โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ต.ค. 2558 05:01
เป็นมังกรสะท้านบู๊ลิ้ม ที่ท่องยุทธจักรมาแล้วอย่างโชกโชน สำหรับ “คีรี กาญจนพาสน์” ผู้บุกเบิกสร้างระบบขนส่งมวลชนลอยฟ้าสายแรกของประเทศไทย “รถไฟฟ้า BTS” ชีวิตของเขาผ่านมาทั้งความสุขสมหวังสุดยอด และความทุกข์ระทมแทบเจ๊กอั้ก กว่าจะได้ผงาดเป็น 1 ใน 40 มหาเศรษฐีฟอร์บส์รวยที่สุดของเมืองไทย มาถึงวันนี้ ในวัย 65 ปีเต็ม เจ้าสัวบีทีเอสพร้อมแล้วที่จะอุทิศฉากชีวิตบทสุดท้าย เพื่อตอบแทนคืนสังคม และตอกย้ำให้เห็นว่าปาฏิหาริย์ในชีวิตมีจริง ตราบใดที่ไม่สิ้นหวัง ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
“ขอให้เชื่อก่อนว่าผมไม่ได้ทำเพื่อสร้างภาพหรืออะไร ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ตั้งแต่อายุ 60 มา ผมเริ่มทำเรื่องการกุศลหลายอย่างเพื่อความสุขของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าเราผ่านพ้นอะไรมาเยอะแล้ว เจอปาฏิหาริย์ในชีวิตมาเยอะ ผมจึงบอกตัวเองว่าต่อจากนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนคืนสังคมบ้าง แต่สไตล์ของผม จะไม่ชอบบริจาคเงินแล้วจบกัน ผมอยากไปสร้างด้วยมือผมเอง แทนที่จะบริจาคผ่านมูลนิธิ หรือกองทุน ผมอาจจะไม่ค่อยเชื่อแบบนั้น เพราะกลัวว่าจะไม่ถึงมือคนที่เราอยากให้ได้รับประโยชน์จริงๆ ผมเลยทำเองแล้วค่อยส่งมอบให้ แต่ก็ไม่เคยออกมาพูดอะไรมาก กลัวคนจะว่าสร้างภาพ โครงการเหล่านี้ใช้คำว่า “คีรีและเพื่อน” คือเพื่อนๆพอรู้ว่าเราทำ เสร็จปั๊บก็อยากจะช่วยทำบุญทำกุศลด้วย”...เจ้าสัวคีรีเปิดฉากเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นทำบุญทำกุศลเพื่อสังคม
ผ่านไปตั้ง 5 ปี ทำไมถึงเพิ่งออกมาพูดเรื่องนี้
วันนี้ผมออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะเพิ่งริเริ่มโครงการใหม่ที่ใหญ่มากคือ การสร้าง “ศูนย์ไตเทียมฟ้าสั่ง” (FAH SUNG HEMODIALY-SIS CENTER) เราทำเพื่อสังคม ผมสัมผัสกับตัวเองว่าคนเป็นโรคไต ชีวิตลำบากมาก เสียทั้งเวลาและเงินทอง คนที่เป็นโรคไตจะทำให้เส้นเลือดอุดตันหมด กินอะไรก็ไม่ได้เลย กินเข้าไปจะทำให้บวมน้ำ และหายใจไม่ออก ดื่มน้ำได้จำกัดวันละ 2 แก้ว ดื่มน้ำมากก็ไม่ได้ กินโปรตีนเนื้อสัตว์ไม่ได้ กินผักมากก็ไม่ได้ กินผลไม้ก็ไม่ได้ กินซุปกินน้ำมากก็ไม่ได้ ต้องกินยาเป็นกำทุกวัน คือความสุขของการเป็นมนุษย์ด้อยไปเยอะ คุณภาพชีวิตด้อยไปเยอะ เลวร้ายสุดคือถึงขั้นฉี่ไม่ออก มันทรมานมาก วันเว้นวันต้องไปนั่งฟอกไต 4 ชั่วโมง เป็นโรคที่ต้องรักษายาวนานต่อเนื่อง จะดีขึ้นก็ต้องเปลี่ยนไต และต้องเป็นไตที่แมตช์กับร่างกายเราด้วย ไม่งั้นจะกลับมาทรุดอีก การฟอกไตมีค่าใช้จ่ายสูงมาก คนที่มีประกันสังคมสามารถเคลมประกันสังคมได้เพียง 1,500 บาท แต่ด้วยสถานที่ฟอกไตของรัฐ มีอุปกรณ์ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งต้องไปฟอกไตวันเว้นวัน ก็ต้องรอเข้าคิวฟอกไตยาวเลย ระหว่างรอฟอกไตจะต้องล้างท้องหรือเจาะท้อง เพื่อเอาสิ่งปฏิกูลออกจากร่างกายอีกทางหนึ่ง ซึ่งทรมานมาก ส่วนผู้ป่วยที่ไม่รอคิวของรัฐ ถ้าไปใช้บริการเอกชนก็มีค่าใช้จ่ายฟอกไตครั้งละ 2-3 พันบาท ผมเคยได้ยินมาเยอะว่า คนเป็นโรคไตต้องขายนาขายที่ ผูกคอตายก็มี เพราะมันสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหวจริงๆ
คุณคีรีมีโอกาสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคไตจากไหน เป็นคนในครอบครัวหรือเปล่า
(นิ่งพักใหญ่) ผมเป็นเองครับ!! ที่จริงมันก็ไม่ใช่โรคน่ารังเกียจอะไร แต่ความที่เราเป็นบริษัทมหาชน ก็ต้องระมัดระวังภาพลักษณ์เป็นพิเศษ ปัจจุบันผมหายดีแล้ว เพราะมีโอกาสได้ไปเปลี่ยนไตมา ซึ่งผมโชคดีมากที่ได้ไตใหม่แมตช์กันจริงๆกับร่างกายเราเป๊ะ จนเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ของชีวิต มันมหัศจรรย์มาก หลังจากเปลี่ยนไตใหม่มาแล้ว ผมแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย โรคต่างๆที่เป็นหายไปหมด ทั้งโรคเบาหวาน, ความดันและคอเลสเทอรอล ทุกอย่างดีหมด หลังจากผ่าตัดออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมนอนคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนฟ้าสั่งมา ดลบันดาลให้เราเข้าใจสิ่งนี้ เพื่อจะได้อุทิศความคิดของตัวเองช่วยเหลือผู้ป่วยโรคนี้ให้ได้มากที่สุด โดยผมใช้เงินส่วนตัวทั้งหมด ตั้งงบขึ้นเฉพาะปีต่อปี
ทำโครงการใหญ่ขนาดนี้ เจออุปสรรคเยอะไหม
พอลงมือทำจริงๆ ผมค้นพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เพราะมีเรื่องของผลประโยชน์แอบแฝงอยู่มาก ถ้าเราเปิดศูนย์ฟอกไตฟรี คนที่เคยได้กำไรจากธุรกิจฟอกไตอย่างน้อยหัวละ 500-1,000 บาท ก็ต้องสูญเสียรายได้ตรงนี้ เพราะถ้าคนไข้หนีมาฟอกไตกับเรา บาทหนึ่งก็ไม่ต้องเสีย!! ผมลุยทำมาครึ่งปีแล้ว เพิ่งเปิดไปได้แค่ศูนย์เดียว ที่ออกมาพูดก็เพราะอยากให้คนรู้ว่าผมมีความตั้งใจจริง อยากเปิดศูนย์ฟอกไตให้ฟรีๆ ที่ไหนมีผู้ป่วยโรคไตเยอะ มีความจำเป็นต้องพึ่งการฟอกไต ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ ธรรมชาติของโรคไต คนที่เป็นโรคไตไม่สามารถวอล์กอินเข้าไปใช้บริการศูนย์ฟอกไตได้ ต้องให้หมอเจ้าของไข้เป็นคนส่งคนไข้ไปฟอกไตตามศูนย์ฟอกไตที่แนะนำ ฉะนั้น หมอแต่ละโรงพยาบาลจะมีคอนเนกชั่นกับศูนย์ฟอกไตเจ้าประจำ ซึ่งตรงนี้ถ้าเราเปิดให้ฟอกไตฟรี ก็จะกระทบกระเทือนต่อคนทำธุรกิจด้านนี้
ศูนย์ฟอกไตฟรีแห่งแรกเปิดให้บริการที่ไหน ได้รับเสียงตอบรับดีไหม
“คุณหมอพงษ์ศักดิ์ วิทยากร” อดีตเจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ผมเช่าพื้นที่ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ โดยเก็บค่าเช่าเพียงเล็กน้อย ท่านดีใจมากที่ผมตัดสินใจทำเรื่องนี้ หลังจากศูนย์แรกเสร็จ คุณหมอจะชวนไปเปิดศูนย์เพิ่มที่พิษณุโลก, เขาใหญ่ และอ่างทอง ตอนนี้กำลังเจรจาหาพื้นที่ที่ขอนแก่นด้วย เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงเป็นโรคไตกันมากที่สุด เนื่องจากคนอีสานกินของหมักของดองและของสุกๆดิบๆกันเยอะ
ตั้งใจจะเปิดให้บริการทั่วประเทศเลยไหม
ผมไม่มีลิมิต ก็จะเปิดไปเรื่อยๆเท่าที่กำลังความสามารถจะไปได้ โดยผมตั้งงบส่วนตัวก้อนหนึ่งทุกปี เพื่อทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ศูนย์ที่เปิดให้บริการแล้วจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทุกวัน ถ้าต้องใช้จ่ายเกินงบที่ตั้งไว้ ผมค่อยเปิดรับบริจาคเพิ่มเติม แต่ขั้นต้นอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเองก่อน
ผู้ป่วยกลุ่มไหนถึงจะมีสิทธิ์ใช้บริการฟอกไตฟรี
ในเมืองไทยมีผู้ป่วยโรคไตเป็นแสนคน แต่ศูนย์ของเราจะมุ่งเน้นช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ไม่สามารถจ่ายเงินฟอกไตได้จริงๆ โรงพยาบาลรัฐต่างๆรับผู้ป่วยไตไม่ไหวอยู่แล้ว เราต้องการจะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ ถ้ามีสตางค์อยู่แล้วคงไม่เข้าข่ายใช้บริการของเรา ศูนย์หนึ่งลงทุนไปกว่า 20 ล้านบาท เปิดให้บริการฟอกไตได้แค่ 12 เตียง วันละ 3 รอบ ก็แปลว่าเครื่องหนึ่งรับคนไข้ได้มากสุดวันละ 36 ราย สลับวันเว้นวัน เท่ากับว่าศูนย์หนึ่งสามารถช่วยเหลือคนไข้ได้ 72 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก มันเป็นโรคต่อเนื่อง ฉะนั้นใครใช้เครื่องไหนก็จะผูกขาดอยู่กับเครื่องนั้นไปจนกว่าจะเลิกฟอกไต ผมเห็นใจผู้ป่วยโรคนี้ จึงใช้เครื่องมือที่ดีที่สุด และสร้างบรรยากาศอย่างดีไม่แพ้โรงพยาบาลใหญ่ๆ ระบบน้ำก็ใช้อย่างดีที่สุด เพราะผู้ป่วยแต่ละคนต้องมานั่งครั้งละ 4 ชั่วโมง เรามีหมอและนางพยาบาลของตัวเอง อุปกรณ์อะไรก็ลงทุนเองหมด แต่ทุกอย่างให้บริการฟรี ค่าฟอกไตจริงๆครั้งละประมาณ 2,500-3,000 บาท ประกันสังคมเคลมได้ 1,500 บาท ยังไงก็ครอบคลุมไม่เพียงพอ ฉะนั้นศูนย์แบบนี้ก็ต้องเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึงจะเพียงพอรองรับความต้องการ
ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน ถึงตั้งชื่อว่า “ศูนย์ไตเทียมฟ้าสั่ง”
มันตรงกับชีวิตมาก คือฟ้าสั่งมาจริงๆ เป็นคำสั่งมาจากเบื้องบนให้ทำสิ่งนี้ เรื่องราวของผมเป็นมิราเคิล เหมือนฟ้าลิขิตมา ผมเป็นโรคไตวันที่ 22 ธ.ค.2556 รักษามาตลอด แต่มาจบทุกอย่างได้ผ่าตัดเปลี่ยนไต ก็วันที่ 22 ธ.ค.2557 คือครบ 365 วันเป๊ะ!! มันเป็นปาฏิหาริย์ที่แปลกมากๆ ผมเลยเชื่อเรื่องนี้ เชื่อว่าฟ้าสั่งมาให้เราได้ช่วยเหลือคนอื่นที่ทุกข์ทรมานจากโรคนี้ และลำบากยากจนจริงๆ ยิ่งคนแก่เป็นโรคไต และไม่มีเงินฟอกไต ต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย ก็เห็นเป็นข่าวอยู่ตลอด มันเป็นสตอรี่ที่เศร้ามาก
ปกติคุณคีรีดูแลสุขภาพดีไหม
ผมเป็นเบาหวานมาก่อน ทำให้ต้องกินยาเยอะ ไตเลยทำงานหนักมาก ส่งผลให้สมรรถภาพการทำงานของไตลดลงไปเรื่อยๆ คนอายุเกิน 60 ความสามารถในการฟอกสิ่งปฏิกูลออกจากร่างกายลดลงเหลือครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ผมเชื่อในมิราเคิล อย่างตอนที่แบกหนี้แสนกว่าล้านจากการทำบีทีเอส ใครคิดว่าจะรอดมาได้ เวลาทุกข์ใจมาก ผมจะไหว้พระสวดมนต์ ถ้าปล่อยตัวเองให้แก่จน 70-80 คงไม่มีแรงทำอะไรเพื่อสังคมแล้ว ผมจึงเริ่มทำตั้งแต่วันนี้
ชีวิตของเราผ่านอะไรมาเยอะ เกิดปาฏิหาริย์มาเยอะ เราต้องตอบแทนคืนสังคมเท่าที่จะมีกำลังทำได้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น