นพ.สมยศ และ จรีพร อนันตประยูร คู่แท้แห่งความสำเร็จของ WHA
ธุรกิจโลจิสติกส์มีความสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศประดุจเส้นเลือดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ ความสำเร็จในการบริหารงานโลจิสติกส์เป็นตัวแปรหลักที่มีผลต่อการทำธุรกิจทุกประเภทและทุกระดับ แน่นอนว่าหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการบริหารธุรกิจก็คือตัวผู้บริหารองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ และมีธรรมภิบาล
ซึ่งหากพูดถึงบริษัทโลจิสติกส์ในตลาดหลักทรัพย์ที่กำลังเติบโต มีการพัฒนาสู่ความสำเร็จอย่างไม่หยุดนิ่ง จนโดดเด่นเป็นที่จับตามองตลอดระยะเวลาตั้งแต่เข้าตลาดมาจนปัจจุบัน ย่อมมีชื่อของบมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA เป็นลำดับต้นๆ และผู้ที่เป็นหัวใจของความสำเร็จนั้นก็คือผู้บริหารมือทองที่มาเป็นแพคคู่ คือ นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณจรีพร อนันตประยูร กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) สองนักบริหารที่ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่ทั้งในฐานะหุ้นส่วนธุรกิจและหุ้นส่วนชีวิต
ด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกลบวกกับสัญชาตญาณทางธุรกิจที่เฉียบคม ทำให้ นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร อดีตสูตินรีแพทย์ผู้มองเห็นอนาคตของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่มีศักยภาพทางธุรกิจสูงสุดของภูมิภาคอาเซียน ตัดสินใจก้าวเข้ามาสืบสานธุรกิจของครอบครัว โดยพัฒนาให้เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ระดับแนวหน้าภายใต้ชื่อ ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น พร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะสร้างองค์กรให้เป็นผู้นำของ MODERN DISTRIBUTION CENTER ที่ประกอบธุรกิจพัฒนาและให้เช่าและบริการโครงการฯ คุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย (Built-to-Suit) และคลังสินค้า Warehouse Farm ซึ่งเป็นโครงการที่มีส่วนผสมของโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และโครงการสร้างแบบสำเร็จรูป (Ready-Built) มาตรฐานสูง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของทั้งกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าอนาคต
“ภาพรวมของ WHA เป็นบริษัทที่มีคอนเซ็ปท์ที่เน้นคุณภาพด้านโลจิสติกส์ ในความหมายว่าเป็นเส้นทางที่เริ่มต้นสินค้าจากโรงงานไปถึงมือผู้บริโภค โดยแกนหลักคือส่วนที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าคลังสินค้า จะเป็นส่วนที่ใช้เงินทุนสูงสุดประมาณ 2/3 ของโลจิสติกส์ทั้งหมด เราจะเป็นคนลงทุนในส่วนนี้ แต่ที่เราเรียกว่า ‘MODERN DISTRIBUTION CENTER’ เราถือว่าเราเป็นผู้นำ เป็นคนแรกที่นำมาใช้ในประเทศไทย ให้ลูกค้าเช่า แล้วก็ดูแล โดยเราใช้ประสบการณ์จากที่สั่งสมนานมากว่า 20 ปี เราเน้นทางด้านศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า โรงงานด้วย ตั้งแต่โรงงานระดับมีเดียมไปจนถึงระดับไฮเอนด์ ซึ่งสร้างขึ้นตามความต้องการของลูกค้า รับฟังลูกค้าทั้งหมด ตอบสนองทุกด้าน ร่วมกับการวางแผนในอนาคต และนำเสนอลูกค้าด้วยว่าในอนาคตเราจะไปด้วยกันอย่างไร จะขยายงานด้วยกันไปได้อย่างไร แตกต่างจากรุ่นเก่าที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่เราจะฟังจากลูกค้าทั้งหมด เอามาคิด และออกแบบตอบสนองลูกค้าทุกอย่าง” นายแพทย์สมยศ ซึ่งกรุณาให้เราเรียกสั้นๆว่า ‘คุณหมอ’ เริ่มต้นฉายภาพกว้างๆชธุรกิจของ WHA ให้ฟังโดย คุณจรีพร อนันตประยูร หรือ ‘คุณจูนน์’ ได้เสริมให้เห็นความแตกต่างที่ชัดขึ้นระหว่าง WHA กับภาพของธุรกิจโลจิสติกส์ในยุคเก่าว่า
“WHA คือความแตกต่าง เราเหมือนดีเวลลอปเปอร์ การมาพบเราคือแค่บอกรายละเอียดทั้งหมดที่ลูกค้าต้องการ เราจะให้บริการได้ครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้างจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ คุณเช่าพื้นที่เราได้เลย มีการวางแผนระยะยาวร่วมกันระหว่าง WHA กับลูกค้าของเรา โดยจะเน้น INNOVATION มีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพตลอดเวลาให้ดีขึ้นค่ะ
“เนื่องจากโลจิสติกส์มีความหมายกว้างมาก จากต้นทางโรงงานผู้ผลิต ไปจนถึงมือลูกค้าปลายทางหรือผู้บริโภค ระบบทั้งหมดเรียกว่าโลจิสติกส์ โดยมีส่วนตรงกลางคือคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้า ยกตัวอย่าง เสื้อผ้าที่จะไปแขวนขายในห้างหนึ่งชุดมีสูท เสื้อข้างใน เชื่อไหมว่า เค้าทำที่ศูนย์กระจายสินค้าตรงนี้ ตัวอย่างลูกค้าจะสั่งเสื้อแบรนด์ A ขึ้นมา แต่เสื้อตัวนอกอาจจะผลิตที่อิตาลี เสื้อตัวในผลิตที่ฮ่องกง กางเกงผลิตจากอีกที่ เมื่อมีการสั่งสินค้า แต่ละบริษัทที่สั่งไปก็จะส่งผลิตภัณฑ์มารวมที่นี่หมด โดยศูนย์กระจายสินค้าโอเปอเรชั่นก็จะจัดเป็นชุดเสร็จ แขวนห้างได้เลย
“ด้วยความก้าวหน้าของระบบโลจิสติกส์ ปัจจุบันผู้ประกอบการแค่มีแค่ Know How มี Brand แต่กระบวนการอื่นๆในระหว่างนี้โลจิสติกส์จะเป็นผู้รับทำทั้งหมด หรือแม้กระทั่งการผลิตรถยนต์ โรงงานประกอบขึ้นมาหนึ่งคัน โรงงานพวกนี้มีการสต็อคงาน สมมุติรถมีส่วนประกอบสองหมื่นชิ้น ก็จะเป็นสต็อคใหญ่ของเรา แล้ววันนี้โรงงานรถต้องการประกอบรถร้อยคัน เราจัดไปร้อยชุดส่งไปให้เค้าประกอบให้ครบ สมมติ 4 ชั่วโมงผลิตได้ 20 คัน พอใกล้ 4 ชั่วโมงก็ส่งไปอีก ประกอบเสร็จก็ไปจอดเป็นคันๆแล้วส่งรถออกได้เลย ถ้าเป็นโรงงานจะเสียพื้นที่ในการจัดเก็บสต็อค ในการออกแบบตัวระบบศูนย์กระจายสินค้า ทำอย่างไรจะลดต้นทุน เพราะค่าใช้จ่ายกว่าครึ่งในระบบหมดไปกับคลังสินค้า ซึ่งในส่วนนี้เราสามารถควบคุมได้ แต่ในส่วนของการขนส่งเราควบคุมไม่ได้”
การบริหารคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและลดค่าใช้จ่ายของระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ WHA มีความถนัดและเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ที่ยาวนาน ประกอบกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง
“การควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนของคลังสินค้าทำได้โดยการออกแบบอาคารที่เหมาะสมกับโลจิสติกส์โอเปอเรชั่นของสินค้าชนิดนั้นๆ จะทำให้การหมุนเวียนเร็วขึ้น สต็อคน้อยลง การจัดส่งใช้เวลาเร็วขึ้น ไม่ต้องกระจายไปหลายๆที่ กว่าจะหาสินค้ากันครบ จากสามสี่วันในการส่งสินค้า เดี๋ยวนี้แค่หนึ่งวันเท่านั้น ทำให้ต้นทุนลดลง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้เร็วขึ้น มีความถูกต้องแม่นยำ สามารถควบคุมคุณภาพของสินค้านั้นๆได้ด้วย สามารถอำนวยความสะดวกที่แตกต่างได้มากขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองได้ดีขึ้น
“จุดเด่นสำคัญของ WHA คือเราช่วยให้ลูกค้าประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น แรงงานคนก็ใช้ลดลง สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าคุณภาพของศูนย์กระจายสินค้าไม่ดีพอ เทคโนโลยีหลายอย่างเอามาใช้ไม่ได้”
สองผู้บริหารกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป้าความสำเร็จของ WHA นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดในประเทศแต่กว้างไกลไปสู่ AEC และตลาดโลกในอนาคต
“สำหรับใน AEC ประเทศไทยเรายังถือว่ามีข้อได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านอยู่หลายด้าน ลูกค้าเรามาจากทั่วโลก เค้าคุ้นเคยกับประเทศเราที่ปัญหาการเมืองไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่มีการเข่นฆ่าหรือสงครามกลางเมืองอย่างประเทศอื่นๆ ภาพเราชัดเจนในเรื่องของโลจิสติกส์ ถึงบางช่วงจะมีปัญหาบ้าง แต่ WHA ไม่ได้เป็นธุรกิจโรงแรมหรือการท่องเที่ยว เราจึงไม่กระทบอะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดน้ำท่วม หรือเกิดวิกฤต เราได้รับผลกระทบน้อยมาก เราจึงไม่ต้องเสียเวลาไปกับปัญหาเหล่านั้นและมุ่งในด้านพัฒนาคุณภาพให้สูงขึ้นเป็นสำคัญ พยายามควบคุมต้นทุนให้ต่ำพอที่จะแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งจากการที่ได้ศึกษาดูงานในระดับสากลมาแล้วทั่วโลก ผมมั่นใจว่า ในขณะนี้คุณภาพของ WHA ได้มาตรฐานสากลแล้ว”
คุณหมอสมยศชี้ให้เห็นโอกาสทางธุรกิจของประเทศไทย กับการเติบโตใน AEC และตลาดสากล และจุดยืนที่ชัดเจนของ WHA ซึ่งคุณจูนน์ย้ำว่า การเติบโตไปพร้อมๆกับการสร้างความสำเร็จของลูกค้า คือปัจจัยความสำเร็จที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
“คำขวัญบริษัทเราคือ Better Together ลูกค้าเรายิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่เมื่อเขามาหาเรา เขาจะยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเราเป็นส่วนที่สนับสนุนเค้า ก้าวไปด้วยกัน แต่ละครั้งที่มีลูกค้าใหม่เข้ามา ตอนส่งมอบโปรเจ็ค ลูกค้าจะบอกเราเสมอว่า เราไม่ใช่แค่คู่ค้าธรรมดาแล้ว แต่เราเป็นเสมือนหุ้นส่วนธุรกิจที่พร้อมเติบโตไปด้วยกัน วางแผนร่วมกันไป ลูกค้าของ WHA จะอยู่กันยาวนาน มีโปรเจ็คต่อเนื่อง เรามุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน เราไม่ชอบธุรกิจที่มีความเสี่ยง”
และในฐานะที่เป็นแพทย์ซึ่งมีความแข็งแกร่งในสายวิชาการ และกระบวนการเรียนรู้ คุณหมอสมยศได้กำหนดส่วนผสมสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน นั่นคือการเรียนรู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
“เราเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ถึงจะมีความรู้พื้นฐานที่ดีมากแล้วเราก็ยังต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเสมอ พรุ่งนี้ต้องรู้มากกว่าวันนี้ พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ทีมงานของเราไม่ยึดติดที่ตัวบุคคล เราเน้นที่ผลงานเป็นสำคัญ เราเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าทุกด้าน เราเน้นการปิดช่องว่างให้หมด เราเน้นการแก้ปัญหา ลูกค้าของเราไม่ต้องจ้างที่ปรึกษาระดับโลกเลย เรามีให้เสร็จสรรพ
“ในการบริหารองค์กร เรามีความเชื่อมั่นในเรื่องศักยภาพของคน คนไทยเด็กไทยเก่งๆเยอะมาก แต่ขาดคนชี้นำ ถ้าดึงคนแบบนี้ขึ้นมาได้ ประเทศเราจะไปได้ไกลมาก”
นอกเหนือจากความโดดเด่นในเรื่องของคุณภาพที่ได้มาตรฐานสากลจากการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งทำให้ WHA ก้าวไปได้อย่างมั่นคงและรวดเร็วคือการสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจให้กับคู่ค้าทุกภาคส่วน ซึ่งผู้บริหารมือทองทั้งสองเห็นร่วมกันว่า ความเชื่อถือของลูกค้าและการบอกต่อถึงสิ่งดีๆของธุรกิจไม่ใช่แค่ระหว่างลูกค้าในประเทศเท่านั้น แต่กว้างไกลไปถึงระดับสากล มีพลังยิ่งกว่าถ้อยคำโฆษณาใดๆ
“ความไว้วางใจ…สิ่งนี้มันมีค่ามากกว่าเงิน ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนก็มีทั้งคนดี คนไม่ดี บางครั้งลูกค้าต่างชาติอาจเคยสัมผัสปรสบการณ์ที่ไม่ดีจากที่อื่นมาก่อน เราเจอลูกค้าญี่ปุ่นมองหน้าเรา มองแบบระแวง เค้าบอกเค้าเจอมาเยอะมาก เราบอกเราเข้าใจ ให้เค้าได้เปิดใจกับเราก่อน คุยกันก่อนเป็นเพื่อนกันก่อน แล้วมาดูตอนหลังว่าเป็นยังไง เดี๋ยวนี้เค้าแฮปปี้กับเรามาก ชีวิตเค้ามีความสุขขึ้นเยอะ เราว่าคนของเราเก่งขึ้นมาก
“สิ่งสำคัญในธุรกิจนี้คือคำมั่นสัญญา โดยเฉพาะในการก่อสร้างปัญหาที่เราเจอมาตลอดคือ สร้างเสร็จเปลี่ยนผู้รับเหมาไม่รู้กี่ราย เพราะความไม่ซื่อสัตย์ในอาชีพ ถ้าเราซื่อสัตย์ในอาชีพมีเครดิตตรงนี้ ถ้าคุณมีตรงนี้คุณกินไม่มีวันจบ ถ้าเรารับปากแล้วขาดทุนเราก็ยังทำเลย นั่นคือสิ่งที่จะต้องทำให้มันจบให้ได้ เมื่อไรที่คุณรับปากคนแล้วคุณต้องทำให้มันได้ คำพูดสำคัญกว่าสัญญา คุณถึงอยู่ในวงการตรงนี้ได้อย่างยั่งยืน ทุกวันนี้ทุกคนเชื่อในคำพูดของเราทุกอย่างว่าเราทำได้ แม้จะใช้เวลานานในการพิสูจน์ แต่เมื่อผ่านไปแล้วเรามีความสุขมาก”
WHA เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะผู้บริหารทั้งสองเชื่อมั่นว่า การพัฒนาศักยภาพของทีมงานคือปัจจัยหลักของความสำเร็จ
“เรื่องคนสำคัญครับ โดยปกติแล้วสิ่งที่เราเน้นคือ ความรู้สึกภายในของคน ผมอยากให้ทีมงานมีพลังภายในที่อยากทำ อยู่ด้วยกันแล้วอะไรที่ดีที่อยากทำ ร่วมกันไปอย่างนี้โดยที่เราเน้นผลงาน ผลงานความสำเร็จเป็นสิ่งที่เป็นจุดยืนไม่ต้องเน้นอย่างอื่นมาก เมื่องานประสบความสำเร็จเดี๋ยวเงินก็ตามมาเอง เพราะมันเป็นผลกระทบตามมา มันเป็นตรรกะ” คุณหมอสมยศเผยทัศนะในการบริหารองค์กร โดยคุณจูนน์เสริมว่า
“คุณหมอมีความเชี่ยวชาญมากในการดึงไดรฟ์ของคน และการมองคน อย่างที่เจอเค้าวันแรก…เค้าว่าเราเก่งนะ เราก็ว่าไม่เห็นเก่งตรงไหนเลย แล้วเค้าจะดึงไดรฟ์ในตัวเราออกมาได้ เช่นเดียวกับการมองศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของทีมงาน คุณหมอจะมองเห็นว่าลูกน้องแต่ละคนมีศักยภาพไม่เหมือนกัน และสามารถดึงไดรฟ์ตรงนี้ออกมาได้”
“คุณหมอจะสอนตลอดว่าคนเราเริ่มต้นเท่ากันนะ แต่ละคนถ้ามีการพัฒนาแล้วมันต่างกันไปเรื่อยๆต่างกันไปวันละนิดๆสุดท้ายมันจะต่างกันไปมากเลย พยายามจะสอนให้คนพัฒนาตลอดต้องมีการขยับขึ้นตลอดเวลาไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ เราสอนเด็กสอนใครก็จะพูดอย่างนี้มาตลอด”
เป็นธรรมดาของคนที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ ที่ต้องคิดทำการใหญ่ และสิ่งที่ตามมาก็คือต้องพร้อมรับมือกับปัญหาใหญ่ๆทุกรูปแบบ
“สิ่งสำคัญเราต้องไม่กลัวความยากลำบากในการที่จะแก้ปัญหา ยิ่งยากยิ่งดี ยิ่งมีข้อจำกัดยิ่งมีความต้องการหลากหลายที่ต้องตอบโจทย์ให้ได้หมด มันเป็นสิ่งสำคัญเราต้องการรวบรวมทั้งหมดแล้วตอบให้คุณให้ได้จริงๆ”
“ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่พัฒนา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกครั้งต้องยากขึ้นนะไม่ใช่ปัญหาซ้ำเดิมๆ แปลว่าคุณไม่พัฒนาแล้ว คุณแย่ลง เราจะสอนลูกน้องตลอดเวลาว่าทุกโปรเจคต้องมีปัญหา แต่มีปัญหาแล้วต้องมานั่งคุยกัน ไม่ใช่ว่ามีปัญหาแล้วมาโทษฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ นั่นแปลว่าคุณหนีปัญหา ถ้าปัญหาเดิมเกิดซ้ำซากแสดงว่าคุณไม่พัฒนาแต่คุณแย่ลง ย่ำอยู่กับที่ แค่คุณหยุดช้าลงนี่ก็แปลว่าคุณช้ากว่าคนอื่นแล้ว ทุกวันนี้โลกมันแข่งขันด้วยอัตราเร็ว เราต้องวิ่งแข่งขันกันตลอดเวลา ถ้าชะงักคุณก็แพ้แล้ว”
แม้จะ WHA จะเริ่มต้นจากการพัฒนาธุรกิจเดิมของครอบครัว และเจ้าของเป็นผู้ขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กรด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แต่ทั้งคุณหมอสมยศและคุณจูนน์วางภาพอนาคตของ WHA เอาไว้ว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีระบบการบริหารแบบมืออาชีพ ไม่มุ่งเน้นการเป็นธุรกิจครอบครัว
“การที่เราตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะต้องการให้ธุรกิจเราไปแข่งขันระดับโลกได้เรา เราต้องการเข้ามาเพื่อให้ระบบให้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่ระบบครอบครัว ไม่ใช่อยู่แค่คนสองคนนี้ จูนน์ไม่คิดทำงานจนตาย พออายุมากขึ้นคุณจะมานั่งทำงานเองมันก็ไม่ใช่ แต่เราจะหาผู้บริหารมารองรับ ตอนนี้ก็เตรียมคนไว้สามรุ่น คัดสรรจากมืออาชีพจากองค์กรหลากหลาย ซึ่งเรามองภาพแล้วว่าจะต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ”
“คุณหมอพูดเสมอว่า ลูกหลานถ้าไม่เก่งก็เป็นแค่ผู้ถือหุ้น อย่ามายุ่งกับองค์กร อย่าทำให้องค์กรเสีย แต่ถ้าคุณมั่นใจคุณเข้ามาเลย แต่ถ้าลูกหลานเข้ามาต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นนะ คุณจะมากลับบ้านก่อนพนักงานไม่ได้ ถ้าไม่พอใจไปทำงานที่อื่นแล้วถือหุ้นไป เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราทำได้ ไม่ใช่ว่าเป็นลูกหลานแล้วโดนสปอยล์…ไม่ใช่เลย องค์กรต้องโต สุดท้ายมืออาชีพจะเข้ามาเรื่อยๆ ต้องคิดแบบยั่งยืน”
“เราพูดเสมอว่า ใครทำงานมากต้องได้มาก ตอนนี้เราสองคนมีทรัพย์สินพอแล้ว เรามองคนรุ่นใหม่ซึ่งมีมุมมอง มีจิตใจที่ดี มีความคิดที่แตกต่างที่จะอยู่ด้วยกัน แล้วเราก็ให้หุ้นเลย เรามีความรู้สึกว่า มีคนดี มีคนมีความสามารถอยู่ ธุรกิจโตได้โดยไม่ต้องโกงกิน สิ่งที่คุณทำ คุณตั้งใจให้เต็มที่แล้วคุณจะรวยได้อย่างยั่งยืน ทีมงานของเราแต่ละคนรักกันมาก อยู่กันมายาวนาน เราเชื่อว่า ตัวเราเป็นแบบไหนสิ่งรอบข้างมันจะเป็นแบบนั้น ตัวเราจะมีแรงดึงดูดสิ่งเหล่านี้เข้ามา”
การรับมือกับความเสี่ยงของธุรกิจ และภาพอนาคตขององค์กร
“การทำงานทุกอย่าง ต้องมองรอบด้าน มองทั้งโอกาสและความเสี่ยง เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถมองโอกาสได้เยอะและคุมความเสี่ยงให้มากที่สุด เมื่ออะไรเกิดขึ้นเราก็เข้าใจ แต่ถ้าไม่มองความเสี่ยงเลยอันนี้น่ากลัว ในธุรกิจของเรา เราต้องรู้แล้วว่าอะไรคือความเสี่ยง
“ธุรกิจเราไม่ได้อิงต่างประเทศไม่ได้อิงอเมริกา หรือยุโรป เมื่อเกิดปัญหาในต่างประเทศเราไม่กระทบ สำหรับปัญหาการเมืองในประเทศเราก็ได้รับผลกระทบไม่มากเพราะเราไม่ได้เน้นที่เรื่องท่องเที่ยวหรือโรงแรม เราเน้นทางด้านคอนซูเมอร์และเฮลล์แคร์ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ไม่ใช่ธุรกิจที่หวือหวา มาไวไปไว
“สำหรับความเสี่ยงเรื่องภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม เราก็ไม่กระทบ เพราะเลือกแล้วว่าพื้นที่ของเราน้ำไม่ท่วม ต่อให้อยู่ใกล้ๆกันเราก็ออกแบบไว้เพื่อการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ยกพื้นสูงอาคารสูงขึ้นทั้งหมด เราจึงไม่ได้ห่วงผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้เลย ทุกธุรกิจมีความเสี่ยง แต่เราป้องกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุด เรื่องการก่อสร้างเราก็เลือกบริษัทที่คิดคล้ายๆเรา ยิ่งเรามีบริษัทตรวจสอบที่ละเอียด ตรวจสอบเยอะยิ่งดี เป็นพาร์ทเนอร์กันไปด้วยกัน ไม่ใช่เราดีคุณเจ๊ง เราต้องตอบสนองลูกค้าให้เหมาะสม เรามีทั้งรายได้ประจำและไม่ประจำ สำหรับความเสี่ยงเรื่องค่าแรงแพง เราก็รีเสริช์หาทางทำยังไงว่ามีการเปลี่ยนไปใช้แรงงานน้อยขึ้น”
“ถ้าพูดถึงเรื่องสภาพอากาศ ก็มีผลกระทบสองอย่าง คือเรื่องน้ำกับเรื่องลม แผ่นดินไหวเราคงไม่กระทบ อาคารออกแบบเราป้องกันเรื่องแผ่นดินไหว เราสามารถป้องกันได้ 5-6 ริกเตอร์ ส่วนเรื่องน้ำ เราจะเช็คระดับน้ำสามสิบปีก่อน ตอนหลังเช็คแปดสิบปี เรายกระดับถนนในโครงการสูงเกือบสองเมตร เราเผื่อไว้ แต่เรายกมาตรฐานให้สูงขึ้นก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เราก็พยายามทำให้บาลานซ์ ถ้าอากาศร้อนเราจะรีเสริช์ตลอดเพื่อหาวิธีทำให้อาคารของเรามีการหมุนเวียนให้ดีขึ้น เราเตรียมตัวทุกอย่าง”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่การบริหารงานและการบริหารชีวิตครอบครัวจะประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับนักธุรกิจคู่นี้ ไม่ใช่แค่ความสำเร็จในการบริหารองค์กร แต่ยังเป็นความประสานลงตัวในบทบาทของนักบริหารมืออาชีพและบทบาทของคู่ชีวิต ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่การมีทัศนะต่อความสำเร็จในทิศทางเดียวกัน ผลที่ได้จึงไม่ใช่เพียงองค์กรธุรกิจที่เข้มแข็งแต่ยังเป็นชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น ทั้งสองมีพยานรักที่น่าภาคภูมิใจ เพราะลูกรักนั้นสืบทอดอัจฉริยภาพที่โดดเด่นของทั้งคุณพ่อคุณแม่มาผสมผสานไว้ในตัวเองได้อย่างครบถ้วน ทั้งเรียนเก่ง จิตใจดี อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางศิลปะด้านดนตรีเจ้าของรางวัลระดับประเทศ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือ เป็นคนที่มีความสุข เป็นคนดีของสังคม ที่ทำให้ภาพชีวิตครอบครัวสมบูรณ์แบบ
“เรามีไดรฟ์ตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนตอนเรียนผ่านตึกสูงใหญ่ตึกหนึ่ง เพื่อนที่เรียนวิศวะก็บอกว่า เค้ามีความฝันอยากทำงานในตึกนี้ ถามจูนน์ว่าคิดยังไง ก็ตอบว่า…เราอยากจะเป็นเจ้าของตึกนี้ เพื่อนก็บอกว่ามองอย่างนั้นเลยเหรอ เราบอกว่าใช่ เราต้องมีฝัน คนเราต้องฝันให้ไกลนะ แล้วต้องไปให้ไกลกว่าฝัน แล้วชีวิตจะมีความสุขมากๆ”
“เราไปโรดโชว์ที่ต่างประเทศ หลายคนแปลกใจที่เรามาเป็นคู่ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเจอสามีภรรยาที่ทำงานคู่กันได้ ส่วนมากต้องไปคนละทาง สิ่งแรกคือต้องมีความรักก่อน และมีความเคารพนับถือ คุณหมอเป็นผู้นำครอบครัว เราต้องฟังเค้าแล้วก็เชื่อเค้า ขณะเดียวกันคุณหมอเองก็ให้เกียรติเรา เนื่องจากเรามีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เรียนมาคนละแนว นิสัยตรงข้ามกัน แต่ความแตกต่างนั้นเมื่อเราใช้ความรักมาประกอบเลยกลายเป็น 1+1 เป็น 3 ขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าเราไม่ต้องระวังอะไรเลยไปข้างหน้าได้เต็มที่ มีอะไรปรึกษากันคุยกันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวมีการเมืองข้างใน เรามีความถนัดคนละอย่าง ทำให้เราเสริมกันได้ดี คุณหมอสามารถมองภาพไกลภาพกว้าง มององค์กรใหญ่ จูนน์ถนัดเรื่องโลเกชั่น มุมมองลูกค้า ก็เสริมกันคนละอย่าง ทำให้ทำงานตรงนี้ด้วยกันมาตลอด 20 กว่าปีแล้ว” คุณจูนน์เผยเคล็ดลับการบริหารชีวิต
“ถึงเรามีความรู้คนละด้าน แต่เรื่องทัศนคติเราสามารถปรับให้เข้ากัน เรามาเรียนด้าน MBA ผมก็เสริมให้ แต่เรื่องมุมมอง ความคิด ความฝันที่เราคิดไปข้างหน้า อันนี้ก็ใช้วิสัยทัศน์ส่วนตัว ความสามารถในการจัดการ การเข้าใจคน ความรู้สึกคน เค้าเชี่ยวชาญก็จับมาปรับกัน เรารู้ว่าเราเป็นยังไงกัน แค่มองตาเราก็รู้ว่าคุณจะให้เราพูดอะไรต่อ” คุณหมอสมยศกล่าว
การดูแลตนเองและครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการดูแลธุรกิจ ซึ่งทั้งสองเห็นพ้องกันความสำเร็จในการดูแลชีวิต คือการมีความสุขทางใจ โดยคุณหมอสมยศกล่าวถึงประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจ
“ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องทางใจ เรื่องข้างนอกการประสบความสำเร็จ ความร่ำรวยมันก็เป็นรื่องข้างนอกแล้ว แต่ว่าเราเข้าใจเรื่องช่องว่างไหม ผมประสบความสำเร็จ ผมมีความสุข ผมตื่นเต้นไหม ผมทุกข์ไหมเวลาผมล้มเหลว คนเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่างไม่ได้หรอก แต่ผมว่าเอาแค่เราประสบความสำเร็จมากกว่าล้มเหลวนี่คุณก็เก่งแล้ว แล้วนั่นเป็นสิ่งที่เราทำ ทุกข์กับสุขมันอาจจะแยกออกจากกัน ผมศึกษาทางด้านหลวงพ่อที่สอนผม เป็นอาจารย์ผม จริงๆมันมีช่องว่างอยู่ แต่เราก็แยกได้ เราตั้งใจทำดีทุกอย่าง ถ้าล้มเหลวมันไม่ทุกข์ก็ได้ เวลาเราทำเสร็จแล้วดีมีความสุขก็โอเค พอรู้สึก มันก็จะนิ่งแล้ว”
คุณจูนน์พยักหน้ารับเมื่อคุณหมอพูดจบและเสริมต่อว่า
“สมัยก่อนจะเป็นคนที่รู้สึกเยอะมาก ก่อนที่จะมาเจอเรื่องธรรมมะ สมัยก่อนเราคิดว่าชีวิตเราต้องมีแต่ความสำเร็จ ต่อให้เราทำไปส่วนลึกๆเราไม่เคยมีความสุขกับชีวิตเลย เพราะไม่มีจุดพอ แต่พอจุดหนึ่งเราศึกษาธรรมมะ เจอความลำบากเข้ามา ก็ปิ๊งจุดนึงเลยว่าเราเข้าใจ เราพอแล้ว ตั้งแต่ปี 48-49 เราพอแล้ว ต่อให้มันมากกว่านี้เราก็มีความสุขแค่นี้ ต่อให้มันน้อยกว่านี้เราก็ไม่มีความทุกข์”
“หลังจากนั้นมาทำงานได้มีความสุขขึ้น ทำงานด้วยพลังมากขึ้น มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น รักคนอื่นมากขึ้น รักลูกน้องมากขึ้น มาช่วยกันยังไง มีซัพพอร์ทอะไร ทำให้มันโตขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งลูกค้า ทั้งคนที่อยู่รอบๆตัวเรา เราทำงานในสิ่งที่เราชอบ แฮปปี้กับมันตลอดเวลา เอนจอยมาก ไปเจอลูกค้าเค้าก็แอปปี้กับเรา” คุณจูนน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่คุณหมอจะเสริมต่อว่า
“เราได้ทำงานที่เราชอบ เราเป็นคนที่บูชาความสำเร็จ พอเราทำงานสำเร็จเราก็มีความสุข ถ้าไม่ประสบความสำเร็จเราก็มาดูว่าจริงๆแล้วอะไรคือความล้มเหลว แต่ความล้มเหลวนั้นเราจะไม่มาแอบโดยลำพัง หมายความว่าเราต้องมาดูว่ามันอยู่ตรงไหนแน่ แล้วก็จับปัญหานั้น ไม่ว่าจับใครแม้กระทั่งตัวผมเอง ไม่มียกเว้น ทุกคน มีจุดไหนแล้วแก้ทุกจุด เรียนรู้เป็นประสบการณ์ข้างหน้าจะดีขึ้น มีความสุขต่อไม่ทุกข์”
“มีสุภาษิตโบราณที่พูดมาสองพันปีแล้ว และปัจจุบันนี้ MBA ที่ผมเรียนก็ตอบโจทย์เดียวกัน คือ ให้เราทำธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ถ้าคุณทำได้คุณทำกินไม่มีวันหมด แล้วก็ไม่ต้องทุกข์ เพราะสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณสามารถตอบสนองได้ยิ่งมาก ก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งน้อยมันก็ยิ่งเล็ก อย่างสินค้าที่เราทำ มันตอบสนองคน 70-80% ของประเทศ หกสิบเจ็ดล้านคนเราตอบสนองขนาดนั้น มันก็ใหญ่มาก แล้วพอเราทำสิ่งที่ตอบสนองเสร็จ เราต้องทำสิ่งที่มันดีกว่า สิ่งที่ดีขึ้น ให้ถูกลงได้อย่างไร เป็นหลักการตลาดร่วมกัน คือทำได้ไงให้มีโปรดักส์ที่มีคุณภาพ แชแนลที่ดีที่สุด ราคาต่ำสุด โปรโมชั่นเยอะที่สุด ถ้าใครชนะผม เรายินดี…คุณแน่มาก แต่ผมยังไม่เห็น” (ยิ้ม)
ในฐานะที่เป็นทั้งนักบริหารที่เก่งกาจและเป็นทั้งบุคคลที่มีพลังบวกในการใช้ชีวิต หลายคนมักอยากรู้วิธีในการหล่อหลอมและพัฒนาตัวเองของทั้งสองคน ซึ่งคุณหมอและคุณจูนน์ก็ยินดีแบ่งปันเคล็ดลับให้อย่างไม่ปิดบัง
“กระบวนการที่เกิดขึ้นมาประกอบด้วยสองส่วน อันที่หนึ่งคือพันธุกรรมของครอบครัว ซึ่งผมถือว่าเป็นส่วนน้อย เพราะว่าพ่อแม่เป็นคนที่ไม่มีความรู้ แต่ท่านก็มีธุรกิจ ข้อสำคัญคือผมเน้นว่ารู้เท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่เราต้องรู้ตัวว่าเราไม่รู้ และเราสามารถเรียนรู้ได้ เรารับสิ่งใหม่เข้ามาได้ ทดลองทำว่าสิ่งที่ดี แล้วก็เก็บสิ่งดีไว้ใช้ ต้องกล้ารับสิ่งใหม่และยอมรับสิ่งที่ไม่ดี เอาสิ่งที่ไม่ดีออกไปให้ได้ ซึ่งมันยากมาก ผมเป็นคนที่ใฝ่รู้ตั้งแต่เด็ก ผมเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ ฝึกด้วยตัวเองเยอะ”
“คนส่วนใหญ่ในชีวิตเวลาขึ้นบันไดขึ้นไปสองขั้นแล้วลงขึ้นไปสองขั้น ขึ้นไปอีกสองขั้นลงไปอีกสองขั้น ขึ้นไปสามลงมาหนึ่ง แต่ผมไม่ใช่ คือเราจะขึ้นต้องอาศัยความรู้ที่แน่จริงๆเราเอาระดับโลกมาเลย หนังสือผมมีเป็นพันเล่มเลยเกี่ยวกับเรื่องพัฒนาบุคลิกภาพ มุมมองทัศนคติ ไม่ว่าจะเป็น เดลคาร์เนกี้ หลวงวิจิตรวาทการ เยอะแยะไปหมด พอผมเข้าใจก็นำมาประยุกต์ใช้ว่าดีจริงไหม ดีจริงเราเก็บ อันนี้เข้ากับเราไหม ถ้าไม่เข้าโอเค เปลี่ยนนิสัยตัวเราเอง”
“นิสัยมันเกิดจากการทำซ้ำๆ มีคนถามเสมอว่านิสัยผมเกิดจากอะไร ก็บอกว่าอยู่ที่การทำ สุดท้ายเราจะทึ่งกับตัวเองว่าเราทำได้จริงๆ นี่คือสิ่งที่สำคัญ แต่เราต้องมีการยอมรับ ยอมรับว่าเราไม่รู้ แต่ต้องมีการยอมรับคุณต้องทำตัวเป็นน้ำพร่องแก้ว ถ้าคุณทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วคุณจะเรียนรู้ยาก คนส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหานี้ ทางพระเค้าเรียกว่าอัตตา ทางตะวันตกเค้าเรียกว่าน้ำไม่เต็มแก้ว เวลาผมสอนคน หรือแนะนำคนผมไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน ผมจะบอกว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณผมนะถ้าคุณอยากจะชดใช้ผม คุณก็ไปสอนต่ออีก 5 คน”
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดถึงความคล้ายคลึงกันของนักบริหารผู้ยิ่งใหญ่ทุกวงการ เมื่อชีวิตดำเนินมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ คือความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ ทั้งกับคนรอบข้างและการให้กับสังคม เช่นเดียวกับผู้นำทั้งสองของธุรกิจโลจิกติสค์ที่กำลังเติบโตอย่างสง่างามอย่าง บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA ที่มีความสุขในการมอบสิ่งดีๆสู่สังคม เริ่มจากการทำธุรกิจบนแนวทางที่ดีงาม เรื่อยไปจนถึงการแบ่งปันความสุข โอกาส และความรู้เพื่อเป็นวิทยาทาน
“ทุกปีก็ต้องไปทำบุญ เป็นสิ่งที่ควรทำ ทางด้านคนการศึกษาทางด้านศาสนา เราก็บริจาคให้กับสถานศึกษาที่มีบุญคุณกับเรามา ชีวิตนี้ก็จะบริจาคไปเรื่อยๆคนก็พยายามสอนไปเรื่อยๆ การศึกษาเราก็ให้เรื่อยๆ ผมสอนวิธีจับปลาให้ แต่จะให้ยั่งยืนคือคุณต้องเรียนรู้วิธีจับปลา สอนให้คุณทำมาหากิน”
Reported by : Wannasiri Srivarathanabul
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น