วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จากเด็กข้างถนน...สู่หอคอยงาช้าง


จากเด็กข้างถนน...สู่หอคอยงาช้าง
========================
มีเพื่อนๆหลายคนอินบ๊อคเข้ามาถามว่าผมเป็นใคร ทำไมถึงมา สร้างเพจนี้ ผมเลยอยากเล่าประวัติคร่าวๆ ให้คุณฟังสักนิดก่อน ทั้งนี้เป็นเพราะ มันเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมศึกษาเรื่องแรงบันดาลใจและวิธีสู่ความสำเร็จนี้มาเกือบตลอดชีวิต

ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน แต่ก็ยังมีโอกาสได้เรียนหนังสือกับเขาบ้าง เนื่องจากความจนมันเลยทำให้ผมมีความทะเยอทะยานสูง ชีวิตผมตอนเด็กๆ ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากเด็กข้างถนนธรรมดาๆคนหนึ่ง ผมมีอาชีพเสริมโดยการเก็บ... เศษเหล็ก เศษกระดาษ พลาสติก ตามข้างถนนมาขายหลังเลิกเรียน ต้องแอบทำนะเพราะกลัวพ่อ-แม่รู้ นั่นมันเป็นเพราะ เราอยากได้ของเล่นเหมือนเด็กทั่วๆไปที่เขามีกัน พ่อกับแม่มีเงินให้เราพอแค่ค่าข้าว กับค่าขนมนิดหน่อย เนื่องจากเรามีพี่น้องหลายคน แต่อาชีพเสริมที่ผมทำตั้งแต่เด็กบางครั้งมันยังพอเอามาจุนเจือครอบครัวได้บ้าง เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

โชคดีที่ผมเป็นคนขยัน เลยสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมชื่อดังในขณะนั้นได้ เริ่มเป็นวัยรุ่นนิดๆแล้ว ก็เลยมีความฝัน ฝันอยากเป็นสถาปนิก ฝันอยากเป็นนักเดินเรือพาณิชย์ แต่ก็ไม่เคยได้เลยกับความฝันเพราะความจริงเราต้องหาเงินให้ได้มากๆ เมื่อเราเรียนจบเพื่อช่วยพ่อกับแม่
ในช่วงจบชั้นมัธยมต้นนั่นเอง ทางบ้านก็เริ่มมีปัญหาทางการเงินเนื่องจากคุณพ่อป่วยจนแทบจะทำงานไม่ได้เลย แม่เป็นแม่บ้านไม่มีรายได้จากทางไหนเลย เราอดมื้อกินมื้อข้าวสารจะกรอกหม้อยังจะไม่มีเลย ผมจำได้ว่าแม่มีเงินให้ไปซื้อข้าวสารครั้งละ 1 กิโลกรัม มีกันทั้งหมด 5 คน ที่จะต้องกินแบบประหยัดเพื่อประทังความหิว กับข้าวหรือ ก็มีน้ำปลาบ้าง กากหมูบ้าง สมัยก่อนยังไม่มีน้ำมันพืชเขาใช้มันหมูมาเจียวเอาน้ำมัน จะเอาเงินที่ไหนเรียนต่อ แล้วอาชีพที่เราฝันไว้หละ

ผมกลับมานั่งทบทวนตัดสินใจกับอนาคตของตนเอง ระหว่างความฝันกับอนาคต จึงตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อที่ สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้า พระนครเหนือ ในระดับ ปวช.ถึงปริญญาตรี เพราะที่นี่มีภาคค่ำยังพอจะมีโอกาสเรียนจนจบได้ แล้วจบออกมาแล้วยังมีโอกาสหาเงินได้อีกมากมายในฐานะวิศวกร ในระหว่างที่เรียนไปทำงานไป มันช่างเป็นชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยเอาการ นั่งรถเมล์วันละ 3 ต่อ ใช้เวลาไป-กลับเกือบ 4 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่เป็นวัยรุ่นเต็มตัวของผมจึงหายไป ชีวิตผมช่วงนี้มีแต่งานกับเรียน ในระหว่างที่ผมฝึกงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งผมก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่ผมคิดว่าการเป็นวิศวกรจะมีรายได้สูงรองจากหมอ นั้นผิดเสียแล้ว นักขายต่างหาก คุณเชื่อไหมวิศวกรเรียนก็ยากกว่าพาณิชย์ จบก็ยากกว่า สอบเข้าก็ยากกว่า ทำไมเซลล์แมนหรือพนักงานขายที่บริษัทที่ผมทำงานมีรถขับ แล้วยังมีรายได้มากกว่าวิศวกรรุ่นพี่ๆที่ทำงานอยู่ก่อนอีก ทำงานก็สบายกว่า นี่มันอะไรกัน ผมคิดผิดหรือเปล่า ผมเฝ้าคิดมาตลอดเวลาในช่วงนั้น ประมาณสัก 2 ปี เห็นจะได้

คุณเชื่อไหมผมตัดสินใจไม่เรียนต่อระดับปริญญาตรี ทั้งๆที่อีก 2 ปี ก็จะจบ จะได้เป็นวิศวกรตามที่หวัง ผมเลือกที่จะออกมาทำงานหาประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรมสักพักหนึ่ง ว่ามันจะเป็นเหมือนตอนที่ฝึกงานไหม ระหว่างอาชีพวิศวกรกับนักขายผมต้องการเป็นอะไรกันแน่ แล้วผมก็ทดลองทำตามที่อยากจะรู้อีกครั้ง ผมใช้เวลาอีก 1 ปีกว่าๆ กับงานด้านวิศวกรรม ภาพมันก็ออกมาเหมือนเดิมเหมือนจะตอกย้ำความคิด ที่ต้องการได้รับคำตอบมาตลอด 3-4 ปี ที่ผ่านมาว่า ระหว่างวิศวกรกับพนักงานขายอะไรคือคำตอบ ที่สุดก็ได้รับคำตอบว่า อาชีพที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จได้ในชีวิตก็คือ..“งานขายเท่านั้น”

แต่หนทางมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ผมจะไปขายอะไร แล้วผมจะไปขายอย่างไร โชคดีที่ผมขอย้ายจากฝ่ายวิศวกรรมมาฝ่ายขายของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ได้ เลยทำให้ผมไม่ต้องไปหาที่ทำงานใหม่ ผมได้เริ่มต้นจากสิ่งที่เคยรู้มาแล้ว และออกไปทำงานขาย 6 เดือน ที่ผมมาอยู่ฝ่ายขาย ผมขายอะไรไม่ได้เลย ทำไมคนอื่นขายได้ ผมคิดผิดอีกหรือเปล่านะ หรือว่าผมจะหลงทางอีกแล้ว ผมพยายามหาคำตอบอยู่อีกนานพอควร เพื่อนๆผมในรุ่นเดียวกันก็เรียนกันจบหมดแล้ว ไปเป็นวิศวกรตามโรงงานที่มีเงินเดือนสูงๆ

ผมเริ่มมีความคิดผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้งว่า “ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการขาย” ผมพยายามหาหนังสือทุกเล่ม ที่เขียนเกี่ยวกับการขายมาอ่าน เข้าฟังเข้าอบรมที่เกี่ยวกับการขายทุกคอร์ส เท่าที่จะหาได้ในตอนนั้น ผมเรียนรู้ลองผิดลองถูกอยู่นาน จนเกือบจะเลิกล้มเสียก็หลายครั้ง แล้วผมก็ขายได้ เกือบหนึ่งปีเต็มๆ ที่ผมต้องทนอยู่กับคำปฏิเสธ หารายชื่อลูกค้าไม่ได้ วันๆไม่รู้จะไปไหน นั่งตามร้านกาแฟบ้าง เหมือนคนเลื่อนลอย ผมพยายามค้นหาวิธีต่างๆ จนกว่าจะขายได้

คุณรู้ไหม..... ณ.จุดนี้สภาพมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนหลงทาง ผมผ่านมันมาได้ในที่สุด ความคิดทางการขายหลักการต่างยังวนเวียนอยู่ในสมองไม่รู้จบ และแล้วสิ่งเร้าใหม่ๆในความคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้ “เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เป็นเจ้าของกิจการ”

เก็บเงินมาตั้งนานคิดจะซื้อบ้านให้พ่อแม่อยู่ เอาอย่างไรดีหนอ? เงินเก็บแสนกว่าบาทจะทำอะไรได้ แต่ถ้าซื้อ Town house เล็กๆ 2 ชั้น ก็พอจะได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านจะเอาอย่างไรดีนะ แล้วความคิดมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ เมื่อผมมีแนวร่วมเป็นเพื่อนที่เรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นมีความคิดว่า เราต้องระดมทุนมาเพื่อต่อยอดในการทำธุรกิจ และแล้ว....ความคิดก็ก่อตัวเป็นความจริง เราระดมทุน ได้ผู้ร่วมลงทุนกับเราเป็นจำนวนเงิน... “หนึ่งล้านบาท” คุณลองคิดดูเงินจำนวนไม่น้อยเลยนะกับการเริ่มต้นธุรกิจ ถ้าผมจำไม่ผิดตอนนั้นผมอายุประมาณ 25 ปี ถ้าเทียบปี พ.ศ. ก็น่าจะประมาณ พ.ศ. 2532 ตั้งประมาณเกือบ 20 ปี

เราเริ่มต้นทำกิจการของเราด้วยความมุ่งมั่น หาหนทางต่างๆ รวมทั้งช่องทางการตลาดทั้งหลาย แต่ทั้งนี้เรามีแต่ใจที่เต็มร้อยกับ ประสบการณ์มีเพียงน้อยนิด ผลจะเป็นอย่างไร ผมว่าคุณก็น่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วนะ....เจ๊งไม่เป็นท่า...
บ้านของพ่อกับแม่.....บ้านของเรา เหลือแต่ความฝันที่ว่างเปล่า.....หมดตัวครับ.... แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดีคุณช่วยบอกผมด้วย ผมหมดแรง....ผมหมดเงิน.....ผมหมดหวัง..... ท้อแท้แม้แต่จะคิดที่จะทำอะไรต่อ ปล่อยให้เวลาผ่านไป วันแล้ววันเล่า กับบะหมี่สำเร็จรูปซองแล้วซองเล่า อนิจจา...เส้นทางของ “เจ้าของกิจการส่วนตัว” แล้วความโชคร้ายมันก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปหรอก

หลังชนฝา อะไรมาก็คว้า เข้าสู่วงการธุรกิจ MLM ครั้งแรกในชีวิต เพียง 6 เดือนมีรายได้นับแสน 13 เดือน มีรายได้ 1.5 ล้าน เอาเงินมาลงทุนใหม่อีกครั้ง ไม่เข็ดหรอกครับ แต่คราวนี้ผมเริ่มมีสติมากขึ้นรอบครอบขึ้น ทุกอย่างน่าจะไปได้ดี ร่วมหุ้นกับเพื่อนก่อตั้งบริษัท แลนด์ เอ็กเซ็คคิวทีฟ จำกัด เพื่อทำบ้านจัดสรร (พ.ศ.2535 สร้างทาวน์เฮาส์ ที่ซอย ราชครู และสุขุมวิท 33) คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เจ๊งไม่เป็นท่า เพราะไฟแนนซ์ล่ม 56 แห่ง ติดร่างแหไปด้วย ล้มเหลวเหมือนเดิมถึงตรงนี้ คุณจะทำเหมือนผมหรือเปล่านะ ไม่เข็ดซักที ไม่บ้าก็น่าจะเพี้ยน หรือไม่ก็สติแตกไปแล้ว

ผมกลับไปทำงานประจำอีกครั้ง(พ.ศ.2538) ที่บริษัท ของพี่ชายแท้ๆ
- ออกแบบลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ที่ดีที่สุดในอาเซี่ยน บนยอดตึก โรงแรม เพนิล ซุล่า
- ออกแบบระบบไฟฟ้าควบคุมการผลิตรถยนต์ ให้กับบริษัท ชั้นนำของญี่ปุ่น หลายค่าย

ผมถูกบีบให้ออกจากงาน เนื่องจากภาวะฟองสบู่แตกเมื่อปี พ.ศ.2540 พี่ชายผมแท้ๆสายเลือดเดียวกัน คุณว่านี่มันคืออะไรกัน เพื่อปากท้องของครอบครัวเขา ผมไม่โกรธหรอกผมเข้าใจความรู้สึกของเขา สวรรค์แกล้งหรือฟ้าลิขิต ถ้าผมผ่านไปไม่ได้ก็จบ ผมไม่รู้จะไปสมัครงานที่ไหนอายุผมก็มากขึ้น สภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย เงินเก็บเหลือแค่แสนกว่าบาท รถก็ไม่มี คำนวณแล้วอยู่ได้แค่ 4 เดือน ภาระก็มีไม่รอดก็จบ พ.ศ. 2540

ต้องเริ่มก่อตั้งธุรกิจของตัวเองอีกครั้งภายใต้ชื่อ บริษัท ธนธาดา จำกัด ท่ามกลางมรสุมของการพังทลายของเศรษฐกิจ ด้วยเงินเก็บไม่ถึง 1 แสน บาท ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคนจ้าง พยายามขายของทุกอย่าที่มีคนสนใจ ผมทำธุรกิจด้วยจิตใจจริงๆ ไม่มีรถ ไม่มีเงินทุน ไม่มีลูกค้า มีแต่ความคิด กับตัวเรา ผมไม่มีทางเลือกคืนวันอันแสนสาหัสผ่านไปด้วยความยากเข็น และแล้วแสงรำไรก็เกิดขึ้นในถ้ำจริงๆ ผมผ่านมันมาได้เพราะ “ความไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ” เป็นสิ่งที่ผมมาหวนคิดได้ในภายหลัง ปัจจุบันนี้มีมูลค่าทรัพย์สินนับสิบๆล้านด้วยการทำงานเพียงเดือนละ 3 วัน เวลาจึงมีเหลือมาก เริ่มให้ความสนใจกับโลกออนไลน์ตั้งแต่ ปีพ.ศ.2549

- มีโอกาสได้ร่วมงานกับคนดังต่างประเทศในการใช้สื่อออนไลน์ เขียนบทความผ่านโลกออนไลน์ที่มีคน
ติดตามมากกว่า 1 แสนคน เป็นคนนำระบบ Attraction Marketing มาใช้ในยุคแรกของประเทศไทย
- ทำวีดีโอผ่าน You tube ที่มียอดคนดู มากกว่า 6 แสนคน
- ปัจจุบัน ขยายสาขาสินค้าเพิ่มซึ่งเป็นก้าวกระโดด เพื่อทำการตลาดผ่านโลกออนไลน์ เปิดตัวสินค้าวันแรก ก็ถูกสั่งจองสินค้าที่ผลิตออกมา เกินกว่า 25% ภายใต้แบรนด์ KDO
- เปิดคอร์ส สัมมนาเกี่ยวกับทางด้าน Psychology of E-Commerce Marketing ที่มีมนุษย์เงินล้านมาเรียนหลายคน
- บริษัท mlm ระดับโลกหลายแห่งเชิญให้ผมไปออกแบบสื่อสินค้าให้ และออกแบบสื่อให้กับบริษัท SME อีกหลายที่

เพราะความจนความลำบาก ทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคทำให้ผมสามารถสร้างผลงานที่เหนือกว่าคนทั่วๆไป ผมพยายามหาคำตอบของความสำเร็จว่า แท้ที่จริงแล้วมันซ่อนอยู่ตรงไหนในจิตใจเรา 20 กว่าปีแล้ว ที่ผมผ่านมันมา ผมเรียนรู้การเกิดและการดับของมัน ครั้งแล้วครั้งเล่า จากธุรกิจของผมหรือของเพื่อนๆ แล้ววันนี้ผมพบคำตอบแล้ว เกี่ยวกับความสำเร็จสร้างได้ด้วย 2 มือเปล่า ความสำเร็จระดับนี้ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองจะทำได้ แต่เกิดจากความมุ่งมั่นที่จะผลิตผลงานที่สุดยอด ซึ่งทุกคนสามารถเรียนรู้และทำมันได้ในสิ่งที่คุณรักและสิ่งที่คุณเป็น หรือแม้กระทั่งในสาขาอาชีพที่คุณรักไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจเสมอไป แล้วเรื่องราวต่างๆที่ผมได้นำมาแบ่งปันในเพจนี้ บางส่วนก็เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และลงมือทำมันมาตลอดชีวิต เพื่อให้ผู้คนได้รับสิ่งดีๆ ผ่านบทความที่ผมตั้งใจมอบให้จากใจ

พจน์ นิรมิตตานนท์

ติดตามเรื่องราวดีๆ เพิ่มเติมได้ที่เพจ https://www.facebook.com/InspirationOfLifes

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น