updated: 31 ส.ค. 2558 เวลา 21:55:09 น.
สมาคม บลจ.-ก.ล.ต. ร่วมหารือเกณฑ์จัดตั้ง "เฮดจ์ฟันด์" คาดสรุปไตรมาส 3 ชูกลุ่มนักลงทุนใหม่ "Ultra High Net Worth" รวยระดับ 70 ล้าน เข้าลงทุน
นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ หนึ่งในคณะทำงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนที่ได้เข้าร่วมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับความคืบหน้าแนวทางเปิดให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างหลักเกณฑ์และรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม (เฮียริ่ง) ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/58 นี้
โดยประเด็นหารือมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การกำหนดค่ามาตรฐาน (เบนช์มาร์ก) ในการสร้างผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งจะหาข้อสรุปว่าการสร้างผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้จะใช้เบนช์มาร์กใดเป็นตัวชี้วัดจึงจะเหมาะสม ในต่างประเทศที่มีกองทุนดังกล่าว พบว่าบางแห่งใช้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารในตลาดลอนดอน (London Interbank Offered Rate : LIBOR)
ประเด็นต่อมา คือ การเปิดให้เฮดจ์ฟันด์สามารถลงทุนในตราสารอนุพันธ์ได้ โดยไม่ต้องกันสำรองเงินไว้เต็มจำนวน เพื่อให้กองทุนมีศักยภาพในการใช้เงินเพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างเต็มที่ขึ้น ขณะที่ปัจจุบันทางการกำหนดหลักเกณฑ์ว่า กองทุนจะต้องกันสำรองสภาพคล่องไว้เต็มจำนวนหากลงทุนอนุพันธ์ ทำให้การบริหารกองทุนไม่คล่องตัวมากนัก เพราะตามหลักการของการลงทุนอนุพันธ์ นักลงทุนสามารถใช้เงินจำนวนน้อย เพื่อลงทุนสินค้าที่มีมูลค่าสูงได้ แต่หากต้องมีการกันสำรองไว้เต็มจำนวน จะทำให้กองทุนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตราสารดังกล่าวได้อย่างเต็มที่
ประเด็นสุดท้าย วิธีวัดความเสี่ยง ซึ่ง ก.ล.ต.มีความเป็นห่วงว่า บลจ.ที่เข้าไปลงทุนตราสารที่มีความแปลกใหม่นั้นได้มีความเข้าใจ หรือรับทราบในความเสี่ยงของตราสารแต่ละชนิดอย่างแท้จริงหรือไม่ และจะใช้วิธีใดในการวัดความเสี่ยงของตราสารชนิดต่างๆ ดังนั้นสมาคม บลจ.ก็จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น
"เราจะต้องหารือกัน รวมถึงประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ ด้วย ทั้งสมาคม บลจ.และ ก.ล.ต.ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด" นายสมิทธ์กล่าว
ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์จะมีการกำหนดรูปแบบขึ้นใหม่ เรียกว่า "Ultra High Net Worth" คือ ต้องเป็นผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิ (Net Asset) รวม 70 ล้านบาท มีรายได้ครัวเรือน (ของสามีและภรรยา) 10 ล้านบาท และมีพอร์ตลงทุนรวม 20 ล้านบาท สูงกว่านักลงทุนกลุ่ม High Net Worth ที่กำหนดให้มีสินทรัพย์สุทธิ 30 ล้านบาท รายได้ครัวเรือน 4 ล้านบาท พอร์ตลงทุน 10 ล้านบาท
สาเหตุที่ต้องกำหนดนิยามนักลงทุน "Ultra High Net Worth" ด้วยการขยับสัดส่วนความมั่งคั่งในด้านต่าง ๆ ขึ้น เนื่องจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง จึงต้องการนักลงทุนที่มีความพร้อมด้านเงินลงทุนอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนกลุ่มนี้มักมีความรู้ด้านการลงทุนระดับหนึ่งแล้ว
"ช่วงเริ่มต้นการตั้งเฮดจ์ฟันด์ก็คงเริ่มจากนักลงทุนเฉพาะกลุ่มก่อน หากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง นักลงทุนเริ่มมีความเข้าใจ ส่วนกองทุนและทางการก็มีประสบการณ์ด้านการบริหารและกำกับดูแลมากขึ้นแล้ว ก็คงจะมีการปรับเปลี่ยนนิยามนักลงทุนให้เหมาะสมต่อไป" นายสมิทธ์กล่าว
ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat
นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ หนึ่งในคณะทำงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนที่ได้เข้าร่วมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับความคืบหน้าแนวทางเปิดให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างหลักเกณฑ์และรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม (เฮียริ่ง) ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/58 นี้
โดยประเด็นหารือมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การกำหนดค่ามาตรฐาน (เบนช์มาร์ก) ในการสร้างผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งจะหาข้อสรุปว่าการสร้างผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้จะใช้เบนช์มาร์กใดเป็นตัวชี้วัดจึงจะเหมาะสม ในต่างประเทศที่มีกองทุนดังกล่าว พบว่าบางแห่งใช้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารในตลาดลอนดอน (London Interbank Offered Rate : LIBOR)
ประเด็นต่อมา คือ การเปิดให้เฮดจ์ฟันด์สามารถลงทุนในตราสารอนุพันธ์ได้ โดยไม่ต้องกันสำรองเงินไว้เต็มจำนวน เพื่อให้กองทุนมีศักยภาพในการใช้เงินเพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างเต็มที่ขึ้น ขณะที่ปัจจุบันทางการกำหนดหลักเกณฑ์ว่า กองทุนจะต้องกันสำรองสภาพคล่องไว้เต็มจำนวนหากลงทุนอนุพันธ์ ทำให้การบริหารกองทุนไม่คล่องตัวมากนัก เพราะตามหลักการของการลงทุนอนุพันธ์ นักลงทุนสามารถใช้เงินจำนวนน้อย เพื่อลงทุนสินค้าที่มีมูลค่าสูงได้ แต่หากต้องมีการกันสำรองไว้เต็มจำนวน จะทำให้กองทุนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตราสารดังกล่าวได้อย่างเต็มที่
ประเด็นสุดท้าย วิธีวัดความเสี่ยง ซึ่ง ก.ล.ต.มีความเป็นห่วงว่า บลจ.ที่เข้าไปลงทุนตราสารที่มีความแปลกใหม่นั้นได้มีความเข้าใจ หรือรับทราบในความเสี่ยงของตราสารแต่ละชนิดอย่างแท้จริงหรือไม่ และจะใช้วิธีใดในการวัดความเสี่ยงของตราสารชนิดต่างๆ ดังนั้นสมาคม บลจ.ก็จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น
"เราจะต้องหารือกัน รวมถึงประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ ด้วย ทั้งสมาคม บลจ.และ ก.ล.ต.ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด" นายสมิทธ์กล่าว
ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์จะมีการกำหนดรูปแบบขึ้นใหม่ เรียกว่า "Ultra High Net Worth" คือ ต้องเป็นผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิ (Net Asset) รวม 70 ล้านบาท มีรายได้ครัวเรือน (ของสามีและภรรยา) 10 ล้านบาท และมีพอร์ตลงทุนรวม 20 ล้านบาท สูงกว่านักลงทุนกลุ่ม High Net Worth ที่กำหนดให้มีสินทรัพย์สุทธิ 30 ล้านบาท รายได้ครัวเรือน 4 ล้านบาท พอร์ตลงทุน 10 ล้านบาท
สาเหตุที่ต้องกำหนดนิยามนักลงทุน "Ultra High Net Worth" ด้วยการขยับสัดส่วนความมั่งคั่งในด้านต่าง ๆ ขึ้น เนื่องจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง จึงต้องการนักลงทุนที่มีความพร้อมด้านเงินลงทุนอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนกลุ่มนี้มักมีความรู้ด้านการลงทุนระดับหนึ่งแล้ว
"ช่วงเริ่มต้นการตั้งเฮดจ์ฟันด์ก็คงเริ่มจากนักลงทุนเฉพาะกลุ่มก่อน หากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง นักลงทุนเริ่มมีความเข้าใจ ส่วนกองทุนและทางการก็มีประสบการณ์ด้านการบริหารและกำกับดูแลมากขึ้นแล้ว ก็คงจะมีการปรับเปลี่ยนนิยามนักลงทุนให้เหมาะสมต่อไป" นายสมิทธ์กล่าว
ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น