ ปี 2547) แม่ไม่เคยใช้เงินเพื่อความสุขของตัวเองเลย เงินที่หาได้มาก็ส่งลูกเรียน กับส่งแชร์ แค่นั้น สุดท้ายแชร์ล่มตลอด ขาดทุนประจำ
ผมเป็นลูกคนที่9 คนสุดท้อง ผมเป็นห่วงสุดท้ายของแม่ แต่พอผมเรียนจบเภสัชฯมา ทำงานที่ อย. เงินเดือน 7,960บาท ไม่มีทางทำตามเป้าหมายได้เลย อย่าว่าแต่พาแม่เที่ยวต่างประเทศเลย ในประเทศยังไม่ไหว
ผมเคยทบทวนว่าทำไม งานที่ผมถนัด ที่ผมเรียนมา มันไม่ให้ในสิ่งที่ผมต้องการ เหมือนแนวที่ผมเดินอยู่มันไม่ตรงเป้าหมายชีวิต
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนแนวของตัวเอง มากกว่าเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตให้เข้ากับแนวของผม
แม้ตอนเริ่มต้นธุรกิจเครือข่าย ผมเริ่มต้นจากผลลัพธ์ที่ใช่ คือเงินและเวลา แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะยอมไม่ดี ทำผิด เพื่อให้ได้มา ผมยึดหลัก ต้องไม่ผิดกฎหมาย และไม่ทำให้ใครเดือดร้อนรำคาญใจ นอกนั้นผมทำได้หมด เลยต้องมาศึกษาดูว่ามีหนทางไหม
ผมไม่ได้ชอบงานแนวนี้เลย เพราะต้องเข้าหาคนก่อน ซึ่งเราไม่ค่อยชอบเข้าหาใคร งานแนวนี้ต้องทำให้เพื่อนๆมองเราแบบดูถูก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเครือข่ายคืออะไร เค้าจำแต่ภาพคนที่ทำเครือข่ายไม่เป็น แต่ชอบมาตื้อ มาบังคับ มายีดเยียดให้ซื้อของ บางคนก็หลอกไปประชุม ซึ่งผมก็เคยโดนแบบนั้น เลยคิดว่าแนวนี้ไม่ใช่เรา
แต่ที่ตัดสินใจทำไม่ใช่เพราะต้องไปตื้อ ไปง้อ ไปยัดเยียด ไปหลอกคนมาประชุม จึงจะสำเร็จ ถ้าความสำเร็จต้องทำแบบนี้ผมก็ไม่ทำ ถึงจะได้ทั้งเงินและเวลามหาศาล
สิ่งที่ทำให้ผมเปิดใจทำธุรกิจเครือข่ายเพราะ ตอนมาศึกษามันจริงๆ เราจะพบว่าคนที่ไปตื้อไปง้อไปยัดเยียดขายของ หรือไปหลอกคนมาประชุม ไม่มีใครสำเร็จซักคน เพราะวิธีที่ถูกต้องไม่ใช่แบบนั้น
ลองสังเกตุคนที่คยมาตื้อ มาง้อ มายัดเยียดขายของเรา หรือคนที่เคยหลอกเราไปประชุม จะพบว่าไม่มีใครสำเร็จสักคน
ตอนแรกยังเคยคิดว่าคนที่ทำสำเร็จ ได้เงินเป็นแสนเป็นล้าน สงสัยตื้อเก่ง ยัดเยียดเก่ง หลอกคนไปประชุมเก่งกว่านี้แน่ๆเลย แต่สุดท้ายเรากลับพบว่า...
คนสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ไม่เคยตื้อ ง้อ ขอ ขาย ไม่เคยหลอกใคร แต่คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีจิตใจของผู้ให้ มีความจริงใจ และมีจิตใจที่ดี ในการให้สิ่งดีๆแก่ผู้คน ไม่ว่าจะแนะนำสินค้าที่ดี ที่ช่วยแก้ปัญหาให้คน ให้โอกาสให้วิธีการ และให้กำลังใจกับผู้คนที่กำลังแสวงหาโอกาส
คนที่ประสบความสำเร็จ จะเรียนรู้ข้อดี ข้อเสีย ของธุรกิจนี้อย่างละเอียด ทำความเข้าใจธรรมชาติธุรกิจ เรียนรู้สินค้าของธุรกิจนี้อย่างละเอียด ว่ามีประโยชน์อะไรต่อผู้คนบ้าง
เวลาออกไปทำธุรกิจจะยึดหลักการให้มากกว่าได้รับ คนสำเร็จรู้ว่าสินค้าตัวไหน ให้ประโยชน์อะไรกับใคร "เขาจะไม่แนะนำสินค้าที่เค้าอยากขาย แต่เค้าจะแนะนำสินค้าที่คนซื้ออยากซื้อ " นั่นคือมืออาชีพ
คนสำเร็จจะชวนคนทำธุรกิจด้วยแนวคิดของการให้ "เค้าจะไม่ชวนคนที่เค้าอยากชวน แต่จะชวนคนที่เค้าอยากทำ "
พฤติกรรมของคนสำเร็จ จึงมักจะเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ Hard Sell คนสำเร็จจะทำความเข้าใจผู้คนที่พบเจอ ได้พูดคุยกัน แล้วเลือกนำเสนอสิ่งที่คนฟังอยากได้ให้เสมอ คนสำเร็จจึงเป็นที่รักของผู้คน เพราะเค้าคือผู้ให้ ที่คอยช่วยเหลือคนที่ต้องการ
ลองนึกภาพหมอคนนึง พยายามจะรักษาทุกคนที่ขวางหน้า จะจัดยาให้ท่าเดียว เพราะรู้ว่ายานี้ดีนะ คนกินหายขาดแน่ แต่ไม่สนเลยว่าคนนี้ป่วยมั้ย แบบนี้คนที่พบเจอคงคิดว่าคนนี้เป็นหมอโรคจิต บ้ารึเปล่า จะรักษาคนไม่ป่วยทำไม มีแต่คนรังเกียจหมอแบบนี้
แต่หมอที่ดี(ซึ่งคือหมอทั่วๆไปที่เราเจอ) จะถามอาการคนไข้ ตรวจร่างกาย แล้วให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว จัดยาที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ทำให้คนไข้สบายใจที่จะมาหาหมอคนนี้
คนทำเครือข่ายส่วนใหญ่ชอบทำตัวเป็นหมอโรคจิต เจอใครจะจับสมัครทุกคนที่ขวางหน้า ธุรกิจข้าดี สินค้าข้าดีนะเว้ย แกสมัครสิ ซื้อสิ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะเป็นมงกุฎยมทูตแล้ว
แต่คนทำเครือข่ายประสบความสำเร็จ คือคนที่เป็นหมอที่ดี เค้ารู้ว่าธุรกิจนี้ดียังไง ลงทุนต่ำ ไม่เสี่ยง มีโค้ช ได้เงินได้เวลา ได้เที่ยว อิสรภาพ เค้ารู้ว่าสินค้าดียังไง ลดน้ำหนักได้ หน้าเด้งได้ แต่เค้าจะไม่แนะนำคนที่เค้าไม่ต้องการ
คนสำเร็จจะทำตัวเหมือนหมอที่ดี คือ ถามไถ่อาการของคนไข้ ว่าชีวิตเค้าต้องการอะไรเพิ่ม ทำความเข้าใจเพื่อน และแนะนำส่งที่ดีกับเพื่อนให้เค้า เช่น เพื่อนเราป่วยเป็นมะเร็ง เราก็แนะนำน้ำมันรำข้าวให้ ไม่ใช่ยัดFeroza ให้เค้า หรือบอกเอาอัพมิเนอรัลสเปร์ไปฉีดสิดีนะ มาจากแหล่งธารน้ำแร่ที่ดีที่สุดในโลก คนเป็นมะเร็ง จะลดน้ำหนัก จะฉีดน้ำแร่ทำไม เค้าก็อยากให้สุขภาพเค้าดีขึ้นก่อนสิ
คนสำเร็จจะทำความเข้าใจผู้คน คนไหนที่ต้องการโอกาส ต้องการรายได้เพื่ม เค้าก็จะแนะนำให้ทำธุรกิจ และเสนอตัวเป็นโค้ชพาเค้าไปสำเร็จด้วยกัน ไม่ใช่ชวนเค้ามาแล้วทิ้งเค้าทำเอง แต่เรารอรับแมทชิ่ง
พอผมได้รู้ว่า ธุรกิจเครือข่าย จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ผมเข้าใจตอนแรก (ตอนแรกเข้าใจว่าต้องทำตัวเป็นหมอโรคจิต ) แต่ธุรกิจนี้สวยงามและช่วยเหลือผู้คน (เหมือนหมอที่ดี) ผมก็รู้สคกว่านี่แหละแนวเรา ธุรกิจที่ได้ช่วยคนให้สุขภาพดี ผอม สวย รวย แถมยิ่งช่วยคนได้เยอะ เราก็ยิ่งรวย นี่มันแนวเราชัดๆ
เพียงแต่สิ่งที่เราต้องเจอคือธรรมชาติของธุรกิจนี้ที่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่า ต้องทำตัวเป็นหมอโรคจิต บางครั้งเค้าเห็นเราทำเครือข่าย เค้าก็มองเราเป๋นหมอโรคจิตก่อนเลย หาว่าเราบ้าไปแล้ว
แต่มันคืองานของเรา มี่ต้องทำให้เค้ารู้ว่า คนสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่หมอโรคจิต แต่คือหมอที่ช่วยผู้คน รักษาอาการยากจน ให้ร่ำรวย สุขภาพดี ผอม สวย รวย ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่าธุรกิจเครือข่ายได้
ทุกๆอาชีพ กว่าจะได้รับการยอมรับต้องผ่านการพิสูจน์คุณค่าของอาชีพนั้น
ไนติ้งเกล พิสูจน์ให้คนมองอาชีพพยาบาล จากคนเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวคนไข้ กลายเป็น นางฟ้าในชุดสีขาว
ดาราสมัยก่อน โดนดูถูกว่าไม่มีเกียรติ เต้นกินรำกิน ไม่อยากให้ลูกเป็นดารา แต่ดาราหลายๆท่านพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อาชีพดารา มีคุณค่าให้ความบันเทิงกับผู้คนได้มากมาย จนกลายเป็นที่ยอมรับในสังคมในปัจจุบัน
ธุรกิจเครือข่ายก็ต้องผ่านการพิสูจน์เช่นกัน เพียงแต่เราจะเป็นคนพิสูจน์แล้วสำเร็จให้ดู หรือรอดูคนอื่นสำเร็จ
สิ่งเดียวที่เราต้องอดทนกับธรรมชาติธุรกิจนี้ก็คือ คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ แล้วมองเราเป็น "หมอโรคจิต" แต่เราต้องทำให้เค้าเข้าใจว่า "เราคือหมอที่ดี"
สิ่งเดียวที่เราต้องอดทนกับธรรมชาติธุรกิจนี้ก็คือ คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ แล้วมองเราเป็น "หมอโรคจิต" แต่เราต้องทำให้เค้าเข้าใจว่า "เราคือหมอที่ดี"
หากหมอที่ดีมีมากกว่าหมอโรคจิต วงการหมอจึงได้รับการยอมรับ ดังนั้น
หากนักธุรกิจเครือข่ายที่ดีมีมากกว่าที่เห็นแต่ประโยชน์ วงการเครือข่ายก็จะได้รับการยอมรับในที่สุด ล
นี่คืออีกเป้าหมายหนึ่งของระบบ S55 ที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจเครือข่ายในสังคม ให้เข้าใจธุรกิจมหัศจรรย์นี้ใหม่ แล้วไม่พลาดโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต
10.เป็นแชร์ลูกโซ่ ผิดกฎหมาย หรือเปล่า
ธุรกิจเครือข่าย หรือแชร์ลูกโซ่(มันนี่เกมส์) แยกแยะยังไง?
มีวันหนึ่ง ผมได้ไปทานอาหารรวมญาติกับที่บ้านมา พี่ๆผมถามถึงธุรกิจที่ผมทำ ว่าจะโดนจับแบบในข่าวไหม เขาเป็นห่วงกัน (เพราะมีข่าวแชร์ลูกโซ่โดนจับ)
ผมนี่ยืนขึ้นเลย
พบว่าคนส่วนใหญ่ แยกไม่ออกระหว่างธุรกิจเครือข่ายกับมันนี่เกมส์ เหมือนคนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่าง กระเป๋า Hermes ของแท้ กับของปลอม
วันนี้หากท่านเจอคนที่แยกไม่ออกระหว่างธุรกิจเครือข่ายหรือมันนี่เกมส์ ให้ดูง่ายๆครับว่า
"รายได้ตามแผนธุรกิจ เกิดจากคนซื้อสินค้าไปกินไปใช้(ไม่มากเกินจริง เช่น หลักพัน ไม่ใช่หลักหลายๆหมื่น)
ส่วนมันนี่เกมส์ รายได้ตามแผนจะเกิดจากการชวนคนมาสมัครและลงทุน หรือซื้อสินค้าที่ไม่มีต้นทุน เช่น เงินสมมติที่อยู่ในเน็ท แอฟพิเคชั่นที่ทำครั้งเดียว โหลดได้ทุกคน(ในราคาแพงๆ)อาจเป็นเพชรปลอม ทองปลอม หรืออะไรก็ได้ที่ไม่มีต้นทุนหรือทุนต่ำมากๆ"
บางคนถามต่อ แล้วมันต่างกันตรงไหน ในเมื่อคนที่ซื้อยาสีฟันของพวกคุณเขาซื้อเพราะเขาพอใจ ส่วนผมซื้อเงินสมมติก็เพราะผมพอใจ เงินผมเกี่ยวไรกับคุณ
ผมตอบ ถ้าคุณแค่ซื้อไม่ได้ชวนใครนั่นไม่ผิดเลย ตามสบาย เพราะเวลาเดือดร้อนมันคุณเดือดร้อนคนเดียว
แต่หากคุณชวนคนผิดทันที เพราะคนที่คุณชวนมาซื้อเงินสมมตินั้นเขาไม่ได้พอใจจะซื้อ แต่เขาโดนคุณโน้มน้าวให้ซื้อ
เวลาตำรวจจับเขาถึงจับแต่คนที่ชวนคนไง ส่วนคนที่ลงเงินแต่ไม่เคยชวนใคร เค้าเรียกผู้เสียหายไง
คนที่ซื้อสินค้า อย่างยาสีฟัน สบู่ไปใช้ เขาได้ประโยชน์จากสินค้า ติดใจแล้วซื้อซ้ำ
หากไม่ได้เงิน ก็ยังยินดีจะซื้อใช้ต่อเนื่อง
แต่คนที่ซื้อเงินสมมติของมันนี่เกมส์ ถ้าไม่ได้เงินเลย จะยินดีซื้อซ้ำไหม ไม่มีทางแน่นอน จะเอาไปทำไมล่ะ
มีวันหนึ่ง ผมได้ไปทานอาหารรวมญาติกับที่บ้านมา พี่ๆผมถามถึงธุรกิจที่ผมทำ ว่าจะโดนจับแบบในข่าวไหม เขาเป็นห่วงกัน (เพราะมีข่าวแชร์ลูกโซ่โดนจับ)
ผมนี่ยืนขึ้นเลย
พบว่าคนส่วนใหญ่ แยกไม่ออกระหว่างธุรกิจเครือข่ายกับมันนี่เกมส์ เหมือนคนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่าง กระเป๋า Hermes ของแท้ กับของปลอม
วันนี้หากท่านเจอคนที่แยกไม่ออกระหว่างธุรกิจเครือข่ายหรือมันนี่เกมส์ ให้ดูง่ายๆครับว่า
"รายได้ตามแผนธุรกิจ เกิดจากคนซื้อสินค้าไปกินไปใช้(ไม่มากเกินจริง เช่น หลักพัน ไม่ใช่หลักหลายๆหมื่น)
ส่วนมันนี่เกมส์ รายได้ตามแผนจะเกิดจากการชวนคนมาสมัครและลงทุน หรือซื้อสินค้าที่ไม่มีต้นทุน เช่น เงินสมมติที่อยู่ในเน็ท แอฟพิเคชั่นที่ทำครั้งเดียว โหลดได้ทุกคน(ในราคาแพงๆ)อาจเป็นเพชรปลอม ทองปลอม หรืออะไรก็ได้ที่ไม่มีต้นทุนหรือทุนต่ำมากๆ"
บางคนถามต่อ แล้วมันต่างกันตรงไหน ในเมื่อคนที่ซื้อยาสีฟันของพวกคุณเขาซื้อเพราะเขาพอใจ ส่วนผมซื้อเงินสมมติก็เพราะผมพอใจ เงินผมเกี่ยวไรกับคุณ
ผมตอบ ถ้าคุณแค่ซื้อไม่ได้ชวนใครนั่นไม่ผิดเลย ตามสบาย เพราะเวลาเดือดร้อนมันคุณเดือดร้อนคนเดียว
แต่หากคุณชวนคนผิดทันที เพราะคนที่คุณชวนมาซื้อเงินสมมตินั้นเขาไม่ได้พอใจจะซื้อ แต่เขาโดนคุณโน้มน้าวให้ซื้อ
เวลาตำรวจจับเขาถึงจับแต่คนที่ชวนคนไง ส่วนคนที่ลงเงินแต่ไม่เคยชวนใคร เค้าเรียกผู้เสียหายไง
คนที่ซื้อสินค้า อย่างยาสีฟัน สบู่ไปใช้ เขาได้ประโยชน์จากสินค้า ติดใจแล้วซื้อซ้ำ
หากไม่ได้เงิน ก็ยังยินดีจะซื้อใช้ต่อเนื่อง
แต่คนที่ซื้อเงินสมมติของมันนี่เกมส์ ถ้าไม่ได้เงินเลย จะยินดีซื้อซ้ำไหม ไม่มีทางแน่นอน จะเอาไปทำไมล่ะ
ในกรณีเลวร้ายที่สุด สมมติบริษัทปิดกิจการ สินค้าที่ซื้อไปยังใช้ได้ เอาไปแปรงฟัน อาบน้ำ ยังไงก็ซื้ออยู่แล้ว แต่หากเป็นของไมมีประโยชน์ เวลาบริษัทปิดไปจะเอาเงินสมมตินั้นไปใช้ที่ไหน
ดังนั้นวิธีแยกแยะง่ายๆก็คือ เงินที่เราจ่ายไป ได้อะไรมา แล้วสิ่งที่ได้มา หากบริษัทปิดไป เรายังใช้ประโยชน์ได้มั้ย ถ้าใช้ได้แปลว่า ไม่ใช่มันนี่เกมส์ แต่ถ้าบริษัทปิดไปแล้ว สิ่งที่เราซื้อมาไม่สามารถไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก นั่นมันนี่เกมส์เลย
นี่คือการแยกแยะง่ายๆให้คุณไม่หลงเป็นเหยื่อของมันนี่เกมส์
นี่คือการแยกแยะง่ายๆให้คุณไม่หลงเป็นเหยื่อของมันนี่เกมส์
11.อยากทำงานที่มีเกียรติมากกว่า
ในสมัยก่อน ค่านิยมของคนไทยคือ อยากให้ลูกรับราชการ เพราะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ ใครทำงานบริษัทเอกชน จะโดนดูถูกหาว่า ไปทำงานรับใช้ฝรั่งตาน้ำข้าว
หากเราเคยดูละครย้อนยุคสมัยโบราณ เราจะพบว่าข้าราชการ พวกเจ้าขุนมูลนาย นอกจากจะเท่ห์แล้ว เงินเดือนยังมากมายขนาดเลี้ยงดูลูกเมียได้หลายๆคน เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ มีบ้าน มีทาสเต็มบ้าน
ยุคสมัยเปลี่ยนไป ค่าครองชีพสูงขึ้นเร็วมากกว่าอัตราเงินเดือนที่ขึ้นของข้าราชการ จนข้าราชการจนลงโดยไม่รู้ตัว
ปัจจุบัน หากเรารับราชการอย่างเดียว ไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่สามารถใช้เงินเดือนเลี้ยงดูครอบครัว ได้อีกต่อไป
ตอนผมเรียนจบเภสัชฯ (ปี2546) ไปรับราชการที่ อย. เงินเดือน 7,960บาท ทองคำตอนนั้นบาทละ 8,000กว่า เงินเดือนผม ไม่พอซื้อทองสักบาทเลย
รุ่นพี่ที่ อย. แซวผมว่า 7,960บาท เยอะนะ ตอนพี่รับราชการใหม่ๆ ได้ เดือนละ 2,000เองน้อง
ผมถามพี่เค้าว่า พี่รับราชการมากี่ปีแล้วครับ
พี่เค้าบอก 30ปี
ผมตกใจ แล้วถามว่าตอนพี่เรียนจบรับราชการใหม่ ทองบาทละเท่าไรครับ
พี่เค้าบอก 400
ผมคำนวนง่ายๆ เงินเดือนพี่ 2,000 สามารถซื้อทองได้ 5 บาท สมัยนั้น เรียกว่าพี่อยู่รุ่น 5บาท
ส่วนผม เงินเดือน 7,960 บาท ทองบาทละ 8,000กว่า เรียกว่าผมอยู่รุ่น ไม่เต็มบาทละ
ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ผมไม่สามารถมีรถมีบ้านเป็นของตัวเองแน่นอน เพราะแค่ค่าเดินทางไปกลับทที่ทำงานกับบ้าน ก็กินไปเกือบครึ่งของเงินเดือนแล้ว ยังค่ากินค่าอื่นๆอีก
แต่ปัจจุบันใครทำงานบริษัทเอกชนข้ามชาติ ดูเท่ห์เหลือเกิน ขิ่งเป็นบริษัทใหญ่ๆดังๆด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง อยากประกาศให้โลกรู้ดังๆเลย เพราะเงินเดือนหลักแสนกันเลยทีเดียว อย่างแย่ๆก็หลายหมื่น
ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า สมัยก่อน ช่วงก่อนผมเกิดคาบเกี่ยวกับช่วงผมเกิดใหม่ๆ 30-40ปี ก่อน อาชีพดาราเป็นอาชีพที่คนดูถูกกันทั่วบ้านทั่วเมือง ว่า เต้นกินรำกิน ไม่มีเกียรติ ใครมีลูกเป็นดาราจะอายทั่วซอยเลย
แต่ปัจจุบันอาชีพดารา คนให้การยอมรับกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะรายได้ดี มีชื่อเสียง เป็นดาราแล้วร่ำรวย ชีวิตเปลี่ยน คนต้องแข่งกัน ประกวดกันเพื่อแย่งกันเป็นดารากันเลยทีเดียว
อาชีพนักธุรกิจเครือข่าย คล้ายกับอาชีพดารามากๆ ที่คนดูถูก แต่ปัจจุบัน ผมเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงจาก 10ปี ก่อน (2448) ตอนนั้นผมมีรายได้ 180,000บาท ต่อเดือน ผมขอทำบัตรเครดิตใบแรก ธนาคารให้เครดิตผม 30,000บาท ผมแปลกใจมากว่าทำไมคนรายได้ 180,000บาท ได้วงเงินแค่ 30,000บาท ธนาคารบอกผมว่า เพราะผมทำธุรกิจเครือข่าย มันไม่มั่นคง ผมแอบเครียดอยู่เหมือนกันว่าเรามาผิดทางหรือไม่ แต่สุดท้ายผมก็สปอนเซอร์ตัวเองกลับมาเข้าลู่ได้
ผ่านมา 6ปี หลังจากนั้น ช่วง ปี 2553-2554 ธนาคารไทยพานิชย์ เปิดตัวบัตรเตรดิตระดับสูงสุดของเค้า ชื่อ "บัตร Beyond Platinum " รองผู้จัดการธนาคารขอให้ผมทำบัตรใหม่นี้กับธนาคาร ทั้งๆที่ผมมีบัตรเก่าอยู่แล้ว ซึ่งตอนนั้นผมมีรายได้ เดือนละ 1,700,000บาท ต่อเดือน ผมก็ตกลงทำบัตรกับเค้า ปรากฎได้วงเงิน 1,000,000บาท แล้วตอนหลังเพิ่มให้เป็น 1,500,000บาท ทั้งๆที่ผมไม่ได้ขอ
ผมพบว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ธุรกิจเครือข่ายกลับได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างสูง จะพบว่าคนที่ทำงานดีๆ อย่างหมอ เภสัชฯ พยาบาล หรือแม้กระทั่งเจ้าของธุรกิจ และดาราดังๆ ก็เข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายกันมากมาย
เพราะเป็นที่ยอมรับกันว่า เมื่อสำเร็จแล้ว ผลลัพธ์ของธุรกิจเครือข่าย ช่างเท่ห์เหลือเกิน
มีเงิน มีเวลา เป็นของตัวเอง มีอิสระที่จะออกแบบชีวิตตัวเอง มีรถ บ้าน ได้เที่ยวทั่วโลก ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ให้ท่านมีความสุขสบายกายและใจ หมดห่วงกับลูกคนนี้
โดนัล ทรัม เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกา เจ้าของลิขสิทธิ์การประกวดมิสยูนิเวิร์ส ตอบคำถามนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ทรัมว่า
นักข่าว "คุณทรัม ถ้าวันนี้คุณเกิดล้มละลายขึ้นมา คุณจะทำยังไง?"
โดนัลทรัม "ผมจะไปทำธุรกิจเครือข่าย"
นักข่าว "ฮ่าฮ่าฮ่า คุณปล่อยมุกตลกใช่ไหม เจ้าพ่ออสังหาอย่างคุณจะไปทำธุรกิจเครือข่ายทำไม"
โดนัลทรัม "ผมไม่ได้พูดตลก นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผมรวย แต่คุณจน ยังไงล่ะ"
นักข่าว เงิบ
หลายสิบปีก่อนวงการอสังหาริมทรัพย์ยังไม่บูมเท่าทุกวันนี้ โดนัลทรัม คือคนที่มองเห็นอนาคตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขาจึงลงมือลุยธุรกิจอสังหา ในขณะที่คนทั่วๆไปมองไม่ออก
ปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โตมากๆแล้ว คนมีวิสัยทัศน์อย่าง โดนัลทรัมจึงมองเห็นว่าธุรกิจที่เขาจะเข้าไปลุยทำหากเขาต้องเริ่มใหม่ ต้องเป็นธุรกิจที่กำลังจะบูมมากๆในอนาคต อย่างธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่ธุรกิจที่บูมอยู่แล้ว
หากคุณมองด้วยสายตา คุณจะเห็นแค่ทิวทัศน์
แต่หากคุณมองด้วยปัญญา คุณจะเห็นวิสัยทัศน์
นักข่าว "คุณทรัม ถ้าวันนี้คุณเกิดล้มละลายขึ้นมา คุณจะทำยังไง?"
โดนัลทรัม "ผมจะไปทำธุรกิจเครือข่าย"
นักข่าว "ฮ่าฮ่าฮ่า คุณปล่อยมุกตลกใช่ไหม เจ้าพ่ออสังหาอย่างคุณจะไปทำธุรกิจเครือข่ายทำไม"
โดนัลทรัม "ผมไม่ได้พูดตลก นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผมรวย แต่คุณจน ยังไงล่ะ"
นักข่าว เงิบ
หลายสิบปีก่อนวงการอสังหาริมทรัพย์ยังไม่บูมเท่าทุกวันนี้ โดนัลทรัม คือคนที่มองเห็นอนาคตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขาจึงลงมือลุยธุรกิจอสังหา ในขณะที่คนทั่วๆไปมองไม่ออก
ปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โตมากๆแล้ว คนมีวิสัยทัศน์อย่าง โดนัลทรัมจึงมองเห็นว่าธุรกิจที่เขาจะเข้าไปลุยทำหากเขาต้องเริ่มใหม่ ต้องเป็นธุรกิจที่กำลังจะบูมมากๆในอนาคต อย่างธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่ธุรกิจที่บูมอยู่แล้ว
หากคุณมองด้วยสายตา คุณจะเห็นแค่ทิวทัศน์
แต่หากคุณมองด้วยปัญญา คุณจะเห็นวิสัยทัศน์
12.ทำไมต้องเข้าประชุมทุกสัปดาห์
ตอบ
เพราะจะทำให้เรามีรายได้ มีความสำเร็จ มากกว่าเวลาและความสามารถที่เราจะทำได้
ตอบ
เพราะจะทำให้เรามีรายได้ มีความสำเร็จ มากกว่าเวลาและความสามารถที่เราจะทำได้
เนื่องจากธุรกิจเครือข่ายนั้น จะเติบโตด้วยจำนวนสาขาที่สามารถทำเหมือนๆกันได้ ยิ่งมาก ยิ่งโต ยิ่งมีรายได้มาก
เมื่อสิ้นปี 2557 มีข้อมูลของ 7-11 ออกมาว่า ตอนนี้ 7-11 มี 8,000สาขา ทั่วไทยแล้ว แต่ละวันโดยเฉลี่ยจะมีคนไทยเข้า 7-11 สาขาละ 1,600คน แต่ละคนมีการซื้อของเฉลี่ย 60บาทต่อคน
พอคำนวนออกมาทำให้พบว่า 7-11 แต่ละสาขามียอดขาย 96,000บาท ต่อวัน หรือ 2,880,000บาทต่อเดือน หรือ 34.5 ล้านบาทต่อปี
แต่เนื่องจากมี 8,000สาขา ทำให้ปี2557 ยอดขายของ 7-11 เท่ากับ 280,000ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
คำถาม เราคิดว่าร้านMini mart ทั่วไปขายของได้พอๆกับ7-11 ไหม ?
ตอบ ถ้าเทียบสาขาต่อสาขา ทำเลเดียวกันก็พอๆกัน
หากเราเป็นเจ้าของร้าน Mini mart ที่เราเปิดเอง ทำเอง ออกแบบเอง คิดเอง เราอาจทำบางอย่างได้ดีกว่า 7-11ด้วยซ้ำ แต่ทำอย่างไร เราถึงจะมียอดขายเท่ากับ 7-11 ในปี 2557 เพียงปีเดียว คือ 280,000ล้านบาท
ตอบ มี2 วิธี
วิธีที่ 1 เปิดขายของ 8,000ปี สิ เพราะเรามีสาขาเดียว ก็ต้องทำมากกว่าเค้า 8,000เท่า จะเห็นว่าเปิดตั้งแต่รุ่นปู่ ตกทอดมารุ่นพ่อ จนถึงรุ่นเรา ก็ยังไม่ได้ 100ปี เลย. การทำยอดขายเท่า7-11 จึงเป็นไปไม่ได้
วิธีที่ 1 เปิดขายของ 8,000ปี สิ เพราะเรามีสาขาเดียว ก็ต้องทำมากกว่าเค้า 8,000เท่า จะเห็นว่าเปิดตั้งแต่รุ่นปู่ ตกทอดมารุ่นพ่อ จนถึงรุ่นเรา ก็ยังไม่ได้ 100ปี เลย. การทำยอดขายเท่า7-11 จึงเป็นไปไม่ได้
ผมว่า 8,000ปี ก่อน ยังไม่มีร้าน Mini mart ด้วยซ้ำไป
วิธีที่ 2 ขยายสาขาให้ได้ 8,000สาขา เท่า 7-11สิ คำถามคือ เราต้องเรียก 8,000สาขานั้นมาอบรมไหมเรียกมาวางแผนพัฒนาร้านค้าไหม ต้องทำอยู่แล้ว เพราะมันเป็นระบบแฟรนด์ไชส์
จากตัวอย่างของ 7-11 ถ้าเปรียบเทียบกับธุรกิจเครือข่ายแล้ว
คนที่ไม่เข้าประชุม ก็จะใช้ความสามารถของตัวเอง ความขยันของตัวเอง เวลาของตัวเอง เท่านั้น ในการทำงาน สุดท้าย เค้าก็ได้เท่าที่เค้า มีปัญญาทำ
แต่คนที่รู้จักใช้ที่ประชุมทุกสัปดาห์ บางคนมากกว่าสัปดาห์ละครั้ง เค้าจะสามารถมีสาขาที่ทำแบบเค้าได้ เป็น 10 เป็น 100 เป็น 1,000 สาขา. นั่นคือสาเหตุที่เค้ามีรายได้มากกว่าคนที่ไม่ใช้ที่ประชุม เป็นพันๆเท่า ทั้งๆที่ไม่ได้เก่งกว่าหรือขยันกว่า คนที่ไม่เข้าประชุมด้วยซ้ำ
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม
ในช่วงปีแรก ของการทำธุรกิจ เครือข่าย โดยเฉพาะ 3-6เดือนแรก
รายได้ของผม เดือนที่ 1 คือ 968บาท เดือนที่2 คือ 1,500บาท เดือนที่ 3 คือ 240บาท เดือนที่4 คือ 2,800บาท เดือนที่ 5 คือ 1,500บาท เดือนที่6 คือ 2,000บาท
ดูแล้วไม่น่ารอดชีวิตอยู่ในธุรกิจเครือข่ายได้เลย แต่ผมมีรายได้ประจำจากแม่ ให้ทุกเดือน เพราะเรายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แล้วทำเครือข่ายด้วย หลังเลิกเรียนตอนเย็นๆ และเสาร์อาทิตย์
สิ่งที่ผมทำในช่วงปีแรก คือ ไม่เคยขาดประชุม แม้อีกวันจะมีสอบ ผมก็เอาหนังสือไปอ่านด้วย ระหว่างนั่งรถเมล์ นั่งรอเริ่มประชุม เพราะผมอยากเรียนรู้วิธีการประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย
ผมมุ่งมั่นอยู่ปีครึ่ง โดยไม่เคยสัมผัสรายได้ถึง 10,000บาทต่อเดือนด้วยซ้ำ แต่เราคิดว่า ก็เรายังเรียนไม่จบ(เพิ่งจบปี 1 ในธุรกิจเครือข่ายเอง) จะหวังเงินมากมายได้ไง ขนาดอยู่เภสัชฯจุฬา ปี 5 แล้ว ยังทำเงินไม่ได้สักบาท
เดือน ที่ มิถุนายน 2446 เป็นเดือนแรกที่ผมสัมผัสรายได้ 40,000บาท ต่อเดือน
ณ ขณะนั้น ผมยังเรียนปี 5 คณะเภสัชฯจุฬา แต่เป็นปี 2 ของธุรกิจเครือข่ายของผม รายได้ 40,000บาทต่อเดือน ถือว่าเยอะมากกกกก สำหรับเด็กนักศึกษาอย่างผม
ผมมีความสุข ผมหน้าบาน ไปเจอใครก็อยากให้เค้าถามว่า ได้กี่บาทแล้ว ? คืออยากบอกอะครับ
จากเคยโดนเพื่อนแซวว่า"เสี่ยนุ๊ก ขายของรวยยังวะมึง" แล้วผมโกรธ
ตอนนี้อยากให้เพื่อนแซวอีกจัง ผมจะตอบเลย "ก็ยังไม่รวยมากหรอก แค่เดือนละ 40,000เอง"
ถามกูสิ ถามเลยอยากบอก นี่คืออารมณ์ตอนนั้น
เดือน ตค ปี2546 ผมมีรายได้ 100,000บาท ต่อเดือนครั้งแรกในชีวิต
หูยเดือนนั้น เดินถือสมุดบัญชีธนาคารติดตัวตลอดเวลา เผื่อใครถามจะได้เปิดให้ดู
อะไรจะเท่ห์ขนาดนั้น เรียนยังไม่จบ ก็ได้เงินแสนแล้ว คนอื่นเรียนจบ มือนึงถือใบปริญญา มือนึงถือใบสมัครงาน แต่เรา ถือเงินแสนหว่ะ โอ๊ย อยากโดนถามจริงๆ ว่าได้กี่บาทแล้ว
เวอร์มากตอนนั้น
พอเราเป็นเด็กนักศึกษาที่มีรายได้หลักแสน ก็มีแต่คนเชิญไปพูดที่นั่นที่นี่ ผมเข้าเซนเตอร์ทุกสัปดาห์เหมือนเดิม แต่บทบาทเปลี่ยนไป
จากเคยไปนั่งฟัง นั่งเรียน อย่างเดียว คราวนี้ต้องเป็นคนาอนบ้างละ แต่ก็ยังเรียนจากคนอื่นด้วย เพราะ ไม่งั้นเราจะขาดทุน ที่ไปเซนเตอร์แล้วลอกแต่เคล็ดลับของเรา ต้องฟังเคล็ดลับคนอื่นบ้าง จะได้เสมอกัน
ช่วงปีที 3 ของผมในธุรกิจเครือข่าย คือช่วงที่ผมเรียนจบแล้ว ทำงานที่ อย. ได้ 5 เดือน ก็ลาออกมาทำธุรกิจเครือข่ายเต็มตัว ปรากฎว่า จังหวะเดียวกันที่ผมลาออกจาก อย. บริษัทที่ผมทำมีปัญหา เราจึงต้องหาบ้านใหม่ให้กับทีมงาน ผมเริ่มต้นทำโดยไม่มีอัพไลน์เป็นครั้งแรก เราเป็นอัพไลน์สูงสุดในองค์กรเลยทีนี้ จริงๆอัพไลน์มีนะ แต่เค้าไม่ทำ เราเลยต้องทำคนเดียว
แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะธุรกิจของเรา เราต้องทำเอง
ปี 2558 ผมอยู่ในธุรกิจเครือข่ายครบ 13 ปี กับรายได้รวมร่วม 200ล้าน สร้างยอดธุรกิจมากกว่า 15,000ล้านบาท ผมนึกย้อนกลับไปว่า ทำไมเราถึงเข้าเซนเตอร์มาได้ตลอด 13 ปี ไม่เบื่อ
สรุปได้ว่า
ช่วงปีแรก เราเข้าไปเรียน ไปฝึกเป็นลูกมือเค้า จัดโต๊ะยังไง คุมเสียงยังไง จับเวลายังไง พูดบนเวทียังไง แก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังไง
ช่วงปีที่ 2 เราเป็นคนถ่ายทอดบ้าง เริ่มเกิดพลังทวีคูณในองค์กร รายได้ มากกว่า เวลาที่เรามีหลายเท่า
ช่วงปีที่ 3-6 สร้างพลังทวีคูณ จนมีเครือข่ายที่ก่อให้เกิดรายได้เดือนละ 1,000,000บาท
ช่วงปีที่ 7 เป็นต้นมา ตั้งแต่ เดือน ตุลาคม 2552 ผมไม่เคยมีรายได้ต่ำกว่า 1,000,000บาท ต่อเดือนอีกเลย จนถึงตอนนี้ แถมยังเพิ่มขึ้นเป็น หลายล้านบาทต่อเดือนด้วย
แล้วเรายังมาเซนเตอร์ทำไม ? ผมตอบได้คำเดียวว่า มันคือบ้านหลังที่สองของผมไปแล้ว ล
การมาเซนเตอร์ เหมือนการมาเข้าชมรม สมาคมของผม ผมสามารถแบ่งปันประสบการณ์การหาเงินล้านให้ผู้อื่นได้ โดยที่ยิ่งให้ ยิ่งได้ (แมทชิ่ง). นี่คืองานหลังเกษียณได้เลย
การมาเซนเตอร์ เหมือนการมาเข้าชมรม สมาคมของผม ผมสามารถแบ่งปันประสบการณ์การหาเงินล้านให้ผู้อื่นได้ โดยที่ยิ่งให้ ยิ่งได้ (แมทชิ่ง). นี่คืองานหลังเกษียณได้เลย
วันนี้หากคุณมองว่า การเข้าเซนเตอร์เป็นภาระ เสียเวลา ก็ไม่ต่างจากร้านมินิมาร์ท ที่ไม่สามารถขยายเครือข่ายสร้างพลังทวีคูณได้
แต่หากคุณเข้าใจที่ผมพูด คุณจะรู้ถึงศักยภาพ และความคุ้มค่า ของการเข้าเซนเตอร์ สัปดาห์ละครั้ง มา. 13 ปีของผม ในขณะที่เพื่อนบางคน ไปทำงานประจำ เข้าออฟฟิตทุกวันสัปดาห์ละ 5วันมา 13 ปีเหมือนกัน แต่ความสำเร็จช่างต่างกัน
13.ทำไมต้องฟังสื่อ อ่านหนังสือ?
ตอบ
คนเก่งเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง!!
ตอบ
คนเก่งเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง!!
แต่คนฉลาดเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนสำเร็จ!!
ไม่ว่าคุณจะเรียนจบคณะอะไรมาก็ตาม สิ่งที่คุณเรียนมานั้นล้วนสรุปมาจากประสบการณ์ของคนที่ทำสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น เราจึงสามารถย่นย่อระยะเวลาความสำเร็จได้ ไม่ต้องลองผิดบ้างลองถูกบ้าง เราสามารถลองถูกได้อย่างเดียวจากการเรียนรู้
ตอนเรียนคณะเภสัชศาสตร์ที่จุฬาฯ อาจารย์บอกว่า อาชีพเภสัชมีมากว่า 2,000ปี แล้ว เชื่อว่าเภสัชในอดีตทำคนตายมาเยอะแล้ว แต่พวกเค้าก็จดไว้ว่าอะไรกินแล้วหาย อะไรกินแล้วตาย ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นมา ทำให้ผมเรียนเภสัชแค่ 5 ปี สามารถเป็นเภสัชกรได้เลย ไม่ต้องไปทำใครตาย
ในชีวิตจริงเราจะพบว่าธุรกิจเครือข่ายนั้น ยังไม่มีสอนกันในมหาวิทยาลัย อาจจะมีเป็นแค่หัวข้อๆนึง หรือประเด็นใดประเด็นนึง เป็นกรณีศึกษาบ้าง แต่สุดท้าย อาจารย์ที่สอนก็ยังไม่เคยทำจนประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ทำให้เราได้เรียนแค่ทฤษฎี
ตอนที่ผมเข้าสู่ธุรกิจเครือข่าย เริ่มแรกแค่กะหาเงินเปิดร้านขายยา เพราะไม่คิดว่าธุรกิจเครือข่ายจะดี แค่คิดว่าหาเงินก้อนนึงพอเปิดร้านยาได้ก็คงเลิก
แต่พอเข้ามาศึกษามากเข้ายิ่งทำให้ผม ตื่นเต้นกับธุรกิจเครือข่ายจนหลงใหลมัน และไม่สามารถไปทำอาชีพอื่นอีกต่อไป
ธุรกิจอะไร ลงทุนหลักร้อย แต่ได้ออฟฟิตสุดหรู มีพนักงานหลายร้อยคนมาคอยรับออเดอร์ ส่งของ ทำบัญชี นับสต๊อก แถมยังมีสต๊อกสินค้าในคลังมากกมายโดยเราไม่ต้องลงทุนสต๊อกเอง
แค่ผมจะเปิดร้านขายยายังต้องลงทุนเป็นล้าน และกำไรที่ได้มาก็ต้องเก็บไว้สำรองกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ของหาย ไฟไหม้ ลูกจ้างโกง โดนปล้น ฯลฯ ความรับผิดชอบมากมายแค่เป็นเจ้าของร้านยาสาขาเดียวนะ
แต่ในธุรกิจเครือข่ายเราเบาสบายตัวมาก เพราะบริษัทรับความเสี่ยงแทนเราหมดทุกอย่าง
ในธุรกิจส่วนตัวหากต้องการมีรายได้เพิ่ม ต้องเพิ่มประเภทสินค้าใหม่ๆเข้ามา นั่นคือสต๊อกเพิ่ม หรือเปิดสาขาเพิ่ม ก็ต้องลงทุนอีก แต่ธุรกิจเครือข่ายขยายได้ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
ในกรณีเลวร้ายที่สุดธุรกิจเราเจ๊ง แค่ร้านยาเจ๊ง เงินเก็บเราหมด ดีไม่ดีเป็นหนี้ แต่ธุรกิจเครือข่ายเราไม่เสียอะไรเลย
ทำให้เรารู้ว่าธุรกิจนี้น่าทำอย่างมากถึงมากที่สุด ดีกว่าทำอย่างอื่นเป็นไหนๆ
เราจึงต้องรีบเรียนรู้ให้เป็นมืออาชีพให้เร็วที่สุด
หากผมต้องการเปิดร้านอาหาร ผมต้องไปหาหนังสือเกี่ยวกับร้านอาหารมาอ่าน ลงทุนไปเข้าคอร์สต่างๆ เช่น สอนทำอาหาร สอนบริหารธุรกิจ อะไรก็ตาม เพื่อให้เราเริ่มต้นธุรกิจได้ บางครั้งโชคร้ายไปเจอหน้งสือห่วยๆหรือคอร์สการเรียนห่วยๆ เราได้ข้อมูลห่วยๆมาเปิดธุรกิจ ก็ไม่รอด
ธุรกิจเครือข่ายมีคนประสบความสำเร็จจริงมาสอน อัดเสียงใส่ซีดี สรุปมาเป็นคู่มือ แนะนำหนังสือดีๆที่เราสามารถเอามาพัฒนาตัวเราเองได้ ทำไมผมจะรอช้า
ผมรีบอ่านหนังสือ ฟังซีดีอย่างบ้าคลั่ง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่เคยขาดรอบประชุม ผมนั่งรถเมล์ รถไฟฟ้าเมื่อไหร่เป็นหยิบหูฟังมาฟังซีดีตลอด ขับรถก็ฟัง กลับบ้านก็เปิด Dvd เหมือนคนบ้าธุรกิจเครือข่าย แบบเข้าเส้น
เพราะผมรู้ว่า "อัตราเร็วในการประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับอัตราเร็วในการพัฒนาตนเอง"
ผมต้องการประสบความสำเร็จเร็ว เพราะจะได้เหลือเวลาใช้ชีวิตนาน
ถ้าสำเร็จช้า ก็เหลือเวลาใช้ชีวิตน้อย
ผมไม่เชื่อคนที่บอกผมว่า มาทำบริษัทเค้า ไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องประชุม ไม่ต้องชวนคน เดี๋ยวจะสำเร็จ
ผมถามจะสำเร็จได้ไงถ้าไม่ทำไร
คำตอบที่มักได้คือ เดี๋ยวพี่ช่วยให้น้องสำเร็จ
ผมไม่เชื่อ
จะช่วยผมทำไม ผมเป็นอะไรกับพี่ สนิทกันก็ไม่ เพิ่งรู้จักเอง ถ้าจะช่วยจนสำเร็จ ช่วยจนรวย ทำไมไม่ช่วยพ่อแม่. ญาติพี่น้องของพี่เองล่ะ ผมว่าไม่สมเหตุสมผล
สุดท้ายพวกขายความมักง่าย ว่าเราไม่ต้องทำไร เค้าจะช่วย มักจบลงด้วยการให้เราลงทุนหลายๆหมื่น ถึงแสน อาจเป็นล้าน ซึ่งมักมีคนหลงเชื่อแล้วเสียเงินกับพวกนี้เยอะ ทำให้ภาพลักษณ์ธุรกิจเครือข่ายเสีย
ผมเชื่อในเหตุและผล ถ้าเราจะประสบความสำเร็จโดยที่เราไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ เราจะรักษาธุรกิจเราไว้ได้อย่างไร
เหมือนพวกที่ ปู่สร้าง พ่อรักษา หลานผลาญหมด
เพราะหลานไม่มีความสามารถในการดูแลธุรกิจเหมือนปู่เหมือนพ่อไง
สมมติ พรุ่งนี้เจ้าของห้างเซนทรัล ยกกิจการให้เรา เราเข้าไปรับมรดก บริหารห้างเซนทรัลต่อ ทันที เราว่ากี่เดือนเจ๊ง
ถ้าเราไม่มีความรุ้ความสามารถต่อให้เรามีโชค สุดท้ายมันก็อยู่กับเราไม่นาน
ผมเคยอ่านเจอผลสำรวจว่า "คนที่โชคดีถูกแจคพอตรางวัลใหญ่หลายสิบล้าน จะกลับมาจนเหมือนเดิมภายใน 5-10ปี". คล้ายๆเรื่องสามล้อถูกหวย สุดท้ายรักษาความรวยไว้ไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ด้านการบริหารเงิน
หลายปีก่อน ตอนที่มีขายหวยบนดินอย่างถูกกฎหมาย ผมซื้อประจำหวังถูกแจคพอต 30ล้าน 100ล้าน แต่ไม่เคยถูก
รุ่นน้องผมคนนึงเล่าให้ฟังว่าคนข้างบ้านที่สระแก้ว โชคดีถูกแจคพอต 29ล้าน จากหวยบนดิน ปีเดียวหมดกลับมาจนเหมือนเดิม เพราะชาวบ้านพอรู้ข่าวก็มาขอยืม ขอบริจาคกันมากมาย เจ้าตัวก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ปีเดียวเกลี้ยง สงสัยผลสำรวจจะเป็นจริง
หลายงวดถัดมา มีรางวัลแจคพอต แตก. 109ล้าน นังสือพิมพ์หาตัวคนโชคดีไม่เจอ เพราะไม่ยอมแสดงตัว จนผ่านไป 3 สัปดาห์. จึงเจอตัวคนถูกรางวัล ชื่อเจ้กุหลาบ เป็นเจ้าอพาร์ตเม้นให้เช่าแถวห้วยขวาง
หนังสือพิมพ์สัมภาษว่าเจ้กุหลายไปไหนมา ทำไมไม่มาออกข่าว
เจ้กุหลาบบอก ยุ่งอยู่ กับการเอาเงิน 109ล้านไปลบทุนสร้างอพาร์ตเม้นหลังใหม่หมดแล้ว
คำตอบของเจ้กุหลาบทำให้ผมเรียนรู้ว่า คนมีความรู้เรื่องการเงิน ก็จะรักษาและต่อยอดมันได้ แต่คนไม่มีความรู้จะไม่สามารถรักษามันได้ เข้าทำนองว่า
"คุณจะไม่ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ แต่คุณจะได้ในสิ่งที่คุณคู่ควร"
ถ้าเราฟังซีดี อ่านหนังสือมากๆ เข้าประชุมต่อเนื่อง ออกภาคสนามจนเก่ง เราจะคู่ควรเป็นคนประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย และได้Passive Income จริงๆ
คนที่ยังไม่ได้ ลองวิเคราะห์ดูว่าเราคู่ควรหรือยัง?
ผมใช้เวลาคลุกอยู่กับธุรกิจเครือข่ายเป็นเวลา 7 ปี (2545-2552) ตั้งเดือนตุลาคมปี 2552 เป็นต้นมาผมไม่เคยมีรายได้น้อยกว่า 1,000,000บาทต่อเดือนเลย เพราะผมพัฒนาตัวจนคู่ควรกับรายได้เดือนละล้านแล้ว
ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการเมือง น้ำท่วม หรือเหตุร้ายใดก็ตาม ไม่สามารถทำให้ผมได้น้อยกว่าเดือนละ 1,000,000ได้อีกเลย
จะดีไหมครับถ้าคุณใช้เวลาไม่กี่ปี อ่านหนังสือ ฟังซีดี พัฒนาตัวเองจนได้เดือนละ 1,000,000บาท โดยคุณไม่ต้องตื่นเช้าไปตอกบัตร หรือเปิดร้านอีกเลยตลอด 40-50ปี ที่เหลือในชีวิตคุณ
14.ทำไมต้องตั้งเป้าหมาย?
ตอบ
ตอบ
การตั้งเป้าหมายมักถูกพูดถึงบ่อย และมากที่สุดในธุรกิจเครือข่าย แต่หากเราอ่านหนังสือประวัติของผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย ต่างก็พูดถึงการตั้งเป้าหมายกันทุกคน ทั้งตั้งเป้าหมายใหญ่ การซอยเป้าหมาย หรือเทคนิคการตั้งเป้าหมาย
เพราะการตั้งเป้าหมายคือกระดุมเม็ดแรกสู่ความสำเร็จ และคนสำเร็จและคนรวยมีน้อยกว่าคนจนซึ่งไม่ยอมตั้งเป้าหมาย เราจึงถูกแวดล้อมไปด้วยคนที่ไม่ตั้งเป้าหมาย เวลาเจอการตั้งเป้าหมายเราจึงรู้สึกแปลก
แต่ความเป็นจริง ชีวิตเราตั้งเป้าหมายทุกวัน เพียงแต่เราไม่เคยเอาการตั้งเป้าหมายมาใช้กับเรื่องสำคัญๆของชีวิต เราจึงไม่ประสบความสำเร็จ เช่น
ทุกเช้าตอนออกไปทำงาน เราตั้งเป้าหมายว่าจะไปให้ทันเวลาตอกบัตร
เราขึ้นแท็กซี่ปุ๊ป เราตั้งเป้าหมายปั๊ปเลยว่า "ไปสยามพี่"
เรารอรถเมล์อยู่ที่ป้ายเราก็ตั้งเป้าหมายว่า เราจะขึ้นรถสาย 79 เป็นต้น
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราขึ้นแท็กซี่แล้วไม่ตั้งเป้าหมาย
พอพี่แท็กซี่ถามว่า"จะไปไหนครับ"
เราก็ตอบ "ไปเรื่อยๆ" หรือ "ไปไหนก็ได้"
พอพี่แท็กซี่ถามว่า"จะไปไหนครับ"
เราก็ตอบ "ไปเรื่อยๆ" หรือ "ไปไหนก็ได้"
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรายืนรอรถเมลล์ที่ป้ายโดยไม่ตั้งเป้าหมายว่าจะขึ้นสายไหน สายไหนมาก็ขึ้นไป
แล้วเราจะไปถึงไหมเนี่ย
เราต่างชินกับการตั้งเป้าหมาย เพียงแค่เราใช้มันตั้งเป้าหมายชีวิต และสิ่งที่ทำให้เราก้าวหน้า เราจะประสบความสำเร็จในทุกๆเรื่องในชีวิต
ตอนเรียนมัธยม ผมตั้งเป้าหมายจะสอบเข้าคณะสถาปัดจุฬาฯให้ได้ เพราะเห็นพี่สาวจบถาปัด จุฬาฯตั้งแต่ปี 2532 (26ปีก่อน)สมัยนั้นทองคำบาทละ 3,000เท่านั้น พี่สาวผมเงินเดือนStart 15,000(เท่ากับ100,000 สมัยนี้) สิ้นปีโบนัส 17เดือน ทำงานไป 5ปี อายุ 27 เงินเดือน 50,000 (เท่ากับ300,000สมัยนี้). โอววว อาชีพนี้ช่างน่าทำจริงๆ
เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว ผมจึงศึกษาหาข้อมูลว่าต้องทำอะไรบ้างจึงจะเข้าคณะสถาปัดได้
แล้วผมก็พบว่า วิชาที่ใช้สอบเข้าคณะสถาปัด มี
1.คณิตศาสตร์
2.ฟิสิก
3.ภาษาอังกฤษ
4.สังคมและภาษาไทย
5.ความถนัดด้านสถาปัตยกรรม (วาดรูปลงสี)
1.คณิตศาสตร์
2.ฟิสิก
3.ภาษาอังกฤษ
4.สังคมและภาษาไทย
5.ความถนัดด้านสถาปัตยกรรม (วาดรูปลงสี)
เต็ม500 คะแนน วิชาละ 100
ตลอดช่วงเวลา 2 ปี ระหว่างเรียน ม.4-5 ผมตั้งใจเรียน คณิตศาสตร์ ฟิสิก สังคมภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และหัดวาดรูปลงสีเป็นประจำ
วันเสาร์อาทิตย์ ก็ไปเรียนพิเศษ วิชาเหล่านี้ โดยไม่เคยเสียเงินเรียนพิเศษวิชาเคมี ชีวะ หรือวิชาอื่นที่ไม่มีผลกับเป้าหมายผมเลย
ตอนใกล้จบ ม.5 ผมสอบเทียบ ม.6 ได้จากสถาบันราชภัฎสวนสุนันทา
จึงเอาวุฒิสอบเทียบไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยตอนอายุ 17 เพิ่งจบ ม.5
เป้าหมายผมชัดมาก ผมหาข้อมูลสถิติเก่าย้อนหลังของคณะสถาปัต
ปรากฎว่าคะแนนต่ำสุด ในปี 2539 (ผมสอบปี2540) ของคนที่สอบเข้าสภาปัตจุฬาฯได้คือ 243 คะแนน เต็ม500
เป้าหมายผมชัดแล้วว่า ถ้าผมทำได้มากกว่า 243 ผมมีสิทธิ์สอบติดตั้งแต่ จบแค่ ม.5
ผมจึงไปซื้อข้อสอบเก่าย้อนหลังมา 10ปี ในวิชาที่ต้องใช้สอบ เว้น วาดรูปเพราะต้องให้คนตรวจให้คะแนนความงามที่เราวาด ไม่สามารถตรวจเองได้. จึงเว้นไว้
ปรากฎผมลองจับเวลาวิชาละ 3 ชั่วโมง ทำข้อสอบเหมือนสอบจริง หากทำไม่ทันก็ต้องกามั่ว
สุดท้ายคะแนนเฉลี่ย คณิตศาสตร์ + ฟิสิก + ภาษาอังกฤษ + สังคมและภาษาไทย รวม 4วิชา 400คะแนน ผมทำได้ 245 คะแนน
มากกว่าคะแนนต่ำสุดของปีที่แล้วอีก ทั้งๆที่ยังไม่รวมคะแนนวาดรูป ที่เราค่อนข้างถนัดนะเนี่ย ถ้ารวมวาดรูปสงสัย ได้ที่ 1 คณะแน่เลย (คิดเอาเองนะ)
ผมมั่นใจถึงขีดสุดว่าผมติดสถาปัต จุฬาฯ ชัวๆ 1,000,000% เพราะตลอด 2 ปีที่เราเรียนแบบมีเป้าหมาย เลือกโฟกัสสิ่งที่มีผลกับความสำเร็จ และวางบางสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความสำเร็จไปบ้าง เช่น วิชาเคมี และชีวิทยา ผมเรียนแค่ผ่านๆ เพราะไม่ได้ใช้สอบเข้าถาปัต
มีบางวันผมใช้เวลาในคาบเรียนเคมี ในการฟุบหลับเอาแรง เพื่อตั้งใจเรียนฟิสิก ในคาบต่อไป พอเสียงออด ดังหมดเวลาคาบเคมีปุ๊ป ผมเด้งตื่นขึ้นมาปั๊ป จนอาจารย์สอนเคมี แอบด่าว่า "ถึงเวลาเรียนของแกแล้วใช่มั้ย"
ผมได้แต่ยิ้ม แล้วตอบว่า "ใช่ครับ" ในใจ
สรุป ผมเป็นคนเดียวในห้องที่สอบติดมหาวิทยาลัยตั้งแต่จบ ม.5 โดยสอบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ เพราะเรา"ตั้งเป้าหมาย"ชัด และให้เวลาส่วนใหญ่ไปกับวิชาที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมาย และเราก็ยอมวางบางวิชาที่ไม่มีผลกับเป้าหมายเรา
การตั้งเป้าหมาย จึงเป็นเข็มทิศที่จะทำให้เราไม่หลงทาง ไม่เสียเวลา สามารถไปถึงเป้าหมายได้ก่อนใคร
หากคุณเป็นคนนึงที่ไม่เคยตั้งเป้าหมาย คุณจะพบว่า เป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่ก้าวหน้าในชีวิตเท่ากับเพื่อนคนอื่นที่มีเป้าหมายชัดเจน
ยังไม่สายเกินไปหากเราจะตั้งเป้าหมายเสียแต่วันนี้ เพียงแต่หากคุณไม่มีไอเดียในการตั้งเป้าหมาย หรือสับสน ไม่รู้จะตั้งยังไงดี ผมมีไอเดียมาเสนอดังนี้
ขั้นที่ 1 ตั้งเป้าหมายชีวิต เพื่อเป็นรัฐธรรมนูญ ของชีวิตเรา เป้าหมายใดขัดกับรัฐธรรมนูญ ให้วางไว้ก่อน เพราะทางกฎหมายรัฐธรรมนูญใหญ่สุด หากกฎหมายใดขัดกับรัฐธรรมนูญจะตกเป็นโมฆะ
ตั้งเป้าหมายชีวิต โดยการหลับตา จินตนาการถึงชีวิตในฝันของเราในอีก 5ปี ข้างหน้า
เราอยากขับรถยี่ห้ออะไร รุ่นไหน
เราอยากอยู่บ้านหรือคอนโด ขนาดและราคาเท่าไร ถ้าไปดูของจริงก่อนได้ยิ่งดี
เราอยากมีคุณภาพชีวิตแลบไหน กินอะไรไม่ต้องดูราคา
เราอยากมีวิถีชีวิตแบบไหน ตื่นกี่โมง นอนกี่โมง ทำงานที่ไหน
เราอยากให้เงินพ่อแม่เราเดือนละเท่าไร
เราอยากให้ลูกเราเรียนโรงเรียนไหน
เราอยากให้ภรรยาเรามีความสุขแบบไหน
ดังนั้นเราต้องมีรายได้กี่บาทต่อเดือน
ขั้นที่ 1 นี้สำคัญมาก ขอให้ใช้เวลากับมันจนเราเขียนได้ชัดเจน เพื่อเป็นรัญธรรมนูญของชีวิตเรา
เมื่อตั้งเป้าหมายชีวิตเสร็จแล้วทุกอย่างจะง่ายมาก ขั้นต่อไปคือ
ขั้นที่ 2 ทบทวนว่าสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน ทั้งงานประจำ ธุรกิจส่วนตัว งานเสริมของเรา สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายชีวิตได้มั้ย ใน5-10ปี หลังจากนี้
ถ้าไม่ได้ ต้อง "กล้าเปลี่ยน" หรือ "กล้าทำอะไรเพิ่ม"
ขั้นที่3 ตัดงานหนือกิจกรรมที่ไม่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายชีวิตออกไปก่อน เช่น ผมเลิกเล่น Winning เก็บเครื่องเกมส์เข้าตู้เลย เลิกดูช่อง9 การ์ตูน ชั่วคราว เลิกคบกับละครหลังข่าว และหาอะไรทำเพิ่ม ที่สามารถทำให้เราได้เป้าหมายชีวิต
จนวันที่รู้สึกว่างานประจำเป็นอุปสรรคกับการบรรลุเป้าหมาย และหากไม่ทำงานประจำก็ไม่ได้เดือดร้อนมาก เพราะเราเริ่มมีรายได้จากเครือข่ายมากพอแล้ว
ขั้นที่ 4 หาไอดอลและหาโค้ช
หาคนที่มีชีวิตแบบที่เราต้องการเป็นไอดอล ถ้าเป็นไปได้ ไปปรึกษาหารือกับเขา เพื่อขอแนวทางและวิธีการ ยิ่งถ้าเค้ายอมเป็นโค้ชให้เรายิ่งดีมากๆ
ขั้นที่ 5 มุ่งมั่น เรียนรู้ ลงมือทำ ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เราจะทำ เพื่อบรรลุเป้าหมาย แล้วหลังจากบรรลุเป้าหมาย เราจะมีชีวิตที่ออกแบบเองได้
ผมเชื่อว่าคุณทำได้ มาตั้งเป้าหมายกัน
ข้อสุดท้าย
15.ธุรกิจนี้จะเป็นPassive Income จริงๆหรือ
ตอบ ขึ้นอยู่กับเราสร้างธุรกิจแ
ถ้าเราสังเกตุธุรกิจทั่วไป เช่นร้านเบเกอรี่เหมือนกัน แต่บางร้านสักพักก็เจ๊ง แต่บางร้านเปิดหลายสิบปี มีลูกค้าประจำซื้อซ้ำสม่ำเส
ดังนั้นหากธุรกิจของเรามีสิ
อีกประเด็นนึงก็คือ รูปแบบการขยายธุรกิจของเรา หากเราเน้นการสร้างเครือข่า
แต่บางคนไม่เข้าใจการสร้างเ
ไม่ต่างอะไรกับมันนี่เกมส์ท
ต่างจากธุรกิจเครือข่ายผู้บ
ข้อสังเกตุ ธุรกิจเครือข่ายที่จะได้ Passive Income. ต้องเกิดจากทุกคนในเครือข่า
แต่มันนี่เกมส์จะไม่มีใครสน
ดังนั้นหากเราจะสร้างธุรกิจ
ขยายความว่า บริษัทที่มีพื้นฐานจะอยู่ยา
1.บริษัทที่มีการลงทุนในการ
สินค้าพวกของใช้แล้วหมดไป เช่น ยาสีฟัน เจลอาบน้ำ เครื่องสำอางค์ อาหารเสริม ผงซักฟอก. พวกนี้จะไม่เลิกฮิตแน่ๆ ยังไงคนก็คงไม่เลิกแปรงฟัน อาบน้ำ
แต่หากเป็นสินค้าที่ตกยุคได
2.สินค้าต้องหลากหลาย และเปลี่ยนสิ่งที่ใช้ในชีวิ
บริษัทที่มีสินค้าหลากหลาย เป็นร้อยรายการ ก็ต้องสต๊อกสินคาเยอะ หากบริษัทนั้นกะจะอยู่ชั่วค
3.สำนักงานใหญ่ สาขา และคลังสินค้าต้องมีการลงทุ
บริษัทที่กะอยู่ชั่วคราว มักจะเปิดเล็กๆ ไม่ตกแต่งอะไรมาก เพราะถ้าปิดไปจะได้ไม่เจ็บต
4.พนักงานต้องมีจำนวนมากพอ และถูกเทรนมาอย่างดี
5.ระบบคอมพิวเตอร์ต้องลงทุน
ส่วนการสร้างธุรกิจที่ทำให้
1.มีสัดส่วนนักธุรกิจและผู้
กล่าวคือ หากมีสมาชิก 100คน ควรมีคนทำธุรกิจ 10-20คน อีก 80-90คน ควรเป็นผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคยินดีซื้อสิน
ส่วนนักธุรกิจก็อยากได้เงิน
ในระยะยาวหากคนทั้งประเทศสม
หากองค์กรไหน มีแต่นักธุรกิจ โดยไม่มีผู้บริโภค สุดท้ายจะล่มสลาย
2.นักธุรกิจในองค์กรต้องมีค
3.สายสัมพันธ์ในองค์กร ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่คบกันแค่เรื่องธุรกิจ
4.มีระบบในการCopy ให้เกิดนักธุรกิจที่มีมารตฐ
5.ผู้บริโภคได้รับข้อมูลสิน
หากเราสามารถทำได้อย่างที่ก
เราจะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น