วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เกร็ดเล็กๆน้อยๆจากงาน "ฟัง วิเคราะห์หุ้น เพื่อให้คุณคิดได้อย่างเซียน"

ShineStock  เกร็ดเล็กๆน้อยๆจากงาน "ฟัง วิเคราะห์หุ้น เพื่อให้คุณคิดได้อย่างเซียน" จัดที่ตลท.วันนี้ครับ
โดยงานแบ่งเป็น 2 ช่วง
1. "เซียนรุ่นใหญ่ ไขความลับการลงทุน" จากนักลงทุนรุ่นใหญ่ 5 ท่าน ได้แก่ เสี่ยนเรศ เสี่ยปู่ ดร.นิเวศน์ พี่หมอพงษ์ศักดิ์ และเสี่ยป๋อง
2. "เซียนรุ่นใหม่ การลงทุนคือชีวิต" จากนักลงทุนรุ่นใหม่ 3 ท่าน ได้แก่ พี่หมอประมุข คุณโจ ลูกอีกสาน และคุณเคน โสรัช
ซึ่งพี่ทุกๆท่านที่มานั้นจะมาเล่าประสบการณ์ในอดีต และมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้แฟนเพจ ShineStock  อ่านสะดวก ผมขอแยกสรุปเป็นแต่ละท่านนะครับ(ของจริงคำถามจะวนๆให้แต่ละท่านตอบสลับกันไปมา)
เสี่ยนเรศ
- เข้ามาในตลาดตั้งแต่เป็นการเคาะกระดาน ช่วงๆแรกเล่นเก็งกำไร โดยใช้กล้องส่องทางไกลส่องหุ้นที่ห้องกระจกเพื่อดูว่ารายใหญ่จะเคาะตัวไหนและซื้อ-ขายตาม ช่วงนั้นก็กำไรบ้างมีแต่ไม่เยอะ เพราะกำไร-ขาดทุนสลับกันไป
- จุดเปลี่ยนที่ทำให้มาศึกษาการลงทุนแบบจริงจังคือ ตอนที่ตลาดเปลี่ยนระบบการซื้อ-ขายจากเคาะกระดานมาเป็นคอมพิวเตอร์ ทำให้คิดว่าลงทุนแบบไหนถึงจะอยู่รอดได้ จนมาเจอแนวทางที่ว่าลงทุนในหุ้นเหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ(มีธุรกิจส่วนตัวทำควบคู่ไปด้วยอยู่แล้ว)
- ความผิดพลาดมีบางแต่น้อยไม่เจ็บหนัก เพราะเรามักเอะใจก่อนเจอวิกฤตตลอด คือคิดไปล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นและมักตรงกับที่คิดไว้ ทำให้รอดตัวได้เสมอ เช่น สิ้นปี 37(ช่วง SET ปิดสิ้นปี 1700จุด)เราไปเที่ยวปีใหม่ฉลองกับเพื่อนหลายคนมองว่า 2000 จุดได้แน่หรือ 2500 จุดยังมองว่าเป็นไปได้ แต่พอเปิดตลาดมันโดดไป 1750 จุด แต่ไม่นานก็โดนเทขายจนหมด เราเห็นผิดปกติจนล้างออกมาหมดทำให้เหลือเงินสดไว้เยอะ
- รอมา 4 ปีจน SET 400 จุดมองว่าถูกแล้วเลยเข้าไปซื้อไว้ 5 ล้านบาทหวังให้เปลี่ยนชีวิตได้เลย แต่ SET กลับลงต่อมาเหลือ 200 กว่าจุด(-50%)แต่หุ้นเราลงแค่ 20-30% มองว่ายังชนะตลาด และยิ่งมั่นใจว่าจุดนี้คือที่น่าซื้อจนไม่นานตลาดกลับมา 400-500 จุด
- สิ่งที่ทำให้รอดจากวิกฤตได้คือ ซื้อกิจการที่ดี และการคิด/มองภาพไปข้างหน้าว่าหากเกิดสิ่งนึงขึ้นจะกระทบต่อๆกันไปอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตรงกับที่เราคิดไว้
- ช่วงนี้ก็มีหุ้นอยู่เต็มพอร์ตตลอดเวลา แต่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปหากเจอหุ้นตัวไหนที่มีโอกาสดีกว่า มองว่าอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกยังเป็นเทรนที่น่าจะเติบโตต่อไปได้ โดยเราก็มาเลือกประเภทของพลังงานที่ให้ IRR สูงต่อซึ่งเป็นขยะ และลงทุนในบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมเพื่อจำกัดความเสี่ยง
เสี่ยปู่ สมพงษ์
- หลังจากลาออกจากราชการ มาในตลาดหุ้นช่วงแรกเล่นเก็งกำไร ซื้อๆ-ขายๆ หมดตัวไปตอน Black Monday เป็นความผิดพลาดครั้งที่หนักสุด ทำให้ออกจากตลาดไป 1 ปี หาเงินเพื่อมาลงทุนใหม่ ยังเล่นซื้อๆ-ขายอยู่แต่ระมัดระวังมากขึ้น
- ความผิดพลาดอีกข้อ คือ หลังปี 40 หุ้นตกหนักมากโดยเฉพาะกลุ่ม finance ได้ซื้อ KK ตอน 0.91 บาทเพราะดูแล้วมีโอกาสรอดจากการล้มละลายมากกว่าคนอื่นและไปขายช่วง 3-4 บาท แต่หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในกิจการจนราคาขึ้นไป 70-80 บาท ซึ่งให้บทเรียนเราว่าในกิจการที่ดีสามารถถือได้ยาว ไม่จำเป็นต้องซื้อๆ-ขายๆ
- ได้หนังสือเกี่ยวกับ Warren Buffet จากคุณมนตรี ศรไพศาล ทั้งๆที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่พอได้อ่านเล่มนี้แล้วกลับรู้สึกติดใจจนวางไม่ลง อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก และเปลี่ยนแนวทางการลงทุนในที่สุด
- เรียนรู้จากประสบการณ์ ทำให้ช่วงหลังจากนั้นมักใช้เวลาศึกษากิจการนานก่อนลงทุน จึงผิดพลาดน้อยลงไปมาก
- เชื่อว่าบริษัทที่มีผู้บริหารที่ดี จะสามารถสร้างการเติบโตของกำไรได้ดีในระยะยาวซึ่งมีผลต่อราคาหุ้นตามกันไป
- ไม่ค่อยมองตลาดหรือภาพอุตสาหกรรมรวม แต่ชอบมองหุ้นเป็นรายตัวไป โดยต้องที่เป็นกิจการที่ดี รายได้-กำไรมีโอกาสเติบโต เพราะราคาหุ้นสุดท้ายก็ต้องวิ่งกลับเข้าไปหา EPS ของกิจการ
- ยังมองว่าในตลาดหุ้นยังพอมีหุ้นที่กำไรน่าจะเติบโตได้ดีอยู่ใน 3-5 ปีหน้า บางตัวราคาลงมาเยอะพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ถูกมากนัก
ดร.นิเวศน์
- เริ่มเข้ามาในตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงทำงาน IB ให้บริษัทเงินทุน โดยส่วนตัวก็ซื้อๆ-ขายๆไม่มีหลักการอะไร และมีหน้าที่เป็นคนดูแลป๊อบเทรด ซึ่งพยายามหาหลักการมาจับ ไม่ได้เทรดแบบมั่วๆ ทำให้เราได้เริ่มศึกษาการลงทุนแนว VI เป็นครั้งแรก
- หลังปี 40 โดยเชิญให้ออก มีเงินออมเก็บไว้ 10 ล้าน มีครอบครัว มีลูก มีภาระมาก งานสายการเงินก็หายากเพราะบริษัทล้มไปจนหมด จึงตัดสินใจนำเงินมาลงทุนโดยหวังแค่ปันผล
- ตอน SET 800 จุดจึงเข้าลงทุนในบริษัทนึงที่ดูแล้วฐานะการเงินแข็งแกร่ง ปันผล 10% ต่อปี โดยไม่ได้สนใจราคาอะไร ขอแค่ปันผลมาเลี้ยงครอบครัวก็พอ
- หลังจากนั้น SET ลงไป 200 จุดแต่หุ้นตัวนั้นกลับไม่ลง แถมราคาดันขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ ทำให้เราเห็นผลสำเร็จจากการใช้หลัก VI ในการลงทุนว่าทำได้จริง
- ปกติจะเลือกหุ้น วิเคราะห์หุ้นอย่างละเอียด ใช้เวลานาน หากมาดูพอร์ตหุ้นส่วนใหญ่ถือนานเกิน 10 ปี ไม่ค่อยได้ทำอะไรช่วง 3-4 ปีหลัง จะมีก็แค่ขายหุ้นเล็กๆไป 3 ตัว ซื้อใหม่ 2 ตัว
- ช่วงนี้มองว่าหุ้นดีหลายตัวราคาลงมาเยอะแต่ก็ยังไม่ได้ถูกจนน่าซื้อ ส่วนตัวเลยรอดูอยู่เฉยๆ ให้ลองหาบริษัทที่มีศักยภาพว่า 3-4ปีก่อนทำผลงานได้ดีแล้วจึงมอง 3-4ปีหน้า ว่ายังสามารถโตได้จากการกิน market share ของคู่แข่ง แบบนี้แม้อุตสาหกรรมไม่โตแต่รายได้-กำไรของบริษัทก็ยังพอโตได้(คือ ทำผลงานให้เห็นมาแล้วและคาดว่าผลงานน่าจะทำได้ดีต่อไป)
- มองว่าช่วงรุ่งเรืองของ VI มองว่าหมดไปแล้ว ต่อไปผลตอบแทนอาจจะไม่ได้หวือหวาเหมือนสมัยก่อน
หมอพงษ์ศักดิ์
- ลงทุนมาได้ 11 ปี แต่ก่อนลงทุน 2-3 ปีก็ได้อ่านหนังสือหาความรู้มาก่อนพอสมควร
- โชคดีที่เข้ามาช่วงตลาดตกต่ำพอดี เลยยังไม่เคยเจอกับวิกฤตแบบพี่ๆท่านอื่น และในช่วงวิกฤต hamburger เงินสดก็ยังเหลือมากทำให้เจอหุ้นดี ราคาถูกเยอะ
- การลงทุนช่วงแรกๆก็มาแนว VI เลย แต่เปลี่ยนประเภทของหุ้นที่ลงทุนไปตามแต่ละช่วงเวลา
- ความผิดพลาดก็มีบางเป็นเรื่องปกติ แต่เราเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องเจอ และในอนาคตก็ต้องเจออีก แต่เมื่อผิดแล้วมักเจ็บไม่หนักและได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นๆ
- ตลาดหุ้นไทยคง Sideway ไม่ไปไหนตามสภาพเศรษฐกิจที่ไม่โต จากสถิติทุกๆปีการที่ตลาดแกว่งขึ้น-ลงระดับ -10-15% ในปีเดียวถือว่าปกติ ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ว่ายังไงก็ต้องเจอการแกว่งลักษณะนี้ทุกปีอยู่แล้ว
- หากถามว่าอุตสาหกรรมไหนน่าจะพอไปได้ คือ ท่องเที่ยว โรงพยาบาล ค้าปลีก หรือบริษัทที่ไปกิน Mkt share คนอื่นเพื่อโตต่อได้ หรือบางอุตสาหกรรมที่อาจจะเติบโตได้จากการส่งเสริมจากภาครัฐ
- อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน มองว่าที่ IRR ของคนที่ทำก่อนจะดีเนื่องจากเป็นช่วง mismatch แต่จากนี้ไป IRR ต่อโครงการจะลดลงไปตามกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะออกมา เช่น Bidding หรือจับฉลากโซล่าราชการ เป็นต้น การจำกัดความเสี่ยงให้ต่ำคือให้รอซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า โดยมองแค่โครงการที่มีในปัจจุบัน ทำให้แม้ว่าธุรกิจไม่โตแต่ก็ไม่หดตัว แต่หากมีโครงการเพิ่มก็ถือเป็น Bonus (ดีกว่าฝาก bank)
- มองว่าเศรษฐกิจภาพใหญ่(Marco)ของไทยคงไม่ไปไหน 2-3ปี หน้า เป็นช่วงที่ต้องจัดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งรอดูว่ารัฐบาลจะทำสำเร็จไหม เพราะผลหลังจากนั้นจะเป็นตัวที่บอกว่าอีก 3 ปีต่อจากนั้นจะกลับมาโตได้หรือนิ่งไปเลย
- มองภาพว่าการส่งออกไม่ใช่เฉพาะที่ไทยแต่เป็นทั่วโลกเริ่มจะมีผลต่อ GDP ในสัดส่วนที่น้อยลง ดังนั้นการเติบโตเราจะพึ่งไม่ได้มากนัก
เสี่ยป๋อง
- เริ่มลงทุนแบบไม่มีหลักการ แต่ยังดีที่บ้านยอมรับและให้เงินจำนวนนึงมาลงทุน
- เทรดไปกำไร-ขาดทุนสลับกันไป มาเจอที่หนักครั้งแรกคือช่วงปี 40 ขาดทุนหนัก แถมยังซื้อๆ-ขายๆตลอดช่วงขาลงทำให้ยิ่งหนักเข้าไปอีก และได้มาเจอจุดเปลี่ยนคือเทคนิคคอล ได้คำแนะนำมาจากรุ่นพี่ท่านนึง ก็นึกเสียดายว่าถ้าเรารู้เทคนิคตั้งแต่แรกคงเห็นว่าควรออกมายืนดูนอกตลาดตั้งแต่หลุด 1100 แล้ว
- ช่วงที่เจอหนักอีก 2 ครั้งคือ 9-11 ตอนนั้นนอนไม่หลับ ทำใจรอแล้วแต่ตลาดหุ้นดันประกาศหยุดทำการ พอเปิดมาอีกวันก็ Cutloss กันไป ยังดีที่ช่วงนั้นพอร์ตยังรับดับ สิบล้านยังพอคัทลอสได้
- อีกครั้งมาเจอตอนปลายปี 57 ที่ลงไป -140 จุดในวันเดียว พอร์ตเราใหญ่ขึ้นแถมใส่ margin เข้าไปอีกทำให้โดนcall จะขายก็ขายไม่ได้เพราะไม่มี bid วันนั้นนั่งนิ่ง ทำอะไรไม่ถูกเลย หลายคนมาหาก็บอกว่าพี่ป๋องเซียนจริงๆ ตลาดขนาดนี่ยังนิ่งได้เลย แต่ความจริงที่นิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูกจริงๆในวันนั้น หลังจากนั้นก็เลิกใช้ margin ไปเลย
- ตั้งแต่ลงทุนก็อาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดมาตลอด
- ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ที่ได้ก็มาจากข่าวและนโนยบายภาครัฐ
- ตลาดหุ้นในปีนี้ มองไม่ออกจริงๆ ขนาดตัวผมเองยังไม่กำไรเลย จึงทำให้รู้ว่า Technical ที่เราใช้เหมาะกับแค่ช่วงตลาดขาขึ้นเท่านั้น ช่วงขาลงหรือช่วงอื่นๆออกมาดูเฉยๆดีกว่า
- หุ้นหลายตัวก็งงๆ ว่าพอมีข่าวดีแล้ว เช่น รับเหมามีข่าวเรื่องโครงการโครงสร้างพื้นฐานมาแน่ๆ แต่กลับขึ้นแค่ตัวเดียวอีก 3 ตัวนิ่ง ไม่รู้ว่ามันประมูลคนเดียวรึเปล่า (ฮา)
- ตอนนี้ถือเงินสด 70% แต่อีก 30%ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ได้ PP หรือบางตัวก็ไม่มี bid หรืออื่นๆจึงออกไม่ได้ ทั้งๆที่เราควรถือเงินสด 100% แล้วในตอนนี้ ก็เป็นอีกบทเรียนนึงก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป คิดอยู่ว่าหากตลาดยังลงต่อจะซื้อหนังสือของ ดร.นิเวศน์มาอ่านให้รู้แล้วรู้รอดไป(ฮา) หรือจะแอบไปเรียนเทคนิคจากคนที่เปิดคอร์สๆกันซะเลย
จบ Section แรก ใน section หลังผมเข้าห้องช้าอาจจะได้ไม่ละเอียดมากนะครับขออภัยมา ณ ที่นี้
=====================
พี่หมอประมุข
- เริ่มลงทุนมานานตั้งแต่ปี 2534
- ลงทุนแนว VI ใช้เวลาศึกษากิจการ/หุ้นตัวนึงนาน กว่าจะเริ่มตัดสินใจซื้อ-ขายสักครั้งนึง เน้นทำการบ้านให้หนักก่อนแล้วถือแบบสบายใจทีหลัง
- สิ่งที่ใช้เพื่อหาข้อมูล มีตั้งแต่ Oppday งบการเงิน ไปจนถึงการโทรหา IR ของบริษัทเพื่อขอข้อมูล
- ส่วนมากเน้นดูแค่ 4-5 ตัวเท่านั้น ไม่ค่อยดูหุ้นหลายๆตัว และในพอร์ตก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามแต่ละช่วงเวลาหรือจังหวะเหมาะสมพอดี ถ้าเราเจอบริษัทใหม่ที่น่าสนใจกว่าก็ switch หุ้จากนตัวที่น่าสนใจน้อยออกไป
- การหาหุ้น ส่วนมากจะชอบหุ้นที่คนไม่รู้จัก ไม่มีนักวิเคราะห์หรือใครสนใจ
- มองว่าตัวเองยังไม่ได้เซียนอะไร ยังต้องเรียนรู้ต่อไปอีกเยอะ
คุณโจ ลูกอีสาน
- ลงทุนมา 15 ปี
- มองว่าการลงทุนเป็นการสะสมไปเรื่อยๆ อย่าไปรีบร้อนหวังจะรวยเร็ว แม้ผลตอบแทนปีละ 15-30% สุดท้ายพลังแห่งการทบต้นจะแสดงผลลัพธ์ของมันออกมา จนเราเองก็คาดไม่ถึงได้เช่นกัน "การอุ้มท้องใช้เวลา 9 เดือน ไม่ใช่ใช้ผู้ชาย 9 คน" ดังนั้นใจเน็นๆค่อยเป็นค่อยไป
- การหาหุ้นมักจะดูหุ้นหลายๆตัว แต่จะไม่ยุ่งกับหุ้นตัวใหญ่ที่มีนักวิเคราะห์หลายสถาบันรุมวิเคราะห์เพราะเราไม่ได้เปรียบ เนื่องจากพวกนั้นเค้าก็มีความรู้มีเครื่องมือพร้อมกว่า
- หุ้นในพอร์ตมีเป็นตัวเล็กๆ ตอนนี้มีมากกว่า 39 ตัว มากจากหุ้นหลายตัวที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า และสลับสับเปลี่ยนอยู่เสมอจึงไม่รู้ว่าตัวไหนที่ทำให้พอร์ตเราพลิกชีวิต จะเน้นให้พอร์ตโดยรวมเติบโตไปอย่างสม่ำเสมอมากกว่า
- มองว่าไม่ควรถือเงินสดหรือรอจังหวะวิกฤตแล้วซื้อ เพราะเราไม่รู้จะเกิดเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นก็ทำตอบแทนทบต้นซึ่งอาจจะได้มากกว่ารอวิกฤตแล้วกลับมาซื้อด้วยซ้ำเพราะไม่แน่อาจจะรอเป็น 10ปี++ โดยไม่ได้ทำอะไร
คุณเคน
- ก่อนมาลงทุนก็ต้องศึกษาบริษัทให้ดี ให้มองว่าเราจะหาทางที่จะเอาชนะในตลาดหุ้นได้ยังไง
- ตลาดหุ้นดีกว่ากว่าการทำธุรกิจ เพราะเราแข่งกับตัวเอง ไม่ต้องไปแข่งกับคนอื่น นั้นทำให้ทุกๆท่านที่มาต่างต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด
- ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมาซื้อขาย หุ้นหลักๆในพอร์ตไม่เกิน 5 ตัว
- มองเป็นทีมฟุตบอล
กองหน้า : IQ PQ EQ
กองกลาง: อธิบาท4 ValueInvestor ValueShareholder อริยสัจ4
กองหลัง: X X X X (มี 4 อย่างจำไม่ได้ครับ)
- สุดท้ายแล้วสำคัญที่ว่า เราหาเงินมายังไง และ เราจะใช้มันเพื่ออะไร
- ส่วนตัวตอนนี้บริจาคทุก 10% ของกำไรให้การกุศล และจะปรับเป็น 50% หากอายุขึ้นเลข 50ปี++
เนื้อหามีมากจนจำไม่หมดจริงๆครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกๆท่านไม่มากก็มากๆนะครับ smile emoticon
ShineStock 
ปล.หากชอบก็แชร์ได้เลยนะครับ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น