updated: 30 ก.ย. 2558 เวลา 09:30:00 น.
เครือโรงพยาบาลกรุงเทพเดินเกมเพิ่มมาร์จิ้น โหมลงทุนธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาล ซื้อกิจการโรงงานผลิตน้ำเกลือ เผยรายได้โรงพยาบาลทรงตัว เดินหน้าสร้างสาขาใหม่ปูพรม 50 แห่งทั่วประเทศ ซินเนอร์ยี่ธุรกิจประกันในเครือหวังขยายฐานลูกค้าคนไทย
น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาล (Nonhospital) มากขึ้น อาทิ น้ำเกลือ ถุงมือ และกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจากมีกำไรที่ดีเมื่อเทียบกับธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งธุรกิจโรงพยาบาลทั่วโลกมีกำไรเฉลี่ย 12% แต่ธุรกิจน็อนฮอสพิทอลจะมีอัตรากำไรอยู่ที่ 15-18% ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 7 บริษัท ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ 7 ของบริษัท มีรายได้ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี
สำหรับการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลค่อนข้างทรงตัว โต 12% จากที่ตั้งเป้าไว้ 13-14% โดยยังคงเดินหน้าลงทุนขยายสาขาให้ถึง 50 สาขากระจายทั่วประเทศ ครองส่วนแบ่งตลาด 15% ของโรงพยาบาลเอกชน ควบคู่ไปกับการพัฒนาความก้าวหน้าทางการแพทย์ ล่าสุดร่วมมือกับศัลยแพทย์สมองในการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาโรคทางสมองและระบบประสาทนำร่องด้านการรักษาเนื้องอกและมะเร็งพร้อมทั้งมีแนวคิดในการซินเนอร์ยี่บริษัทในเครือ คือ บริษัทประกันสุขภาพกรุงเทพ ทำให้ลูกค้าคนไทยสามารถเข้าถึงบริการของโรงพยาบาลในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการได้ โดยเริ่มทดลองให้บริการกับพนักงานในเครือที่มีอยู่กว่า 2 หมื่นคน และปีหน้าหวังว่าจะเริ่มขยายไปยังกลุ่มลูกค้าได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันกลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการ มีโรงพยาบาล 40 แห่ง จำนวน 7,174 เตียง ก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจน็อนฮอสพิทอลอย่างต่อเนื่อง และตั้งซีอีโอขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ มีอัตราเติบโต 18% ที่มุ่งเน้นอย่างเห็นได้ชัดคือ ธุรกิจน้ำเกลือ ล่าสุดได้ลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เยนเนอรัล ฮอสปิตัล โปรดัคส์ จำกัด (GHP) เป็นบริษัทผลิตน้ำเกลือ และลงทุนเพิ่มในบริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด (Medicpharma) และรอยัล บางกอก เฮ็ลธ์แคร์ ซึ่งช่วงต้นปีมีสัดส่วนถือหุ้นอยู่ 20.47% และเพิ่มสัดส่วนเป็น 44.7% โดยเดิมมีบริษัทน้ำเกลือของตัวเอง คือ บริษัท เอ.เอ็น.บี.ลาบอราตอรี่ จำกัด ซึ่งทั้ง เอ.เอ็น.บี.ฯ และจีเอชพีมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% ของตลาดน้ำเกลือ
กลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการยังมีนโยบายลงทุนทั้งในโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่และโรงพยาบาลใหม่เพื่อรองรับการเติบโตจนถึงปี2561 โดยปีนี้เพิ่งเปิดให้บริการโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี ส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คือ โรงพยาบาลจอมเทียน และเปาโล รังสิต จะเปิดปี 2559 ทั้งนี้จะทำให้จำนวนโรงพยาบาลเพิ่มเป็น 43 แห่ง
ส่วนแผนลงทุนอื่น ๆ ล่าสุดได้ตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ชื่อบริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย จำกัด ลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในเชียงราย ส่วนภายในโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่มีการลงทุนขยายพื้นที่บริการ หรือจะเพิ่มอีก 1,667 เตียงในปี 2559 รองรับผู้เข้ามาใช้บริการที่มากขึ้น หรือมีอัตราการครองเตียง 80-90% บวกกับโรงพยาบาลใหม่ที่มีจำนวนรวมกัน 620 เตียง จะทำให้มีจำนวนทั้งสิ้น 7,794 เตียงในปี 2559 ทั้งนี้แบ่งสัดส่วนรายได้จากกลุ่มที่จ่ายเงินสดมี 64% อินชัวรันซ์ 21% คอนแท็กต์ 8% และอื่น ๆ อีก 7%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันกลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการ มีโรงพยาบาล 40 แห่ง จำนวน 7,174 เตียง ก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจน็อนฮอสพิทอลอย่างต่อเนื่อง และตั้งซีอีโอขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ มีอัตราเติบโต 18% ที่มุ่งเน้นอย่างเห็นได้ชัดคือ ธุรกิจน้ำเกลือ ล่าสุดได้ลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เยนเนอรัล ฮอสปิตัล โปรดัคส์ จำกัด (GHP) เป็นบริษัทผลิตน้ำเกลือ และลงทุนเพิ่มในบริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด (Medicpharma) และรอยัล บางกอก เฮ็ลธ์แคร์ ซึ่งช่วงต้นปีมีสัดส่วนถือหุ้นอยู่ 20.47% และเพิ่มสัดส่วนเป็น 44.7% โดยเดิมมีบริษัทน้ำเกลือของตัวเอง คือ บริษัท เอ.เอ็น.บี.ลาบอราตอรี่ จำกัด ซึ่งทั้ง เอ.เอ็น.บี.ฯ และจีเอชพีมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% ของตลาดน้ำเกลือ
กลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการยังมีนโยบายลงทุนทั้งในโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่และโรงพยาบาลใหม่เพื่อรองรับการเติบโตจนถึงปี2561 โดยปีนี้เพิ่งเปิดให้บริการโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี ส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คือ โรงพยาบาลจอมเทียน และเปาโล รังสิต จะเปิดปี 2559 ทั้งนี้จะทำให้จำนวนโรงพยาบาลเพิ่มเป็น 43 แห่ง
ส่วนแผนลงทุนอื่น ๆ ล่าสุดได้ตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ชื่อบริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย จำกัด ลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในเชียงราย ส่วนภายในโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่มีการลงทุนขยายพื้นที่บริการ หรือจะเพิ่มอีก 1,667 เตียงในปี 2559 รองรับผู้เข้ามาใช้บริการที่มากขึ้น หรือมีอัตราการครองเตียง 80-90% บวกกับโรงพยาบาลใหม่ที่มีจำนวนรวมกัน 620 เตียง จะทำให้มีจำนวนทั้งสิ้น 7,794 เตียงในปี 2559 ทั้งนี้แบ่งสัดส่วนรายได้จากกลุ่มที่จ่ายเงินสดมี 64% อินชัวรันซ์ 21% คอนแท็กต์ 8% และอื่น ๆ อีก 7%
ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น