เป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ยังคงใช้ได้ในทุกกาลเวลาจริงๆ ในสมัยที่เรื่องเงินๆทองๆ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนและเตรียมการอย่างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพราะต้องเตรียมการวางแผนเกษียณแต่เนิ่นๆ หรือ เพราะคนเราอยากหาหนทางไปสู่อิสรภาพทางการเงินมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน
แน่นอนว่า ตำราวิชาชีพ หนังสือ และงานสัมมนาสู่เส้นทางรวยทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาสนองความต้องการตามค่านิยมของคนยุคใหม่ ตามหลักของอุปสงค์อุปทานทั่วไป ซึ่งหลักการเหล่านี้ ก็เป็นการเอาหลักคิดจากฝั่งตะวันตกมาใช้เสียส่วนใหญ่ หารู้ไม่ว่า พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องวางแผนการเงินไว้ให้เราทุกคนแล้ว
โภควิภาค ๔
คือ หลักคำสอนที่สอนให้เรารู้จักแบ่งทรัพย์สินออกเป็น ๔ ส่วน เพื่อชีวิตที่ไม่ขัดสนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หลักการก็คือ รายได้ที่เราได้มานั้น ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน (หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๕ ต่อ ๑ ส่วนนั้นเอง) โดยเมื่อแบ่งแล้ว ให้วางแผนตามนี้ครับ
๑ ส่วน เพื่อใช้เลี้ยงดูตน และคนที่ควรบำรุง เช่น สามี ภรรยา ลูก หลาน บุพการี และไว้ทำประโยชน์ เช่น ทำบุญ ทำทาน ในชีวิตประจำวัน
๒ ส่วน ใช้ลงทุนเพื่อประกอบการงาน ขยายความก็คือ การนำเงินร้อยละ ๕๐ ที่เราหาได้ มาหาวิธีทำให้ออกดอกออกผล เช่น ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในหุ้น อสังหาฯ หรือลงทุนในกิจการที่เราชำนาญนั้นเองครับ
๑ ส่วน กันไว้เพื่อเป็นเงินฉุกเฉินในยามจำเป็น กรณีที่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่นเกิดอุบัติเหตุ มีเหตุให้ต้องออกจากงาน
รวมความก็คือ ร้อยละ ๒๕ เอามาใช้จ่าย ร้อยละ ๕๐ เอาไปลงทุน และที่เหลืออีกร้อยละ ๒๕ กันไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อกางตำราวิธีการวางแผนการเงินสมัยใหม่ ก็พบว่า มีการแนะนำให้แบ่งส่วนของรายได้ตามนี้เช่นกัน (ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน) บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงให้แบ่งรายได้ถึงครึ่งหนึ่งมาลงทุน ชีวิตจะไม่ลำบากหรอ? ผมมองแบบนี้ครับ แนวทางของพระพุทธองค์นั้นเน้นเรื่องเดินทางสายกลาง และสมถะ เหมาะสมแก่ฐานะของแต่ละบุคคล จริงๆแล้ว เพื่อให้อยู่รอดในแต่ละวัน คนเราก็ต้องการข้าวแค่วันละ ๓ มื้อ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ เจริญปัญญาอย่างมีวินัยเคร่งครัด ดังนั้น ถ้าเรายึดถือปฏิบัติตามแนวคำสอน ย่อมไม่เป็นการลำบากตัวเราเองแน่นอนครับ ยกเว้นแต่ถ้าเราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอยู่ก่อนหน้านี้ จะปรับตัวให้อดออมมากขึ้น ก็อาจจะลำบากในช่วงแรก แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ
มองในอีกแง่ หากทุกๆเดือน เราใช้เงินแค่ ๑ ใน ๔ ของที่หามาได้จริงๆ นั้นแปลว่า ถึงเราตกงานในเดือนถัดไป เราก็ยังมีเงินสำรองฉุกเฉินที่สามารถอยู่รอดได้อีก ๓ เดือนทีเดียว หรือเอานานกว่านั้นก็ได้ครับ ถ้าทำงานมา ๑ ปี แล้วตกงาน ก็เท่ากับเราสามารถอยู่รอดในอีก ๓ ปีข้างหน้าสบายๆ นี่ยังไม่นับผลตอบแทนที่งอกเงยจากส่วนที่เราเอาไปลงทุนครึ่งหนึ่ง ซึ่งถ้าเรารักษาวินัยทางการเงินตามหลักโภควิภาค ๔ ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ก็จะยิ่งได้ประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เคยกล่าวไว้นะครับว่า พลังของดอกเบี้ยทบต้น ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ ๘ ของโลกทีเดียว อัจฉริยะบุคคล ๒ คนบนโลก เห็นถึงพลังนี้นะครับ!!
ศาสดามาไขความลับเรื่องเงินทองขนาดนี้ เราทั้งหลายน้อมรับ และนำไปปฏิบัติ ผมเชื่อว่า ชีวิตของเราทุกคนจะไม่มีวันขัดสนอีกต่อไปแน่นอนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น