8 ทัศนคติที่ควรปรับ ก่อนทำธุรกิจ (ตอนที่1)
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญให้ไปแบ่งปันแนวคิดในการเริ่มต้นธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จึงอยากถือโอกาสนี้มาแบ่งปันให้เพื่อนๆ Startup Stories ได้ฟังเเนวคิดดีๆ ที่ผมได้หยิบยกมาพูดในวันนั้น เพื่อสร้างทัศนคติที่ดี ในการเริ่มต้นธุรกิจกันนะครับในวันนั้น ผมได้หยิบยกเนื้อหาบางส่วน จากหนังสือที่ผมชอบมาถ่ายทอด หนังสือที่ว่าคือ “7 Habits for Highly Effective People” ของ Dr.Stephen R. Covey, ซึ่งโดยส่วนตัว ผมถือว่า หลักการในหนังสือเล่มนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงาน ไม่ว่าจะทำคนเดียว หรือทำเป็นทีม 2 คนขึ้นไป และผมเชื่อว่า หากนำมาใช้อย่างจริงจัง จะสามารถลดปัญหาความไม่เข้าใจ และการขาดประสิทธิภาพในองค์กร ได้มากกว่า 80% เลยทีเดียว
เนื้อหาที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ ผมขอตั้งชื่อว่า “8 ทัศนคติที่ควรปรับ ก่อนทำธุรกิจ” เรามาดูกันนะครับว่า 8 ทัศนคติที่ผมได้เเรงบันดาลใจมาจากหนังสือดังกล่าว มีอะไรบ้าง เเละเราจะนำมาปรับทัศนคติของเราก่อนเริ่มทำธุรกิจได้อย่างไร
ทัศนคติที่ 1. ความกลัว และความไม่มั่นใจ (Fear and Insecurity)
ความกลัวทำให้เรายืนอยู่กับที่ ไม่กล้าออกไปไหน บางคนถึงกับกล่าวว่า ความกลัวทำให้คนที่สมบูรณ์พร้อม มีศักยภาพน้อยกว่าคนพิการเสียอีก ในการทำธุรกิจนั้น เป็นที่รู้กันดีว่า ความกลัว เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องข้ามไปให้ได้ โดยเฉพาะการกลัวความล้มเหลว
ส่วนความไม่มั่นใจนั้น ก็ทำให้หลายๆคน ไม่ได้เริ่มธุรกิจเช่นกัน เพราะไม่มั่นใจในไอเดีย ไม่มั่นใจในสินค้าของตัวเอง หรือไม่แม้จะมั่นใจในตัวเอง
นอกจากนี้ ความกลัวยังทำให้เกิดการไม่ไว้ใจกันอีกด้วย เพราะเรากลัว หรือเราไม่รู้ว่า หากมีคนมาเป็นหุ้นส่วนเราแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น จะดีหรือไม่ดี หรือจะโดนโกงรึเปล่า, ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ใช่จะให้เราชวนใครก็ได้มาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ แต่สิ่งที่อยากให้ตระหนักเรื่องนึงคือ โลกทุกวันนี้ เป็นโลกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เราจะเก่งคนเดียวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ฉะนั้น หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ เราต้องกล้าที่จะล้มเหลว, มีความมั่นใจในตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองทำ, และเรียนรู้ที่จะทำงานในลักษณะเป็นทีม ที่พึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent)
ทัศนคติที่ 2. ฉันต้องการ เดี๋ยวนี้! (I want it NOW)
นับเป็นอีกหนึ่งกระแสสังคมในปัจจุบัน ที่ทุกอย่างจะยิ่งเร็วยิ่งดี หมดยุคที่ต้องซื้อบัตรเติมเงิน ขูดรหัส รอต่อโมเด็ม เข้าเว็บแล้วไปหาอะไรกิน เพื่อรออ่านข้อมูลสักหน้า สมัยนี้เต็มไปด้วยการตอบสนองที่รวดเร็ว อินเตอร์เน็ตต้อง 4G, พิซซ่าต้องมาใน 30 นาที
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ เรามักมีความอดทนต่ำในการรอคอยผลลัพธ์, มีความอดทนต่ำกับกระบวนการบางอย่างที่ต้องใช้เวลา หลายคนก็มักวิ่งหาสูตรสำเร็จ สูตรรวยทางลัดต่างๆนาๆ สุดท้าย ก็ต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือได้มาด้วยการเบียดเบียนคนอื่น หรือสิ่งแวดล้อม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสร้างธุรกิจนั้น เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา และความมานะไม่น้อย ใช่ว่าเปิดร้าน 3 วัน แล้วจะให้มีลูกค้าเป็นล้าน เพราะหลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ อาจใช้เวลาเป็นปีก่อนจะมีกระแสเงินสดเป็นบวก ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจนั้น อยู่ที่การสร้างความยั่งยืน และการเจริญเติบโต (Sustainability and Growth) ให้กับองค์กรธุรกิจของตัวเอง
ผู้ประกอบการที่ยอมรับความจริงข้อนี้ จะยอมรับในการทำงานหนัก และการพัฒนาตัวเองและทีม อย่างต่อเนื่อง จนรู้ตัวอีกที ธุรกิจอาจมาไกลเกินฝันเสียอีก
ทัศนคติที่ 3. การกล่าวโทษ และทำตัวน่าสงสาร (Blame and Victimism)
เป็นเรื่องปกติของสังคม ที่เรามักหาผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หรือมักเห็นความผิดพลาดของคนอื่น แต่น้อยครั้งที่จะกลับมาดูตัวเราเอง
คนทั่วไปเมื่อมองคนที่ประสบความสำเร็จ หรือพอได้เห็นคนอื่นได้เริ่มทำ ในสิ่งที่ตัวเองได้แต่คิด ก็มักคิดว่าเขาเหล่านั้นโชคดี, หรือมองว่า หากเราเป็นแบบเค้า เรียนหนังสือแบบเค้า รู้จักคนเยอะแบบเค้า, หรือหากแฟนเราเก่งแบบนั้น เจ้านายเราดีแบบนี้ เพื่อนเราให้กำลังใจแบบนั้น, ชีวิตเราคงดีกว่านี้
ในขณะที่หลายคน ก็บ่นถึงแต่ปัญหา และอุปสรรคที่เจอ โดยหารู้ไม่ว่า การบ่นและหมกมุ่นกับปัญหามากกว่าการแก้ปัญหานั้น จะยิ่งทำให้เราอยู่กับปัญหานานขึ้น ดังสำนวนในภาษาอังกฤษที่กล่าวว่า To complain is to remain. นั่นคือ การบ่นคือการอยู่กับปัญหา
ดังนั้น เจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ จะยอมรับ และแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วหาทางแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เขาจะริเริ่มอะไรบางอย่าง แม้เพียงเล็กน้อย เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะเขารู้ว่า เขาคือผู้เลือก
ทัศนคติที่ 4. ความสิ้นหวัง (Hopelessness)
ความสิ้นหวัง อาจถือว่าเป็นภาคต่อของข้อสามก็ได้นะครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น หากเรามัวแต่โทษปัจจัยภายนอกคือ เราจะอยู่ในสภาพที่ เหมือนจะไม่มีทางสู้ อยู่ไปวันๆ เพื่อรอให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อนานวันเข้า เนื่องจากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง (ก็เพราะอยู่เฉยๆ และทำเหมือนเดิม) ก็จะรู้สึกว่า ชีวิตนี้คงมาได้แค่นี้ ในที่สุด ก็ละทิ้งความฝันและเป้าหมายที่เคยตั้งไว้
ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ จะเชื่ออยู่เสมอว่า เราทุกคนมีพลังสร้างสรรค์อยู่ในตัว เพียงแต่รอวันหยิบมาใช้ และถ้าพิจารณาทั้งโลก ทุกปัญหาที่เราเจอ ล้วนมีคนเคยเจอและผ่านมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแค่เราไม่หยุดคิด ไม่หยุดพยายาม สักวันต้องมีทางออก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น