วันนี้ขอพูดถึง"โกเหลียว"หรือ เฉลียว อยู่วิทยา(เจ้าพ่อกระทิงงแดง)ที่เป็นคนจีนที่มาทำมาหากินในประเทศไทยแล้วไม่เอาเปรียบประเทศไทยแถมยังคืนกลับมาให้ประเทศไทยไม่รู้กี่พันกี่หมื่นล้านโดยที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ทราบ ภาพของชายสูงวัยในเสื้อตัวเก่ากับกางเกงแพร ใส่หมวกงอบ ขี่จักรยานไปรอบๆโรงงานกระทิงแดง ในทุกเช้า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีของมีค่าใดๆ นอกจากนาฬิการาโด้เก่าๆ เพียงเรือนเดียว เมื่อเห็นขวดกระทิงแดงที่พนักงานกินทิ้งไว้เขาก็จะก้มลงเก็บแล้วนำไปทิ้งขยะ ..... หากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าเขาคนนี้คือ 'เฉลียว อยู่วิทยา' มหาเศรษฐีแสนล้าน หนึ่งในสามนักธุรกิจที่รวยที่สุดในประเทศไทย และถูกจัดให้เป็นเศรษฐีอันดับที่ 205 ของโลก ที่สำคัญเขายังเป็นเจ้าของธุรกิจกระทิงแดงและเรดบูลที่ส่งขายไปกว่า 70 ประเทศ และเจ้าของตำนานการสร้างธุรกิจซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาที่ถูกนำไปสอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก !!
และนับแต่นี้เรื่องราวของเขาคงกลายเป็นตำนานที่เล่าขานถึงความยิ่งใหญ่ของนักธุรกิจเจ้าของฉายา 'มังกรซ่อนเล็บ' อดีตเด็กหนุ่มยากจนในสังคมชนบทที่มุ่งสู่เมืองกรุงพร้อมความฝันว่าสักวันจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ช่วงเช้าของวันที่ 17มีนาคม2555 ได้ปรากฏข่าว 'ช็อกวงการ' กับการจากไปของ เจ้าพ่อกระทิงแดง 'เฉลียว อยู่วิทยา' รายงานแจ้งว่าเขาจากไปอย่างสงบด้วยโรคชรา ในวัย 89 ปี ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งการจากไปของเขานั้นนอกจากจะสร้างความเศร้าโศกให้แก่ลูกหลานและพนักงานในเครือกระทิงแดงทุกคนแล้ว ยังนับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงธุรกิจไทยอีกด้วย
**จากเด็กเลี้ยงเป็ด สู่ธุรกิจขายยา
เจ้าสัวเฉลียว หรือที่เรียกกันในครอบครัวและคนสนิทว่า 'โกเหลียว' เกิดในครอบครัวคนจีน ที่จังหวัดราชบุรี ก่อนอพยพไปอยู่ที่ตำบลหัวดง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร บิดาเป็นชาวจีนไหหลำ ชื่อนายเซ่ง แซ่สี่ อพยพมาจากเมืองจีน ส่วนมารดาชื่อ นางทองอยู่ แซ่สี่ เป็นคนไทย เขามีพี่น้องทั้งหมด 5 คน
แม้จะเกิดในครอบครัวยากจนแต่ด้วยความที่ถูกปลูกฝังเรื่องของความซื่อสัตย์ ขยัน อดทนจึงเป็นคนมุมานะหนักเอาเบาสู้มาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเด็กเรียนดีทั้งที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือมากนักเนื่องจากหลังเลิกเรียนเฉลียวต้องไปเลี้ยงเป็ดและช่วยที่บ้านค้าขาย ด้วยความยากจน ในช่วงที่ไปเรียนชั้นมัธยมในตัวจังหวัดจึงต้องไปอาศัยอยู่กับคุณหมอท่านหนึ่งโดยช่วยทำงานบ้านเป็นการตอบแทน แต่เรียนได้แค่มัธยม 5 (เทียบเท่ากับ ม.2 ในปัจจุบัน) ก็ต้องลาออกกลางคันเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสีย
เฉลียวเริ่มทำการค้าเล็กๆน้อยๆตั้งแต่อายุแค่ 10 กว่าปี และเนื่องจากขณะนั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เฉลียวจึงไปรับจ้างทำงานให้กับญี่ปุ่นด้วย แม้จะล้มลุกคลุกคลานการค้าเจ๊งไม่เป็นท่าหลายครั้งหลายหน แต่เฉลียวก็ไม่เคยย่อท้อ ตรงกันข้ามความล้มเหลวที่ผ่านมากลับทำให้เขาได้ข้อคิดและปรัชญาในการทำธุรกิจว่า “ ไม่ควรทำอะไรที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ”
“ ผมทำมาหลายอาชีพ ขายขนุน ขายทุเรียน ขายเนื้อเค็ม ไม่รู้เรื่องก็เจ๊งหมด เห็นขนุนในกรุงเทพฯ ราคาแพง ลูกละหลายบาท ที่พิจิตรบ้านเราลูกละสลึงเดียวก็อยากซื้อมาขายเอากำไร ไปถึงสวนเลย ถ้าคิดลูกละสลึงเขาไม่ขึ้นให้ ต้องขึ้นไปตัดเอง ผมไม่รู้ว่าลูกไหนอ่อนลูกไหนแก่ ขนุนละมุด หรือขนุนหนังก็ไม่รู้ เห็นลูกโตๆตัดหมด ขนมาเต็มตู้รถไฟ กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ขนุนละมุดเละหมด ขนุนหนังที่ตัดมาส่วนใหญ่ก็ยังไม่แก่ จะเอาเม็ดมาต้มขายก็ไม่อร่อย เลยขาดทุนหมด สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปรับจ้างโยงเรือให้ญี่ปุ่น ไม่มีความรู้ก็เจ๊งอีก ” เฉลียวให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร 'THE EXECUTIVE' เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ถึงประสบการณ์ในการทำการค้าในช่วงวัยรุ่น
ใครจะรู้ว่าวันที่เฉลียวตัดสินใจทิ้งการค้าผลไม้ตามพี่ชายเข้ากรุงเทพฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้าสัวแสนล้านในวันนี้ โดยช่วงแรกที่มาถึงกรุงเทพฯ เฉลียวเริ่มจากช่วยพี่ชายทำงานที่ร้านขายยา เมื่อมีความรู้ความชำนาญเรื่องการขายยาจึงเปิดโอกาสให้ตัวเองด้วยการไปสมัครเป็นเซลขายยา ที่บริษัท แลดเดอร์เลย์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายยาออริโอมัยซินที่นำเข้าจากต่างประเทศ จากนั้นก็ย้ายไปเป็นเซลขายยาของบริษัท เอฟ อี ซี ริค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาออริโอมัยซินโดยตรง เฉลียวเป็นเซลอยู่ 7 ปี จึงออกมาตั้งบริษัทนำเข้ายาของตัวเอง ภายใต้ชื่อ 'ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทีซี ฟาร์มาซูติคอล' ซึ่งปรากฏว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เขาจึงขยายกิจการด้วยการเปิดร้านขายยาและตั้งโรงงานผลิตยาเอง ที่บริเวณถนนสิบสามห้าง ย่านบางลำพู ก่อนที่จะขยายโรงงานผลิตยาไปที่ตรอกเสถียร แถวถนนราชดำเนิน
**นักการตลาดชั้นเซียน
ในปี 2504 เมื่อเฉลียวมองเห็นช่องทางในการขยายธุรกิจจากการวิเคราะห์ตลาดที่ทำให้เขามั่นใจว่ายาปฏิชีวนะยี่ห้อ 'ทีซีมัยซิน' น่าจะเป็นยาที่ชื่อติดหูและขายดีที่สุด เนื่องจากเป็นยาครอบจักรวาลที่ทุกบ้านขาดไม่ได้ เพราะมีสรรพคุณทั้งแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ เฉลียวจึงไม่รอช้าตัดสินใจตั้ง 'บริษัท ทีซีมัยซิน จำกัด' เพื่อผลิตยาดังกล่าวทันที และไม่เกินไปที่จะกล่าวว่าเจ้าสัวเฉลียวเป็น 'นักการตลาดชั้นครู' โดยไม่เคยกางตำราหรือร่ำเรียนจากสถาบันใดๆ เพราะเขาคือนักธุรกิจคนแรกๆของไทยที่ใช้วิธี 'แจกสินค้าให้ทดลองใช้' ก่อนที่จะมีบริษัทเอเจนซีที่คิดค้นกลยุทธ์การตลาดขึ้นในประเทศไทยหลายสิบปีนัก และนับเป็นกลยุทธ์ที่แม้แต่บริษัทโอสถสภาซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจยาในขณะนั้นยังไม่กล้าใช้และไม่เคยทำมาก่อน !! เนื่องจากเฉลียววิเคราะห์ตลาดได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าการจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์ยาตัวใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงทุ่มทุนด้วยการ 'แจก' ยาดังกล่าวให้ใช้ฟรี ทั้งที่ตลาดนัดสนามหลวง และตามชุมชน ซึ่งถือเป็นการทำตลาดที่มีงประสิทธิภาพ เพราะเมื่อคนเห็นถึงสรรพคุณของตัวยาจึงเกิดการบอกต่อ ทำให้ 'ยาทีซีมัยซิน' เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายภายในเวลาอันรวดเร็ว
งานนี้ทำเอายักษ์ใหญ่อย่างอย่างโอสถสภา ผู้ผลิต'ยาทัมใจ' ถึงกับอึ้ง !! เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอคู่แข่งรายใหม่ที่ใช้กลยุทธ์ 'ป่าล้อมเมือง' ที่สำคัญยังเป็นเพียงบริษัทยาเล็กๆที่หาญกล้ามาชนกับเจ้าตลาดอีกด้วย
และกลยุทธ์นี้ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดสุดคลาสสิก ที่กลายเป็นเรื่องเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้ …
ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาตัวอื่นๆ ที่ออกมาใหม่ของทีซีมัยซินพลอยได้รับความเชื่อถือไปด้วย จากนั้นในปี 2508เจ้าสัวเฉลียวก็ขยายไลน์ไปยังธุรกิจเครื่องสำอาง โดยตั้ง 'บริษัท ทีซี-มัยซิน อุตสาหกรรม จำกัด' ซึ่งสินค้าที่รู้จักกันได้แก่ แป้งเบบี้ดอล แป้งแท็ดทู และยาสีฟันเบลเด็กซ์ แต่แล้วในปี 2513 โรงงานที่ตั้งอยู่บริเวณตรอกเสถียรก็ถูกเวนคืน จึงต้องย้ายโรงงานไปอยู่ย่านบางบอน ซึ่งก็คือโรงงานกระทิงแดงในปัจจุบันนั่นเอง แต่ในสมัยนั้นถือว่าป็นจุดที่ 'ไกลปืนเที่ยง' ไม่เหมาะกับการทำธุรกิจแต่อย่างใด แต่ด้วยฝีมือของ 'โกเหลียว' แล้วไซร้คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
**'กระทิงแดง' ชื่อนั้นสำคัญไฉน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ 'โกเหลียว' ขึ้นสู่ตำแหน่งมหาเศรษฐีแสนล้านจนถึงทุกวันนี้ ก็คือวันที่โกเหลียวตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง ภายใต้ยี่ห้อ 'กระทิงแดง' โดยตั้ง 'บริษัท ทีซีฟาร์มา ซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด' ขึ้นเมื่อปี 2521 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่ชักนำให้เขาเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวก็คือเพื่อนเก่าชาวออสเตรียที่ชื่อ 'ดีทริช เมเทลชิทซ์' ตัวแทนฝ่ายการตลาดของยาสีฟันเบลนเด็กซ์ ยาสีฟันสัญชาติเยอรมันที่เฉลียวซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตนั่นเอง
หลายคนอาจไม่รู้ว่าแบรนด์ 'กระทิงแดง' นั้นเป็นชื่อที่เจ้าสัวเฉลียวคิดขึ้นเอง และเดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะให้เป็นผลิตภัณฑ์ยา แต่รัฐบาลขณะนั้นกำหนดให้กระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อที่จะได้สามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
“ กระทิงแดง หมายถึง มีกำลัง กระทิงมีกำลังมาก ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผมคิดขึ้นเอง ออกแบบโลโก้เอง ส่วนสินค้าอื่นๆที่ออกตามมาที่ใช้ชื่อกระทิงแดงนั้นก็ไม่ได้ถือเคล็ดอะไร เพียงแต่เห็นว่าเป็นชื่อทางการค้าที่คนส่วนใหญ่รู้จักและจำกันได้อยู่แล้วก็ไม่ควรไปสร้างชื่อใหม่ให้เปลืองค่าโฆษณา ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้าง 'Brand Loyalty'อีก
“เดิมทีเดียวกระทิงแดงก็เป็นยารักษาโรค กระทั่งรัฐบาลสมัยหนึ่งอยากได้ภาษีมากๆ ก็เลยปรับกระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มที่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเยอะ โดยเสีย 22 เปอร์เซ็นต์ คิดจากราคาขายปลีกขวดละ 10 บาท ก็เสียภาษี 2.20 บาท ต่อขวด ถ้าเป็นยาคิดภาษีจากราคาขายปลีกแค่ขวดละ 11 กว่าสตางค์ ” เฉลียวเคยให้ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร 'THE EXECUTIVE'
แต่เรื่องที่เป็นตำนานซึ่งทั้งตื่นเต้นและคลาสสิกก็คือชื่อ 'กระทิงแดง' ซึ่งเป็นแบรนด์ของเครื่องดื่มชูกำลังขวดนี้ดันไปเหมือนกับชื่อกลุ่มการเมืองฮาร์ดคอร์ที่ชื่อ 'กลุ่มกระทิงแดง' ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อต่อกรกับนักศึกษาในยุค 14 ตุ.ค.16 และ 6 ตุ.ค.19 ซึ่งถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิตส์ ทำให้ 'พล.ต.สุดสาย หัสดิน ' ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง 'กลุ่มกระทิงแดง' ไม่พอใจ จึงต้องนัดเคลียร์กันครั้งใหญ่ กระทั่งสุดท้ายเมื่อเจ้าสัวเฉลียวมีหลักฐานมายืนยันว่าเขาได้จดทะเบียนชื่อนี้ไว้ก่อนที่จะมีการก่อตั้งกลุ่มกระทิงแดงถึง 5 ปี เขาจึงสามารถใช้ชื่อ 'กระทิงแดง' เป็นชื่อแบรนด์มาได้จนได้ถึงทุกวันนี้
**กลยุทธ์โดนใจ
การเข้ามาตีตลาดของกระทิงแดงก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเพราะว่าขณะนั้นมี 'ลิโวิตัน-ดี' ของบริษทโอสถสภา เต็กเฮงหยู จำกัด ที่มีตระกูลดังอย่างโอสถานุเคราะห์นั่งบริหาร เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว และมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 90% เรียกว่าแทบไม่เหลือที่ว่างให้แทรกเลยทีเดียว แต่นักการตลาดชั้นเซียนอย่างเจ้าสัวเฉลียวก็หาได้กลัวเกรงแต่กลับมองว่านี่คือโอกาสดีเพราะการที่มีรายใหญ่เพียงรายเดียวแสดงว่ายังมีที่ว่างทางการตลาดเหลืออยู่ และการสู้กับเจ้าใหญ่เพียงรายเดียวนั้นย่อมง่ายกว่าการต้องต่อสู้กับคู่แข่งหลายๆรายที่แห่ลงมาเล่นในตลาดเดียวกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะเกิดสภาพการแข่งขันที่ดุเดือดชนิดต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บสะบักสะบอมจนไม่มีใครยืนอยู่ในตลาดได้ ขณะที่การสู้กับเจ้าตลาดรายเดียวนั้นเราสามารถหาจุดแข็งที่ยักษใหญ่ไม่มีมาเป็นกลยุทธ์ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดได้
โดยกระทิงแดงเลือกที่จะใช้ 3 กลยุทธ์ในการบุกตลาด ประการแรกคือ 'กลยุทธ์ด้านราคา' ที่เจ้าสัวเฉลียวใช้เป็นหัวหอกในการตีตลาด ขณะเดียวกันก็ควบคุมคุณภาพในอยู่ในระดับเดียวกับลิโพวิตัน-ดี กลยุทธ์ที่ 2 คือ 'การโปรโมชั่น' หรือการส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพ โดยปูพรมทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร เพื่อสร้างความรู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่ของประเทศ และ 3 คือ 'การแจกฟรี' ให้ทดลองดื่มซึ่งถือเป็นสุดยอดกลยุทธ์การตลาดที่เจ้าสัวเฉลียวเคยใช้ได้ผลมาแล้ว ในช่วงนั้นจึงได้เห็นภาพการแจกเครื่องดื่มกระทิงแดงให้บรรดาสิงห์รถบรรทุก และสายตรวจทางหลวงทุกจุดทั่วประเทศ ไม่นับรวมการแจกจ่ายให้ผู้ใช้แรงงานที่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ ถึงขั้นที่บางครั้งเจ้าสัวเฉลียวลงไปเดินสายแจกด้วยตัวเองเลยทีเดียว ว่ากันว่าในการบุกตลาดในช่วงแรกนั้นมีการแจกกระทิงแดงให้ลูกค้าไปทดลองดื่มกันฟรีๆ เป็นจำนวนหลายล้านขวด คิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน
แต่การทุ่มทุนครั้งนั้นก็นับว่าได้ผลเกินคาด เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ปูพรมในทุกรูปแบบทำให้ไม่ว่าบ้านเล็กซอยน้อยต่างก็รู้จักกระทิงแดง ชนิดที่เรียกว่า ถ้าใครไม่รู้จักกระทิงแดง ต้องถือว่า 'เชยแหลก' ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของกระทิงแดงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งการตลาดจากเจ้าใหญ่อย่างลิโพวิตัน-ดีได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ยักษ์ใหญ่ค่ายโอสถสภาต้องขยับปรับกลยุทธ์ในเวลาต่อมา โดยส่งเอ็ม 150 เครื่องดื่มชูกำลังอีกยี่ห้อหนึ่งมาเป็นคู่แข่งในตลาดล่างเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดคืน
ต่อมาในปี 2527 กระทิงแดงได้สยายปีกบุกตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยลงทุนร่วมกับนายดีทริช เมเทสซิทซ์ (Dietrich Mateschitz) นักธุรกิจชาวออสเตรีย ก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH. ในประเทศออสเตรียโดยนายเฉลียวถือหุ้น 49% และนายเฉลิม ลูกชายถือหุ้นอีก 2% ผลิตและวางจำหน่ายกระทิงแดงในยุโรป ภายใต้ยี่ห้อเรดบูล (Red Bull)และส่งไปขายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการประกาศศักดาของสินค้าไทยชนิดที่ฝรั่งตาน้ำข้าวยังต้องทึ่ง และกลายเป็นกรณีศึกษาที่มหาวิทยาลัยต่างๆทั่วโลกต้องนำไปบรรจุไว้ในหลักสูตรการตลาด
จากความมุมานะ และมันสมองอันชาญฉลาดของเจ้าสัวเฉลียวนี่เองที่ทำให้เขาสามารถปั้นบริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คนจนกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานนับพันคน แตกไลน์ผลิตสินค้าออกไปหลากหลายชนิด และทำให้ชื่อของ 'เฉลียว อยู่วิทยา' ติดอยู่ในมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของโลก โดยเขารวยติดอันดับโลกมาตั้งแต่ปี 2546 โดยขณะนั้นเขาอยู่ในอันดับ 386 และไต่อันดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด นิตยสารฟอร์บส์เพิ่งจัดอันดับเศรษฐีระดับโลกประจำปี 2554 ไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และชื่อ นายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของแบรนด์ดังกระทิงแดงหรือเรดบูล ก็อยู่ในอันดับ 205 และรวยเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย มีมูลค่าทรัพย์สิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.5 แสนล้านบาท
**มรสุมครั้งใหญ่
อย่างไรก็ดี เส้นทางธุรกิจของมหาเศรษฐีผู้นี้ก็หาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องผ่านมามรสุมชีวิตมาหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ค้าขายเจ๊งไม่เป็นท่าเมื่อครั้งที่เริ่มทำการค้าในช่วงแตกเนื้อหนุ่ม ต้องย้ายโรงงานผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ยาเพราะถูกเวนคืนที่ แต่ครั้งที่ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดและนับเป็นช่วงวิกฤตของชีวิตก็คือในช่วงที่ถูกมรสุมการเมืองเล่นงาน โดยมีกรรมาธิการสาธารณสุขและกลุ่มนักวิชาการจับมือกันรุมกระหน่ำ โดยการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบขององค์การอาหารและยา (อย.) ที่ใช้อยู่ และตั้งเงื่อนไขเข้ามาควบคุมเครื่องดื่มชูกำลังทุกยี่ห้อด้วยการจำกัดปริมาณกาเฟอีนให้เหลือไม่เกิน 0.050 กรัม จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 0.080 กรัม ซึ่งครั้งนั้นเครื่องดื่มชูกำลังที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือกระทิงแดง เพราะมีกาเฟอีนมากกว่ายี่ห้ออื่น เนื่องจากชูจุดขายว่า “กระทิงแดงแน่นอนกว่า” จึงต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นทันที หากกระทิงแดงต้องปรับสูตรตามเงื่อนไขของ อย.ผู้บริโภคที่เคยเป็นขาประจำอยู่อาจตัดสินใจเลิกซื้อเพราะสรรพคุณไม่เหมือนเดิม
ขณะที่คู่แข่งเครือโอสถสภานั้นไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะลิโพวิตัน-ดีที่วางตัวเองไว้เป็นเครื่องดื่มชูกำลังในตลาดบน ส่วนผสมจึงมีกาเฟอีนน้อย ส่วน เอ็ม 100 และ เอ็ม 150 ที่ค่ายโอสถสภาส่งมาตีตลาดเดียวกับกระทิงแดงนั้นก็ยังมีกาเฟอีนในระดับกลางๆ เพราะขณะออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโอสถสภายังไม่แน่ใจว่าทิศทางตลาดจะไปในทางไหนจึงเลือกสูตรกลางๆไว้ก่อน นอกจากนั้นก็มีการเปิดช่องให้สินค้าค่ายอื่นๆเข้ามาบุกตลาดเครื่องดื่มชูกำลังได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าระดับท้องถิ่นที่มีราคาต่ำกว่า
ในครั้งนั้นจะเห็นปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่ไม่ธรรมดา โดยขณะที่ นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม และนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ เลขาธิการพรรคกิจสังคม ออกรายการ 'มองต่างมุม' ได้มีการกล่าวพาดพิงถึงพ่อค้าในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังในทำนองว่ามีอภิสิทธิ์ในกระทรวงสาธารณสุขและในองค์การอาหารและยา พร้อมทั้งโจมตีว่าเครื่องดื่มประเภทนี้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแม้จะมีการลดปริมาณคาเฟอีนลงแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมรัฐบาลหลายยุคที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้
ในแวดวงต่างฟันธงตรงกันว่านักธุรกิจที่ถูกกล่าวถึงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา” !!
ข้อกล่าวหาดังกล่าวถึงกับทำให้เจ้าสัวเฉลียวซึ่งปกติไม่ชอบสุงสิงกับใคร ถึงกับนั่งไม่ติด ถึงกับลงทุนซื้อหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเพื่อลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเครื่องดื่มกระทิงแดงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ได้โฆษณาเกินจริง พร้อมทั้งเสนอผลวิจัยที่ชี้ว่ากระทิงแดงมีปริมาณคาเฟอีนเท่ากับกาแฟ 1 ถ้วยเท่านั้น และมีการระบุในโฆษณาทุกชิ้นด้วยว่า “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด” ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ผ่านมานั้นธุรกิจของเจ้าสัวเฉลียวมักถูกถล่มจากกลุ่มแพทย์และนักวิชาการอยู่เป็นระยะ นอกจากนั้นทุกครั้งมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมักจะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องเครื่องดื่มชูกำลังขึ้นมาโจมตี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เฉลียวจะต้องหาเครือข่ายการเมืองไว้เป็นพันธมิตรเพื่อเป็นเกราะคุ้มกัน ว่ากันว่าเจ้าสัวเฉลียวนั้นมีความสนิมสนมกับนักการเมืองใหญ่ในหลายพรรค โดยเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายชวน หลีกภัย , พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ , ดร.พิจิตต รัตตกุล มารุต บุนนาค สุทัศน์ เงินหมื่น นอกจากนั้นเขายังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เนื่องจากเจ้าสัวเฉลียวเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ของโครงการอีสานเขียว ที่ พล.อ.ชวลิต ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน
การสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองของเจ้าสัวเฉลียวแห่งค่ายกระทิงแดงนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะบรรดาผู้บริหารของค่ายโอสถสภา เจ้าของลิโพวิตัน-ดี ก็มีความสนิทสนมกับพรรคชาติพัฒนา ของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เช่นกัน !!
ณ วันนี้หลายคนอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า หากเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์กระทิงแดงมีปัญหาต่อสุขภาพจริง เหตุใด 'เรดบูล' ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกัน จากผู้ผลิตรายเดียวกันสามารถส่งออกไปจำหน่ายได้ทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างสูงในแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มประเทศที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพ
**แทนคุณแผ่นดิน
แม้เจ้าสัวเฉลียวจะเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบออกงานสังคม ไม่ชอบให้สัมภาษณ์หรือเป็นประธานในงานปาฐกถาใดๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้คนในสังคมเห็นตรงกันก็คือเจ้าสัวเฉลียวเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มุ่งเน้นคุณธรรมในการทำธุรกิจ ใช้ชีวิตอย่างสมถะ พอเพียง ต่างจากมหาเศรษฐีทั่วไป ที่สำคัญเขายังมีแนวคิดว่า “เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นได้มาจากกำลังซื้อของพี่น้องคนไทย ดังนั้นจึงควรนำเงินกำไรที่ได้รับกลับไปตอบแทนคุณแผ่นดิน”
ดังนั้นเครือกระทิงแดงจึงมีโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมนับร้อยโครงการตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา คิดเป็นเงินกว่ากว่าพันล้านบาท โดยแทบจะไม่มีการประชาสัมพันธ์ใดๆให้สังคมรับรู้ ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ได้ทำเพียงเพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กร แต่เป็นการช่วยเหลืออย่างจริงจังถึงขั้นที่มีการจัดตั้งเป็นแผนกขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยมี 'ตุ๊กตา' สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา ลูกสาวที่ถอดแบบการดำเนินชีวิตมาจากป๋าเฉลียว เป็นผู้ดูแลแผนกนี้โดยตรง ซึ่งในหลายโครงการคุณตุ๊กตามีคำสั่งสายตรงให้ทีมงานลงไปฝังตัวทำโครงการในพื้นที่จนกว่าโครงจะแล้วเสร็จ ไม่ว่าเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำ โครงการสร้างอาชีพ
อีกทั้งขณะนี้ยังมีการสร้างเครือข่ายเพื่อหาแนวร่วมในการพัฒนาสังคม โดยมีการดึงกลุ่มวัยรุน วัยทำงาน และประชาชนทั่วไปร่วมทำกิจกรรมพัฒนาสังคมต่างๆ ซึ่งถือเป็นการขยายเครืข่ายในการทำความดีให้กว้างออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งโครงการหนึ่งที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากก็คือ 'โครงการกระดานดำ' ซึ่งกระทิงแดงสนับสนุนโครงการค่ายอาสาสมัครเพื่อสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กๆในพื้นที่ธุรกันดาร
นอกจากนั้นน้อยคนนักที่จะทราบว่ายาที่ใช้ใน 'โครงการแพทย์อาสา' นั้น เจ้าสัวเฉลียวได้ผลิตถวายในนามบริษัท ทีซีมัยซิน จำกัด มาตลอด และในวงการแพทย์จะทราบกันดีว่าโรงพยาบาลใดขาดแคลนเครื่องมือทางการแพทย์ก็สามารถขอความอนุเคราะห์จากเจ้าสัวเฉลียวได้ แม้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยหรือรักษาจะมีราคาหลายสิบล้าน จนถึงขั้นเป็นร้อยล้านก็มี แต่ทุกโรงพยาบาลที่ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสัวเฉลียวก็ไม่เคยผิดหวังกลับไป อย่างเช่น โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งมีผู้สร้างตึกรักษาโรคหัวใจให้ แต่ไม่มีเงินซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาซึ่งมีราคาสูงถึง 40 ล้านบาท ตระกูลอยู่วิทยาก็บริจาคให้ด้วยความเต็มใจ
“สมัยเด็กดิฉันค่อนข้างใกล้ชิดกับคุณพ่อ เห็นท่านทำงานตามเสด็จโครงการพัฒนาชนบท สร้างฝายชลประทาน อีสานเขียว คุณพ่อจะให้ทุนกับทหารที่ทำงาน ช่วงหน้าหนาวก็แจกผ้าห่มและเสื้อผ้าให้เด็กๆในต่างจังหวัด มันเป็นภาพที่เราเห็นมาตลอด ตอนเด็กๆ จะถามคุณพ่อมาตลอดว่าคราวนี้ไปจังหวัดไหนมา เอาอะไรไปให้ชาวบ้าน และเราก็ตั้งใจตั้งแต่นั้นเลยว่าถ้าเรียบจบจะทำแบบที่คุณพ่อทำ” สุทธิรัตน์ เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอมุ่งมั่นทำโครงการต่างๆ เพื่อสังคม จนเป็นที่มาของฉายา 'ไฮโซเอ็นจีโอ' ที่บรรดาสื่อมวลชนตั้งให้กับเธอ แม้วันนี้ เจ้าสัวเฉลียวจะจากไป ...แต่แนวคิดเหล่านี้ยังคงมีลูกๆที่ช่วยกันสานต่อ ด้วยเชื่อมั่นในคำสอนของ 'ป๋าเฉลียว' ที่บอกลูกๆให้ “ยึดคุณธรรม และแทนคุณแผ่นดิน”
ชีวิตสมถะของเศรษฐีแสนล้าน
ภาพที่เด่นชัดและคำจำกัดความของ 'เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา' ก็คือเมหาเศรษฐีที่ใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่สนใจรถโก๋ ไม่เห็นความสำคัญของแบรนด์เนม และมีเสียงเล่าลือว่าบ้านที่เจ้าสัวเฉลียวพำนักอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตนั้นเป็นเพียงบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ หาใช่คฤหาสน์หรูดังเช่นเศรษฐีทั่วไป ในสายตาของบรรดาลูกน้องในบริษัทกระทิงแดงนั้นแม้เจ้าสัวเฉลียวจะเป็นคนที่ทำงานจริงจัง และลงมาดูรายละเอียดในทุกขั้นตอน แต่ก็เป็นเจ้านายที่ไม่ถือตัว ไม่มีมาด ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ป๋าเหลียวจึงเป็นที่รักและเคารพของบรรดาพนักงานทุกคน
ในด้านของชีวิตครอบครัวนั้น เจ้าสัวเฉลียวมีภรรยา 2 คน และลูกด้วยกันรวมทั้งหมด 11 คน ภรรยาคนแรกคือ 'คุณนกเล็ก สดศรี' มีบุตรด้วยกัน 5 คน ได้แก่ สายพิณ เฉลิม พิณทิพย์ พึงใจ และศักดิ์ชาย ส่วนภรรยาคนที่ 2 คือ 'ภาวนา หลั่งธารา' มีบุตรด้วยกัน 6 คน ได้แก่ สุทธิรัตน์ จิรวัฒน์ ปนัดดา สุปรียา สราวุฒิ และนุชรี ซึ่งปัจจุบันนี้ลูกๆเกือบทุกคนก็ยังคงช่วยกันบริหารธุรกิจของครอบครัวอยู่ และต่างก็รับแนวคิดแบบสมถะเช่นนี้จากบิดามาเช่นกัน
ทั้งนี้
สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา หรือคุณตุ๊กตา พูดถึงคุณพ่อในขณะให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “ ทั้งเนื้อทั้งตัวของป๋าไม่มีเครื่องประดับอื่น นอกจากนาฬิกาเรือนเดียว ยี่ห้อราโด้ เสื้อผ้าก็ไม่ยอมซื้อไม่พกเงิน โดยชีวิตประจำวันจะเริ่มจากการขี่จักรยานตอนเช้า ใส่เสื้อตัวเดียวนุ่งกางเกงแพร วาไรตี้ ใส่หมวกงอบแล้วขี่จักรยานวนไปรอบโรงงานเจออะไรไม่เรียบร้อยก็จะแวะเข้าไป ตรวจดู”
สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา หรือคุณตุ๊กตา พูดถึงคุณพ่อในขณะให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “ ทั้งเนื้อทั้งตัวของป๋าไม่มีเครื่องประดับอื่น นอกจากนาฬิกาเรือนเดียว ยี่ห้อราโด้ เสื้อผ้าก็ไม่ยอมซื้อไม่พกเงิน โดยชีวิตประจำวันจะเริ่มจากการขี่จักรยานตอนเช้า ใส่เสื้อตัวเดียวนุ่งกางเกงแพร วาไรตี้ ใส่หมวกงอบแล้วขี่จักรยานวนไปรอบโรงงานเจออะไรไม่เรียบร้อยก็จะแวะเข้าไป ตรวจดู”
จนมีเรื่องตลกครั้งหนึ่งว่า มียามหน้าใหม่ที่ไม่รู้จัก เฉลียว อยู่วิทยา เมื่อ เห็นลุงแก่ๆ ขี่จักรยานเข้ามาในโรงงานซึ่งเป็นเขตคนนอกห้ามเข้า เขาจึงตะโกนห้ามแต่มียามเก่าแก่สะกิดบอก เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง จึงทำให้ยามใหม่ถึงกับหน้าถอดสี
นอกจากนี้ยังเคยมีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เสนอมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้แก่เขา แต่เจ้าสัวเฉลียวปฏิเสธโดยกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เพราะเขาไม่ได้ร่ำเรียนมา การรับปริญญาจึงเป็นการเอาเปรียบคนที่ร่ำเรียนมา ซึ่งปรัชญาในการทำงานที่เรียบง่าย แต่จริงจังเหล่านี้ เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ถ่ายทอดมาจนถึงทายาทในรุ่นปัจจุบัน
เป็นคนสมถะเรียบง่าย แต่งตัวธรรมดาด้วยเสื้อตัวเดียว นุ่งกางเกงแพร สวมหมวกงอบ มีกิจวัตรประจำวันในช่วงยังดูแลธุรกิจคือ ขี่จักรยานวนไปรอบๆ โรงงาน เจออะไรไม่เรียบร้อย จะแวะเข้าไปดู
เป็นคนสมถะเรียบง่าย แต่งตัวธรรมดาด้วยเสื้อตัวเดียว นุ่งกางเกงแพร สวมหมวกงอบ มีกิจวัตรประจำวันในช่วงยังดูแลธุรกิจคือ ขี่จักรยานวนไปรอบๆ โรงงาน เจออะไรไม่เรียบร้อย จะแวะเข้าไปดู
“มีเรื่องตลกเล่าว่า ครั้งหนึ่งมียามหน้าใหม่ไม่รู้จักเฉลียว อยู่วิทยา เมื่อเขาเห็นลุงแก่ๆ ขี่จักรยานเข้ามาในโรงงาน เป็นเขตที่คนนอกห้ามเข้า เขาจึงตะโกนห้ามว่า…ลุง…ลุง…ห้ามเข้า เผอิญยามอีก 2 คน เป็นยามเก่าเห็นพอดี จึงเดินมาสะกิด และบอกยามหนุ่มว่านี่คือผู้จัดการโรงงาน งานนั้นก็เลยเล่นเอายามหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี”
งานศพของ "เจ้าสัวเฉลียว" แม้ทางเจ้าภาพจะมีความประสงค์จัดอย่างเรียบง่าย แต่ด้วยความ "ยิ่งใหญ่" ของผู้วายชนม์ ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา พวงหรีดมากมายเดินทางเข้าสู่วัดเครือวัลย์ ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพ ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง อาทิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา, ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง, รัตน์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
ความสมถะเรียบง่ายของ "ผู้เป็นตำนานของกระทิงแดง” ปรากฏอยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต
ดังที่ครอบครัว “อยู่วิทยา” ระบุไว้เกี่ยวกับงานศพของ"เฉลียว"...
"เนื่องจากเป็นความประสงค์ของผู้วายชนม์ที่ต้องการจัดพิธีอย่างเรียบง่ายและเพื่อไม่เป็นการรบกวนแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครอบครัวอยู่วิทยาจึงขอเป็นเจ้าภาพตลอดพิธีและขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนี้ อนึ่ง เงินทำบุญจากแขกทุกท่าน ทางเจ้าภาพจะมอบให้แก่วัดเครือวัลย์วรวิหาร โดยไม่หักค่าใช้จ่าย"
เหมือน "เฉลียว อยู่วิทยา" มหาเศรษฐีแสนล้านกำลังจะสอนคนที่ยังอยู่ข้างหลังว่า
รวยแค่ไหนก็เอาไปไม่ได้
ดีเยี่ยมและเป็นแบบอย่างที่ดีครั
ตอบลบ