วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทำไม Jack Ma ถึงคิดว่าตัวเองเป็น “ศิลปิน” มากกว่า “นักธุรกิจ”

posted by 

Jack Ma ประธานบริหาร Alibaba เดินทางมายังสหรัฐฯ ทั้งที่นิวยอร์กและชิคาโก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเดินทางมาเพื่อพบปะกับนักลงทุนขนาดเล็กของอเมริกา พร้อมกับให้คำแนะนำในการขายสินค้าและบริการที่จีนให้ได้มากขึ้น
ในระหว่างการอภิปรายตอนหนึ่ง เขาเผยว่าตั้งเป้าวางแผนว่า ภายใน 5 ปีนี้จะทำยอดขายในสหรัฐฯให้ได้ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว Alibaba ทำยอดขายในสหรัฐฯ ได้ 3.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เขายังได้แบ่งปันกลยุทธ์และปรัชญาบางอย่างในการทำธุรกิจซึ่งช่วยใหเขาบริหารงานจนเติบใหญ่ทุกวันนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและการทำธุรกิจของผู้อ่านไม่มากก็น้อย ดังนี้
jackma

สร้างสรรค์สิ่งที่ไม่มีใครก็อปปี้ได้

เมื่อผู้ฟังท่านหนึ่งถาม “Ma” ว่า หากได้พิจารณาตัวเองแล้ว คิดว่าตัวของเขานั้นเป็น “นักธุรกิจ” หรือว่า “ศิลปิน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ Alibaba ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการ IPO เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว ปรากฏว่าคำตอบของเขาทำให้คนทั้งฮอลล์ประหลาดใจเมื่อเขาตอบว่า เขาคิดว่าตัวเองนั้นคือ “ศิลปิน” !!
ทั้งนี้ “Ma” ให้เหตุผลว่า Alibaba, Tmall, Taobao และ AliExpress สิ่งเหล่านี้คือผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์โดยพนักงานและลูกค้าของเขาทั้งหมด “มันคือศิลปะ มันเป็นอะไรที่ไม่มีใครก็อปปี้ได้ และมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการทำเงินแม้แต่น้อย”

ล้มบ่อย แต่ทำความเข้าใจถึงเหตุผล

“Ma” ให้คำแนะนำแก่นักธุรกิจสหรัฐฯ ในวันนั้นว่า ให้มองข้ามเรื่องราวของความสำเร็จบ้าง
“ในฐานะที่พวกคุณดำเนินธุรกิจขนาดเล็กอยู่ พยายามเรียนรู้จากความล้มเหลวของคนอื่นๆ ให้มากเท่าที่เป็นไปได้ แล้วคุณจะทราบว่าหลายคนที่ล้มเหลวนั้นล้วนแต่มาจากเหตุผลเดิมๆ แทบทั้งสิ้น และถ้าคุณรู้ว่าทำไมผู้คนที่ล้มเหลว คุณก็จะได้เรียนรู้จากสิ่งนั้น และก็จะไม่ทำตามนั่นเอง”

เรียนรู้จากผู้ที่เท่าเทียม

“Ma” เสริมอีกว่า บทเรียนด้านธุรกิจที่ดีมักไม่ได้มาจากมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลด้านเทคโนโลยี
“ไม่ต้องเรียนรู้จาก Bill Gates หรือกับ Jack Ma ไปเสียทุกครั้ง เรียนรู้จากเพื่อนบ้านของคุณนั่นแหละ” Ma กล่าวและว่า คนที่เท่าเทียมกับคุณ มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจเหมือนกันให้เรียนรู้การเอาชนะจากพวกเขาดีที่สุด

ไม่มีช่วงเวลาแห่งความสบาย

“Ma” กล่าวว่า ช่วงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นมาปกป้องธุรกิจของตนเองนั้น ก็คือช่วงเวลาที่คุณคิดว่าปลอดภัยแล้วนั่นเอง
“ปรัชญาของผมก็คือ ให้ซ่อมหลังคาเมื่อตอนที่มีแสงแดด ถ้าพายุกำลังมา อย่าขึ้นไปซ่อมหลังคาเชียวเพราะว่ามันจะทำร้ายทำอันตรายคุณได้ ทุกๆ ครั้งที่ผมรู้สึกดี และเมื่อเวลาที่พนักงานของผมพูดว่า ‘ว้าว! เรามีปีที่เยี่ยมยอดจัง’ นั่นแหละ ทำให้ผมรู้ว่ามันคือสัญญาณที่บอกว่าได้เวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว”

คนมากไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพมาก

นอกจากนี้ “Ma” ยังกล่าวถึงการจ้างงานด้วยว่า คนมากไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ประสิทธิภาพงานดีขึ้นตามไปด้วย
“ผู้คนอาจจะพูดว่า ว้า…ธุรกิจจะแย่นะถ้าหยุดการจ้างงาน ไม่มีการจ้างงานนั่นแปลว่าธุรกิจไปไม่รุ่ง แต่ผมว่านั่นเป็นความคิดแบบโบราณมากกว่า” Ma กล่าวและว่า เมื่อเรามีคนน้อย สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก็คือคิดค้นให้มาก สร้างสรรค์ให้มาก ทั้งเทคโนโลยีและสินค้าของเรา

IPO คือสิ่งยาก แต่จำเป็น

สิงหาคมปีที่แล้ว Alibaba สร้างสถิติที่น่าสนใจให้กับตลาดหุ้น “Ma” ชี้ว่า สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของเขายากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะยากเย็นอยู่แล้วก็ตาม แต่เมื่อ IPO มันกลับแย่หนักกว่าเดิม
แต่ “Ma” ก็ย้ำว่ามันก็ยังคงเป็นก้าวที่จำเป็นต้องทำอยู่ดี “เมื่อเราได้ทำ IPO บริษัทก็กลายมาเป็นสิ่งที่มองทะลุทะลวงได้ มีความโปร่งใสมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่คนของเราที่มองกันเองเท่านั้น แต่โลกกำลังเฝ้าจับตาดูเราอยู่ด้วย ยอมรับว่าเราเองก็ไม่ชอบที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราก็คิดว่านั่นคือสิ่งที่จำเป็นและควรจะเป็นอยู่ดี”

หาผู้สืบทอดตั้งแต่เนิ่นๆ

ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้หลายคนสงสัยพอสมควร กับการก้าวขึ้นมาของ Daniel Zhang ที่มาแทน Jonathan โดยเป็นที่งุนงงว่าบริษัทที่ใหม่และเพิ่งเติบโตได้ไม่นาน ทำไมถึงกังวลเกี่ยวกับการสืบทอดอำนาเร็วขนาดนี้
เกี่ยวกับประเด็นนี้ “Ma” อธิบบายว่า วิธีคิดแบบนี้จะช่วยบริษัทค่อยๆ พัฒนาไปพร้อมกับตลาดได้ “มันก็เหมือนกับว่าถ้าตอนนี้คุณยังหนุ่มอยู่ คุณก็ต้องการสอนเด็กๆ ขึ้นมา ผมเริ่มต้นมองหาผู้รับช่วงต่อเมื่อตอนที่อายุ 40 ปี ตอนนี้ผมอายุ 51 ปีแล้ว และกำลังฝึกคนพวกนี้อยู่”
“ผมไม่อยากที่จะพบว่า ‘Jack Ma ตาย ผู้ก่อตั้งเราหายไปเลย แล้วพบว่าบริษัทกำลังจะไปไม่รอด’ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมองหาผู้สืบทอดตั้งแต่ตอนนี้”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น