วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

PAWAWIT

JUN13 'ข้อดีของการไม่มีทรัพยากร'

คนส่วนใหญ่มองความไม่มีเป็นความเสียเปรียบ ...เดี๋ยวก่อน คุณเกิดยุคไหนเนี่ย?

ผมไม่เถียงนะ ถ้าคุณเกิดยุคอุตสาหกรรมที่เจ้าของโรงงานรวย เพราะยุคนั้น คุณต้องมีเงินมาสร้างธุรกิจ สร้างโรงงาน แล้วก็ต้องมี Connection ธนาคาร และก็ต้องมีหลักประกันในการกู้เงินมาทำธุรกิจ

-- ถ้าคุณจะทำธุรกิจแบบยุคอุตสาหกรรม มันต้องมีเงินเยอะๆ ยิ่งบ้านคุณรวยยิ่งได้เปรียบ

แต่ถ้าคุณคิดแบบคนยุค Information Age เดี๋ยวนี้เริ่มธุรกิจมันไม่ต้องใช้เงิน (ใช้เงินน้อย ส่วนใหญ่ใช้ Idea ..ใช้ความกล้า)

คุณดู Jack Ma แห่ง Alibaba.com เริ่มจากไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย ..ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย แต่เขามี Computer ..มี Idea ..และก็มีลูกบ้า

'ลูกบ้า' สำคัญนะ เพราะ เริ่มธุรกิจแบบคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ถึงเจ๊งก็ไม่เป็นไรนี่ ..คุณไม่ได้ต้องเปิดโรงงาน อันนั้นเจ๊งแล้วโคตรซวย

ยุคนี้เจ๊งแล้วเก่งขึ้นครับ ...สมัยตอนผมเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ผมทำธุรกิจแบบโลกอุตสาหกรรมพอเจ๊งแล้วผมเจ็บเจียนตาย

...แต่เดี๋ยวนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมทำธุรกิจ ใช้ Computer หนึ่งเครื่อง ...ผมมี Social Media ติดต่อลูกค้า ..นอกนั้นผม Outsource หาคนเก่งแต่ละด้านมารวมกัน 'Co-creation'

ผมอยากบอกคุณว่า ลองศึกษาวิธีการทำธุรกิจแบบใหม่ ..นี่คือ ยุคเสื่อผืนหมอนใบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไม่ต้องใช้เสื่อกับหมอน แต่ใช้ Computer กับ ความคิด ครับ

'เริ่มเลย' ...ทำเลยครับ

คิด ๆๆๆ แล้ว ลุยเลย

ผมทำอยู่ เลยชวนคุณมาลองทำธุรกิจแบบนี้บ้าง มันดี มันมีโอกาส !!!


JUN 12  ถึง 5 เป้าความสุขของ Tony แบบใช้เงินน้อย'

..หนังสือของ Tony เล่มนี้ ทำให้ผมพยายามคิดต่อไปอีกว่า ถ้าเรากลับเป้าทั้ง 5 ข้อใหม่เอาจากล่างขึ้นบน เราน่าจะมีความสุขในชีวิตเร็วขึ้น และก็ใช้เงินน้อยที่สุด

เริ่มจาก เอาเรื่อง 'การให้' มาทำก่อน ดังนี้

1. 'เป็นผู้ให้' ให้ในสิ่งที่เรามีแก่คนรอบข้าง ..มีความรู้ก็ให้ความรู้ ..มีแรงก็ให้แรง ..มีน้ำใจก็ลองให้น้ำใจ ..มีกำลังใจ มีคำแนะนำ มีอะไรดีๆ ที่เราจะช่วยคนรอบข้างโดยเราไม่ได้สูญเสียอะไรมากมาย ..ผมว่ามันเปิดโอกาสให้ตัวเราเองนะ -- นี่แหละเริ่มสุขและ เพราะได้ช่วยคนอื่น แม้จะเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

2. 'สร้างให้ตัวเองเติบโต' ..ตัวผมใช้การเขียน Blog เขียน Facebook ในการแชร์ความรู้และแรงบันดาลใจ ..มันบังคับให้ผมต้องอ่านหนังสือมาก คุยกับคนเยอะ ..มันช่วยให้ผมพัฒนาความรู้ตัวเองแบบก้าวกระโดด เพื่อให้ต่อ

3. 'คนเริ่มเห็นผู้ให้เสมอ'(ผู้ให้จะได้รับการยอมรับ และคนอื่นเห็นความสำคัญ)  ..เราชอบคนที่ทำอะไรดีๆให้เรา ..ผมได้รับน้ำใจจากคนรอบข้าง เมื่อผมแชร์ความรู้และความคิด ..การแชร์สร้างให้ผมมีแฟนคลับ และนี่เองที่เป็นเวทีให้ผมมีอาชีพนักเขียน และ อาชีพที่ปรึกษาการลงทุน ...'เวทีวันนี้สร้างได้เอง จากการแชร์สิ่งที่เรารู้ เราจึงได้รับการยอมรับในเรื่องที่แชร์'

4. 'ความหลากหลาย' ผมเขียนทุกอย่างที่ผมอ่าน ผมอ่านทุกเรื่องที่ผมอยากรู้ ..มันอาจจะดูจับฉ่ายสักหน่อย แต่ผมเชื่อว่า ทุกองค์ความรู้มันมีจุดเชื่อมกัน ..มันทำให้ผมรู้ว่า มีเรื่องอีกมากมายที่ผมยังไม่รู้ และสิ่งนี้ทำให้ผมสนุกและไม่หยุดเรียนรู้พัฒนาตัวเอง

5. 'ความมั่นคง' ..เชื่อหรือไม่ ถ้าคุณทำ 4 ข้อข้างบนได้ดี เดี๋ยวเงินตามมาเอง ..เงินเยอะด้วย !!

ผมว่าทั้ง 5 ข้อนี้ พอผมทำจาก 'ให้ก่อน มันทำให้สุดท้ายเรายิ่งไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน'

ลองปรับใช้กับงานของคุณดู อาจมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ..จัดไป !!

JUN 12  'ใครสำคัญกว่า คุณ หรือ องค์กร' ..คำถามนี้เด็ดมาก มันทำให้เรารู้ว่า เราจะมีอนาคตในองค์กรที่เราทำหรือไม่

คุณสังเกตไหมบริษัทหรือองค์กรใหญ่ๆ ...เขาจะมีเราหรือไม่มีเรา บริษัทเขาก็ไม่เจ๊ง -- ยกตัวอย่างง่าย ลองถามตัวเองซิว่า ตำแหน่งที่เราทำในบริษัท ถ้าเราลาออก ..จะมีใครทำแทนได้ไหม ?

'คิดแล้วน่าตกใจนะ ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆส่วนมาก ..มีเราไม่มีเราก็ไม่ได้แตกต่าง -- ถ้าเป็นแบบนี้ แปลว่า เราคือมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ..เราน่ะพึ่งบริษัท ..แต่อย่าหวังว่าเราจะมีอนาคตในองค์กรนั้น เพราะเราไม่สำคัญ'

แต่ถ้าคำตอบของเราคือ บริษัทขาดเราไม่ได้ ..ขาดแล้วแย่เลย ..อันนี้แปลว่า เรามีอนาคตในองค์กรนั้นๆ ...เราคือคนสำคัญ คนขับเคลื่อนองค์กร -- ทำงานนั้นต่อไปครับ ทำให้ดีที่สุด แล้วเปลี่ยนองค์กรให้เจริญสุดๆ เดี๋ยวเงินและการยอมรับจะตามมาเอง !!

ผมไม่ห่วงคนประเภทที่องค์กรขาดไม่ได้ ...แต่ผมห่วงคนประเภทแรกที่องค์กรมีเขาหรือไม่มีก็ได้มากกว่า

ถ้าคุณไม่สำคัญ ต้อง
1. พัฒนาตัวเองให้สำคัญ (ถ้าทำไม่ได้ให้ทำข้อ 2)
2. ไปอยู่ในองค์กรที่เล็กลง ที่ให้คุณได้แสดงฝีมือมากกว่า ..ทำให้ตัวเองสำคัญและองค์กรขาดคุณไม่ได้ ...ถ้าหาองค์กรแบบนั้นไม่ได้ ก็เริ่มธุรกิจแบบใช้เงินนิดเดียว เป็นงานเสริมครับ

ผมว่าคุณลองถามตัวเอง (แบบไม่เข้าข้างตัวเอง) 'มีคุณหรือไม่มีคุณ ต่างกันหรือไม่'

...ได้คำตอบแล้วคุณจะรู้ว่า คุณควรจะวางแผนต่อไปยังไง

ลองกล้ามองตัวเองจริงๆดูครับ -- จัด !!

JUN11 "กฎสิบเท่า"

คนที่เงินเดือนหมื่นจะคิดแบบคนที่เงินเดือนหมื่น ...พอคูณสิบ 'คนที่เงินเดือนแสน จะคิดแบบคนเงินเดือนแสน' ..แล้วก็คูณอีกสิบ 'คนที่เงินเดือนล้าน จะคิดแบบคนเงินเดือนล้าน'..นี่คือ กฎสิบเท่า

หลายคนคิดว่า ..อ้าว!! แล้วแต่ละคนคิดไม่เหมือนกันเหรอ ..นึกว่า ทุกคนมีระบบความคิดเหมือนกัน

'ไม่เลย' ..ยกตัวอย่าง พนักงานเงินเดือนหมื่นจะคิดว่า ถ้าทำงานตามนายสั่งได้ดี สุดท้ายอนาคตงานจะก้าวหน้า ..ใช่!! ก้าวหน้า แต่มันจะก้าวหน้าในระดับเงินเดือนหมื่นเหมือนเดิม ..พอใกล้ๆ เกษียณก็อาจมีเงินเดือนหลายหมื่น แต่เขาจะไม่กระโดดสิบเท่าไปเงินเดือนหลักแสน

ยกตัวอย่างคนเงินเดือนหลักแสน พวกนี้จะไม่ใช่พนักงานที่ทำตามโจทย์ที่นายสั่ง แต่พวกนี้จะเป็นพนักงานที่คิดตั้งโจทย์ ..บางครั้งคิดโจทย์แทนเจ้าของด้วยซ้ำ ว่า แทนที่เจ้าของอยากลงทุนขยายตลาดแบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนี้แทนล่ะ ?

เจ้าของอาจจะ อยากขยายยอดขายปีนี้เพิ่ม 1 เท่า ..ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่ More of the Same คือ ทำงานหนักขึ้นเยอะ แต่ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นนิดเดียว

ถ้าตั้งโจทย์ใหม่ "ทำไมนายไม่ เพิ่มยอดขายตามกฎสิบเท่า คือ ตั้งเป้าปีหน้าทำยอดขายให้เพิ่ม 10 เท่าเลย -- ถ้าตั้งโจทย์แบบนี้ คุณจะไม่สามารถทำวิธีเดิมแล้วยอดขายเพิ่ม 10 เท่าได้ มันต้อง Re-define แนวทางใหม่"

ถูกต้อง กฎสิบเท่า คือ การ Re-define ชุดความคิดใหม่ ...ผมใช้ได้ผลกับงานของผมในฐานะขยายฐานลูกค้า , ใช้ได้ผลกับผลกำไรของบริษัท , ใช้ได้ผลกับการขายหนังสือ และ ธุรกิจส่วนตัว ..มันส์สุดขีด !!

โคตรท้าทาย ..ลองคิดดูซิครับ ถ้าคุณจะทำสิ่งที่คุณทำอยู่ให้ดีขึ้นสิบเท่า ..ทำยังไง ?

'คงไม่ใช่คิดแบบเดิม ทำเหมือนเดิมนะ'

JUN 10 'ผมติดตามผลงานของ Tony Robbins ชายผู้แจกแรงบันดาลใจให้คนนับล้าน' ..มี 5 แรงจูงใจมาฝากกัน

5 แรงจูงใจให้เรามีชีวิต มีดังนี้

1. 'ความมั่นคง' ..เราอยากมีชีวิตที่มั่นคง ในยุคนี้คงไม่พ้นเรื่องเงิน คือ อยากมีเงินเพียงพอ ให้เรารู้สึกมั่นคง (คุณว่ามีเงินเท่าไหร่แปลว่ามั่นคง?)

2. 'ความหลากหลาย' เราต้องการเจออะไรใหม่ๆ และนี่คือแรงจูงใจในการทำสิ่งใหม่ๆ

3. 'ความสำคัญ' ทุกคนอยากมีความสำคัญ ทำได้หลายแบบ ..ที่ง่ายสุดและแย่สุดคือ ใช้ความรุนแรง ถ้าคุณหยิบปืนชูขึ้นมา คุณจะสำคัญทันที ..ไม่แปลกที่ความรุนแรง จะอยู่กับโลกนี้ตลอดไป ..เพราะการสร้างความสำคัญให้ตัวเองแบบอื่นใช้เวลาและความอดทน

4. 'การเติบโต' เหมือนธรรมชาติของต้นไม้และสิ่งมีชีวิต ไม่สำคัญว่าเราจะมีมากมีน้อย เก่งมากเก่งน้อย เราล้วนต้องการเติบโตไปเรื่อยๆ

5. 'การให้' อันนี้สร้างความสุขสูงสุดให้คนเรา เพราะคนเรา การได้รับ อาจมีความสุขชั่วคราวแต่ไม่ได้สร้างความสุขให้เราระยะยาว -- 'จริงๆ ชีวิตมันคือ การสร้างความหมาย' ...ดังนั้น สิ่งที่สร้างความสุขระยะยาวคือ การเป็นคนที่มีคุณค่ามีประโยชน์ ...และนั่นมาจากการให้ !!

น่าคิดนะครับ ว่าทั้ง 5 ข้อ เรามักคิดว่า 'เงิน' คือ สิ่งที่ซื้อได้ครบทุกข้อ ..มันทั้งใช่และก็ไม่ใช่

-- ทั้ง 5 ข้อนี้ คือ แรงจูงใจในการหาเงินของมนุษย์นั่นเอง ...'คุณว่า คุณหาเงินเพื่อตอบข้อไหนครับ -- มั่นคง/หาความหลากหลาย/เพื่อความสำคัญ/เพื่อเติบโต/หรือ เพื่อให้'

ผมอ่านเสร็จเหมือนโดนตบหน้า เขาบอกว่าเงินคือเป้าหลอกที่เราตั้งขึ้นมาเอง ...เพราะจริงๆ ความสุขของเราจริงทำได้โดยอาศัยเงินน้อยกว่าที่เราคิดเสมอ -- ลองคิดดีๆ ซิครับ ว่ามนุษย์เราใช้เงินเป็นข้ออ้างเสมอ เลยไม่เคยถึงเป้าหมายที่เราอยากได้จริงๆ เสียที !

JUN 09  'คำถามที่ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นในหนึ่งนาที !!' ...ใน 1 นาที -- ถามไรอ่ะ ?

เพราะหลายคนผ่านไปค่อนชีวิต ยังไม่ได้ถามเลย ..อิ อิ

ขนาดตัวผมเอง เพิ่งมาถามคำถามนี้เมื่อวันที่ธุรกิจร้านอาหารผมเจ๊ง เสียความมั่นใจในตัวเอง ...จุดนั้นแหละ ผมเพิ่มจะเริ่มถามคำถามนี้กับตัวเอง !!

คำถามนั้นก็คือ 'ถ้าไม่นับว่าเราต้องทำงานเพื่อเงิน (ตัดเรื่องเงินออกไป) ..ถ้าไม่ได้เงินเลยสักบาท เราจะยังทำงานที่เราทำต่อหรือเปล่า ?'

ถ้าคำตอบคือ 'ไม่' ก็แปลว่า เราไม่ได้มี Passion ในงานที่เราทำ เราทำแค่ให้ได้เงินเฉยๆ -- ถ้าใครเป็นแบบนี้ ต้องคิดให้หนัก เพราะมันอยู่ในวังวนของคนที่มีโอกาสรวยน้อย ยากที่จะสำเร็จ หรือแม้แต่จะให้คนอื่นยอมรับในสิ่งที่เราทำ ..เพราะหลักๆ เราขาด Passion มันจบตั้งแต่เริ่มเลือกทำสิ่งนี้แล้วครับ ...ทางแก้คือ หาทางเปลี่ยน เพราะไม่มีคำว่าสายเกินไป ขนาด KFC เขาเพิ่งหา Passion เจอหลังเกษียณครับ

ถ้าตอบว่า 'ทำต่อ' แปลว่า คุณมาถูกทางแล้วครับ ..ให้สู้ต่อไป -- คุณจะสามารถสร้างผลงาน Masterpiece ในสิ่งที่คุณเลือก แล้วได้ทั้งการยอมรับและเงินในที่สุดครับ

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ทำให้เรามองอะไรไม่ออกก็คือ เงินบังตา ...ถ้าตอบโจทย์โดยมองผ่านเงิน เราก็จะเห็นตัวตนของเราจริงๆ เห็น Passion ที่แท้จริง

คุณลองตอบดูบ้างซิครับ !!

JUN 09  วิธีหาตัวเองว่าชอบอะไรแบบง่ายๆ'

น้องหลายคนบ่นว่า การหา Passion ของตัวเองมันยาก ..จนบัดนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเขาชอบอะไร ?

(ผมก็นึกในใจ มิน่า น้องมันเลยดู งง ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที ..ไม่แปลกที่ยังไม่สำเร็จ ก็มัน งง ชีวิต !!)

โอเค ..ผมมีวิธีง่ายๆ ในการหา Passion สำหรับคนที่ยังไม่เคยรู้เลยว่าตัวเอง ชอบ และ ถนัดในเรื่องไหน ..ให้ทำดังนี้ !!

1. ให้สังเกตว่า อะไรที่เราทำให้เพื่อน แล้วเพื่อนอยากให้เราทำอีก ขอให้เราทำอีก เช่น บางคนทำเค้กให้เพื่อน ..บางคนเพื่อนชอบมาปรึกษาหัวใจ ..บางคนเพื่อนชอบให้ร้องเพลง ..บางคนเพื่อนชอบให้เราเป็นพิธีกร ..บางคนเพื่อนชอบให้เราโฮสปาร์ตี้ ..บางคนเพื่อชอบให้เราสอนเพราะเข้าใจง่าย ...บางคนชอบให้เรา...   มีเยอะแยะ ลองดูซิว่า 'พอเราทำสิ่งนั้นให้คนอื่น แล้วทุกคนเรียกร้องให้เราทำอีก ..มันน่าจะเป็นสิ่งนั้นแหละ ในขั้นต้น !!'

2. เราลองค้นคว้าซิว่า สิ่งนั้นตอบโจทย์สองข้อนี้ไหม คือ 1.แก้ปัญหาให้คนอื่น 2.สร้างประโยชน์ต่อคนอื่น ...อันนี้คือจุดเริ่มของธุรกิจแสดงว่าเรื่องนั้นๆ มี Demand มีความต้องการ มีตลาด

3. ลองดูซิว่า สิ่งนั้นๆ มีคนทำอยู่แล้ว มีคนยอมจ่ายเงินในเรื่องนั้นๆหรือไม่ ..ถ้ามีแล้ว เราลองไปดูคนที่ทำก่อนหน้า แต่ถ้าไม่มีต้องคิด Business Model ขึ้นมาใหม่ 'ยากหน่อย แต่ทำได้ เหมือนเราจะขายรองเท้าแตะให้คนในประเทศที่ไม่เคยใส่รองเท้า แต่มันทำได้ และคนที่ทำได้ก็คือเศรษฐีมาก่อนหน้าเราไง'

4. ศึกษาเรื่องนั้นเอา 'เอาจริง' ...คำว่าเอาจริงคือ ศึกษาแบบบ้าพลัง มันถึงต้องเลือกเรื่องที่ชอบไง ..ก็สักทั้งหมดของเวลาว่างก็ทุ่มลงไป!!

5. ทำให้มันเป็นจริงครับ !!

ผ่าน 5 ข้อนี้ได้ ผมเชื่อว่าคุณจะเริ่มเห็นแล้วว่า จริงๆ คุณมี Passion จริงๆ หรือเปล่า ..เพราะถ้าไม่ใช่มันเลิกตั้งแต่ข้อ 4 แล้วครับ !!

JUN 08 'ช่วงอายุ กับ Jack Ma' ..อันนี้ฟังมาน่าสนใจ เอามาแชร์กัน

มีเด็กหนุ่มคนนึงถาม Jack Ma ว่า แต่ละช่วงอายุควร Focus อะไรเพื่อให้ชีวิตได้โอกาสที่ดี ...?

Jack ตอบว่า

ช่วงก่อน 20 : Be A Good Student ..เป็นนักเรียนที่ดี เรียนให้หนัก หาความรู้เบื้องต้นให้เป็นพื้นฐานชีวิต

ช่วง 20 - 30 : 'เริ่มต้นทำงาน ให้หานายที่ดี' ..ช่วงนี้ให้หาต้นแบบที่ดี เพราะนายที่ดี จะเป็นอาจารย์ในชีวิตจริงที่สอนโลกให้เรา ..เขาให้มองหาองค์กรเล็ก ดีกว่าองค์กรใหญ่ เพราะองค์กรเล็กเราจะได้ทำเกือบทุกอย่าง และ เราจะเรียนรู้คำว่า 'แรงบันดาลใจ และ ความฝัน' จากองค์กรเล็ก ไม่ใช่จากธุรกิจใหญ่

ช่วง 30 - 40 : 'เริ่มคิดถึงตัวเอง ว่าเราทำงานเพื่อใคร ทำไม?' ..ถ้าจะเริ่มธุรกิจตัวเอง อายุช่วงนี้ช้าสุดแล้วที่ต้องเริ่ม มันเป็นช่วงสุกงอมใน Know who & Know how ...ไปตามความฝันของคุณ ด้วยความสามารถที่เรามี !!

ช่วง 40 - 50 : 'ต้อง Focus' ..อายุเท่านี้คนเราจะรู้แล้วว่า เราเก่งและถนัดอะไร ..มีความชัดเจนในตัวเอง มีจุดยืน มีความเชี่ยวชาญ และ มี Identity ...อย่าทำในสิ่งที่ไม่ถนัด Focus !!

ช่วง 50 - 60 : 'ไปทำงานให้เด็ก' ..ถ้าเป็นลูกจ้างก็ไปหาลูกน้องหนุ่มรุ่นใหม่ ไปทำงานกับเขา ..แต่ถ้าเป็นธุรกิจเรา ต้องให้เด็กรุ่นใหม่ช่วยกำหนดทิศทาง คือ ทำงานเพื่อให้เด็กใช้ความคิดสร้างสรรค์แทนเรา ...เรามีเงิน มีเครือข่าย ..เด็กมี Idea มีทางเดินแนวใหม่ !!

หลัง 60 : 'ไปพักผ่อนครับ'

ก็ฟังแล้วน่าสนใจ เอาไปดูปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเรา

จัดไป Jack Ma !! 'ชายผู้สร้างตัวจากศูนย์สู่เศรษฐีอันดับหนึ่งของจีน ในเวลาเพียง 10 ปี'

JUN 08  "ความฝัน กับ ความจริง" ของคุณ ..ห่างไกลกันแค่ไหน
ทำไมคนส่วนใหญ่ เกลียดเช้าวันจันทร์ .."ก็เพราะเขาไม่มีความสุขกับงานที่ทำไง"

ทำไมคนส่วนใหญ่ อยากรวยเร็วๆ ..."ก็เพราะเขาไม่อยากทำงานที่ไม่ชอบ ที่ทำอยู่นั่นไง"

ทำไมคนส่วนใหญ่ ชอบไปเที่ยว ชอบพักผ่อน ..."ก็เพราะเขาอยากจะหยุดพัก จากงานของตัวเองที่ไม่ชอบไง"

คุณเคย แปลกใจไหมว่า ทำไม คนที่เป็นเศรษฐี หรือ คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ...อย่าง ศิลปินดัง , นักเขียนดัง , นักสร้างภาพยนต์ชื่อดัง . นักธุรกิจชื่อดัง , ดาราชื่อดัง , นักวาดรูปชื่อดัง , นักถ่ายภาพชื่อดัง ...คนเหล่านี้เขาไม่เคยอยากหยุดจากงานที่ทำ ไม่เคยอยากเกษียณ ..แถมเขาอยากทำงานที่เขาทำชั่วชีวิตของเขา -- ใช่!! ก็เพราะ "งาน" คือ ชีวิตของเขาไง  ...มันคือ สิ่งที่เขาทำแล้วเขามีความสุข ...มันคือ สิ่งที่เขาทำแล้วได้อธิบายตัวตนของเขา ..."Your Identity"

"คนเหล่านี้ เขาสนุกกับงานที่เขาทำ มากกว่า การไปเที่ยวหรือการพักผ่อน ที่แสนจะวุ่นวาย แย่งกันเดินทาง (รถติดหลายๆ ชั่วโมง) แย่งโรงแรม (ราคาแพงพิเศษในช่วงวันหยุด)  แย่งร้านอาหาร (รอคิวเป็นชั่วโมงเหมือนแจกฟรี) ...เพราะ ผู้คน ชื่นชมในผลงานของเขา -- เขาจึงมีความสุขจากงานที่ทำ มีความภูมิใจในผลงานที่สร้าง และ เขาได้สัมผัสถึงคุณค่าในตัวเองจากงานของเขา"

นี่แหละ ความแตกต่างระหว่าง "งานในฝัน กับ งานจริงๆ ของคุณ" ....มันต่างกันตรง คนที่ประสบความสำเร็จ เขาสร้างงานในฝัน ให้กับตัวเองเขา ...เฮ้ย!! จริงๆ มันไม่มีใครเอางานในฝันมาประเคนให้คนที่ไม่พยายามหรอก ...คนเหล่านี้ใช้เวลา มุ่งมั่น และ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ...นั่นแหละ เขาถึง สามารถสร้าง งานที่เขารัก ให้เป็นดั่งงานในฝัน

JUN 07  'เงินซื้ออะไรได้ ..เรื่องนี้น่าคิด'

เงินอาจซื้อความสุขไม่ได้ มันซื้อได้แต่ความสบายให้กับเรา ..อันนี้ผมว่าจริง !!

แต่คุณเคยคิดไหมว่าเงินเรา มันซื้อความสุขให้คนอื่นได้ ..เงินสามารถซื้อความสุขให้คนที่เรารัก ให้ลูกน้องเรา ให้เพื่อนเรา ให้บริวารของเราได้ !!

โจทย์นี้น่าสนใจนะ เพราะมันเป็นโจทย์ที่ มากกว่าแค่'เงิน' มันคือ การรู้จักใช้เงินที่เรามี สร้างอะไรดีๆ ให้คนรอบข้าง เล็กๆน้อยๆ ..ไม่!! ผมไม่ได้พูดถึงการแจกเงินแบบบ้าคลั่ง แต่ผมหมายถึง การรู้จักแบ่งปันเล็กๆน้อยๆ ให้กับคนรอบข้างที่เรารักและเขารักเรา

เมื่อเราทำได้ ..สุดท้ายมันจะนำความสุขมาให้เราได้เช่นกัน

น่าคิด จัดไป !!


JUN 06  พัฒนานักลงทุนรายย่อย


'พัฒนานักลงทุนรายย่อย'

ช่วงนี้ผมเริ่มพัฒนาทั้งหนังสือ และ สัมมนา เพื่อติดอาวุธให้รายย่อยค่อนข้างหนักขึ้น เพราะผมเห็นปัญหาอย่างนึงที่สำคัญของนักลงทุนรายย่อย ..ซึ่งจริงมันคือปัญหาและโอกาสมหาศาลในเวลาเดียวกัน !!

คุณรู้สึกไหมว่า ทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่ค่อนข้างเครียดมากกับอนาคตของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่อง เงิน และ อนาคตการทำงาน

1. 'เราไม่มีเวลา' จะให้มานั่งศึกษาและหว่าน เพื่อจะเก่งทุกด้าน ผมมองว่า เป็นเรื่องยากเพราะลำพังงานหรือการเรียนของแต่ละคนก็กินเวลาเกือบทั้งหมดแล้ว ..ทำไงดี?

2. 'เราไม่กล้าเลือก เพราะโอกาสหลายๆอย่างมัน ทำให้เราตัดสินใจยาก' ..อันนี้เป็นที่มาของการที่เห็นเด็กรุ่นใหม่บางคนเรียนไปเรื่อยๆ จบตรี จบโทหลายๆปริญญา ..บางคนเรียนถึงเอก แต่ยังตอบไม่ได้ว่า ชอบและมี Passion จริงๆในสิ่งที่เรียนหรือเปล่า ?

ทางแก้ คือ

1. 'เราเร่งหา Passion ที่แท้จริง' ..ผมมาพบกฏ 20 ชั่วโมง ของ Josh Kaufman ที่ผมว่าตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ คือ 'อยากเรียนเรื่องอะไร เอาจริงสัก 20 ชั่วโมงก็คือ เอาเวลาหลังจาก 5 โมงที่เป็นเวลาว่างของเรา วันละครึ่งชั่วโมง แล้วศึกษาเรื่องนั้นต่อเนื่อง 1 เดือนเต็ม' ...นี่แหละคือ 20 ชั่วโมง ที่พอจะบอกได้คร่าวๆว่า เราจะเอาจริงกับเรื่องนี้ต่อไปหรือเลิกซะ

2. 'Quick Skill Introduction' อันนี้คือ สิ่งที่ผมพยายามทำ คือ การทำหนังสือและสัมมนาเพื่อ กระชับ และ รวบรวม Skill เหล่านี้มาให้ นักลงทุนรายย่อย และ คนที่อยากมีธุรกิจส่วนตัว รู้ว่า ..ถ้าคุณจะเดินสายนักลงทุน หรือ สายธุรกิจส่วนตัว -- คุณเหมาะแค่ไหน ?

3. 'ถ้าไม่เหมาะ ก็ยังมีทางเดิน' ..หลายคนอาจจะพบว่า ทำอย่างไรก็เป็นนักลงทุน หรือ เจ้าของธุรกิจไม่ได้ ..แต่มันก็มีจุดยืนให้เราได้ ก็คือ การเป็นลูกจ้างที่อิสระและมี Passion ซึ่งบอกตรงๆ ตัวผมเดินสายลูกจ้างแบบที่ว่านี้มาเกือบ 7 ปี ..ผมเริ่มจากลูกจ้างเต็มๆ ..มาจนอยู่ในจุดปัจจุบัน ที่เป็นลูกจ้างที่อิสระคือทำธุรกิจส่วนตัวควบคู่ -- ใช่!! ผมว่า สายนี้เสี่ยงน้อย แล้วก็ไม่จำกัดโอกาสในชีวิต

4. 'ให้คุณอย่าท้อ เราเดินไปด้วยกันได้' ..ผมอยากให้กำลังใจคนรุ่นใหม่หลายๆคนที่วันนี้ท้อ ..ผมให้คำปรึกษารุ่นน้องหลายๆคน เขาบอกว่า อยากเป็นแบบผม คือ เจอ Passion ในงานของตัวเอง

'อย่างผมคือ วันนี้ผมรู้แล้วว่า สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ การเป็นอาจารย์ มันตรง Passion ของผม'

และ ผมบอกเลยว่า พอผมรู้ Passion คราวนี้ผมก็มุ่งสร้างผลงาน ก็คือ 'สร้างหนังสือ สร้างหลักสูตรสอนคนให้ดีที่สุด (ทุกอย่างที่ผมทำทั้งกับองค์กรและธุรกิจส่วนตัว ผมเน้นสอนนักเรียนทั้งหมด)

 ..คือ Focus ที่สร้างผลงานให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นให้มากที่สุด จากนั้น เงินมันตามมาเอง'

ผมว่ามันดีจริงๆ ...เอาว่า ใครที่กำลังท้อ ผมอยากเชียร์ให้คุณลองสู้อีกครั้ง ..เพราะ การที่คุณท้อ จริงๆ มันแปลง่ายๆว่า คุณยังไม่ได้อยู่ในจุดที่เหมาะกับตัวคุณจริงๆ -- 'คุณต้องหาให้พบครับ'

ก็เอาใจช่วย ...ผมเชื่อว่า ทุกคนสามารถหาจุดที่ดีที่สุดของตัวเองได้ เพียงแค่พยายาม

ลองอีกสักตั้งครับ ..สู้ สู้

JUN 05  กลไก รวยแสนล้าน คือ อะไร ?!?'

'ยุคนี้ใครไม่เสี่ยง ชีวิตยิ่งเสี่ยง'

เป็นคำพูดที่สะท้อนความเป็นจริงที่สุดในโลกปัจจุบัน ....วันนี้ใครดูการจัดอันดับเศรษฐีประเทศไทย จะเห็นเลยว่า คนรวยที่สุดในประเทศ 6 อันดับแรก รวยเกินแสนล้าน !!

คุณคิดออกไหมว่า "แสนล้าน" มันคือ เงินเท่าไหร่ ...ถ้าเอาแสนล้านมาซื้อบ้านหลังละล้านก็จะได้ประมาณ แสนหลัง ...บ้าไปแล้ว !!

ผมย้อนถามคุณหน่อยว่า เอาแค่ 1 ล้านบาท มันหายากไหม ?

คำตอบคือ โคตรยาก!! ..แค่ 1 ล้านยังยากเลย แล้วเหตุใด คนบางคนมีหลายล้าน หลายสิบล้าน หลายร้อย พันล้าน หมื่นล้าน และ ทำไมบางคนมีแสนล้าน !!

เงินจำนวนนี้ถูกหวยทุกวันยังไม่ได้เลย -- เคยสงสัยไหมว่า คนเหล่านี้เขาอยู่ใน 'มิติ' ไหนในการหาเงิน ทำไมเขาทำเงินกันเก่งขนาดนี้ ?

1. เศรษฐีทุกคนไม่ได้รวยจากรายได้ หรือ เงินเดือน เพราะเงินจากรายได้หรือเงินเดือน ..หาให้ได้แค่ 1 ล้าน ยังยากเลย

2. เศรษฐีทุกคนรวยจาก Asset ที่เราครอบครอง เช่น ที่ดิน , บ้าน , ทอง , พระเครื่อง , ของเก่า และก็หุ้น

3. "หุ้น" คือ Asset หลักที่คนเหล่านี้วางเงินไว้มากที่สุด ...แปลกใจไหม ?

4. คนส่วนใหญ่กล้าถือหุ้นก็ไม่เกิน 6 เดือน เพราะถ้าหุ้นขึ้นตลอด 6 เดือน คนส่วนใหญ่ทนรวยเยอะขนาดนั้นไม่ได้ต้องรีบขาย ..แต่คนส่วนใหญ่ที่ถือหุ้นนานเพราะติดหุ้น คือ ทนขาลง ในหุ้นห่วย ไม่มีปันผล ได้นานเท่าไหร่เท่ากัน (บ้าโคตรๆ หุ้นดีไม่ถือ แต่ถือหุ้นเน่า)

5. เศรษฐีเหล่านี้ ติดหุ้นทุกครั้งเหมือนรายย่อยทุกครั้งที่ตลาดปรับฐาน เพียงแต่ ติดหุ้นคนละประเภท ..เศรษฐีเหล่านี้ติดหุ้นปันผลที่เขาเข้าใจและชอบ ติดชั่วชีวิต ..แต่รายย่อยติดหุ้นเน่า

6. ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงจบ หุ้นดีที่เศรษฐีเหล่านี้ถือมักจะทำ New High ขึ้นเรื่อยๆ ..ตรงกันข้ามกับหุ้นปั่นที่รายย่อยถือ ที่ไม่ไปไหนเลย

7. ทำไมคนส่วนใหญ่ ชอบหุ้นห่วย อยากรวยเร็ว ..ในขณะที่เศรษฐีเหล่านี้ถือหุ้นที่รวยช้า แต่รวยขึ้นเรื่อยๆ

สรุป คนที่เป็นเศรษฐี เพราะเขาถือหุ้นคนละประเภทกับรายย่อย ...หุ้นที่เศรษฐีเหล่านี้ถือ ก็คือ Asset ที่ราคาแกว่ง แต่เขากลับถือเหมือน ออมเงินในหุ้น !!

'ถ้าคุณอยากเป็นเศรษฐีบ้าง ทำไมไม่ศึกษาว่าเศรษฐีเหล่านี้เขาซื้อและถือหุ้นแบบไหน ..และเข้าซื้อในจังหวะอะไร -- แค่นี้เราก็จะเป็นเศรษฐีได้บ้างในอนาคต'

JUN 05  "เมื่อตลาดหุ้นไทยเจอทางตัน !!"
By Freedom Trader

วันนี้ผมกับหยง ร่วมกันออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่า "เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่" (The Art of Bubble) ..ทำให้หลายคนสงสัยว่า วันนี้ตลาดหุ้นมัน Bubble ตรงไหน ..โอเค เรามาทำความเข้าใจกัน !!

ตลาดหุ้นไทย SET วิ่งขึ้นจากปี 2008 ที่ลงไป 300 กว่าจุด วิ่งขึ้นมาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ..จนขึ้นมาชน 1600 จุด (ดูในกราฟ) ..พูดง่ายๆ ว่า ใครก็ตามที่ซื้อหุ้นตั้งแต่ปี 2008 แล้วถือ "ทนรวย" ได้ถึงปัจจุบัน -- เขาต้องรวยขึ้นอย่างน้อย 5-10 เท่า โดยไม่ต้องทำอะไร (แค่ซื้อแล้ว "ทนรวย" เฉยๆ)

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้าสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ...แต่ปัญหาจริงๆ คือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจว่า เคล็ดลับการทำเงินในตลาดหุ้น มันมี 2 แบบ ในมุมมองของผม คือ
1. การสร้าง Cash-Flow ภาษาคนทั่วไปก็คือ "ซื้อมาขายไปนั่นแหละ"
2. การสร้าง Wealth คือ สร้างความมั่งคั่ง (แนวเจ้าของ เจ้าสัว เล่นหุ้น)

คนกว่า 90 % พยายามซื้อขายหุ้นเร็วๆ โดยไม่มีความรู้ เพราะ คิดว่าตัวเองจะสามารถ ดึงเงินเร็ว แล้วรวยเร็วออกจากตลาด ..แต่ปัญหาคือ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด เพราะ ในตลาดหุ้นจริงๆ มันมีแค่ 2 กลไก คือ

"คนนึงซื้อ และ ก็อีกคนนึงขาย" -- นั่นหมายความว่า ในการซื้อขายหุ้น ถ้าเรารวยเร็ว ก็เท่ากับมีอีกคนนึงจนเร็ว ..นี่คือ ปัญหาเพราะมือใหม่จะคิดว่าตัวเองได้ แต่สังเกตไหม สุดท้าย เวลาตลาดปรับฐานแต่ละรอบ มือใหม่นั่นแหละ ที่นั่งดูกำไรใน Port ของตัวเองขึ้น แต่ยังไม่ทันขาย แล้วจบรอบด้วยการติดหุ้น ...และโดยมากจะติดหุ้นปั่นที่ไม่มีพื้นฐาน -- ซึ่งผมการันตีว่า "คุณจะติดอีกนาน และ ไม่ได้อะไรเลย เพราะ หุ้นปั่น ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีปันผล ..มันขึ้นด้วยข่าวดี แล้วก็จบด้วยข่าวร้าย และก็มือใหม่ติดหุ้น"

คำแนะนำของผมสำหรับคนที่ติดหุ้น ก็คือ "ตั้งสติ แล้วทบทวนสิ่งที่ทำมา" ..จริงๆ ตลาดหุ้นมันก็เหมือนขี่จักรยาน ที่มือใหม่ต้องล้มก่อนขี่เป็น เรื่องธรรมดา แต่น้อยคนที่จะสามารถตั้งสติและกลับมาเข้าใจสิ่งที่พลาด แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่กำไรในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

แล้วเอาไงดีกับหุ้นที่ติด ?

1. คุณต้องแยกให้ออกว่าหุ้นที่ติดคือ หุ้นพื้นฐานดี หรือ หุ้นปั่น ..เพราะมันจะช่วยให้เข้าใจ "คนที่ซื้อขายตรงข้ามกับคุณ"
1.1 ถ้าคุณติดหุ้นพื้นฐาน มีแนวโน้มว่า รอบต่อไป พอตลาดกลับสู่ขาขึ้น คุณก็จะออกได้ ..ระหว่างนี้ก็ทนถือรับปันผลไป
1.2 แต่ถ้าหุ้นที่คุณติดเป็นหุ้นปั่น ..รอบต่อไปอาจจะไม่ขึ้น เพราะ หุ้นปั่นคือ คุณเล่นอยู่ตรงข้ามกับเจ้ามือ ..ดังนั้น ถ้าตราบใดก็ตามที่รายย่อยยังติดหุ้นตัวนี้จำนวนมาก และ ไม่ยอมขายทิ้ง ก็ไม่มีทางที่เจ้ามือจะลากขึ้นมาให้รายย่อยได้กำไร ..ทางเดียวที่หุ้นปั่น จะสามารถขึ้นแรงได้อีกครั้ง ก็เมื่อรายย่อยที่ติดหุ้นนั้นๆ ยอมขายทิ้งขาดทุนหนัก ..หุ้นเหล่านี้ก็จะกลับไปอยู่ในมือของเจ้ามือ และนั่นแหละ ที่เจ้ามือจะลากอีกรอบ (โดยไม่มีรายย่อย) -- ใช่!! โหดไหมล่ะ ..คุณไม่ยอมขาย ก็อย่าหวังว่า เขาจะลากขึ้นอีก (ผมถึงแนะนำรายย่อยเสมอว่า ถ้าคุณ Cut Loss ไม่เป็น และไม่เข้าใจ รอบของ Technical ให้คุณอยู่ห่างๆหุ้นปั่น / แต่ดีที่สุด คุณอย่าเล่นหุ้นปั่นก็จบแล้ว)

2. ทำไมคุณติดหุ้นปั่นรู้ไหมครับ -- "ก็เพราะ หนึ่ง คุณโลภ (อยากรวยเร็ว) สอง คุณเชื่อคนง่าย (คิดว่าคนอื่นจะเอาเงินมาให้คุณง่ายๆ ..คิดดีๆ ถ้าคุณไม่เสียเงิน เขาจะได้เงินจากใคร) สาม "คุณมีความรู้ไม่พอ (ไปเรียนเพิ่มซะครับ ด้วยความหวังดี)

3. ถ้าคุณยังหาหุ้นด้วยตัวเองไม่ได้ คอยแต่ฟัง ผีบอก ..คุณจะไม่มีทางกำไรจากตลาดได้ในระยะยาว (ถ้าคนที่บอกหุ้นคุณ เขารู้จริงๆ ว่าหุ้นตัวนี้ต้องดี ..เขาจะบอกคุณทำไมครับ ..อย่าโลกสวย !!)

4. ข้อนี้สำคัญที่สุด และ ผมใช้เสมอคื่อ วางแผนรับกับทุกสภาวะตลาด คือ ตลาดหุ้นขึ้นก็รวย ตลาดลงยิ่งรวย !! ....ใช่!! พวกมืออาชีพ เศรษฐีหุ้น เขาวางแผนแบบนี้ทุกคนแหละ ..ถ้าตลาดหุ้นขึ้น ถึงจะมีความสุข คุณเลิกเล่นเถอะ ชีวิตไม่มีความสุขหลอก เพราะ ตลาดมันเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ...ดังนั้น สิ่งสำคัญกว่า ไม่ใช่การมาหากำไรเร็วๆ แล้วเจ๊งหนักๆ

แต่คือ การวาง Port ที่รับกับ ทั้งขึ้นก็รวย ลงก็รวย -- "ขึ้ันก็รวย ลงก็ยิ่งรวย"

คุณรู้ไหมว่า ผมใช้เวลา 7 ปี ในการเข้าใจเรื่องนี้ ... วาง Port หุ้น และ เงินสด อย่างไร ให้รวยทั้งตลาดขึ้นและลง !! ..เคล็ดลับคือ การแบ่ง Port ให้สามารถรับขาลง

-- "คุณรู้ัไหมวันนี้ผมลุ้นทุกวันให้ตลาดลงหนัก ทั้งๆ ที่ Port 70% ของผม วางอยู่ในหุ้นพื้นฐานระยะยาว ..ผมรวยขึ้นทุกครั้งเมื่อตลาดลงแรง และ มีข่าวร้ายสุดๆ เพราะนั่นคือ ทุกครั้งที่ผมทยอยเก็บหุ้นพื้นฐานดี ในราคาถูก สร้าง Port ออมในหุ้นของผมให้โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป้าหมายผมคือ เงินปันผลที่สุดท้ายมันจะเลี้ยงผมตลอดชีวิต ...แต่เงิน 30% ของผม จะวางใน เงินสด หรือ ตราสารหนี้ ตลอดเวลา ..และ เงินก้อนนี้แหละ ที่จะทำให้ผมรวยจริงในรอบใหญ่ของตลาด เพราะ ตลาดหุ้นทุกๆ 10 ปี จะมีการ Crash ครั้งใหญ่ อย่างปี 1997 ..อย่างปี 2008 ที่ตลาดจะปรับฐานลงเกิน 50%

(วันนี้ก็ใกล้แล้วนะ แต่ถ้ามันลง "รอบใหญ่" วันนี้เลย ผมจะรวยเร็วไปไหม ? -- ผมคงไม่โชคดีเช่นนั้น จริงไหม ?) -- จุดนั้นแหละที่เงิน 30% ของผมจะเอาออกมาช้อนหุ้นดี แล้วรวยสุด ๆ ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตในภาพใหญ่"

ใช่!! ผมลงทุนใช้ ความรู้ ใช้สถิติ และ ใช้ความอดทน ...สิ่งเหล่านี้แหละที่จะช่วยให้คนๆนึง สามารถรวยได้จริงจากตลาด ไม่ใช่รวยเร็ว แต่คือ รวยจริงๆ และ สร้างตัวเป็นเศรษฐีได้จริงนั่นแหละ

...ผมว่าคุณคงอยากรู้อะไรเพิ่มมากกว่านี้ ... ไปร้าน SE-ED ไปซื้อ "หนังสือ เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่" (The Art of Bubble) ...แล้วคุณจะรู้ว่า การมองตลาดด้วยความเป็นจริง มันต้องมองและเตรียมตัวอย่างไร -- เอาไปเลย ประสบการณ์ 7 ปีของผม รวมกับ 8 ปี ของหยง ...รวมเป็น 15 ปี ...จัดไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ...โคตรคุ้มฮะ ..555 (นี่มันโฆษณาขายหนังสือนี่ อ่านตั้งนาน ...แหม !! อย่างน้อยก็เตือนสติให้คุณ เข้าใจตลาดแล้วรวยก็แล้วกันครับ)

จัดไป !!


JUN 04  5 ข้อคิด ..ปรัชญา Freedom Trader !!

1. 'เมื่ออยากเรียนรู้มากพอ อาจารย์จะปรากฏ' ..คำพูดนี้หยงเล่าให้ผมฟังว่าเขาเรียนรู้ Technical อย่างไร ..และเครื่องมือนี้เองที่พาให้หยงสามารถอยู่รอดและทำเงินได้จริงในตลาดหุ้น -- การที่เราอยากเรียนรู้เรื่องอะไรจริง เราจะทำทุกวิถีทาง ขวนขวายทุกอย่าง เพื่อให้เจอความรู้นั่น เสมือน อาจารย์ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความกระหายและความจริงจังสู่ความสำเร็จ !!

2. 'ความล้มเหลวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด' ..ผมและหยง เล่นหุ้นคนละแนวทาง ซื้อหุ้นคนละประเภท เข้าหุ้นคนละจังหวะ พูดง่ายๆ ว่าไม่เหมือนกันเลย ..แต่มีอยู่หนึ่งเรื่องที่เราเหมือนกัน คือ เราเชื่อว่า ความล้มเหลวไม่ได้จบแค่ตรงนั้น ..ความล้มเหลวเป็นครูอีกคนที่ดุแต่จริงใจ ที่เตือนสติทุกครั้งที่เราประมาท เพราะเมื่อเราเลียแผลแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง เราจะเก่งขึ้น เติบโตขึ้น ...เพียงเราไม่คิดล้มเลิก ในเป้าหมายที่เราวางไว้ก็พอ !!

3. 'คนเก่งคือคนที่ไม่หยุดเรียน' ..คนที่โง่ที่สุดคือ 'คนที่รู้แล้ว' เพราะรู้แล้วจึงหยุดพัฒนาตัวเอง ...คนเก่งที่สุด คือ คนที่ยังไม่รู้ ..เพราะ คนเหล่านี้จะหาความรู้ และ เรียนไปเรื่อยๆ ..คนที่สนุกกับการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง คือผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง !!

4. 'ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้ หากคนๆนั้นไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง' ..สิ่งที่ผมและหยง หลงใหลที่สุดคือ การเป็นอาจารย์ และ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่เราใช้ในการสอนคนก็คือ "แรงบันดาลใจ"(Inspire) ...ไม่มีใครบังคับให้ใครเปลี่ยนแปลง หากเขาไม่พร้อมที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง ...สร้างแรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นมา !!

5. 'ทำโดยปราศจากข้ออ้าง' ..ทุกวันนี้คนจำนวนมาก ที่ติดอยู่ที่เดิม ไร้ความก้าวหน้า ก็เพราะคนเหล่านี้ "มีข้ออ้างให้กับทุกเรื่อง ที่จะไม่ทำ" ...คนส่วนใหญ่มักจะอ้างว่า 'ไม่มีความรู้ ไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย' เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาสู้ก็เท่านั้นเอง ...ผมและหยง เชื่อว่า ถ้าเราต้องการอะไร -- ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะต้องลงมือไปไขว่คว้าด้วยตัวเราเอง !!

โลกนี้ไม่มีใครฟลุ๊ค ..คนที่ลุกขึ้นมาประสบความสำเร็จ เพราะ เขารวบรวมความกล้า และ ลุกขึ้นมาสู้เอง

..."ผมว่าคุณลองสักตั้งดีกว่า ...ให้โลกนี้รู้ว่า คนอย่างกรู ก็สำเร็จได้"

..เมื่อคุณทำได้ มันจะโคตรฟินเลย ขอบอก ...ฟินนน !! จัด !!

JUN 04  "การประสบความสำเร็จและรวยในยุคนี้ มันอาศัยวิธีคิดที่แตกต่าง" ..แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อเราถูกสอนให้คิดตาม

 ..แค่คิดตามยังยาก แล้วจะคิดต่างอย่างไรเล่า ?

วันนี้โลกเราเข้าสู่ยุคการเงินที่ผันผวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ..อเมริกา , ยุโรป และ ญี่ปุ่น สามารถพิมพ์เงินโดยไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน ..ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดขีด ..เศรษฐีและนักการเงินใช้ช่องว่างตรงอัตราดอกเบี้ยถูก ในการเป็นเครื่องมือในการควบรวมธุรกิจ สร้างการผูกขาด และ ใช้ช่องว่างทางการเงินในการทำกำไรจากคนทั่วๆ ไป

คุณเคยสังเกตไหมว่า วันนี้บริษัทบางบริษัทในตลาดหุ้น ไม่เคยกำไรจากการทำธุรกิจจริงๆด้วยซ้ำ แต่สามารถรวยจากเกมการเงิน ..แถมเป็นเกมการเงินที่รายย่อยเต็มใจ (เต็มใจให้หลอก) ..ถูกกฏหมาย และ ลอยนวล !!

ไม่ !! ..ผมว่ามันไม่แฟร์ กับคนทั่วๆไป ที่มีความรู้เรื่องเกมการเงินน้อยและตกเป็นเหยื่อ ..จึงเกิดหนังสือ "เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่" The Art of Bubble เพื่อชี้ให้เห็นท่าแท้ ของเกมการเงิน วิธีเอาตัวรอด และ การเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพื่อเข้าใจตลาดเงินและตลาดทุน ในมุมที่เป็นจริงมากขึ้น

จัดไป !!

แพ้ท & หยง
Freedom Trader Re-Union



JUN 03  'ผมเรียนรู้จากพ่อเยอะมากเรื่องการเป็นนักลงทุน ...แต่พ่อผมไม่เล่นหุ้นนะ !!'

หลายคนอ่านแล้วอาจจะรู้สึกแปลกใจว่า ถ้าไม่เล่นหุ้นจะเรียกว่าเป็นนักลงทุนอย่างไร ...เป็นได้ครับ พ่อผมนี่แหละ ท่านเป็นนักสะสมของเก่า และ หยก -- พ่อบอกว่า ไอ้แพ้ท หุ้นที่เอ๊งเล่นน่ะกระจอก ขึ้นน้อยกว่า Asset ที่พ่อสะสม คนละเรื่อง

'จริงครับ ของสะสมที่พ่อผมเก็บไว้ ทั้ง Antiques และ Jades (หยก) มันขึ้นมหาศาล ..พ่อผมเลือกเก็บแต่ของที่คนจีนชอบ และสะสม Asset เหล่านี้มากว่า 20 ปี ตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม'

..วันนี้พอคนจีนรวย ของเกือบทุกอย่างที่พ่อผมสะสม ราคาขึ้นเป็น 10 เป็น 100 เท่า

พ่อสอนว่า ของสะสม 'ยิ่งซื้อของแพงราคายิ่งขึ้น (ซื้อของ Top ราคายิ่งขึ้น)' ..(ถ้าซื้อของทั่วๆไปราคาจะขึ้นน้อย แต่ถ้าซื้อของ Top ราคาจะขึ้นแบบสุดขีด เพราะคนที่ต้องการของ Top คือ เศรษฐีไง

 -- คนที่ครอบครองสิ่งที่เศรษฐีต้องการเหมือนคุณถือ Asset ที่ล้ำค่า ที่ราคาแทบไม่มีวันลงเลย ..โคตรรวยว่างั้น!!)

ผมตะลึงกับ มุมมองใหม่ที่พ่อสอนผมเกี่ยวกับคำว่า Asset และ การเป็นนักลงทุนที่ฉลาด

พ่อบอกผมว่า 'พ่อไม่มีธุรกิจให้แพ้ทนะ เพราะพ่อเชื่อว่า เอ๊งสร้างธุรกิจที่เอ๊งอยากทำได้อยู่แล้ว แต่พ่อมี Asset ให้เอ๊ง'

สุดยอด!! ..อันนี้ดีกว่า การให้ธุรกิจ เพราะทุกวันนี้ธุรกิจส่งต่อให้ลูกมันแข่งขันดุ ธุรกิจเหนื่อย และ หนี้ก็เยอะ

ทายาทธุรกิจวันนี้เหมือนรับ หนี้ ต่อจากพ่อแม่ ..แต่นักลงทุนที่ฉลาด สิ่งที่เขาจะทิ้งให้ลูกก็คือ Asset เท่านั้น

"ขอบคุณท่านพ่อ นักลงทุนที่เหนือภาววิทย์ แบบห่างชั้น ..55"  ...สุดๆ

JUN 03  '5 ข้ออ้าง Classic  ที่เรายังไม่มีธุรกิจส่วนตัว'

1. 'ผมไม่มีเงิน' ...เงินมีมากมาย ใครบอกว่าเริ่มธุรกิจต้องพ่อรวย -- อันนี้แปลว่า Idea ธุรกิจคุณยังไม่ Work ..เพราะถ้า คุณมี Idea ธุรกิจที่ทำกำไรได้ชัวร์ ..มีคนมากมายที่อยากเอาเงินมาร่วมธุรกิจกับคุณ (วันนี้คนมีเงินมากมาย มองหาโอกาสในการลงทุน ..เพียงแต่เขายังหาคนที่ดีพอจะเอาเงินมาฝากผีฝากไข้ไม่ได้)

2. 'ผมไม่มี Connection' ..คนทุกคนอยากเป็นเพื่อนกับคนเก่ง ..อยากเป็นเพื่อนกับคนที่มีอนาคต ..การที่คุณบอกไม่มี Connection มันแปลว่า คุณยังพัฒนาตัวเองยังไม่ดีพอ  -- ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งกว่านี้ครับ แล้วเดี๋ยว Connection จะวิ่งมาหาเรา !!

3. 'ผมไม่มี Idea' ..เฮ้ย !! แปลว่า คุณไม่เคยขวนขวายอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ เข้าสัมมนาดีๆ ที่มีทั้ง Know How & Know Who  พร้อมให้คุณต่อยอด ...ทำไมคุณไม่พยายามล่ะ ?

4. 'ผมไม่มีความกล้า' ..แปลว่า คุณไม่ได้อยากที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ ..คุณแค่พูดไปงั้นๆแหละ ตามกระแสอยากรวยบ้าง ก็เท่านั้นเอง ..ถ้าเอาจริง มันต้องกล้าลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เรากลัว ต้องออกจาก Comfort Zone เล็กๆของเรา

5. 'ผมไม่มีเวลา' ..ทุกคนมีเวลาหลังเลิกงาน 5 โมงเย็น และวันหยุด รวมทั้ง Holiday ที่เราเตรียมการทั้งปีเพื่อไปเที่ยวใช้เงิน ...เรามีเวลาใช้เงิน แต่เราอ้างว่าเราไม่มีเวลาหาเงิน !!

ทั้ง 5 ข้อ มันแค่ "ข้ออ้าง" ...ผ่านให้ได้ทีละข้อ แล้วชีวิตจะดีขึ้น แบบพระเจ้าช่วยกล้วยทอด ..แม่เจ้า!! คนอย่างกรู ก็สำเร็จได้นี่หว่า !!!!

อย่าหาข้ออ้างอีกเลยครับ !!

JUN 02  "อยากเก่งทุกอย่าง ทุ่มไป 20 ชั่วโมง"

เด็กสมัยนี้ที่ผมเจอคือ เขาอยากเก่งทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง ..พอดีไปเจอคลิ๊ปนี้จาก TED Talk ของ Josh Kaufman ..เขาพูดประเด็นนี้ไว้น่าสนใจมาก

เขาพูดว่า ตัวเขาเป็นคนสมาธิสั้น และ ก็ไม่ค่อยมีเวลา แต่เขาอยากทำอะไรได้หลายๆอย่าง ในโลกทุกวันนี้ที่ 'ไม่มีใครมีเวลา' ...ครั้นจะทำตาม กฏ 10,000 ชั่วโมง เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องนึง ก็ไม่มีเวลา

เขาเลยไปค้นคว้าว่า คนเราสามารถพัฒนา Skill ใหม่ๆ ต้องใช้เวลาน้อยที่สุดเท่าไหร่ เพื่อรู้ว่าเราจะ 'ไปต่อ หรือ เลิก!!' -- เช่น อยากเล่นหุ้น , อยากเล่นกีตาร์ , อยากว่ายน้ำ , อยากตีกอล์ฟ , อยากขี่เจ๊ตสกี , อยากขี้จักรยาน

ที่ Josh พบ คือ "มนุษย์จะพัฒนา Skill อย่างก้าวกระโดดใน Skill ใหม่ใน 20 ชั่วโมงแรก" (ดูกราฟในภาพครับ)

ก็คือ การใช้เวลา Part-time วันละ 40 นาทีมาฝึกติดต่อกัน 30 วัน ก็จะรู้แล้วว่า เราจะไปต่อ หรือ เลิก

ผมว่าแนวคิดเขาน่าสนใจ เพราะ คนส่วนใหญ่ทำแค่ 10 นาที ก็เลิกแล้ว หรือ บางคนลองแค่ไม่กี่วันก็ไม่เอาแล้ว

ก็ลองดู จัดไป 20 ชั่วโมง ..แต่มันมีรายละเอียดหลายๆอย่างในการจัดเตรียมองค์ประกอบในการฝึกฝน 20 ชั่วโมง เพื่อให้เป็น 20 ชั่วโมง หรือ 1 เดือนที่คุ้มค่า ซึ่งหลักๆ ก็คือ

1. เตรียมความรู้เบื้องต้นให้พร้อม
2. เตรียมเครื่องมือให้พร้อม
3. ลงมือทำเลย โดยอาจมีหนังสือเป็นโค๊ช อยู่ใกล้ๆ

ลองดูซิครับ ก่อนหาตัวเองเจอแล้วทุ่ม 10,000 ชั้วโมง เพื่อกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ...ลอง 20 ชั่วโมงแรกแบบจริงจังก่อน

จัดไป !!


JUN 01 โลกธุรกิจและการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร?' ..น่าคิด

แต่ถามก่อน คุณรู้สึกไหมว่าวันนี้คนส่วนใหญ่ทำงานหนักขึ้น แต่ได้ผลลัพธ์ที่น้อยลง ..'เหมือนเหนื่อยฟรี ?'

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะวันนี้โลกกำลังเปลี่ยน Platform ...จาก Platform ของยุค อุตสาหกรรม มาสู่ Platform ของยุค Information Age -- ต่างกันยังไง มาดูกัน ?

คำว่า Platform แปลง่ายๆว่า "ตลาดที่เชื่อมระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย" ..ในทุกยุคทุกสมัย ใครเป็นเจ้าของ Platform รวยมากทุกคน

อย่างในสมัยก่อน ใครเป็นเจ้าของ 'ตลาด'ก็เป็นเศรษฐี เพราะ สามารถสร้างประโยชน์ให้คน โดยการรวมคนซื้อและคนขายมาเจอกัน ในตลาด

ยุคต่อมา Platform ก็ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น สะดวกสบายขึ้น แต่ใช้เงินมากขึ้น อันนี้คือ ยุค Modern Trade ของยุคอุตสาหกรรม ที่เกิด ห้างสรรพสินค้า , ร้านสะดวกซื้อ , ร้าน Discount Store ต่างๆ -- ปัญหาคือ วันนี้ตัวกลางมีมากขึ้นเรื่อยๆ แข่งขันลงทุน ใช้เงินมากขึ้น จึงมาถึงจุดที่คนที่มาใช้ Platform อย่างร้านค้า ผู้ขาย เริ่มไม่คุ้ม เพราะ เดี๋ยวนี้ร้านค้า หรือ เจ้าของสินค้า ใน Modern Trade ทำแค่จ่ายค่าเช่าก็แทบไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงกำไร

 ...'นี่แหละ เรากำลังมาถึงจุดสูงสุดของ Platform นี้ ..แล้วมันก็จะเสื่อมลงเหมือนตลาดสดในอดีต'

มาดู Platform ในยุค Information Age เขาใช้ Online เป็นหน้าร้าน แล้วก็ใช้ Social Media เป็นเครื่องมือติดต่อลูกค้า เช่น Alibaba , Amazon , Rakuten , ebay ... พวกนี้ลดต้นทุนคนขายไปมหาศาล เป็นจุดกำเนิดของ 'One Man Company แบบ เริ่มยุค สร้างธุรกิจใช้เงินนิดเดียวนั่นเอง'

ยุคของ Information Age ..คำว่า สินค้าและบริการ มันมากกว่าแค่ ของกิน ของใช้ มันเปิดกว้างมาก

..กลายเป็นสินค้าและบริการในโลกยุคใหม่ คือ ทุกอย่างที่

1. สร้างประโยชน์ให้คน
2. แก้ปัญหาให้คน
3. คนที่ได้ประโยชน์และแก้ปัญหา ยอมจ่ายเงินเพื่อรับสินค้าและบริการนั้นๆ

นี่แหละ นิยามใหม่ของ New Product & Service -- ถ้าวันนี้คุณกำลังทำงานที่รู้สึกว่าทำหนักขึ้นแต่ผลลัพธ์น้อยลง ต้องหันมาพิจารณาสิ่งที่ทำว่า เรากำลังตกยุคใช่หรือไม่

ถ้าตกยุค ต้องรีบหาความรู้ใหม่ เพื่อเปลี่ยนชีวิตครับ ..จัดไป !!


JUN01 สมัยก่อนผมคิดว่า การทำความดี คือ ไปวัด ไปใส่บาตร หรือ ไปทำสังฆทาน ..เอาเงินให้พระ เท่านั้น ..ไม่รู้เลยว่ามันมีอย่างอื่นด้วยหรือที่จะช่วยให้เราขึ้นสวรรค์ ?

เรานับถือพระพุทธเจ้ากัน แต่เราเรียนรู้จากท่านน้อยมาก ..เราทุกคนส่วนมากทำบุญเพื่อให้ตัวเองขึ้นไปเสพสุขบนสวรรค์ ..ดังนั้น คนมีเงินจะได้เปรียบ เพราะบริจาคได้เยอะกว่า ..เฮ้ย !! บุญมีแบ่งชั้นด้วยหรือ ? งง มากๆ

แล้วไม่สำคัญนะว่า เงินนั้นคุณจะได้มาด้วยการเอาเปรียบคนอื่น ไม่สำคัญ เอามาทำบุญแล้วเดี๋ยวจะได้ไปสวรรค์

...ถามจริงๆ เถอะ แล้วนรกในใจ ความร้อน ความกลัวในการที่เราทำสิ่งไม่ดี มันก็อยู่ตลอด มันคืออะไรหรือ ?

ทำไมเราเอา Concept ของการสร้างเงิน มาใช้แบบเดียวกับการสร้างบุญ ..ใช่!! การสร้างเงิน คุณต้องทะเยอทะยาน ..แต่การสร้างบุญจริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนคือ การตัดได้ ทุกสิ่ง มันคือตรงข้ามกับการสร้าง Wealth

 มันจึงเกือบจะพูดได้ว่า การตัด Wealth จะพาจิตใจและตัวเราไปสู่ความสุขสงบอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือ 'ความตาย' ..แต่พอถามว่าเราอยากตายวันนี้เลยไหม ? ..ทุกคนตอบว่า ไม่เอา !! -- ตกลงเราต้องการอะไรจริงๆหรือ ?

'ความสุข' คือ สิ่งที่เราต้องการ ..แต่คุณเคยเห็นเด็กรวยที่พ่อแม่ตามใจทุกอย่างไหม คนเหล่านี้ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเขามีความสุข เขาคิดว่าเขามีความทุกข์ เขาคิดว่าการที่คนอื่นไม่ตามใจเขาคือความทุกข์ -- คนเหล่านี้จึงทุกข์ตลอดชีวิต เพราะชีวิตไม่มีใครได้ดังใจตลอดเวลา ..ทั้งที่เขาเกิดมาพรัอมทุกๆอย่าง ..แปลกไหม?

แต่คนที่เกิดมาท่ามกลางความลำบากสารพัด ..ถ้าเขาสามารถสร้างตัวเองให้ยกฐานะให้มีกิน มีบ้าน มีครอบครัวได้ คนเหล่านี้จะมีความสุขสมบูรณ์มากๆ ..เขาเกิดมาท่ามกลางความทุกข์ยากแต่ชีวิตเขามีความสุขมากกว่าความทุกข์ เพราะ เขายอมรับคนอื่นได้ ที่แต่ละคนจะคิดจะเป็นในแบบที่เขาเป็น

'ทุกคนคิดและเป็นในแบบที่เขาเป็น ..ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้ นอกจากคนนั้นคิดเปลี่ยนตัวเขาเอง ..ที่คนทุกคนไม่เท่ากันและไม่เหมือนกันเพราะแต่ละคนมีเหตุผล ข้อจำกัด และข้ออ้างที่ต่างกันออกไป ..ดังนี้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม (กรรมน่ะ คือ การกระทำของตัวเอง)'

เอาว่า วันพระนี้ผม อวยพรให้ทุกท่าน มีปัญญา หาความจริงในชีวิตให้เจอ ...และแบ่งปันปัญญานั้นให้คนรอบข้างทุกครั้งที่มีโอกาส

ยุคนี้ผมว่า 'ธรรมะ' จะ In-Trend ที่สุดในโลก เพราะมันเข้าสู่ยุค ยิ่งให้ ยิ่งได้ เรียบร้อย

 ..พวกเราพร้อมทำธุรกิจ ใช้ชีวิตในกฏโลกใหม่หรือยัง ?

กฏใหม่คือ -- 'ผู้ให้ รวย' (ผู้ให้ คือ ผู้นำ ..ผู้ให้ ได้ความร่มเย็นในจิตใจ ..ผู้ให้ ใครๆก็รัก และ อยากให้โอกาส ..ผู้ให้ ไม่จำเป็นต้องให้เงิน

ให้ในสิ่งที่เรามีมาก ยิ่งให้แล้วยิ่งเพิ่มเหมือนความรู้และปัญญา คุณจะให้ได้ไม่รู้จบครับ!!)

MAY31 "อยากได้คนเก่งมาทำงานด้วย ทำอย่างไรดี ?"

อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจเล็ก เพราะ เราไม่ใช่ คุณ ธนินท์ หรือ คุณ เจริญ ที่จะมีเงินเดือนล้านจ้างคนเก่งมาทำงาน ...แล้วทำไงดี ?

"เราต้องหาจุดแตกต่าง ...ดังนั้น เราใช้เงินเดือนล่อไม่ได้" ...เออ !! แล้วจะดึงดูดเขาอย่างไร ?

ตัวผมเอง นอกจากงานประจำ ผมเปิดธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง ...สิ่งที่ผมใช้ในการดึงคนเก่ง มาทำงานกับผมคือ 3 อย่าง

หนึ่ง ผมไม่เคยมีลูกจ้าง ผมมีแต่ Partner "เขาคือ หุ้นส่วนธุรกิจของผม ..เวลาได้ เราแบ่งกำไรกัน ..ฝรั่งเรียกวิธีการนี้ว่า Co-creation & Profit Sharing
สอง "Trust" ความเชื่อใจ (ผมต้องทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวผมและสิ่งที่ผมมอง ...การที่ใครจะมาลงเรือลำเดียวกับคุณ มันขึ้นกับว่า เขา Trust คุณหรือเปล่า ?)
สาม ผมมีสิ่งที่องค์กรใหญ่ให้เขาไม่ได้ คือ "ความบ้าครับ" ... หลายคนเรียกสิ่งนี้ว่า "ความทะเยอทะยาน" -- มึงกับกู จะเปลี่ยนโลกกัน ไอ้แสรดดดด !!!

องค์กรใหญ่เขาแค่ตีค่าคนตามจำนวนเงินที่เขาจ่าย ..แต่สำหรับ Partner ผม เราจะพลิกวงการ เปลี่ยนอุตสาหกรรม เปลี่ยนโลกด้วยกัน

..เงินมันแค่ผลพลอยได้ จากการเปลี่ยนโลกต่างหาก !! .....แสรดดด เปลี่ยนโลก ก ก ก ก ก

MAY 31 "คนเดียวใหญ่ไม่ได้ในยุค Co-creation"

การเริ่มธุรกิจยุคนี้ไม่ยาก ใช้เงินน้อย เริ่มได้ด้วยคนๆ เดียว 'สมอง กับ คอมพิวเตอร์ และก็กาแฟสักแก้ว' ..แต่มันใหญ่ยาก เพราะโลกยุค Co-creation ต้องมีคนสองประเภทร่วมด้วยช่วยกัน คือ

1. "นักแหกกฎ" ..คนนี้ทำหน้าที่คิด ทำสิ่งใหม่ๆ คิดภาพใหญ่ คิด Strategy คิดวิธีการ ..คิด ๆ ๆ -- จุดอ่อนของคนเหล่านี้คือ คิดเก่งวางแผนเก่ง แต่อ่อนเรื่องรายละเอียด

2. "นักจัดการ" ..คนนี้ทำหน้าที่ 'สะท้อนความคิด ทำ ปฎิบัติ' ใส่ใจรายละเอียด -- จุดอ่อนของคนเหล่านี้คือคิด แต่จุดแข็งคือ ลงรายละเอียด ..ทำ  ๆ ๆ

ใช่!! หมดยุคของ ข้ามาคนเดียว หรือ ยุคอัศวินม้าขาวแล้ว ..ยุคนี้ต้อง Co-creation ยุค "คู่หู คู่ฮา"

ธรรมชาติไม่ได้สร้างให้คนๆ เดียวเก่งทุกอย่าง มันจึงสร้างสรรพสิ่งให้เป็นคู่ ..หากคุณรู้ว่าคุณเก่งเรื่องอะไร ลองหาคู่หู ที่เก่งตรงข้ามกับคุณ ..แล้วคุณจะเรียนเรื่อง 'การเปิดใจรับฟัง'

นั่นแหละ หัวใจของความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่ !!

จัดไป !! คู่หู คู่ฮา

MAY 30 อันนี้เรื่องจริงนะ "การเป็น Blogger ทำให้คุณเก่งขึ้น ในเรื่องที่คุณสนใจ" ...ยิ่งถ้าคุณเป็น Blogger ที่มีวินัย เขียนและโพสประจำ ยิ่งบังคับให้คุณต้องค้นคว้าและพัฒนาตัวเองไม่หยุด

ใช่!! ไม่งั้นจะเอาอะไรมาเขียน

"วันนี้คนบอกว่า ภาววิทย์เป็นเซียนหุ้น ..แต่คุณรู้ไหมว่าผมเริ่มอาชีพนักลงทุนพร้อมๆกับการเป็น Blogger ไปด้วย ..วันนี้เลยสบาย 2 เด้ง เพราะได้เป็นที่ปรึกษาการลงทุนมืออาชีพที่บริษัทใหญ่อย่างบัวหลวงลงทุนจ้างผม แถมยังได้อาชีพนักเขียนแถมมาทำเงิน รวยได้ 2 เด้ง"

ผมเรียนรู้เรื่องของ ยิ่งให้ ยิ่งได้ จากประสบการณ์ตรงเลย ....การเป็น Blogger นี่แหละให้ความรู้คนอื่น แล้วเราจะได้โอกาสได้เวที

ขั้นแรกอ่านให้มาก แล้วฝึกเขียน ฝึกแชร์ ตอนแรกยังเขียนไม่เก่ง ก็เอาของคนอื่นมาแชร์ก่อน(ให้เครคิตเค้าด้วยล่ะ) แต่สุดท้ายควรเขียนด้วยตัวเอง เพราะจะได้วัดว่า จริงๆ เราเข้าใจเรื่องนั้นหรือเปล่า ?

"เพราะเขียนจึงเข้าใจ เพราะถ่ายทอด จึงได้เรียน ...เพราะให้ จึงได้รับไง"

รวย!!

MAY 29 "คนเก่งแต่หลงประเด็น ..ผิดทาง" ..อันนี้เป็นเรื่องน่าเสียดาย เสียดายความเก่ง และ ความสามารถ

คุณรู้ไหมยุคนี้ บางคนจบด๊อกเตอร์ แต่เขายังไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่เรียนมาเขาชอบหรือเปล่า -- เฮ้ย!! เอ๊งบ้าไปแล้ว นี่ล้อเล่นใช่ไหม ..'เรื่องจริงครับ'

พูดง่ายๆว่าหลายคน เรียนจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ ..แล้วชีวิตมันจะมีความสุขได้อย่างไรครับ ..แล้วงานมันจะดีได้ไง ..น่าแปลกไหมที่เรา แคร์มุมมองคนอื่น(สังคม ครอบครัว ฐานะ) มากกว่ามองความรู้สึกของเราเอง

ผมขอเสนอ 2 ประเด็นให้คนที่อยากค้นหาตัวเอง ให้ใช้ 2 สิ่งนี้นำทาง

1. 'ความรัก' ปราศจากสิ่งนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างผลงานยิ่งใหญ่หากเราไม่รักในสิ่งนั้น ..สมองอาจสำคัญ แต่'หัวใจ'สำคัญกว่า คิดดีๆ ?

2. 'ความกล้า' ปราศจากความกล้า เราก็ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ..แล้วการทำสิ่งเหมือนเดิม ท่องตำรา How to แล้วจะทำงานด้วยความรู้เดิมๆ แล้วหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ..ไม่มีทาง!! -- อยากเปลี่ยนโลก เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนตัวเอง เริ่มจาก 'ความกล้า' ทำสิ่งใหม่ แค่นั้นเอง

ลองคิดดู 'รัก & กล้า' จัดไป !!


MAY29 ไหนๆ ช่วงนี้ก็พูดเรื่อง "การสร้างธุรกิจ แบบคนรุ่นใหม่" ..เลยเอารูปเก่าๆ ที่ทำธุรกิจแบบไม่ work มาให้ดู

...นี่รูปสมัยผมทำร้านอาหารที่ Australia ...ผมทำอาหารไทยโมเดิร์น Concept ร้าน "Fit Food in a Box"

แบบลูกค้าเลือก เนื้อ / เส้น / ผัก / Sauce ..แล้วผัดสด ตรงหน้าลูกค้า ..แบบ Open Kitchenมีแค่กระจกกั้นระหว่าง ผม-กระทะไฟลุก-ลูกค้า : ผมเรียกมันว่า Cooking Theatre "การแสดงโชว์ อาหารที่กินได้"

เท่ห์ ..แต่เจ๊ง ครับ ... นิทานชีวิตผมสมัยทำร้านอาหารสอนให้ผมรู้จักคำว่า "คิดต่าง" ว่าต่างกับ "สิ้นคิด" เพียงเส้นบางๆ

ใช่!! ระวังการ คิดต่าง ที่มโนมาก ..อาจกลายเป็นสิ้นคิดได้ ...ขำขำ -- ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังเต็มๆ นิทาน การแกว่งเท้าหาเสี้ยนของ ภาววิทย์

...เสี้ยนปักเต็มทีน !! (เจ็บว่ะ) -- "ขยันผิดที่ ถึงขยันสิบปีก็ไม่รวย !!"

MAY 29 'วิธีเริ่มธุรกิจใช้เงินน้อย ยุคนี้แบบง่ายๆ'

ธุรกิจมันมี 2 แบบ ในยุคนี้ คือ
1. "ธุรกิจใช้เงินเริ่มเยอะ" ..เช่น เปิดโรงงาน , เปิดร้าน ..ผมว่าให้คนที่เขาบ้านรวยทำเถอะ ขืนไปกู้มาทำก็หนักเข้าไปอีก !!

2. "ธุรกิจใช้เงินเริ่มน้อย" ..อันนี้เหมาะกับคุณและผม ..แต่ต้องอาศัยการเข้าใจ Technology สมัยใหม่

1. เริ่มตั้งแต่ Product เดี๋ยวนี้คุณทำ Crown Funding ได้ คือ ขอเงินลูกค้าล่วงหน้าได้ ..อย่างธุรกิจหนังสือ วันนี้ Ookbee ให้เราทำ Print On Demand คือ เก็บเงินลูกค้าก่อนพิมพ์หนังสือ 'ถ้าใครมีฐานแฟนคลับ คุณเป็นนักเขียนได้ทุกคน แถมไม่ต้องลงเงินก่อน ..แจ๋วไหม ?'

2. ร้านขาย ..คุณไม่ต้องคิดเลย 7-11 หรือ จะไปขายในห้าง -- เลิกคิด!! ...คนตัวเล็กต้องเอาช่องทางที่ใช้เงินน้อย ..ขาย Online ซิครับ เช่น แม่ค้า IG ..อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าสินค้าคุณเป็นที่ต้องการหรือไม่ ?

จะเห็นได้ว่า วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ การหาสินค้า หรือ หาที่ขาย แต่มันคือ การเริ่มหาลูกค้าต่างหากที่สำคัญที่สุด

เคล็ดลับ ของการทำธุรกิจใช้เงินน้อยก็คือ "คุณต้องมีฐานลูกค้า ก่อนที่คุณจะหาสินค้ามาขายเสียอีก" ...คนส่วนใหญ่ทำแล้วไม่ work เพราะดันเริ่มหาสินค้าก่อน ..ผิดทางครับ!!

การสร้างฐานลูกค้า คือ
1. หาเรื่องที่สนใจ
2. หาช่องทางสื่อสารเรื่องที่เราสนใจ เข่น Facebook , Instagram , Line@ และ อื่นๆ
3. เริ่มโพสสื่อสารเรื่องที่เราสนใจ แล้วดูว่ามีคนคลิ๊ก Like ชอบเรื่องที่เราสนใจไหม ...ถ้าไม่มีแปลว่า ไม่มีตลาดครับ ..ถ้ามีไปข้อ 4
4. หาสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจและลูกค้าสนใจมาขาย
5. ทำไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ขยายไปเรื่อยๆ
6. นี่แหละ การเริ่มธุรกิจใช้เงินน้อย

จากนั้นเมื่อคุณมาถึงขั้นนี้ ผมจะสอนคุณต่อ ยอดว่า ฐานลูกค้าที่คุณมี จะสร้าง Value และ เงิน อย่างไร

 ...นี่แหละยุค Information Age ..จากศูนย์ก็สร้างเงินได้ ขอให้รู้วิธี และ มีความพยายาม !!

MAY28 5 ข้อคิด หลีกหนีหุ้นปั่น และการติดหุ้น !!

ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะติดหุ้น ..แต่ทำไมวันนี้คุณถึง ติดหุ้นล่ะ -- "ผิดคาด!!" ก็เพราะ คุณไม่เข้าใจหลักการ 5 ข้อนี้ ลองอ่านดูครับ ..."อาจช่วยให้อาการติดหุ้นของคุณทุเลาขึ้นได้" !!

1. "อ่านงบการเงินให้เป็น" ..หุ้นดี คือ บริษัทที่ทำธุรกิจมีอนาคต - ธุรกิจมีกำไร - และมีปันผลสม่ำเสมอ ..นี่คือ "บริษัทที่ดี"

2. "ไม่เล่นตามข่าว" ..หุ้นที่มีข่าวดี มักมีราคาแพง ..ดังนั้น การเลือกเล่นหุ้นที่ข่าวดี ต้องระวังให้มาก ว่าเราถูกเจ้ามือหลอกให้ไปซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคามันแพงไปหรือเปล่า ? -- ถึงแม้เป็นหุ้นที่ดี แต่เราซื้อในเวลาที่มีข่าวดีมาก ก็อาจจะเป็นราคาที่แพงเกินไปอยู่ดี (หุ้นดี อยากได้ราคาถูก ..ทำไมไม่ซื้อข่าวร้ายละ ...คิดดีๆ คุณจะชนะคนส่วนใหญ่)

3. "ดันไปซื้อหุ้นที่ Volume ไม่สม่ำเสมอ" ..หุ้นที่ Volume ไม่สม่ำเสมอ แม้ไม่ใช่หุ้นปั่นทุกตัว แต่มันก็น่ากลัว หากเราดันไปซื้อเวลาที่แพง เพราะเมื่อ Volume หาย ราคาอาจลงแรง และเร็วจนเราติดหุ้น ออกไม่ได้ !!

4. "เรามีความรู้เรื่องกราฟไม่พอ" ..การซื้อขายหุ้น มีคนอีกฝั่งเสมอ ..นั่นแปลว่า ถ้าเราซื้อพร้อมๆ กัน อาจจะเสี่ยงติดหุ้นที่คนเทขายพร้อมกัน

5. "เราไม่เข้าใจธุรกิจของบริษัทที่เราซื้อ" ..การไม่เข้าใจธุรกิจ ก็เหมือนหลับตาลงทุน -- มันมีโอกาสที่เราจะติดหุ้นได้ง่ายมาก

ข้อคิด : "การซื้อหุ้นในจังหวะตลาดมีแต่ข่าวร้าย มันง่ายที่จะหาหุ้นดี หุ้นถูก ได้ดีกว่าตลาดในช่วงข่าวดี"

ใช่ !! "ข่าวร้ายช่วยให้เรามีสติ และเห็นราคาหุ้นที่แท้จริงครับ"

MAY 27  'ในโลกนี้มีคนที่ได้ทำงานที่เขาชอบ ทั้งได้เงินมาก ยิ่งทำยิ่งมันส์ ..แต่ปัญหาคือ งานแบบนี้ไม่ได้มีรับสมัครผ่านบริษัท แต่เราต้องค่อยๆ สร้างขึ้นมาเอง ...ทำได้จริงครับ เปลี่ยนงานอดิเรกเป็นงานประจำ โดยเฉพาะยุคนี้ Information Age'

...ชีวิตเราสร้างได้เอง งานที่ทำเงินเราก็สร้างได้เองเช่นกัน

'คิดเผื่อ'เพื่อตัวเอง ...คำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ แต่ผมเชื่อว่า มันคือ กฏข้อนึงที่สำคัญสู่ ความรวยและความสำเร็จ

คุณเคยถามไหมว่าทำไมคนส่วนใหญ่ไม่รวย ? ...ทั้งที่คนส่วนใหญ่ก็เก่ง ก็ฉลาดทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครโง่สักคน แต่ทำไมไม่รวย

และเคยถามไหมว่า บางคนทำไมรวย ทำไมเขาได้รับการยอมรับ ?

ตอบง่ายๆ ..คนที่รวยและประสบความสำเร็จ คือ คนที่'คิดเผื่อ'คนอื่นไง

คนที่คิดเผื่อคนอื่นจะสร้างผลงานของตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นต่อไป สร้างผลงาน สร้างตำนาน สร้างวิธีการ สร้างองค์ความรู้  ..ใช่!! คนเหล่านี้เขาทำงาน ไม่ทำแค่ทำงานธรรมดาๆ แต่เขาทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ต่อคนรุ่นต่อไป

นี่แหละนิยามของ 'ทำงานแล้วสนุกและรวย'

ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า 'Work = Passion'

'มันได้ความสนุก เพราะคนจะเรามีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้คนอื่น ..แล้วจะดีแค่ไหนถ้าทำแล้วได้เงินและการยอมรับตามมาด้วย'

ลองค่อยๆ ปรับ งาน ที่คุณทำให้เริ่มเป็นประโยชน์ หรือ ค่อยๆปรับงานอดิเรกคุณให้สร้างประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ดูซิครับ !!

Project : 'เปลี่ยนเวลาว่าง Part-time ให้สุดท้ายกลายเป็นงาน Full-time จริงๆ ที่ทำแล้วสนุก ทำแล้วได้เงิน ทำแล้วได้อธิบายตัวตนของเราจริงๆ'

MAY27  5 ข้อควรรู้ "ก่อนคิด ออมในหุ้น"

การออมในหุ้น สามารถสร้าง Passive Income เลี้ยงเราจนตาย โดยที่แม้เราเกษียณแล้วก็ยังมีเงินปันผลที่เลี้ยงเราไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่บริษัทที่เรา "ออมในหุ้น" ยังพื้นฐานดี และ เติบโตต่อไปเรื่อยๆ

...ดังนั้น สิ่งที่ควรรู้ถ้าจะออมในหุ้น 5 ข้อ มีดังนี้

1. "หุ้นที่เราจะออม ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดี" ...คนส่วนใหญ่คิดออมในหุ้นแต่ดันไปซื้อหุ้นปั่น (หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีกำไร ไม่มีปันผล มีแต่ข่าวดีและความหวังว่าจะดีเท่านั้น) ...หุ้นแบบที่ว่านี้ ไม่ควรออม ไม่ควรถือยาว ..ใช่!! คนส่วนใหญ่หลงไปซื้อหุ้นประเภทเก็งกำไร แต่คิดว่าตัวเองกำลังออมในหุ้น -- ผิดหลักการครับ

2. "การออมหุ้น ต้องสนใจมูลค่ามากกว่าราคา" ...คำว่า ซื้อถูกหรือแพง สำคัญน้อยกว่า มูลค่าที่เราจะซื้อจริงๆ ...เพราะ การออมในหุ้น เราสนใจ เงินที่เราจ่ายไปซื้อหุ้นบริษัทดีๆ ที่ออมว่าจะต้องให้ปันผลเท่าไหร่เทียบกับเงินที่ลงไป เช่น หุ้นราคา 10 บาท ถ้าปันผล 1 บาท ต่อปี ก็แปลว่า หุ้นนี้ถือ 10 ปี ก็สามารถคืนเงินต้นที่ลงทุนแล้ว ...หลังจากที่เงินปันผลคืนเงินต้น เราก็ถือไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่บริษัทนี้ ยังปันผลดีเลี้ยงเราแม้เราหยุดทำงานแล้วก็ตาม ...นี่คือ "การมองมูลค่า ที่เราจะได้จากการออมในหุ้น ..ไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ เก็งกำไร"

3. "เงินที่แบ่งมาออมในหุ้น ต้องเป็นเงินที่ตัดออกจากชีวิตเราได้" ...เงินที่จะนำมาออมในหุ้น ไม่ใช่เอาเงินทั้งหมดในชีวิตมาซื้อ แต่ให้เราเอาเงินที่เรา สามารถตัดออกจากชีวิตได้ แบ่งออกมาเช่น 10% ของเงินเดือน เพื่อนำมาซื้อหุ้นปันผล ...เพราะ หัวใจของการออมในหุ้น คือ ได้ Passive Income เลี้ยงเราโดยที่เราไม่ต้องทำงาน ...ไม่ใช่การมาเก็งกำไรซื้อขาย คนละเรื่องกัน ...ดังนั้น เราต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของเงินก้อนนี้ว่าจะเอามาออม ..."คนที่ตัดเงินออกชีวิตได้เท่านั้น ที่จะสามารถสร้าง Passive Income จากการออมในหุ้นได้" ...ใช่ครับ!! อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ ต้องพิจารณาว่า คุณเหมาะกับวิธีนี้หรือไม่

4. "ต้องไม่หวั่นไหวกับการแกว่งของราคาหุ้น" ..การออมในหุ้นนั้น เราสนใจที่มูลค่า ..เราแบ่งเงินมาออมในหุ้นดีที่เติบโต ดังนั้น เป้าหมายคือ การสร้างเงินปันผล ที่จะเลี้ยงเรา หลังจากที่เราไม่มีเงินเดือน ...แปลว่า เงินก้อนนี้จะแช่อยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลา -- "ซื้อหุ้นดีแล้วไม่ขายชั่วชีวิตนั่นแหละ" ...ซึ่งต้องเข้าใจว่า ในบางเวลา ตลาดหุ้นอาจมีภาวะผันผวน มีข่าวร้ายจนราคาที่เราซื้ออาจลงไปเยอะมาก (ราคาหุ้นอาจแกว่งเกิน 50%)...แต่ต้องกลับมาถามเน้นย้ำตัวเองถึงวัตถุประสงค์ของเงิน ว่าเงินนี้ไม่ใช่เอามาเก็งกำไร แต่เราเอามา "ออม" -- สรุปว่า คุณต้อง "เหนือเงิน" ไม่สนใจการแกว่งขึ้นลงของราคา -- ภาษาชาวบ้าน คือ "กรูซื้อแล้วไม่ดูราคาอีกเลย ...ดูแต่ปันผลที่หุ้นดีนี้จะจ่ายให้เราไปเรื่อยๆ ชั่วชีวิตของเรา"

5. "จังหวะการซื้อ สำคัญที่สุดในการออมในหุ้น" ..ในเมื่อหลักการออมในหุ้นคือ การซื้อหุ้นดีแล้วไม่ขายชั่วชีวิต หมายความว่า เราควรซื้อหุ้นตอนที่ราคาไม่แพง ...จังหวะที่ราคาหุ้นไม่แพง ก็คือ ช่วงที่หุ้นที่เราชอบมีข่าวร้าย ...ใช่!! ถ้าคิดจะออมในหุ้น จะต้องซื้อหุ้นดี ในข่าวร้าย (ไม่ใช่ซื้อหุ้นแพง ในข่าวดีเหมือนคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นนะครับ)

การทำการบ้านของการออมในหุ้น คือ เริ่มจาก

1. ทำ Stock Wish List ศึกษาหาหุ้นที่เราอยากซื้อ จากตลาดหุ้น แต่ "อย่าเพิ่งซื้อ" (เพราะเวลาที่คุณอยากซื้อ มักจะเป็นเวลาที่หุ้นนั้นมีข่าวดี ซึ่งก็คือ มันแพง ..ยังไม่ใช่เวลาที่ควรซื้อออม "ต้องรอครับ"

2. พอหุ้นที่อยู่ใน Stock Wish List ของคุณมีข่าวร้าย ...แล้วคุณมองว่า ข่าวร้ายนั้น ไม่ได้ทำให้บริษัทเปลี่ยนไปในระยะยาว ...ก็ถึงเวลาที่คุณซื้อออมในหุ้น -- จัดไป!! (เครื่องมือ Technical และ การอ่านรอบ RSI สามารถ ช่วยในเรื่องจังหวะในการซื้อหุ้นออม ...ตรงนี้ ผมแนะนำให้คุณไปหาความรู้ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งนะครับ)

นี่เป็นคำแนะนำเริ่มต้น สำหรับคนที่อยากสร้าง Passive Income จากการ "ออมในหุ้น" ...อย่าลืมไปศึกษาเพิ่มเติม ...แนะนำ หนังสือ ออมในหุ้น โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม -- ใช่!! หนังสือ Best-Seller เล่มนี้ ผมเขียนเอง ..ดีจริงๆ (ดีโคตรๆ..555)

...ให้ศึกษาหาความรู้เพิ่ม และ ผลของการศึกษาและตั้งใจของคุณ -- ขอให้คุณโชคดีมี Passive Income ทุกคนนะครับ !!


MAY 27 "แม่ผมเพิ่งเกษียณครับ ท่านกำลังเครียดเลย มาถามผมว่า แม่ทำอะไรต่อดี ?"

เปล่าเลย แม่ผมไม่ได้เครียดเรื่องเงิน เพราะ ท่านอยู่ได้ด้วย Port 'ออมในหุ้น' ที่ไม่ต้องขายก็อยู่ได้ชั่วชีวิต เพราะ เงินปันผลที่ได้ มันมากกว่าค่าใช้จ่ายรายเดือน ...ดังนั้นเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ปัญหาคือ แล้วทำอะไรดีล่ะ ?

พ่อผมเกษียณตั้งแต่อายุ 45 ..ตอนผมอยู่ มัธยมปลาย แม่ผมทำงานต่อจนอายุ 60 แล้วค่อยมาเกษียณวันนี้ ...ท่านเป็น มนุษย์เงินเดือน ที่ทำงานเก่งจนเป็นถึง ตำแหน่งผู้บริหาระดับสูงในองค์กรระดับประเทศ

แต่ปัญหาคือ เดี๋ยวนี้ อายุ 60 ปี ..ยังไม่แก่เลย ...นี่แหละ ปัญหาใหญ่คนรุ่นต่อไป ...คุณเกษียณแล้ว งง ?!?

เพราะ 'งาน' มันคือ การอธิบายตัวตน ...คนเห็นตัวเรา ให้เกียรติเรา เพราะ งานที่เราทำ แต่อยู่ดีๆ ถ้าต้องหยุดทำงาน อันนี้แหละ Shock !!  ...เพราะเป็นใครก็ปรับตัวไม่ทัน คุณทำงานเดิมมา 30 กว่าปี จนเชี่ยวชาญในงานที่ทำ แล้ววันนึงให้หยุด ก็จิตตกซิครับ !!

ทางแก้จริงๆ ไม่ใช่มาแก้ในวันที่ใกล้เกษียณ แต่มันต้องเริ่มวันนี้เลยครับ อย่ารอให้ถึงวันนั่นเพราะมันช้าไป

วันนี้ที่เราต้องทำคือ
1. เข้าใจก่อนว่า 'งาน' คือ การอธิบายตัวตนของเรา ..ถ้าไม่ใช่ ต้องปรับให้ใช่ ..โดยเริ่มจาก Part-time สิ่งที่ใช่แล้วค่อยๆ ย้ายไปให้งานถูกจริตเราในที่สุด -- 'เปลี่ยนงาน ..ถูกต้อง'

2. เตรียม 'Port เงินเลี้ยงเรา เมื่อหยุดทำงาน' เช่น ออมในหุ้นปันผล , ออมในอสังหาให้เช่า แล้วห้ามขายนะ เพราะเราจะเอาเงินปันผล ไม่ใช่เงินก้อน (มีเงินก้อน ปวดหัว ..ถึงเยอะก็ปวดหัว คิดดีๆ)

เราต้อง เตรียมสบายก่อนเกษียณ เตรียมสิ่งที่อยากจะทำหลังเกษียณตั้งแต่วันนี้

..ไม่แน่นะ ถ้าคุณทำได้ดี อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคุณจะได้ทำทุกอย่างที่อยากจะทำหลังเกษียณโดยไม่ต้องรอ !!


MAY26 5 'แนวคิด' ที่จะเปลี่ยนโลกยุคใหม่

สิ่งที่เปลี่ยนไปในวันนี้ ผมเชื่อว่า โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า "สินค้าบางอย่างที่เคย ขายได้ดี วันนี้อาจจะขายไม่ได้" , "สื่อเดิม ที่เคยมีอำนาจในการตัดสินใจ กลับกลายเป็นวันนี้แทบไม่มีอำนาจ" , "สื่อใหม่อย่าง Social Media มีพลังจริง แถมฟรีอีกต่างหาก แต่ปัญหาคือ ไม่สามารถควบคุมได้เลย" ..ทั้งหมดที่ว่ามา มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

หนังสือในช่วงที่ผ่านมาของผม ล้วนแล้วแต่เป็นการใช้ตัวผมเองนี่แหละ เป็นหนูทดลองในเรื่องราวใหม่ๆ ...แล้วลองผิดลองถูก จากนั้นก็ถ่ายทอดบทเรียนผ่าน Facebook และ ก็รวมเล่มเป็นหนังสือ หลายๆ เล่มใน SE-ED ...

ผมรวมเป็นแนวคิด 5 เรื่องที่จะเปลี่ยนโลกยุคใหม่ ดังนี้ครับ

1. ยุคนี้เส้นแบ่งระหว่างลูกจ้าง กับ นายจ้าง ไม่ชัดแล้ว ..เพราะ ลูกจ้างยุคนี้สามารถเริ่มธุรกิจส่วนตัว ที่สามารถทำหลังจากเวลางาน เป็นแนว Part-time Passion เหมือนอย่างที่ผมทำ ..ผมทำ ธุรกิจหนังสือ และ การสัมมนา นอกเวลางาน , ผมทำ Start-Up ธุรกิจเล็กๆ เกี่ยวกับ Robot ...ผมพบเลยว่า ใครเข้าใจแก่นของยุค Information Age คุณสามารถ 'เริ่มธุรกิจ ใช้เงินนิดเดียว แต่โอกาสมหาศาล' ...ใช่ ธุรกิจ Start-up ใช้เงินทุนต่ำกว่าเปิดร้านกาแฟเสียอีก แต่โอกาสทำเงินมหาศาล ...อันนี้เป็นหนึ่งในองค์ความรู้ที่ผมอยากนำเสนอคนรุ่นใหม่เรื่องที่หนึ่ง "คือ คุณรวยได้ ไม่ต้องเริ่มที่เงินนั่นแหละ"

2. การสร้าง Connection หรือ เส้นสายในยุคใหม่ ไม่ได้แบ่งด้วยตระกูล แบบยุคก่อน ...เดี๋ยวนี้สังเกตไหมครับ เรามีสังคมต่างๆ เช่น สังคมนักลงทุน , สังคมของคนที่สนใจเรื่องต่างๆ ...พวกนี้คือ Connection ชั้นดี ของคนที่สนใจเรื่องต่างๆ มารวมตัวกันด้วย "งานอดิเรกที่รัก" ..จากนั้น คนเหล่านี้แหละที่เปลี่ยน งานอดิเรกให้ทำเงิน ...อย่างเล่นหุ้นนี่ ผมเป็นหนึ่งใน Founder ของสำนักพิมพ์ Stock2morrow ร่วมกับ คุณป้อม ปิยพันธ์ ...มันเริ่มจากคนไม่กี่คนที่รักการลงทุน จนกลายมาเป็นสังคมนักลงทุนรายย่อย ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งวันนี้ขยายไปสู่การพัฒนาตัวเองด้านต่างๆ ...ยุคนี้ไม่มีชนชั้นที่แบ่งจากตระกูล แต่มันแบ่งจากความชอบ หรือ Passion ต่างหาก ...ผมว่า คนสุดยอดของแต่ละอุตสาหกรรมในยุคต่อไป ก็เริ่มจาก Passion นี่แหละครับ ...อันนี้เป็นเรื่องที่สองที่ผมนำเสนอ คือ "หาเพื่อน" หาคนเดินด้วย ที่มี Passion คล้ายๆ คุณ คนเหล่านี้แหละคือ เพื่อนร่วมเดินทางสู่ฝันของคุณ

3. ยุคนี้ชีวิตเปลี่ยนเมื่อเปลี่ยนความคิด ...ผมได้มีโอกาสรู้จักกับ ดร.ต้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ ...สิ่งที่น่าสนใจคือ เราทุกคนล้วนวิ่งมาเจอปัญหาหรือทางตันในชีวิต ไปต่อไม่ได้ ..ดร.ต้อง ทำให้ผมรู้ว่า การข้ามความกลัวตรงนั้น มันคือ การ Change Mindset ..ภาษาวิชาการเรียกว่าการ Re-define ..พูดแล้วเหมือน ตลก แต่อันนี้ของจริง คือ คนที่ Re-define ตัวเองได้ ชีวิตจะพุ่งขึ้น 10 เท่า ...ถ้าดูจากเงินในกระเป๋า ก็คือ จะรวยขึ้นได้ 10 เท่า ทุกครั้งที่ยอมเปลี่ยน "ชุดความคิด" ...อันนี้เป็นหนึ่งในองค์ความรู้ ที่ผมเขียนหนังสือ ร่วมกับ ดร.ต้อง ..วันนี้มาถึงเล่มที่ 3 "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ..คนเราเปลี่ยนง่ายนิดเดียว Change Mindset ..จากนั้นที่เล่นหุ้นเจ๊งจะพลิกเป็นกำไร ..ผมทำเห็นผลกับคนหลายๆ คนจริง มันน่ามหัศจรรย์มาก

4. "คนเราไม่มี Limit หรอกครับ" อันนี้ผมร่วมเดินทางกับ หยง ...ผมกับหยงรู้จักกันเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตัวผมยังไม่มีอะไร ..ตัวหยงก็เทรดหุ้นเจ๊งอย่างหนัก ...เรามาเจอกัน เหมือนคนที่มันโดนกัน คือ "กรูกับมึงเจ๊งเหมือนกันเลย" ..ผมเลือกเดินสาย ลงทุนระยะยาว ส่วนหยงเลือกเดินสายเทรดเดอร์มืออาชีพ ..เราร่วมกันเขียนหนังสือ Freedom Trader ..จากวันนั้นถึงวันนี้ Port ส่วนตัวของพวกเราโตเป็นสิบเท่า จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะหลายๆคนในตลาดมีเก่งกว่าพวกเราเยอะ ...แต่พวกเรามี Passion อย่างนึง ระหว่างผมและหยงที่ตรงกัน คือ "เราชอบสอนคน เราชอบเป็นอาจารย์" ...วันนี้ผมกับหยงกำลังจะออกหนังสือ Freedom 2 ซึ่งมันเป็นการฟันธงตลาดหุ้นแบบโคตรตรง เพราะพวกผมไม่เชื่อฝรั่ง ไม่เชื่อใคร ..องค์ความรู้ที่เรามี เราเรียนตรง ล้มลุกจากเลือด แผลเต็มหลัง ดังนั้น นี่คือ ความเชื่อของพวกผม ซึ่งไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อตาม ดีก็รับไป ไม่ดีก็ทิ้งไว้ตรงนี้ ...อันนี้เป็นองค์ความรู้เรื่องที่สี่ ผมและหยงเชื่อว่า เราทุกคนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่เราไม่หยุดเรียนรู้ และ ถ่ายทอดในเวลาเดียวกัน -- พูดแล้วแมร่งดูหล่อ แต่ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ ผมและหยงจะไม่หยุดเรียนรู้และสอนคนในเรื่องการลงทุน

5. "การได้ร่วมงานกับผู้ใหญ่ ที่เชื่อมั่นในตัวเรา มันโคตรดีบอกเลย มันคือ การเรียนรู้แบบก้าวกระโดด -- เรียนติดจรวดว่างั้น !!" ..ตัวผมไม่เคยมองตัวเองเป็นลูกจ้าง เพราะผมทำงานไม่ใช่เพราะต้องทำ แต่ทำเพราะผมอยากทำ "กรูรวยอยู่แล้ว แต่ 'งาน' มันคือ การอธิบายตัวตนของผม และ ผมจะไม่เคยหยุดอธิบายตัวตนผ่านสิ่งที่ผมทำ (เงินน่ะเอา ไม่ใช่ไม่เอา ..55 -- แต่งานที่ใช่ ผมว่าสำคัญกว่าครับ)" ...ที่หลักทรัพย์บัวหลวง ผมได้เจอผู้บริหารรุ่นใหม่ที่โคตร Open พูดชื่อ ก็ไม่น่ามีปัญหานะ เสี่ยโบ้ และ ป๋าเนส ..ที่แห่งนี้ผมได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ผมไม่คิดว่าองค์กรอย่างนี้จะกล้าทำ ...โคตรมันส์ -- คุณลองดูนวัตกรรมต่างๆ ที่บัวหลวงออกมาบริการลูกค้าซิ ตั้งแต่เอา Robot มาจัดการลงทุน , ให้รายย่อยใช้ Robot เองอย่าง iAlgo หรือ เครื่องวัดฝีมือเล่นหุ้นอย่าง iTracker ที่เอามาวิเคราะห์และเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน เหมือนมีหมอมาวิจัยว่า คุณต้องปรับปรุงอะไร , ไหนจะโครงการ Stock Master ที่สอนลูกค้าเล่นหุ้นใช้เงินจริง (ในวันที่เราเริ่ม บอกเลย โคตรบ้า..ใครกล้าทำ?) ..องค์ความรู้ที่ห้านี้คือ ผมว่าเราต้องเปิดใจ ..บางทีสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปได้ ..ผมว่า แค่เรากล้า ชนะความกลัว เราก็เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ได้แล้วครับ

ก็ 5 ข้อ จุดยืน ...ซึ่งผมจะเดินต่อไป ...จะทำ Passion นี้ ให้มันยิ่งใหญ่ ...เพราะ ผมไม่เคยหยุดเดิน !!

กรูสู้ ...กรูบอกเลย ..555


MAY26"รวยเร็ว กับ รวยนาน" คุณเลือกอันไหน ...เฮ้ย!! ต้องเลือกด้วยหรือ ขอทั้งสองอย่างไม่ได้เหรอ ?

 ไม่ได้ !! แปลกไหม ที่เราจะ รวยเร็ว และ รวยนาน พร้อมกันไม่ได้ เพราะ ทั้งสองอย่างมีวิธีการได้มา ที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง ...อันนึงคือ เดินขึ้นเหนือ ..อีกอัน คือ เดินลงใต้ -- ต้องเลือกแล้วครับว่า คุณจะเอาอันไหนระหว่าง "รวยเร็ว" หรือ "รวยนาน"

ใช่!! คนส่วนใหญ่เลือก "รวยเร็ว" เพราะ ต้องการเร็วๆ ...ผมจะบอกว่า ทางเลือกนี้ ยากกว่า หินกว่า เพราะ อย่างที่บอกคนส่วนใหญ่เลิกทางเดิน "รวยเร็ว" ทำให้เส้นทางเต็มไปด้วยคู่แข่ง ...ยกตัวอย่าง ตลาดหุ้น ถ้าคุณซื้อขายเร็วๆ สังเกตไหมว่า โคตรยาก ...แต่ถ้าคุณออมในหุ้น โคตรง่าย แต่รวยช้า ...คนส่วนใหญ่ก็จะเลือก ซื้อขายเร็วๆ เพราะ มันดูเหมือนรวยเร็วกว่า จริงไหม ?

 กับดักของ "รวยเร็ว" มีดังนี้
1. "อยากรวยเร็วง่ายๆ" ...อันนี้ซวยแน่นอน เช่น ซื้อหวย(ถูกไป ก็รักษาเงินไม่ได้หรอกครับ ถ้า Mindset ยังคงเดิม ..เสียเวลา -- แต่จริงๆ คุณไม่ถูกหรอก อิ อิ) , ซื้อหุ้นปั่น (คุณนั่งตรงข้ามกับ เจ้ามือ ..ถ้าเขาไม่เจ๊ง คุณก็เจ๊ง "เพราะคุณซื้อหุ้นปั่น ตอนเจ้าขาย และ คุณขาย ตอนเจ้าซื้อ" ...แล้วคุณว่าใครเจ๊ง) ,  โกงลูกค้า (อันนี้รวยเร็ว แต่อยู่ไม่นาน) , หลอกลูกค้า (อันนี้ก็อยู่ไม่นาน)

2. "อยากรวยเร็ว แต่ความรู้เราไม่มี" ..อันนี้ Classic คนที่จะรวยเร็ว ต้องมีความรู้เหนือคนอื่น ...แต่ความรู้คุณธรรมดา ก็มีแต่ทางโกงคน หลอกคน นั่นแหละ ซึ่งไม่ยั่งยืน

วิธีแก้ การติดกับดัก

1. "รู้ให้ต่าง" ...ความรู้มีมากมาย ...แต่เวลาเรามีจำกัด ดังนั้น ให้ทุ่มเวลาทั้งหมดในความรู้ที่คนส่วนใหญ่ไม่มี ..คือ ไปศึกษาเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ...ทุ่มเวลาไปตรงนั้น ...คุณรู้จัก บอย ท่าพระจันทร์ ไหม ...เขารวยจากพระเครื่อง ซึ่งปกติคนไม่ค่อยรู้ว่าอะไรแท้อะไรปลอม ...เขามุ่งไปศึกษาจนทุกคนต้องมาถามเขาว่า อันไหนแท้ อันไหนปลอม ...คุณว่ารวยไหมล่ะ ?

2. "เดินตรงข้ามไปเลย" ...คนอยากรวยเร็ว ...คุณตั้งธงเลย "ขอรวยช้าๆ" ...นี่แหละ การเลือกสนามแข่งที่คู่แข่งน้อย ...อย่างในตลาดหุ้นก็คือ การออมในหุ้น เพราะ คนส่วนใหญ่ไม่ทำ มันรวยช้า หรือ ไม่ก็ทำแล้วทนไม่ได้ เพราะมันใช้เวลาเกือบ 10 ปี ที่จะเห็นผล

นั่นแหละครับ "ชีวิต" เราเลือกได้ ...และ เรานั่นแหละ "เลือกสิ่งที่เป็น" ...อย่าโทษถ้าชีวิตไม่ดี ว่าเพราะดวงไม่ดี จริงๆ คุณเลือกเองนั่นแหละ ...อย่าบ่น !!

ถ้าไม่ชอบทางเลือกที่เป็น ...เปลี่ยนซิครับ ...ไม่มีสายไป เพราะ เปลี่ยนทางเลือกปั๊บ ชีวิตก็จะค่อยๆ เปลี่ยนตาม ...เปลี่ยนชีวิตง่ายนิดเดียว !!

MAY25 "ขยายความยิ่งให้ยิ่งได้ใช้ได้จริงหรือ" ..รุ่นน้องมาถามผมว่า ที่ผมเล่าว่ายุค Information Age มันต้อง 'ให้ก่อนรับ' ช่วยยกตัวอย่างหน่อย -- คิดไม่ออก !!

ดูอย่าง อ.เฉลิมชัย ซิ ที่แกทุ่มทั้งเวลาและเงินตัวเองสร้างวัดร่องขุ่น ดูเหมือนแกไม่ได้อะไร ..แต่ดูดีๆซิ

แก 'ให้' โดยสร้างงานศิลปะระดับโลกไปก่อน จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก ..ประโยชน์ที่อาจารย์สร้าง ทำให้คนในชุมชนนั้นรวย เชียงรายมีสถานที่ท่องเที่ยว เป็น Landmark ที่ทำให้เงินนักท่องเที่ยวสะพัด ทุกคนได้ประโยชน์ ..ประเทศไทยก็ยังได้ประโยชน์จากผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย

สุดท้ายผลก็กลับมาสู่แก ทำให้ผลงานของอาจารย์เฉลิมชัยทุกอย่างมีราคาสูงแพง ภาพเขียนแกวันนี้แต่ละภาพเป็นสิบล้าน ..นี่ไงยิ่งให้ยิ่งได้

อาจารย์เฉลิมชัยสอนผ่านการทำงานทั้งชีวิตให้พวกเราเห็นว่า "สร้างประโยชน์ให้คนอื่นก่อน สุดท้ายเราก็ได้รับกลับคืนไม่รู้กี่เท่าทวีคูณ"

ผมว่านี่แหละชีวิตที่มีคุณค่า !! ...โคตรเจ๋ง

"ยิ่งให้ ยิ่งได้" ใช้ได้ทุกยุคสมัยครับ !!




MAY25  10 เรื่องรู้ไว้ใช้หากิน

1. "โลกของอุตสาหกรรมกำลังตาย" ...ลูกค้าจ่ายเงินซื้อสินค้าตาม 'ราคาที่คุ้มค่า' ไม่ได้ซื้อจาก 'ต้นทุนของสินค้า' ...ดังนั้นการตั้งราคาสินค้าไม่เกี่ยวกับต้นทุน แต่เกี่ยวกับลูกค้ายอมจ่าย ..ยกตัวอย่าง ไวน์หนึ่งขวดมีต้นทุนการผลิตไม่แตกต่างกันคือ ไม่กี่ร้อยบาท แต่ราคาไวน์ มีตั้งแต่ หลักร้อย ยันขวดละหมื่น ขวดละแสนบาท

2. "รู้ค่าของตัวเอง และกล้าตั้งราคา" ... 'มืออาชีพ' จะตั้ง 'ราคาให้สูงที่สุด เท่าที่ลูกค้ายังมองว่าคุ้ม' ..เพราะยิ่งสินค้าแพง ลูกค้ายิ่งมองว่าดี

3. "เราต้องแพงและโคตรดี" ..การแข่งกันขายสินค้าให้แพงขึ้น และพัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้น คือ เกมการแข่งขันใหม่ของมืออาชีพในยุคนี้

4. 'สินค้าต้องสุดยอด จนต้องบอกต่อ' ..การโฆษณา และ Mass Media ตายเรียบร้อยแล้ว ...สิ่งที่จะทำให้การโฆษณาและบอกลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าที่ดีที่สุด คือ ทำสินค้าเราให้สุดยอดจนต้องบอกต่อ "Product worth Spreading"

5. "พูดและคุยแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์" ...โลกยุคนี้มันเปลี่ยนแปลง จนลูกค้าแทบไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ..เราต้องสื่อสารความคิด ให้เขาเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อเขาเพียงใด คือ การสร้าง "Idea worth Spreading"

6. "ทำสินค้าที่เราอยากใช้จริงๆ" ...ลูกค้าคนแรกที่ต้องใช้สินค้าเราก็คือตัวเรา และ คนที่สองที่ต้องใช้สินค้าเราคือ ลูกน้องในบริษัทเรา ..ถ้าเรายังไม่ใช้สินค้าเรา แสดงว่าสินค้าเรายังไม่ดีพอที่จะขาย

7. "แข่งกันแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่น" ...สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจในยุคนี้คือ เอาประโยชน์ของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ..สินค้าและบริการที่สุดยอด ต้องแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ลูกค้ามากที่สุด

8. "ใช้สมองให้มาก เคลื่อนตัวให้น้อย" ...ออกแรงให้น้อยที่สุด เพื่อสร้างสินค้าที่เป็นประโยชน์ให้ถึงคนให้มากที่สุด

9. "คิดเป็นระบบ สร้างเครื่องผลิตเงิน" ...สร้างระบบที่เริ่มจากการสร้างสินค้าจนถึงการส่งมอบให้ลูกค้า โดยที่เราไม่ต้องอยู่ตรงนั้น ..สร้างธุรกิจที่เป็นระบบ ที่ตัวเราหลุดได้

10. "ยุคนี้การแข่งขันเป็นเกมของผู้ตาม ผู้นำต้องร่วมกันสร้างประโยชน์ให้ลูกค้า" ..ธุรกิจยุค co-creation ต้องปฎิบัติ ต่อทุกคน 'คู่ค้า ลูกจ้าง ลูกค้า' เสมือน หุ้นส่วน Partner ...เพราะยุคนี้ ไม่มีใครจะเอาเปรียบใครได้แบบในอดีตอีกต่อไป

MAY24"ทางเดินคนรุ่นใหม่อาจไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด!!" ...

หนึ่งในทางที่ผมเลือกเดินคือ "สายอาจารย์" คือ เดินสายสอนทายาทธุรกิจของบัวหลวงทั่วประเทศ ...สิ่งที่ผมสัมผัสกับคนเหล่านี้อาจเป็นมุมที่หลายคนไม่รู้

"พ่อเป็นเจ้าของโรงงานใหญ่โต เพื่อนๆ อิจฉาคนเหล่านี้ แต่เบื้องหลัง เขากำลังจะรับช่วงธุรกิจจากพ่อ ..โรงงานพันล้านผลิตสินค้าให้แบรนด์ระดับโลก ที่โดนกดราคาไม่งั้นเขาอาจย้ายไปสั่งของที่พม่าหรือจีน ..ค่าแรงขั้นต่ำที่ขึ้นติดคอ ...โรงงานพันล้าน มาพร้อมหนี้ 900ล้าน พร้อมคนงาน 500 คน ที่ไม่ชอบเจ้าของโรงงาน ..และที่สำคัญ พ่อไม่เคยถามผมว่า ผมอยากทำโรงงานแบบพ่อหรือเปล่า ..เรียนสูง แต่ไม่ชอบสิ่งที่เรียน เพราะต้องเรียนเพื่อรับภาระครอบครัวในฐานะลูกชายคนโต"

..คุณว่าทายาทธุรกิจเหล่านี้ เขาเลือกได้ไหมว่าเขาอยากทำอะไร ?

1. ไม่รักในสิ่งที่ทำ แต่ต้องทำ เพราะ ต้องทำไง !!
2. ล้มไม่ได้ ..ทำงานด้วยความกลัว และ ความกดดัน
3. คนที่ไม่รักในสิ่งที่ทำ ..ยากที่จะคิดนอกกรอบ จึงพาธุรกิจเข้าสู่ขาลง

และนี่คือ ตำนานเจ้าสัว และ โรงงานนรก กับ ทายาทธุรกิจ ที่กำลังจะปิดฉากลงในฐานะ 'มังกรผู้เดินท่ามกลางความกลัว และไร้วิญญาณ"

วันนี้ธุรกิจทั่วโลก กำลังเปลี่ยนจาก "ยุคอุตสาหกรรมที่เจ้าของโรงงานรวย มาสู่ยุค Information Age ที่คนอย่าง Jack Ma รวย ..คนอย่าง Mark Zuckerberg รวย" ..ต่างกันที่คนนึง ถูกบังคับให้เดินในทางที่เลือกไม่ได้ กับ อีกคนซึ่งเลือกชีวิตเอง และมี Passion ในสิ่งที่ทำเพราะทำเพื่อเปลี่ยนโลก

ยุคนี้ คนช่วยเหลือคนอื่น และให้โอกาสคนอื่น โดนอาศัยเทคโนโลยีและระบบคิดใหม่แบบ Jack Ma รวยขึ้นเรื่อยๆ "ยิ่งรวย ยิ่งเปลี่ยนระบบแบบเดิม ยิ่งสำเร็จ ก็ยิ่งรักในสิ่งที่ทำ ..มันคือ วงจรการคิดใหม่สู่โลกที่ฉันสร้างตัว ด้วยตัวของฉันเอง ..ฉันรวยเพราะให้โอกาสคนอื่น ...คนอย่าง Jack Ma ทำไมถึงโชคดีเช่นนี้ ?"

Jack Ma โชคดี เพราะ
1. เขาเกินมาจน ..เขาเลยต้องเลือกทางเดินชีวิตเอง
2. เขาไม่มีเส้นสาย ..เขาเลยไม่เคยมีกรอบที่ต้องเดิน ..จึงเดินโคตรนอกกรอบ
3. เขาหน้าตาไม่ดี ..เพราะไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งตระกูล แถมหน้าตาก็ไม่ดี เลยไม่มีอะไรจะเสีย

นี่คือ "ข้อได้เปรียบของ Jack Ma" ..เพราะฉันไม่มีทางให้เดินลง จึงต้องเดินขึ้นไง !!

MAY24"รับช่วงธุรกิจคิดต่อยอด" ...อันนี้ไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ จะสุดยอดมาก!!

ยุคนี้ธุรกิจมันกำลังเปลี่ยนมือจากรุ่นสู่อีกรุ่น
"สิ่งที่ต้องคิดคือ โดยส่วนใหญ่ ธุรกิจที่ทำให้พ่อรวย จะไม่ทำให้ลูกรวย ..เหมือนซื้อหุ้นตามเซียน หุ้นที่ทำให้เซียนรวย จะทำให้เราซวย ...คิดดีๆ ?"
..มันมี 2 ทางเลือก

1. "รับธุรกิจมาทำแบบเดิม" เช่น พ่อทำโรงแรม ลูกก็มาบริหารต่อ โดยไม่ดูเลยว่า ตลาดมันเปลี่ยน โรงแรมมันก็เก่า ทำเลมันก็เปลี่ยน ..พวกนี้ทำแล้วลง เสี่ยงเป็น NPL หนี้เสียในที่สุด "เจ๊ง!!"

2. "รับมาเปลื่ยน" เช่น เอาโรงแรมมาเปลี่ยนปรับปรุงแบบ 360 องศา ดูใหม่ ทันสมัย สร้างลูกค้าใหม่ ...ตรงนี้ที่ทายาทธุรกิจไม่ค่อยกล้าทำ เพราะ 'กลัว' ..กลัวว่าใส่เงินเพิ่มแล้วจะไม่ดี ...'ความกลัว คือ ศัตรูของการสร้างสิ่งใหม่ !!'

แต่เขาลืมไปอย่างนึวว่า ทุกอย่าง อยู่ในกฏ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" ไม่เว้นธุรกิจของเรา

การจะเปลี่ยนให้ดีขึ้น ต้องสร้าง Life Cycle ใหม่ให้กับ สินค้าเดิม ..ในภาษาวิชาการเขาเรียก การ Re-define ดังนี้

1. สร้างตัวตนใหม่ให้กับสินค้า คือ สร้าง Identity ใหม่ ..คิดดูดีๆ วันนี้คนซื้อของเพื่อตอบ Identity ของตัวเอง ..กิน Starbucks  ซื้อ Hermes เที่ยว ศรีพันวา เพราะต้องการตอบ Identity ของตัวเอง "จ่ายเพื่อแสดงตัวตนของฉัน!!" ...คนรุ่นใหม่เขาไม่ได้ซื้อของแค่ใช้ แต่เพื่อแสดงตัวตน -- หมดยุคซื้อของแค่ปัจจัย 4 มานานแล้ว !!

2. 'ประกาศตัวตน ให้คนรับรู้' ..ยุคก่อนใช้โฆษณา อันนั้นมันความคิดขององค์กรใหญ่เงินหนา คนตัวเล็กเล่นเกมนั้นมีแต่ตาย ..ยุคนี้คนตัวเล็กเขาใช้ สื่อกระแสรอง Social Media ในการสื่อสาร ..คุณตันสร้างหมื่นล้านใน 4 ปี เพราะเขาคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ !!

นี่แหละ ทางเลือกคร่าวๆ ของ ทายาทธุรกิจต้องคิดให้หนัก !!

ไม่!! มันไม่ได้เริ่มที่เงิน ..มันเริ่มที่ "คิดเป็น" ..เมื่อคิดเป็น เดี๋ยวธนาคารจะเอาเงินมาให้ ..นักลงทุนจะขนเงินมาให้

'ความเสี่ยง คือ การทำสิ่งเดิม แล้วหวังผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ..และความเสี่ยงที่สุด คือ การไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรใหม่ๆเลย ..เพราะยุคนี้ เราควบคุมความเสี่ยงได้'

-- ลองคิดดูครับ !!


MAY24"การเริ่มต้นทำธุรกิจใช้เงินน้อย" ..แบบเบื้องต้นมี 4 ประเภท ดังนี้

1. 'การทำสัมมนา' ..อันนี้คือการ 'ขายความรู้และ Knowhow ..ซึ่งถ้าเราเก่งเราจะแถม Knowwho และ Connection ต่อยอดให้คนเรียนด้วย (แต่การให้ Knowwho อันนี้ขั้น Advance สำหรับวิทยากรที่เชี่ยวชาญ ไว้ผมจะค่อยๆ อธิบายรายละเอียด) -- การทำสัมมนาคือ การ Package สิ่งที่เรารู้เพื่อประหยัดเวลาลองผิดลองถูกให้คนที่สนใจในเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ "เรื่องอะไรก็ได้" ..คนยอมจ่ายเงินให้สิ่งนี้ ..อย่างตัวผมเอง ผมเลือกหัวข้อ 'การเล่นหุ้นและการลงทุน'

 ..คนที่สนใจทำธุรกิจสัมมนาต้องเลือกเรื่องที่เรามี Passion

2. 'การทำหนังสือ' อันนี้ต้นทุนจะสูงกว่าแบบแรก แถมได้เงินน้อยกว่า ..แต่หนังสือเป็นการประกาศให้คนจำนวนมากรู้ว่า 'เราเก่งเรื่องอะไรและเรามี Passion ในเรื่องไหน' ...การทำหนังสือวันนี้ต้นทุนต่ำกว่าในอดีตมาก ..ข้อดีคือ หนังสือเหมือน นามบัตรใบใหญ่ สู่โอกาส -- เรียกหล่อๆ ว่า "หนังสือ = เวทีสู่โอกาส ที่เราปั้นเอง"

3. 'การเป็นที่ปรึกษา : Consulting ' อันนี้ต่อยอดจากที่เราเชี่ยวชาญมาหาเงินจากการให้คำปรึกษา ซึ่งทำได้ทั้ง ส่วนบุคคลและบริษัท ..ตอนเริ่มธุรกิจให้คำปรึกษา ผมก็เริ่มจากให้คำแนะนำส่วนบุคคล จนวันนี้ผมได้รับโอกาสจากบริษัทขนาดใหญ่ ให้มาเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในวงที่กว้างขึ้น ..อันนี้ก็เป็นธุรกิจแบบนึงที่หาเงินจากความเชี่ยวชาญของตัวเอง

4. 'Co-creation' อันนี้ยากขึ้นไปอีก เป็นการ Matching ของโอกาสในการเอาความเชี่ยวชาญของเรา ไป Match กับคนที่สนใจในสิ่งนี้ ซึ่งจะเป็นบริษัท หรือ นักธุรกิจ ก็ได้หมด ..คล้ายการเริ่มธุรกิจ Start-Up นั่นแหละครับ

ก็มี 4 ประเภท ธุรกิจ ที่เริ่มจากเงินน้อย แต่ต่อยอดทำเงินได้มหาศาล ...แต่อย่างแรก ต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่า เราเชี่ยวชาญและมี Passion ในเรื่องอะไร

จัดไป คิดๆๆ


MAY23ธุรกิจจะดีสักแค่ไหน ถ้า "ฉันมีลูกค้าเป็นเพื่อน " ..เพราะทุกวันนี้ คุณเชื่อเพื่อน มากกว่าเชื่อบริษัท ...คุณซื้อหุ้นตามเพื่อนจริงป่ะ(คุณทำแต่มันไม่ดี..555) ..เพื่อน!! ทำให้คุณตัดสินใจซื้อมากกว่าโฆษณา จริงไหม?

ดังนั้น หนึ่งในสุดยอด Business Strategy ที่ Harvard Business School จะต้องหันมามองก็คือ "กลยุทธ์ฉันมีลูกค้าเป็นเพื่อน"

มีหลักการดังนี้

1. "ให้เขาก่อน" มอบความรู้ มอบสิ่งดีๆ ให้เขาฟรีๆ อย่าหวง ..ให้ก่อน !!

2. "พยายามเข้าใจเขา" ..ต้องพยายามเข้าใจเขาว่าจริงๆ เขาต้องการอะไร ธุรกิจมันมีแก่นคือ 'แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ลูกค้า แค่นั้นเอง ..เดี๋ยวเงินจะตามมาเอง'

เช่น ลูกค้าที่เล่นหุ้นของผม เขาไม่ได้ต้องการเทรดหุ้นบ่อยๆ แต่เขาต้องการกำไร ..ถ้าผมสนใจแต่ค่า คอมมิชชั้นในการซื้อขายหุ้น ผมก็ต้องพยายามให้เขาซื้อขายบ่อยๆ ซึ่งผลลัพธ์คือเขาน่าจะเจ๊ง แต่ผมรวย ซึ่งมันไม่ work

...ดังนั้น ผมต้องคิดใหม่ คือ สอนเขาให้ลงทุนเป็นตามแนวที่เหมะกับตัวเขา นี่แหละ กลยุทธ์เปลี่ยนห้องค้าเป็นห้องเรียน -- ให้ประโยชน์เขาก่อน แล้ว เขาจะเป็นเพื่อนเราเอง !!

แค่นี้ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร คุณจะค่อยๆเปลี่ยนลูกค้าเป็นเพื่อน

...โคตร work บอกเลย ..ผมใช้แล้ว work กับธุรกิจหมื่นล้านอย่าง หลักทรัพย์บัวหลวง

..ผมเชื่อว่าถ้าคุณเอาไปปรับใช้ มันน่าจะดีกับธุรกิจคุณเช่นกัน

จัดไป!!

MAY23ต้อนรับ 'ต๊อบ' สู่ชุมชน Stock2morrow ..หลายคนอาจจะรู้จักต๊อบผ่านหนัง วัยรุ่นพันล้าน !! -- ก็ดูสนุกดี แต่เอาจริงๆ นะ คุณว่าอะไรที่ทำให้คนๆ นึงประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

ผมว่าถ้าเทียบต๊อบ ก็ไม่ต่างจาก Young Rich ใน หุบเขาเปลี่ยนโลก The Silicon Valley ..คนเหล่านี้ บ้าดีเดือด ตีลังกาเดิน คิดไม่เหมือนใคร ทำงานยิ่งกว่าไปเที่ยว 'แปลก' แต่เขาก็มีอะไรที่เหมือนๆ กัน คือ

1. 'ในขณะที่คนส่วนใหญ่เลี้ยวขวา คนเหล่านี้เลี้ยวซ้าย' ...Yes !! ช่างกล้า ..ช่างบ้า

2. 'เขาคิดเหมือนกันว่า อย่างมากก็เจ๊ง แล้วไงวะ?' ..ล้มก็ลุกแค่นั้น ทุกคนที่สำเร็จก็แบบนี้ทั้งนั้น ..มีแต่คนทั่วๆไปเท่านั้นที่ไม่เคยเจ๊ง -- "แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่ใช่คนทั่วไป ..กรูไม่ธรรมดา!!"

3. 'ล้มแล้วเรียน ปาดน้ำตา เดินต่อ' ..คนส่วนใหญ่ชีวิตไม่เคยล้มด้วยซ้ำ แล้วจะเรียนรู้จากอะไรล่ะ ? ..คิดว่าเรียนตอนปริญญาแล้วนั่นจะทำให้เราสำเร็จ แบบนี้มันรวยทุกคนในโลกแล้ว ..ความรู้ในระบบมันแค่พื้นฐาน ..แต่ความเชี่ยวชาญที่ทำให้เราแตกต่างและสำเร็จเศรษฐี มันเรียนจากชีวิตจริง !! ..ล้มแล้วก็เรียน

4. 'อยากช่วยคนอื่น' ..คนอย่างต๊อบ รวยแล้ว จะมาออกหนังสือ จัดสัมมนาทำไม ..และขอบอกว่า สิ่งที่ต๊อบมาสอนในสัมมนาให้ที่ Stock2morrow เป็นความรู้ที่ไม่ธรรมดา ..มันคือประสบการณ์จริงไง ..ยิ่งช่วยคนอื่น ยิ่งแชร์ ตัวเองกลับยิ่งดี ..นี่คือ กฎของโลกยุค Information Age

5. ผมว่าคุณไป จัดหนังสือ ต๊อบมาอ่านต่อดีกว่า ...เราเอาเรื่องราวคนอื่น มาจุดไฟในตัวเรา ..ยุคนี้มันคือยุค มือเปล่าสร้างพันล้าน แต่ไม่ใช่แค่มือ ต้องมาพร้อมสมอง

ความคิดในยุคนี้ ..ยิ่ง 'โดน' ยิ่งดัง ..ยิ่งได้เงิน และ ที่สำคัญ 'ความคิด ไม่เสียเงิน และสามารถทำเงินอย่างทรงพลัง!!'

คุณลองสังเกตซิว่า คนอย่างต๊อบ และ คุณตัน ใช้เงินโฆษณา น้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ แต่ผลลัพธ์ดังกว่า โดนกว่า -- เคล็ดลับเหล่านี้แหละที่คุณต้องเรียนจาก 'คนจริง' !!

จัดไป !

MAY22ชีวิตคนทุกวันนี้มีทางเลือก คือ ถนน 2 ทาง
1. 'ถนนในเมือง' ทางเดินที่คนส่วนใหญ่เลือก มี Carrer Path , มีคำว่าอาชีพ , มีเพื่อนเดินมากมาย , มีเงินเดือน มีแม้กระทั่งแผนที่ให้เดิน แต่ปัญหาคือ รถมันติด และ คุณไม่สามารถขับรถข้ามหัวคนที่เดินทางมาก่อนได้

2. 'ถนนในป่า' ทางเดินนี้ของ Jack Ma ..ถนนยังไม่มีเลย ..ทางแม่งมืด ..ไม่มีแผนที่ ทางนี้ที่ผมอยากชวนคนรุ่นใหม่มาลองเดิน

การเริ่มธุรกิจวันนี้ จริงๆ แทบไม่ต้องใช้เงิน มันเริ่มจากหนึ่งคนกับคอมหนึ่งเครื่อง โรงรถ และ ความแตกต่าง

"ผมเลือกสายนี้ครับ ..ผมเดินมาระยะนึงแล้ว ..ผมยังไม่เห็นปลายทาง ..แต่ผมว่ามันดี ..เพราะเราเลือกคำว่าอาชีพเอง เราเลือกวิธีหาเงินเอง ..เราสร้างงานในแบบของเราเอง"

ว่าแต่ คุณสนใจศึกษา เส้นทางนี้ไหมครับ ?

บ้าดีนะ ? ..แต่ผมว่า โคตรมันส์ !!

MAY22"จุดตาย นักธุรกิจมือใหม่" ..คนรุ่นใหม่อยากทำธุรกิจส่วนตัว ต้องระวังจุดตายข้อนี้

คือ "ความใส่ใจ" ..ลองคิดดีๆ คุณจะพบเลยว่า การเริ่มธุรกิจวันนี้ไม่ได้ยาก มีเงินก็เปิดร้านกาแฟ เปิดร้านอาหาร เปิดบูติกโฮเทล ได้ไม่ยาก

..'เปิดง่าย แต่ยากที่ Maintenance คือ การใส่ใจ!!' -- นี่คือ สิ่งที่ฝรั่ง ต่างจากคนไทย

สังเกตไหมว่าคนไทยจะเน้นที่เปิด สร้างให้ใหญ่ จัดหนักไว้ก่อน ..แต่ฝรั่งเขาจะเน้นที่ 'สร้างแล้วดูแลได้'

จุดนี้เองที่ ลูกค้า เห็นความแตกต่าง ..และนี่แหละที่ลูกค้า ตัดสินว่าจะ 'ใช้ซ้ำ และบอกต่อ' ซึ่งคือ หัวใจของความสำเร็จ !!

สังเกตโรงแรมของไทยสร้างให้ใหญ่ แต่มักเกินตัว สุดท้ายดูแลไม่ได้ ..เก่า สกปรก ไม่เปลี่ยน ไม่ปรับปรุง เพราะอยากประหยัด จ่ายไปเยอะ ทุนยังไม่คืน -- นั่นแหละ "โรงแรมสวย แต่ห่วย" ..คุณไม่คิดหรือว่า ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความใส่ใจและดูแลปรับปรุง ..ตำราธุรกิจเขาถึงเน้นเรื่อง Passion และการใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ 'เจ้าของดูเอง'

ก่อนจะเป็น Starbucks ที่ก้องโลก เจ้าของดูเองทุกจุดในร้าน ทุกการบริการ ..กลั่นจนเกิด System ระบบที่ 'คุณภาพทุกจุด ..ขนาดที่ว่า การพูดคุยจำชื่อลูกค้าทุกคน ยังถูกเขียนในคู่มือการทำงานของพนักงาน'

ธุรกิจที่สำเร็จโคตรๆ ไม่มีฟลุ๊ค ..แบบว่าพ่อรวย เอาเงินมาเปิดร้าน แล้วให้พนักงานพม่าดูแล -- คุณเจ๊งแน่นอน !!

ลองสำรวจธุรกิจคุณเอง แล้วถามว่าคุณมี Passion เพียงพอในสิ่งที่ทำหรือยัง ? ..ถ้ายังนั่นแหละเส้นบางๆ ที่คุณยังไม่รวย

"ใส่ Passion ลงไป .." -- แล้วกิจการคุณจะค่อยๆดีขึ้น เหมือนมีเทพเจ้ามาช่วย ..คุณไงเทพเจ้า!
 MAY 22"ทำไมคนเก่งบางคนจึงไม่รวย ?"

คนเก่งที่ไม่รวย จะเกลียดและอิจฉาคนรวย เพราะมักคิดว่า ตัวเองโชคไม่ดี ...เดี๋ยว!! ลองมาดูกันว่า เหตุผลอะไรจริงๆ เขาคนนั้นที่เก่งแต่ทำไมถึงไม่รวย

1. "เอ๊งมโนไปเอง จริงๆ เอ๊งไม่ได้เก่งจริง" ทางแก้ คือ หยุดมโน เลิกทำตัวเป็นนางอิจฉาในละคร แล้วพัฒนาตัวเอง ให้เก่งจริงๆ

2. "เก่งจริง แต่ความเก่งไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น" ..อันนี้ก็ไม่รวย เพราะถ้าความเก่งมันไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ใครจะจ่ายเงินให้คุณ ..ถ้าคุณเก่งทำงานให้หัวหน้าคุณคนเดียว คุณก็ไม่รวย เพราะความเก่งคุณเป็นประโยชน์แค่นายจ้างคนเดียว "ลูกจ้าง!!"

แต่ถ้าความเก่งของคุณ สามารถช่วยเหลือคนได้จำนวนมาก เช่น อาจารย์กวดวิชา มีความรู้ทำให้นักเรียนเอนทรานซ์ติด เขาก็จะรวย เพราะความรู้เขามีประโยชน์ต่อคนมากมาย ..ยิ่งเขา Leverage ความรู้ ทำสื่อการสอน , ทำห้องวิดีโอ , ทำ CD สอน Online มันยิ่งกระจายความเก่งของเขาไปสู่คนจำนวนมากมาย -- นั่นแหละ เลยรวย ...!!

ถ้าคุณเก่งแต่ยังไม่รวย ไปลองคิดให้หนักว่า คุณจะเปลี่ยนความเก่งของคุณให้เป็นประโยชน์ต่อคนให้มากที่สุดยังไง ?  โดยใช้แรงงานและเวลาคุณเองน้อยที่สุด คุณจะยิ่งโคตรรวย !!

ใช่!! ประเด็นแรก คือ สร้างประโยชน์ให้มาก ..สอง คือ การ Leverage เวลาตัวเอง

อันที่สองยากโคตรๆ ...ใครทำได้ คุณก็จะเป็น "เศรษฐี" -- ไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ผมเล่ามา มันคิด และ ลงมือทำอย่างไร เพราะ ผมกำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ไงล่ะ

อยากเรียนไหมครับ ว่าทำอย่างไร ...? -- งั้นเดี๋ยวจะเปิดคอร์ส'สอนคนเก่งให้รวย' ดีไหม ..555
MAY22
นักการตลาดคนนึงที่ผมชอบมาก คือ Seth Godin เขาเขียนหนังสือ เยอะมาก เกี่ยวกับการตลาด ...แต่มีเรื่องนึงที่ผมว่า เขาพูดไว้โคตรดี ก็คือ IdeaVirus !!

มันคืออะไร Ideavirus ?

มันก็คือ เครื่องมือการตลาดที่แทบไม่ต้องใช้เงิน แต่ใช้ Idea แทน ....เฮ้ย!! จริงดิ ..

ถ้าเราสามารถทำการตลาดโดยใช้ Idea แทน เงิน ...เราก็สู้รายใหญ่ได้ซิ ใช่ไหม ?

ถูกต้อง!! ยุคนี้ Social Media ทำให้เกิด Virus ชนิดใหม่ ...แพร่กระจายไปใน Internet มันไม่ได้ทำให้คนป่วย แต่มันทำให้ คนเสพ หรือ คนติด มีชีวิตดีขึ้น !!

แม่เจ้า!! IdeaVirus คนติด ชีวิตดีขึ้น ...เพราะ IdeaVirus คือ ความคิดที่ลูกค้าเอาไปบอกคนอื่นต่อ ...เพราะ Idea มันเท่ห์ ...คนเอาไปพูด ก็เท่ห์ ...คนฟังแล้วไปพูดต่อ ก็เท่ห์ตาม ...มันเลยทำให้ Idea เท่ห์ๆนี้กระจายไปเหมือน เชื้อไวรัส นั่นเอง

มีตัวอย่างของ IdeaVirus มากมายที่ใช้เงินน้อย หรือ ไม่ใช้เลย แต่ Impact สูง และ ตามมาด้วยธุรกิจ ...เช่น คลิ๊กที่กระจายอยู่ใน YouTube , กังนัม , กระแสจาก facebook , สินค้าของ Apple เกือบทุกตัวเป็น IdeaVirus , การตลาดคุณตัน

ใครก็สร้างได้ครับ วันนี้ Idea กระจายเร็วมากๆ ...ขึ้นกับว่า ถ้าคุณสามารถ Control IdeaVirus ..สร้างได้ ควบคุมได้ ...คุณจะเอามาใช้สร้างธุรกิจ ทำเงินมหาศาล ... ลองกลับไปคิดซิครับว่า จะทำให้สินค้าและบริการที่คุณขาย มันเท่ห์ มันแนว จนคนที่บอกต่อ เท่ห์ตาม

 -- นั่นแหละ สิ่งที่ต้องทุ่มเท คิดให้หนัก "ยุคนี้เงินหนาอาจไม่สู้ ความคิดเด็ดสุดขั้ว!!"

รวย รวย รวย ...คิดเข้าไป !!
MAY 22
"ขายของรวยแบบดารา แม้ไม่ดังเท่าดารา"

วันนี้เราจะเห็นดารา มาขายของ ขายครีม ขายขนม ..."แล้วขายดีด้วย เพราะ มีแฟนคลับมาซื้อ" -- คำถาม คือ ถ้าเราอยากรวยแบบนั้นบ้างจะทำอย่างไร ?

ลองดู 3 จุดเด่นของดาราก่อน
1. "ได้เปรียบเรื่องลูกค้า" ...ดารามีแฟนคลับ ที่ชื่นชอบเป็นทุน พอเอาของมาขายคนก็อยากมาซื้อ(จริงๆ แฟนคลับส่วนนึงอยากมาแค่เจอดารา)
2. "ได้เปรียบเรื่องที่ขาย Channel" ...ห้างต่างๆ อยากได้ บูทดาราไปจัดกิจกรรม เพราะ ทำให้ สถานที่เขาคึกครื้น !!
3. "ได้เปรียบเรื่อง Promotion" ...เพราะ ดาราจะมี Facebook , Instagram หรือ Social Network ที่มีคนติดตามจำนวนมาก ทำให้เรามีช่องทางในการ Promote โฆษณาแบบฟรี ...สบายจริงๆ

มาดู 2 จุดอ่อนของดารา  (ที่จริงๆ แก้ง่ายมากๆ -- เส้นผมบังภูเขา)
1. "ไม่มีเวลา" ..ตรงนี้ทำให้เขา อาจจะไม่มีเวลามาใส่ใจ เรื่อง Product สินค้า และ ก็ไม่มีเวลามาสนใจ Service ลูกค้า
2. "ไม่มีหุ้นส่วนที่ดี" ..คนในวงการดาราด้วยกัน มักขาดประสบการณ์ทางธุรกิจ ซึ่งจุดนี้ทำให้ไม่มี หุ้นส่วนที่เก่งจริงในเรื่องธุรกิจ

คำถามคือ แล้ว คนธรรมดา อย่างคุณและผมจะทำธุรกิจให้ขายดี อย่างดาราแล้วปิดจุดอ่อนต่างๆ อย่างไร ?
1. "สร้างฐานแฟนคลับให้เหมือนดารา" ...คุณอาจจะลืมไปว่า แฟนคลับ ไม่จำเป็นต้องมีเฉพาะดารา ..ถ้าคุณทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนมาติดตาม คุณก็สามารถสร้างแฟนคลับได้เช่นกัน ...ยกตัวอย่าง "ผมเอง (ภาววิทย์)" ผมก็ไม่ใช่ดารา แต่คนมาติดตามเพราะเขาชอบความรู้และความคิดที่ผมแชร์ใน Blog ใน Facebook ...แค่คุณฝึกแชร์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น คุณก็จะมีฐานแฟนคลับแล้วครับ

2. เมื่อมี "แฟนคลับ" เดี๋ยวสิ่งต่างๆ จะตามมา ...เวทีแสดงฝีมือจะวิ่งมาหาคุณ , บริษัทอาจอยากจ้างคุณ ...เมื่อคุณมี แฟนคลับ คุณได้สร้าง เวทีแห่งโอกาสให้ตัวเองแล้ว !!

จะเห็นได้ว่า ยุคนี้ คนจะมีโอกาส ไม่ใช่นั่งรอโอกาส แล้วบ่นว่าไม่มีโอกาส ...เพราะ โอกาส คุณนั่นแหละ สร้างขึ้นมาเอง

 "ทุกก้าวของผม ภาววิทย์ ผมสร้าง เวทีโอกาสให้ตัวเอง ...จะบอกว่า ยุคที่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กๆ คนโนเนม สามารถสร้างชื่อได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งใคร คือ ยุคนี้ !! ..โคตรง่าย 'ไม่ต้องใช้เงิน แค่ใช้สมอง' โคตรดี ..ยุคที่โอกาสสร้างง่ายแบบนี้ ไม่เคยมี -- ถ้าวันนี้คุณยังไม่สร้างโอกาสขึ้นมาเอง แปลว่า คุณยังพยายามไม่พอครับ" ..ไป ไป  ..ไป สู้ !!

MAY 21
"ผมต้องทำหนึ่งอย่างที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ !!" ...อันนี้คือ หลักปฏิบัติของผมเลย

เพราะ ผมเชื่อว่า ถ้าเราต้องการให้ชีวิตดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น มันก็ต้องกล้าทำอะไรที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ "Dare to Do - One Thing Every Year"...ผมถึงวางกฏกับตัวเองว่า "ผมต้องทำหนึ่งอย่างที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ !!"

คุณว่าแปลกไหม ที่คนส่วนใหญ่ อยากให้ชีวิตดีขึ้น ชีวิตเปลี่ยน แต่กลับ "ทำเหมือนเดิม" --ตรงๆ นะ "ฝันโคตรเด็ก!!" ถ้าทำอะไรเหมือนเดิม ผลลัพธ์มันจะเปลี่ยนได้อย่างไร

คำถามที่เจอคือ "แล้วถ้าไม่สำเร็จ ยิ่งไม่เสีย Self แย่เหรอ ?"

 ...ไม่เลยครับ เพราะ ผมเอง ทุกปีที่ทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ไม่สำเร็จ ..แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ พอผมล้ม มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพราะ สิ่งที่ผมอยากทำใหม่ๆ ในแต่ละปี แม้จะเปิดธุรกิจก็เริ่มแบบแทบไม่ใช้เงินสักบาท ...ไอ้การล้มเบาๆ ทุกปี นี่แหละ ที่ทำให้ผมเก่งขึ้น แกร่งขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น

"ผมไม่หวงครับ ...ใครจะเอาเคล็ดลับนี้ของผมไปใช้ก็ได้ ...โคตร Work ครับ บอกเลย !!"

จัดไป !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น