นายสิ้นคิด
วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558
พีระพงศ์ จรูญเอก วิสัยทัศน์ชัด วางโมเดลธุรกิจถูก ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
By
ฐานเศรษฐกิจ
-
17 ตุลาคม 2558
หนุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจพัฒนอสังหาริมทรัพย์ประเภทห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียง 5-6 ปี สร้างและพัฒนาธุรกิจ จนสามารถผลักดันองค์กรเข้าตลาดหุ้น มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) กว่า 5,000 ล้านบาท ก้าวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับกลางสูงระดับใหญ่
“พีระพงศ์” บอกเลยว่า วิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจคือ กุญแจดอกสำคัญสู่ความสำเร็จ เมื่อมีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง มองเห็นโอกาสทางการตลาด จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นต้องการอยู่เป็นครอบครัวขนาดเล็กประกอบกับราคาที่ดินที่สูงขึ้น จากการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ มากมาย ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ภาพวิสัยทัศน์ของเขาแจ่มจรัสมากขึ้น นำไปสู่การกำหนดเป็นบิสิเนสโมเดลที่ถูกต้อง ซึ่งเหล่านี้ทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
แนวคิดของนักบริหารท่านนี้คือ การจับตลาดที่เป็นบลูโอเชียน หรือตลาดใหม่ ผู้เล่นน้อย หรือไม่มีเลย กับทำเลส่วนต่อขยายตามแนวรถไฟฟ้า “พีระพงศ์” โดยเฉพาะในโซนบางนา ซึ่งเป็นจุดต่อเชื่อมระหว่างแหล่งโรงงาน มุ่งเข้าสู่ตัวเมือง ด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที
ทำไมถึงต้องเลือกทำเลแถวนี้ ก็เพราะบริเวณนี้ เป็นแหล่งของคนทำงานในโรงงานผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ชิ้นส่วนรถยนต์ คนทำงานมีรายได้ มีกำลังซื้อ แต่ไม่เพียงพอกับการไปซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองที่ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังมีกำลังซื้อสำหรับที่อยู่อาศัยราคา 1-2 ล้านบาท และสามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า
แต่การเริ่มต้นลงทุน ข้อมูลเพียงเท่านี้คงไม่เพียงพอ ผู้ชายคนนี้ให้ความสำคัญมากๆ กับ 1.การวิเคราะห์ตลาด เขามีทีมวิจัยตลาดที่เข้มแข็ง ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และกำลังซื้อของคนในทำเลต่างๆ หลังจากนั้นก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ 2. จัดหาพื้นที่ใหม่ๆ ที่ราคายังไม่สูง การเดินทางสะดวก นั่นคือส่วนต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้า และ 3. คุมต้นทุนในการผลิตให้ไม่สูงจนเกินไป เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการสร้างตลาดใหม่ๆ
“ผมเป็นวิศวกรโยธา มีประสบการณ์ในวงการก่อสร้าง 15 ปี ทำมาทั้งออกแบบ รับเหมาก่อสร้าง และบริษัทคอนซัลต์ควบคุมงาน เราก็อินติเกรตความรู้ มีการบริหารงบที่ดี หาเพื่อนร่วมงานที่เหมาะสม เรายกให้พระเอกคือผู้รับเหมา ทุกฝ่ายมีหน้าที่เสริมให้ได้งานตามที่กำหนด เราคุมค่าใช้จ่ายได้ อันไหนที่ใช้งบเยอะ ใช้เวลาเยอะ เราต้องตัดออกไปให้หมด”
ความสำเร็จของการทำธุรกิจยังต้องเดินหน้าต่อ ขณะนี้ “พีระพงศ์” ได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว และเขายังมีแผนขยายตัวอีกมากมาย เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ โดยการหวนคืนสู่เวทีเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่เขาทิ้งมาพักใหญ่ แต่ความชำนาญและความถนัดยังเป็นความรู้ติดตัว ที่สามารถนำมาต่อยอด ด้วยการเปิดบริษัทคอนโด เอเจนซี่ แอนด์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (คอนโด เอเจนซี่) ขึ้นมาทำหน้าที่ให้บริการหลังการขาย ดูแลลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมจากโครงการไปแล้ว ต้องการความช่วยเหลือด้านไหน ก็จะมีบริษัทนี้ดูแลให้ เช่น บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด และบริการรับจ้างบริหารโครงการนิติบุคคลอาคารชุดและเขายังต่อยอด ขยายมาสู่ บริษัท ทิสา ลิฟวิ่ง จำกัด (ทิสา ลิฟวิ่ง) ที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่น เป็นนายหน้าขายห้องชุด และบริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด โดยจะมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น โดยบริษัทนี้เขาเตรียมนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ต่อไป
“ใช้คำพูดเท่ๆ เลยว่า เรากำลังขยายจากการจับตลาดคอนโดมิเนียมโลคัล สู่คอนโดมิเนียมส่งออก ที่ไม่ได้จับแค่ตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น แต่กำลังขยายไปสู่ชาวต่างชาติที่ต้องการที่อยู่อาศัย หรือที่พักผ่อนในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน เพราะหลังเออีซีเปิดแล้ว ตลาดต่างชาติถือเป็นบลูโอเชียนอีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ราคาที่อยู่อาศัยของเขาจะสูง การมาซื้อคอนโดมิเนียมราคา 1-2 ล้านบาท จึงไม่ใช่เรื่องยาก”
อีกหนึ่งตลาดที่เขากำลังขยายออกไป คือนิคมอุตสาหกรรม ที่จะมีกลุ่มคนทำงานทั้งไทยและต่างชาติ ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในลักษณะเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี แหลมฉบัง ล้วนเป็นแหล่งเศรษฐกิจในอนาคต เพราะขณะนี้ภาครัฐขยายการลงทุนมากมายไปสู่พื้นที่เหล่านี้ สิ่งที่นักบริหารท่านนี้เตรียมพร้อม คือ การลงทุนโปรเจ็กต์ใหญ่ ที่เรียกว่าโครงการออริจิ้น ดิสทริค ซึ่งโครงการแรกที่แหลมฉบังมีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ลักษณะเป็นโครงการมิกซ์ยูส เนื้อที่ 14 ไร่ มีทั้งคอนโดมิเนียม โรงแรม ร้านค้า ช็อปปิ้งมอลล์
“พีระพงศ์” ย้ำว่าการขยายธุรกิจเราต้องดูการลงทุนภาครัฐเป็นเรื่องสำคัญ ต้องดูปัจจัยพื้นฐาน แล้วนำมาศึกษาวิเคราะห์ แน่นอนที่ผ่านมาเขาผ่านวิกฤติมาเยอะ ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเมือง แต่การพยายามมองวิกฤติให้เป็นโอกาส ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ จะช่วยให้ผ่านวิกฤติไปได้ พร้อมๆ กับการบริหารต้นทุน และกำลังพล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคง
บริษัทดี ทีมงานก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี การให้รางวัล และการดูแลพนักงานถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริหารคนนี้ไม่มองข้าม แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างสวัสดิการอาหาร เล็กๆ น้อยๆ ในที่ทำงาน เขาก็ตอบแทนพนักงานอย่างเต็มที่
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3096 วันที่ 15 – 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น