วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บริษัทนวัตกรรมระดับโลกอย่าง Google เขาเลือกคนประเภทไหนเข้าทำงาน?

ของฝากจากเพื่อนอีกห้อง เอามาฝากต่อ
บริษัทนวัตกรรมระดับโลกอย่าง Google เขาเลือกคนประเภทไหนเข้าทำงาน?

เด็กเรียนเก่งสอบได้คะแนนสูง
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนทำงานดีเสมอไป และกูเกิลบอกว่าเกรดสูงของ
นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัย ไม่สามารถเป็นดัชนี ชี้ความ สามารถในชีวิตการทำงานจริง
ได้
คะแนนดีไม่ใช่จุดอ่อนแน่นอน แต่บริษัทที่ต้องการคนทำงาน
คล่องแคล่วและสร้างสรรค์ เขาไม่ได้มองที่เกรดการสอบ
อีกต่อไปแล้ว
แผนกทรัพยากรบุคคลของกูเกิลเขาไม่เรียก Human Resources หรือ HR แต่ตั้งชื่อให้ใกล้ความจริงแบบพื้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า People Operations ซึ่งหมายถึงเรื่อง “คน” ดี ๆ นี่เองนั่นแหละ
รองประธานฝ่าย “คน” ของเขาชื่อ Laszlo Bock ซึ่งให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า จำนวนคนเข้ามาทำงานที่กูเกิลโดยไม่ได้จบมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดสูงถึง 14% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดแล้ว
คุณสมบัติข้อที่หนึ่งสำหรับคนที่จะได้รับเข้าทำงานกูเกิลคือ “ความสามารถในการเรียนรู้” ซึ่งไม่เกี่ยวกับไอคิวหรือความฉลาดเฉลียว
ความสามารถในการเรียนรู้ในที่นี้หมายถึงการจับเอาข้อมูล
หลาย ๆ อย่าง มาผสมผสาน ก่อเป็นความรู้ในการทำงานให้
สำเร็จได้
เด็กเรียนไม่เก่งแต่สามารถ หยิบเอารายละเอียดจากแต่ละ
เรื่องที่อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน มาโยงให้เป็นองค์ความรู้ เพื่อแก้ปัญหาได้ นั่นแหละคือคนทำงานเป็น
คุณสมบัติข้อที่สองคือ “ความเป็นผู้นำ” ในความหมายของโลกยุคใหม่ ไม่ใช่นิยามเก่า เช่น ไม่จำเป็นต้องเป็นประธานชมรม ไม่ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มไหน ในมหาวิทยาลัยมาก่อน
รองประธานฝ่าย “คน” ของกูเกิลบอกว่า “คำว่าผู้นำของเราหมายความว่าเมื่อเกิดปัญหา คุณเป็นสมาชิกของทีมนั้น เมื่อได้จังหวะเวลาอันเหมาะสม คุณจะสามารถก้าวออกมานำ คณะได้หรือไม่ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือว่า
เมื่อถึงเวลานั้น คุณสามารถถอยหลังและหยุด
การเป็นหัวหน้าทีมและปล่อยให้คนอื่นนำได้หรือไม่?”
หมายความว่าการเป็นผู้นำที่มี
ประสิทธิภาพจริง ๆ นั้น จะต้องมีความพร้อมที่จะยอมสละอำนาจในจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วย
แปลว่าคุณต้องเก่งพอที่จะยอมรับว่าในเรื่องนั้น ๆ อีกคนหนึ่ง เก่งกว่าคุณและคุณพร้อมจะให้
เขาหรือเธอนำ
เขาเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “ความถ่อมตนทางปัญญา” (intellectual humility) เพราะหากคุณไม่มีความเจียม
ตน คุณก็ไม่สามารถจะเรียนรู้ อะไรได้
ผลสำรวจหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่า คนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ๆ จำนวนไม่น้อยเติบโตในหน้าที่ งานการไม่ได้ เพราะทัศนคติผิด ๆ ที่ว่าตนเก่งกว่าคนอื่น
“หนุ่มสาวที่ฉลาดและประสบความสำเร็จมักจะไม่ค่อยเจอกับความล้มเหลว และนั่นทำให้ พวกเขาและเธอไม่อาจจะเรียนรู้จากความล้มเหลว” ผู้บริหารกูเกิลคนนี้บอก
เด็กจบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง
มักมีท่าทีต่อชีวิตที่ผิด ๆ เช่นว่า “ถ้ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะฉันเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้ามีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นฝีมือของไอ้งั่งใครสักคนที่ไม่ใช่ฉัน หรือเป็นเพราะฉัน ไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ
ในการทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะสภาพตลาดเปลี่ยน
ไปจากเดิม...”
คนที่กูเกิลชอบคือ คนทำงานที่มีความรักงาน ทุ่มเท พร้อมจะถกแถลง อย่างเผ็ดร้อนเพื่อยืนยันความ
คิดของตัวเอง แต่หากมีข้อมูลใหม่ ที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน เขาหรือเธอก็จะยอมรับว่าสิ่งที่
ตัวเองเชื่ออาจจะไม่ถูกต้อง
เสมอไป และพร้อมจะถอยให้ข้อเท็จจริงใหม่ได้กำหนดทิศทางของเรื่องนั้น ๆ
เรียกว่าไม่ใช่ประเภทหัวชนฝา ดื้อรั้น ไม่ยอมฟังความเห็นคนอื่น หรือพิจารณาข้อเท็จจริงจากคนอื่นเลย
คนดีคนเก่งที่ทำงานได้ผลจริง
คือ คนที่มี “อัตตาใหญ่” และ “อัตตาย่อย” ในคนคนเดียว
เขาสรุปว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจริงได้พิสูจน์
ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ปริญญาบัตรไม่ได้เป็นใบรับรองความสามารถจะทำงานได้ทุก
อย่าง
โลกแห่งความเป็นจริง จะยอมรับก็เฉพาะคนที่รู้จักใช้
สิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ให้ได้ผลทางปฏิบัติเท่านั้น
และโลกก็ไม่สนใจว่าคุณเรียนรู้มาจากไหนหรือเรียนมาอย่างไร ขอให้รู้จริงและพร้อมจะเรียนรู้
ใหม่ ๆ เป็นพอ
หรือจะพูดให้กระจ่างชัดก็คือ กูเกิลบอกว่าคนที่เขาจ้างมาทำงานจะต้องมี soft skills เยอะเช่น ความเป็นผู้นำ ความถ่อมตน ความสามารถในการประสาน
งานกับผู้อื่น ความสามารถ และพร้อมจะปรับตัวและรักการ
เรียนรู้และเรียนใหม่
โลกที่ปรับเปลี่ยนเพราะเทคโนโลยีตลอดเวลา ต้องการให้มหาวิทยาลัยผลิตคนที่มีคุณสมบัติเยี่ยงนี้นี่เอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น