อากงสอนว่า อาม่าบอกไว้ ตอนที่ 4 (เหรียญ10 ตกเสียงดัง แบงค์พันตกเสียงเงียบ)
ความฝันของวัยรุ่น ทุกคน คงไม่พ้น การมีอิสระ
เมื่อครั้งที่ฉันเติบโต เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
ฉันก็ย้ายตัวเองออกไปสู่โลกภายนอก
ที่คิดว่าให้ความสะดวก (ในการหนีเที่ยว) ได้มากกว่า
แต่ที่บ้านก็ยังคงเป็นสถานที่ ที่อบอุ่นที่สุดอยู่เสมอ
กลับมาหาอากง ที่บ้านเมื่อไหร่
ก็มักจะเห็น อากงเปิด TV แบบปิดเสียง
เพราะว่าอากง สนใจดูเฉพาะตัวเลขหุ้น ที่วิ่งเรียงๆกันอยู่ด้านล่างจอภาพ
ถึงแม้ อากงจะอ่านภาษาไทยไม่ออกสักนิด
เห็นแค่ ตัวอักษรอังกฤษ สามสี่ตัว ก็บอกได้แล้วว่าคือธุรกิจอะไร
( เมื่อก่อนนั้น หุ้นจะเรียลไทม์ ที่สุดในทีวี
ไม่ก็ต้องไปนั่งเฝ้าที่ตลาดหลักทรัพย์กันเลย )
ท่านเลยได้รับยกย่อง ให้เป็นฐานข้อมูลสำคัญ ของลูกๆ ทุกคน
ฉันเคย ถามกงว่า
อากง สนใจอะไรหนักหนาคะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ตัวเลขวิ่งๆ ดูวุ่นวาย ไร้สาระ
นอกจาก อากงจะไม่ให้เปลี่ยนไปไหนแล้ว
ยังหันมาพูด ด้วยหน้านิ่งๆ อีกประโยคหนึ่ง แปลได้ความว่า
" เหรียญสิบ ตกเสียงดัง / แบงค์พัน ตกเสียงเงียบ "
แล้วก็ ไม่สนใจฉันอีกต่อไป
( ถามกลับว่า มันคืออะไร กงก็ไม่ยอมบอก )
สำหรับฉันแล้ว อากงก็คือ คนแก่แนวๆ คนหนึ่งในยุคนั้น
( เป็นขั้นกว่า ของ ผู้ใหญ่แนว และเป็นขั้นสูงสุดของเด็กแนว อีกที )
อากง เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยคิดตามใคร
ตัดสินใจ ด้วยสัญชาติญาณ
ตั้งแต่ ฉันจำความได้
อากง และ ลูกๆ (ก็พวก น้องชาย น้องสาวของพ่อ ที่ฉันเรียกว่า อาเจ่ก อาโกว อีก 5 คน)
ทำธุรกิจมาแล้วหลายอย่าง
ไล่ตั้งแต่ ขายส่งเหล้า เบียร์ ตามร้านอาหาร และ สถานบันเทิง /
ขายข้าวสาร / ขายน้ำตาล /ทำโรงงาน เสื้อผ้าส่งออก / ทำร้าน หมูกระทะ / ซื้อที่เก็งกำไร / ทำโรงงานกล่อง และอื่นๆ
ล้มลุกคลุกคลาน กัน สนุกสนาน กับประสบการณ์ที่ไม่มีโรงเรียนที่ไหนเปิดสอน
แต่ภาพพจน์ของอาจารย์ใหญ่ที่นี่ (ก็อากงนั่นล่ะ) ก็คือ
อาแปะ แก่ๆ ผอมๆ ผมขาวทั้งศีรษะ ใบหน้านิ่งๆ แฝงรอยยิ้มลึกๆ
ทุกๆ วัน จะมีเครื่องแบบใส่ ซ้ำๆ กัน อยู่แบบเดียว
คือ เสื้อกล้าม กับ กางเกงสามส่วนแบบสุภาพ
( วันไหน ออกนอกบ้าน ก็เพิ่มเชี๊ตขาว และ หมวก อีก 1 ใบ ไม่มากกว่านั้น )
สำหรับประโยค ที่ค้างคาใจฉันมานาน
ที่ว่า " เหรียญ 10 ตกเสียงดัง / แบงค์พันตกเสียงเงียบ "
หลังจากที่ อากงเสียไปแล้วหลายปี ...
ฉัน เข้าสู่ ระบบการทำงาน เต็มตัว
ได้รู้ ได้เห็น อะไรมากขึ้น
คำพูดนี้ มันย้อนกลับมา
เมือ ลองประมวล การใช้ ชีวิต และ วิธีคิดของอากง แล้ว
ท่าน คงต้องการจะบอกว่า...
" ถ้าคิดจะทำธุรกินใหญ่โต ไม่ต้องคุยโวโอ้อวด
ให้เป็นเหมือนแบงค์พัน ที่มีค่า แต่ไม่ส่งเสียง "
และอีกอย่าง
จากที่อากง แสดงให้เห็นมาตลอดชีวิต ก็คือ
ไม่ต้องไปเสียดาย กับ เงินทอง หรือ สิ่งของอะไรก็ตามที่เราให้กับผู้อื่น
โดยเฉพาะ กับลูกน้อง
แต่ ให้ระวัง เรื่อง " ค่าโง่ " จากความ ไม่รู้
กับ " ค่านิยม " ปลอมๆ ที่มักแฝงตัวมาเงียบๆ
แต่เราต้องจ่ายให้มัน ราคาแพงนักหนา
ก็อย่างว่าล่ะ...
ข้าวของ เงินทอง นั้น มักส่ง เสียงดัง เพราะเราเห็นด้วยตา
แต่ความรู้สึกต่างๆ ของคนนั้น สัมผัสได้เพียงแผ่วเบา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากันมากมายนัก
อากง ท่านสอนไว้ค่ะ :)
ก่อนจบบทนี้ ขอฝากคำสอน ของคนรุ่นก่อนไว้ดังนี้ค่ะ
( มีจดไว้นานแล้ว รู้สึกว่าตอนนี้จะกำลังเผยแพร่อยู่ในไลน์ค่ะ )
คนจีน มี 5 คำสอน ที่พร่ำบอกต่อลูกหลานว่า ไม่ควรพูด
1."ยาก" 难 พอพูดคำว่ายาก จะเป็นการบล็อคความสามารถทันที
2."ทำไม่ได้" 不会做 จะเป็นการขับไล่ตัวจากสิ่งที่ทำ หรือปิดกั้นการเรียนรู้
3."ท้อ" 灰心 เพราะเพียงคำนี้ผุดขึ้น พลังทั้งมวลทั้งร่างกายและจิตใจจะถดถอยสูญสิ้น
4."ขี้เกียจ" 蓝 ไม่ควรแม้แต่พูดเล่น เพราะจะทำให้สร้างความไม่รับผิดชอบ
5."เหนื่อย" 累 พอพูดคำนี้ออกมา ร่างกายก็จะตอบสนองด้วยการอ่อนแอลงทันที
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
不 懂 时 , 别 乱 说 懂 得 时 , 别 多 说
心 乱 时 , 慢 慢 说 没 话 时 , 就 别 说
เวลาไม่เข้าใจ อย่าพูดมั่ว เวลาเข้าใจแล้ว อย่าพูดมาก
Kissrain Aey
เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์
เวลาจิตใจสับสน ค่อยๆพูด เวลาไม่มีอะไรจะพูดก็อย่าพูด
เมื่อครั้งที่ฉันเติบโต เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
ฉันก็ย้ายตัวเองออกไปสู่โลกภายนอก
ที่คิดว่าให้ความสะดวก (ในการหนีเที่ยว) ได้มากกว่า
แต่ที่บ้านก็ยังคงเป็นสถานที่ ที่อบอุ่นที่สุดอยู่เสมอ
กลับมาหาอากง ที่บ้านเมื่อไหร่
ก็มักจะเห็น อากงเปิด TV แบบปิดเสียง
เพราะว่าอากง สนใจดูเฉพาะตัวเลขหุ้น ที่วิ่งเรียงๆกันอยู่ด้านล่างจอภาพ
ถึงแม้ อากงจะอ่านภาษาไทยไม่ออกสักนิด
เห็นแค่ ตัวอักษรอังกฤษ สามสี่ตัว ก็บอกได้แล้วว่าคือธุรกิจอะไร
( เมื่อก่อนนั้น หุ้นจะเรียลไทม์ ที่สุดในทีวี
ไม่ก็ต้องไปนั่งเฝ้าที่ตลาดหลักทรัพย์กันเลย )
ท่านเลยได้รับยกย่อง ให้เป็นฐานข้อมูลสำคัญ ของลูกๆ ทุกคน
ฉันเคย ถามกงว่า
อากง สนใจอะไรหนักหนาคะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ตัวเลขวิ่งๆ ดูวุ่นวาย ไร้สาระ
นอกจาก อากงจะไม่ให้เปลี่ยนไปไหนแล้ว
ยังหันมาพูด ด้วยหน้านิ่งๆ อีกประโยคหนึ่ง แปลได้ความว่า
" เหรียญสิบ ตกเสียงดัง / แบงค์พัน ตกเสียงเงียบ "
แล้วก็ ไม่สนใจฉันอีกต่อไป
( ถามกลับว่า มันคืออะไร กงก็ไม่ยอมบอก )
สำหรับฉันแล้ว อากงก็คือ คนแก่แนวๆ คนหนึ่งในยุคนั้น
( เป็นขั้นกว่า ของ ผู้ใหญ่แนว และเป็นขั้นสูงสุดของเด็กแนว อีกที )
อากง เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยคิดตามใคร
ตัดสินใจ ด้วยสัญชาติญาณ
ตั้งแต่ ฉันจำความได้
อากง และ ลูกๆ (ก็พวก น้องชาย น้องสาวของพ่อ ที่ฉันเรียกว่า อาเจ่ก อาโกว อีก 5 คน)
ทำธุรกิจมาแล้วหลายอย่าง
ไล่ตั้งแต่ ขายส่งเหล้า เบียร์ ตามร้านอาหาร และ สถานบันเทิง /
ขายข้าวสาร / ขายน้ำตาล /ทำโรงงาน เสื้อผ้าส่งออก / ทำร้าน หมูกระทะ / ซื้อที่เก็งกำไร / ทำโรงงานกล่อง และอื่นๆ
ล้มลุกคลุกคลาน กัน สนุกสนาน กับประสบการณ์ที่ไม่มีโรงเรียนที่ไหนเปิดสอน
แต่ภาพพจน์ของอาจารย์ใหญ่ที่นี่ (ก็อากงนั่นล่ะ) ก็คือ
อาแปะ แก่ๆ ผอมๆ ผมขาวทั้งศีรษะ ใบหน้านิ่งๆ แฝงรอยยิ้มลึกๆ
ทุกๆ วัน จะมีเครื่องแบบใส่ ซ้ำๆ กัน อยู่แบบเดียว
คือ เสื้อกล้าม กับ กางเกงสามส่วนแบบสุภาพ
( วันไหน ออกนอกบ้าน ก็เพิ่มเชี๊ตขาว และ หมวก อีก 1 ใบ ไม่มากกว่านั้น )
สำหรับประโยค ที่ค้างคาใจฉันมานาน
ที่ว่า " เหรียญ 10 ตกเสียงดัง / แบงค์พันตกเสียงเงียบ "
หลังจากที่ อากงเสียไปแล้วหลายปี ...
ฉัน เข้าสู่ ระบบการทำงาน เต็มตัว
ได้รู้ ได้เห็น อะไรมากขึ้น
คำพูดนี้ มันย้อนกลับมา
เมือ ลองประมวล การใช้ ชีวิต และ วิธีคิดของอากง แล้ว
ท่าน คงต้องการจะบอกว่า...
" ถ้าคิดจะทำธุรกินใหญ่โต ไม่ต้องคุยโวโอ้อวด
ให้เป็นเหมือนแบงค์พัน ที่มีค่า แต่ไม่ส่งเสียง "
และอีกอย่าง
จากที่อากง แสดงให้เห็นมาตลอดชีวิต ก็คือ
ไม่ต้องไปเสียดาย กับ เงินทอง หรือ สิ่งของอะไรก็ตามที่เราให้กับผู้อื่น
โดยเฉพาะ กับลูกน้อง
แต่ ให้ระวัง เรื่อง " ค่าโง่ " จากความ ไม่รู้
กับ " ค่านิยม " ปลอมๆ ที่มักแฝงตัวมาเงียบๆ
แต่เราต้องจ่ายให้มัน ราคาแพงนักหนา
ก็อย่างว่าล่ะ...
ข้าวของ เงินทอง นั้น มักส่ง เสียงดัง เพราะเราเห็นด้วยตา
แต่ความรู้สึกต่างๆ ของคนนั้น สัมผัสได้เพียงแผ่วเบา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากันมากมายนัก
อากง ท่านสอนไว้ค่ะ :)
ก่อนจบบทนี้ ขอฝากคำสอน ของคนรุ่นก่อนไว้ดังนี้ค่ะ
( มีจดไว้นานแล้ว รู้สึกว่าตอนนี้จะกำลังเผยแพร่อยู่ในไลน์ค่ะ )
คนจีน มี 5 คำสอน ที่พร่ำบอกต่อลูกหลานว่า ไม่ควรพูด
1."ยาก" 难 พอพูดคำว่ายาก จะเป็นการบล็อคความสามารถทันที
2."ทำไม่ได้" 不会做 จะเป็นการขับไล่ตัวจากสิ่งที่ทำ หรือปิดกั้นการเรียนรู้
3."ท้อ" 灰心 เพราะเพียงคำนี้ผุดขึ้น พลังทั้งมวลทั้งร่างกายและจิตใจจะถดถอยสูญสิ้น
4."ขี้เกียจ" 蓝 ไม่ควรแม้แต่พูดเล่น เพราะจะทำให้สร้างความไม่รับผิดชอบ
5."เหนื่อย" 累 พอพูดคำนี้ออกมา ร่างกายก็จะตอบสนองด้วยการอ่อนแอลงทันที
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
不 懂 时 , 别 乱 说 懂 得 时 , 别 多 说
心 乱 时 , 慢 慢 说 没 话 时 , 就 别 说
เวลาไม่เข้าใจ อย่าพูดมั่ว เวลาเข้าใจแล้ว อย่าพูดมาก
Kissrain Aey
เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์
เวลาจิตใจสับสน ค่อยๆพูด เวลาไม่มีอะไรจะพูดก็อย่าพูด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น