updated: 17 ต.ค. 2558 เวลา 09:30:00 น.
กระแสดารา-เซเลบริตี้โพสต์ภาพเบียร์ช้างลงในอินสตาแกรม ยังคงเป็นกระแสร้อนที่ถูกจับตาและตั้งคำถามจากสังคมอย่างต่อเนื่อง มีการออกมาเรียกร้องให้ทั้งกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เอาผิดกับเหล่าดาราคนดังโพสต์รูปคู่กับเบียร์ และเรียกร้องให้เอาผิดกับบริษัทเจ้าของเบียร์ช้างด้วย
ล่าสุดท่าทีของค่ายเบียร์ช้าง ในงานแถลงข่าวทิศทางธุรกิจประจำปี โดย"ประภากร ทองเทพไพโรจน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มธุรกิจเบียร์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาปฏิเสธกระแสวิพากษ์ดังกล่าว โดยยืนยันว่าบริษัทไม่มีนโยบายใช้ดาราเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า และบริษัทได้ดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ขณะที่ดาราที่เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้น อาทิ "วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์" และ "หญิงแย้-นนทพร ธีระวัฒนสุข" ทั้งคู่ยืนยันว่า ไม่มีการว่าจ้าง และรับเงินแต่อย่างใด แต่ทำไปเพราะรู้จักกับคนในองค์กรที่มาขอความช่วยเหลือ
ไม่ว่ากรณีนี้จะจบอย่างไร "ประภากร" ยืนยันว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางการอย่างเต็มที่ และไม่กังวลกับกระแสที่เกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ไทยเบฟฯยังแถลงถึงทิศทางและนโยบายของกลุ่มธุรกิจเบียร์จากนี้ไปว่า หลังจากการรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ของเบียร์ช้างในรอบ 20 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เบียร์ช้างต้องการจะกลับมาเป็นผู้นำตลาดเบียร์ที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านอีกครั้งในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่ช้างมีส่วนแบ่งตลาด 30%
"ช้างคลาสสิก" ที่ถูกปรับภาพลักษณ์ให้พรีเมี่ยม ที่เป็นหัวหอกในการรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา ที่ตลาดกำลังเติบโต
ขณะที่แม่ทัพใหญ่ "ฐาปน สิริวัฒนภักดี" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ย้ำว่า ปัจจุบันเบียร์ช้างเติบโตเป็นดับเบิลดิจิต หลังจากครึ่งปีที่ผ่านมา กลุ่มเบียร์มียอดขาย 19,000 ล้านบาท เติบโต 8.9% ขณะที่กลุ่มสุราเติบโตกว่าที่คาดคิด โดยเฉพาะสุราขาวที่เติบโต 2-3% เพราะผู้บริโภคหันมาเลือกสินค้าดังกล่าวมากขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจและกำลังซื้อมีปัญหา
ขณะเดียวกันก็เตรียมจะขยายพอร์ตโฟลิโอจับกลุ่มพรีเมี่ยม รับโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ด้วยการนำเข้าสุราอีก 2 แบรนด์ 5 รายการ ประกอบด้วย Old Pulteney และanCnoc มีระดับราคา 2,000-8,000 บาท และเพิ่มการทำตลาดบรั่นดี แบรนด์ "เมอริเดียน"ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อยอดการเป็นผู้นำกลุ่มสุราระดับกลาง-ล่าง
ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ แม้มีการเติบโตจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ "ฐาปน" ระบุว่า ยังต้องการเห็นตัวเลขการเติบโตที่มากขึ้น โดยยังมี 5 แบรนด์หลัก คือโออิชิ, เอส, 100 พลัส, คริสตัล และน้ำดื่มช้างเป็นอาวุธหลัก ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา ฯลฯ ด้วยการร่วมมือกับเอฟแอนด์เอ็น และการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น หรือการซื้อกิจการ (M&A)
ทั้งนี้ในช่วง 5 ปีจากนี้ ตั้งเป้ามียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% และเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบัน 5% เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 2020 ที่ต้องการเป็นผู้นำ 1 ใน 5 ของบริษัทเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 162,000 ล้านบาท
เป็นการประกาศรุกฆาตตลาดที่บริษัทเครื่องดื่มในภูมิภาคนี้ต้องหันมามองกันและต้องตั้งรับให้ดี
ขณะที่ดาราที่เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้น อาทิ "วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์" และ "หญิงแย้-นนทพร ธีระวัฒนสุข" ทั้งคู่ยืนยันว่า ไม่มีการว่าจ้าง และรับเงินแต่อย่างใด แต่ทำไปเพราะรู้จักกับคนในองค์กรที่มาขอความช่วยเหลือ
ไม่ว่ากรณีนี้จะจบอย่างไร "ประภากร" ยืนยันว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางการอย่างเต็มที่ และไม่กังวลกับกระแสที่เกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ไทยเบฟฯยังแถลงถึงทิศทางและนโยบายของกลุ่มธุรกิจเบียร์จากนี้ไปว่า หลังจากการรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ของเบียร์ช้างในรอบ 20 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เบียร์ช้างต้องการจะกลับมาเป็นผู้นำตลาดเบียร์ที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านอีกครั้งในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่ช้างมีส่วนแบ่งตลาด 30%
"ช้างคลาสสิก" ที่ถูกปรับภาพลักษณ์ให้พรีเมี่ยม ที่เป็นหัวหอกในการรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา ที่ตลาดกำลังเติบโต
ขณะที่แม่ทัพใหญ่ "ฐาปน สิริวัฒนภักดี" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ย้ำว่า ปัจจุบันเบียร์ช้างเติบโตเป็นดับเบิลดิจิต หลังจากครึ่งปีที่ผ่านมา กลุ่มเบียร์มียอดขาย 19,000 ล้านบาท เติบโต 8.9% ขณะที่กลุ่มสุราเติบโตกว่าที่คาดคิด โดยเฉพาะสุราขาวที่เติบโต 2-3% เพราะผู้บริโภคหันมาเลือกสินค้าดังกล่าวมากขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจและกำลังซื้อมีปัญหา
ขณะเดียวกันก็เตรียมจะขยายพอร์ตโฟลิโอจับกลุ่มพรีเมี่ยม รับโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ด้วยการนำเข้าสุราอีก 2 แบรนด์ 5 รายการ ประกอบด้วย Old Pulteney และanCnoc มีระดับราคา 2,000-8,000 บาท และเพิ่มการทำตลาดบรั่นดี แบรนด์ "เมอริเดียน"ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อยอดการเป็นผู้นำกลุ่มสุราระดับกลาง-ล่าง
ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ แม้มีการเติบโตจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ "ฐาปน" ระบุว่า ยังต้องการเห็นตัวเลขการเติบโตที่มากขึ้น โดยยังมี 5 แบรนด์หลัก คือโออิชิ, เอส, 100 พลัส, คริสตัล และน้ำดื่มช้างเป็นอาวุธหลัก ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา ฯลฯ ด้วยการร่วมมือกับเอฟแอนด์เอ็น และการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น หรือการซื้อกิจการ (M&A)
ทั้งนี้ในช่วง 5 ปีจากนี้ ตั้งเป้ามียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% และเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบัน 5% เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 2020 ที่ต้องการเป็นผู้นำ 1 ใน 5 ของบริษัทเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 162,000 ล้านบาท
เป็นการประกาศรุกฆาตตลาดที่บริษัทเครื่องดื่มในภูมิภาคนี้ต้องหันมามองกันและต้องตั้งรับให้ดี
cr:http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1445048954
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น