ป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจสาวไฟแรง ที่ชีวิตไม่ได้สุขสบายอยู่บนกองเงินกองทองสำหรับ "ชมพู่ - กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล" แต่ทุกวันนี้เธอกลับมีเงินหมุนเวียนนับร้อยล้านบาท เพราะความขยันของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ที่ไม่เคยเกี่ยงงานเล็กงานน้อย และเอาคำดูถูกมากดให้ชีวิตตัวเองดูต่ำลง แต่คำพูดที่โดนดูถูก เหยียดหยามกลับกลายเป็นแรงผลักให้ชีวิตของเธอรู้คุณค่าของตัวเอง เริ่มต้นจากการเป็นแม่ค้าขายของเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่บนสะพานลอย ยันริมฟุตบาท จนมา ณ วันนี้ เธอเดินทางมาถึงจุดที่มีบริษัทเป็นของตัวเอง
“ชีวิตพู่ตอนเด็กๆ ค่อนข้างห้าวเอาการ เป็นคนจังหวัดระนอง แต่ไปเรียน และใช้ชีวิตที่กรุงเทพ พื้นฐานครอบครัวก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย ฐานะเราก็ปานกลาง พอมี พอกิน พ่อแม่เลิกกันตั้งแต่เด็กๆ ตัวพู่อาศัยอยู่กับแม่และยาย สมัยวัยรุ่นยอมรับว่าแสบมาก เนื่องจากที่เป็นเด็กเกเร ติดเพื่อน มีช่วงชีวิตที่แย่มาก ตอนนั้นหนีออกจากบ้าน เพื่อที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ทำให้รู้ว่าความลำบากเป็นยังไง กินมาม่าทุกวัน เงินไม่มีเลยสักบาท ต้องโทรยืมเงินเพื่อน จนเพื่อนเลิกคบเราไปเลย ชีวิตพู่ตอนนั้นเรียกได้ว่าแย่สุดๆ แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้จนเรียนจบ
หลังจากเรียนจบ พู่เตะฝุ่นเป็นเดือนๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี เลยไปขายประกัน ขายจนได้รางวัลมาเยอะมาก สุดท้ายก็เลิกทำ เพราะรู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรที่มันได้ดีกว่านี้ หลังจากนั้นเลยไปสมัครเป็นพนักงานธนาคาร แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด เพราะเงินเดือนไม่พอใช้ ในใจเราตอนนั้นคิดว่า ลาออกมาแล้วจะทำอะไร เงินก็ไม่มี เพราะช่วงนั้นมีแต่คนดูถูก ว่าทำอะไรก็ไม่รอด ทำอะไรก็ไม่สำเร็จซักอย่าง แอบร้องไห้คนเดียวตลอด
แถมยังได้สามี ที่มีฐานะดีกว่า ทำให้พู่รู้สึกว่า ทำยังไงดีที่ไม่ให้สามีเราเสียหน้า ที่มาเลือกผู้หญิงที่ไม่เอาถ่านอย่างเรา ช่วงนั้นเลยเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ด้วยการตัดสินใจเอาเงินลงทุนหลักพัน ไปหาซื้อของมาขาย ไปตลาดโรงเกลือ ไปรื้อดูว่าจะเอาอะไรมาขายได้บ้าง ในใจตอนนั้นคิดว่า ถ้าเราสู้ เราอดทน ชีวิตก็มีแต่ไปข้างหน้า เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่ถ้าเราไม่สู้ทุกอย่างมันก็หยุดอยู่แค่นั้น ของที่ไปเอามาขายก็จะเป็นพวก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ครีม กิ๊ฟช้อป ขายตั้งแต่บนสะพานลอย ริมฟุตบาท โดนเทศกิจไล่ บางครั้งก็ไปขายที่ตลาดนัด ไปหมดทุกที่ ที่มีพื้นที่ให้ขาย
ช่วงนั้นก็ยังโดนดูถูกสารพัดนะคะ ว่าชีวิตจะไปรอดไหม บางคนถามว่าไม่อายหรอ ไปขายของบนสะพานลอย ไม่อายหรอไปตะโกนเรียกลูกค้า ตอนนั้นในใจเราคิดว่า ได้เงินจะไปอายทำไม จะได้กำไรมาก หรือน้อย ยังไงก็คือเงิน ใช้เวลาขายของแบบนี้มานานอยู่หลายปี จนฟ้าคงสงสารเมตตาพู่ ทำให้พู่ไปเจอสินค้าตัวนึง ที่น่าสนใจมาก และคิดว่ามันน่าจะต่อยอดได้ เพราะมันเป็นอะไรที่คนต้องซื้อใช้ซ้ำๆ นั่นคือ คอนแทคเลนส์ ตอนแรกไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ว่ามันคืออะไร ใส่ยังไง ใส่เพื่ออะไร แต่คิดว่ามันเป็นสินค้าที่แปลกใหม่สำหรับคนไทย และน่าจะเอามาขาย เพื่อต่อยอดในอาชีพขายของเราต่อไป
พู่เลยตัดสินใจไปรับมาขาย ขายดีมาก จนคนที่เขาขายส่งให้ ไม่มีของให้พู่แล้ว จากนั้นชีวิตก็พลิกผันมาขายคอนแทคเลนส์ มาถึงตอนนี้ชีวิตเปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยความที่เราเป็นคนพูดเก่ง แนะนำลูกค้าเป็น ทำให้ขายดิบ ขายดี จนพู่เริ่มขายทั้งปลีกและส่ง ไปศึกษาหาข้อมูลเองเลย ด้วยความที่เราเป็นผู้ขายมาก่อนหน้านี้ เราเลยรู้ว่าสินค้าเป็นยังไง คิดในหัวอยู่ตลอดเวลาว่าอยากรวยให้ได้กับธุรกิจนี้ แล้วมันจะต้องทำยังไง เราเลยหาข้อมูลเยอะมาก และคิดว่าต้องเป็นคนนำเข้าสินค้าตัวนี้มาให้ได้ ต้องทำเรื่องเปิดบริษัท ต้องทำเรื่องขอ อย. หลังจากนั้น 2 ปี เรามีเงินเก็บจากการขายปลีกและส่ง เราเลยนำเงินก้อนนั้นไปต่อยอด และเป็นเจ้าของบริษัทมาจนถึงปัจจุบันนี้
ทุกวันนี้พู่เป็นเจ้าของบริษัท น่ารักคัลเลอร์วัน จำกัด นำเข้าคอนแทคเลนส์ ภายใต้แบรนด์ Dreamcolor1 มีตัวแทนจำหน่ายหลายพันสาขาทั่วประเทศ จากการที่ขายของบนสะพานลอยวันนั้น สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์วันนี้ ใช้เวลากว่า 10 ปี แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจและมุ่งมั่น ทุกวันนี้พู่พยาพยามถ่ายทอดประสบการณ์ และเรื่องราวของตัวเอง ผ่านทางอินสตาแกรม @dreamcolor_1 เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจ ให้กับใครหลายๆ คนที่กำลังเริ่มต้นในการทำธุรกิจ
ในส่วนของอนาคตพู่ก็กำลังจะต่อยอดทำธุรกิจ กำลังศึกษา และหาข้อมูล เพื่อที่จะทำเกี่ยวกับสกินแคร์ เนื่องจากมีหลายๆ คนที่ทักว่า พู่มีลูก 2 คนแล้ว แต่ทำไมยัง หน้าเด็ก หน้าใส พู่เลยนำสิ่งที่พู่ชอบเกี่ยวกับความสวยความงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไปพัฒนาและคิดค้นสิ่งที่ดีที่สุด ตอนนี้ก็กำลังจะออกมาเป็นแบรนด์ของตัวเองแล้วค่ะ ส่วนใครอยากปรึกษา หรือพูดคุยกับพู่ พู่ยินดีมากค่ะ มีหลายช่องทางนะคะ อินสตาแกรม @dreamcolor_1 ไลน์ไอดี @dreamcolor1 หรือเฟชบุ๊คก็ค้นหาชื่อ chompu dreamcolorone"
http://www.wow2mouth.com/gossip/404
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น