วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคนิคโน้มน้าวใจคนใน 10 วินาที ของ James Altucher

140725-when-harry-met-sally-1520_c97eb05763458db0ce6dd96b109f8a58.nbcnews-fp-1200-800
เรื่องกลวิธีการโน้มน้าวใจคนถือเป็นหนึ่งในศาสตร์ทางจิตวิทยาที่สำคัญมากเลยทีเดียว เชื่อว่าในยุคนี้ ไม่ว่าใครจะประกอบอาชีพอะไรก็ล้วนต้องการการปฏิสัมพันธ์ที่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ก็ต้องการให้ลูกน้องรัก ทำอาชีพค้าขาย ก็ต้องการซื้อใจลูกค้า ถ้าเป็นพนักงานก็ต้องการเอาชนะใจเจ้านายให้ได้ แม้แต่เป็นนักศึกษาเป้าหมายของคุณก็คงไม่พ้นต้องพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของตัวเองต่อคณาจารย์ เพราะเหตุนี้ทำให้ทักษะการพูดถือเป็นทักษะที่สำคัญยิ่ง ฉะนั้นคงจะไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าเทคนิคการพูดเพียงนิดเดียว อาจเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์และมุมของคุณต่อผู้อื่นไปเลยก็ได้
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเหตุผลให้เราได้หยิบ เทคนิคโน้มน้าวใจคนใน 10 วินาที ของ James Altucher มาฝากกัน ซึ่งเขาคนนี้เคยทำงานเป็นถึงผู้ควบคุมดูแลแผนก IT ของช่องทีวียักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่าง HBO มาแล้ว โดยเขาได้เคยทำการพิสูจน์เทคนิคเหล่านี้มาแล้วด้วยการเดินไปในตรอกอันน่ากลัวของมหานครนิวยอร์กในช่วงเวลาราว ตีสาม และใช้เทคนิคการพูดนี้พูดคุยกับผู้คนที่อันตราย และโน้มน้าวให้บรรดาคนเหล่านั้นแชร์ข้อมูลส่วนตัวของตัวเองให้แก่เขา โดยเขาได้ยืนยันว่าเทคนิคนี้ประสบผลสำเร็จมาแล้วมากกว่าร้อยครั้ง
มาดูกันเลยว่านักเจรจามืออาชีพเขามีเทคนิคอะไรที่สามารถพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายขนาดนั้น
ac9585a9dfb1448cb087e3771249d106
1. Who are you ? (ต้องมีจุดยืนตัวเองที่ชัดเจน)
ธรรมชาติของทุกคนต้องการแน่ใจว่าตัวเองกำลังเจรจาอยู่กับคนที่สามารถไว้ใจได้ ดูมีความจริงใจ และที่สำคัญที่สุดคือมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาชื่นชอบคุณได้ เพราะฉะนั้นขณะที่การเจรจากำลังดำเนินไป คุณต้องสร้างรูปแบบการเคลื่อนไหวร่างกายของคุณในหัว เพื่อตอบสนองต่อคำตอบของคู่สนทนา ให้ภาษากายของคุณแสดงความเห็นด้วย แม้คุณจะไม่ได้เอ่ยพูดคำนั้นออกมาก็ตาม คุณต้องหลังตรง ยิ้มแย้ม ฝ่ามือเปิด และพร้อมจะปิดการเจรจาตลอดเวลา ซึ่งมีผลการวิจัยชี้ว่าถ้าคุณตัวงอ หรือยืนหลังไม่ตรง จะมีส่วนทำให้สมองของคุณไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นอกจากนี้ยังไม่สามารถดึงศักยภาพของสมองมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้การพูดของคุณดูไม่ “โฟลว” หรือ ลื่นไหล นั่นเอง

500-days
2. Relax (ต้องผ่อนคลาย)
ขั้นตอนนี้เราจะมาสอนวิธีการผ่อนคลายตัวเองด้วยวิธีการหายใจจากความประหม่าและความกังวลโดย  James Altucher  ได้นำเทคนิคการหายใจง่ายๆ ของตัวเขาเองมาแนะนำกันดังนี้ ให้หายใจลึกๆ ให้อากาศไหลเข้าสู่หน้าท้องแล้วหายใจออกสามครั้ง โดยขณะที่ผ่อนลมหายใจออก ให้พยายามจินตนาการว่าหน้าท้องของคุณผ่อนอากาศออกจนหน้าท้องสามารถไปแตะหลังได้ โดยวิธีการคิดแบบนี้จะช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายขึ้น

LL-0982
3. YEAH. UHHH. MMMM-HMMM. UH-HUH (งดคำว่า อ๋อ, อื้ม, อ่าหะ, เหรอ)
วิธีการตอบโต้กับคู่สนทนาถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะมีผลต่อระบบการทำงานของภาพลักษณ์ตัวเราต่อสมองของอีกฝ่าย ซึ่งพบว่า การที่เราใช้คำโต้ตอบเช่น อ่าหะ อื้ม เหรอ เพื่อแสดงความเข้าใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดนั้น จะมีผลทำให้สมองของอีกฝ่ายตีความว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้สาระและดูไม่ฉลาด โดยจากการรีเสิร์ช พบว่าวิธีการที่ถูกต้องคือ ปล่อยให้คู่สนทนาพูดจนจบ แล้วทิ้งช่วงเวลา 2 วินาที ก่อนที่จะตอบออกไป นอกจากนี้ James Altucher  ยังแนะนำว่า การที่เราทำการวิเคราะห์หาคำตอบไปด้วยขณะอีกที่ฝ่ายกำลังพูดนั้น จะทำให้สมองของเรารับข้อมูลได้ไม่เต็มที่ โดยเขาได้แนะนำให้ตั้งใจฟังจนจบแล้วค่อยทำการวิเคราะห์ข้อมูล วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

001-silicon-valley-theredlist
4. The 6 U’s (หลักแนวคิด 6U)
James Altucher  ได้แนะนำหลัก 6U เป็นแนวคิดที่จะช่วยเสริมสร้างเทคนิคการพูดของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเขาได้แนะนำให้ยึดหลักเหล่านี้ทุกครั้งที่คุณจะพูดอะไรออกไป คือ
  1. Urgency ต้องไม่เร่งรัด
  2. Unique ต้องแตกต่าง
  3. Useful ต้องมีประโยชน์
  4. Ultra-Specific ต้องตรงประเด็น
  5. User-Friendly ต้องเป็นมิตร
  6. Unquestionable proof ต้องไม่มีข้อกังขา

in-the-pursuit-of-happyness
5. Desire (ความปรารถนาของคู่สนทนา)
ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวว่า “อย่ารับของจากคนแปลกหน้า” เป็นประโยคที่เราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ในโลกของธุรกิจ นักลงทุนก็เปรียบเสมือนเด็กคนที่เราจะยื่นขนมให้ แล้วเรานี่แหละที่เป็นคนแปลกหน้าเพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร ให้เด็กคนหนึ่งกล้าที่จะยื่นมือมารับของจากคนแปลกหน้าอย่างเรา และนี่คือหลักความปรารถนาของลูกค้า ที่ James Altucher  ได้ทำการแนะนำว่าเมื่อเราตอบสนองหลักนี้แล้วจะทำให้คู่สนทนาของเรามีความพอใจมากขึ้น  โดยหลักที่ว่ามีดังนี้
Recognition การทำให้เขารู้สึกยอมรับ
Rejuvenationre การทำให้เขารู้สึกกลับเป็นหนุ่มสาว
Relaxation การทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
Relief การทำให้เขารู้สึกปลดปล่อย
Religion การทำให้เขาเลื่อมใส
Remuneration การทำให้เขาพอใจในค่าตอบแทน
Results   การทำให้เขาเข้าใจในผลที่ตามมา
1860_11_screenshot
6. Objection (ต้องกล้าที่จะคัดค้าน)
ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องมีจุดผิดพลาดกันทั้งนั้น หากคุณกล้าที่จะรู้จักเตือนคู่สนทนาคุณ ในจุดที่เขาผิดและแก้ให้ถูกต้องโดยการยึดหลักที่ James Altucher แนะนำ ก็จะสามารถสร้างความประทับใจให้คู่สนทนาไม่ยาก อีกทั้งยังเป็นการแสดงศักยภาพทางความรู้ของเราให้เขาเห็นอีกด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับอ่านกันจบแล้ว ถ้าเรายึดหลักปฏิบัติเหล่านี้ที่ James Altucher ได้ทำการแนะนำ เชื่อว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยที่จะประสบความสำเร็จในการสนทนาอย่างแน่นอน ไม่แน่บางทีคุณอาจเป็นอีกหนึ่งคน ที่สามารถโน้มน้าวใจคนได้ภายในระยะเวลาเพียง 10 วินาที ก็ได้นะครับผม

คำอวยพรราคาเป็นสิบล้าน

“จงกระหาย จงเรียนรู้ตลอดเวลา” Steve Jobs
“การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด ที่เราจะนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลก” Nelson Mandela
“ความสำเร็จคือครูที่แย่มาก เพราะมันล่อลวงคนฉลาดให้คิดว่าพวกเขาไม่มีวันล้มเหลว.” Bill Gate
“ผู้ใดอยากจะบินได้ ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะยืน เดิน วิ่ง ปีน และเต้นรำก่อน เพราะไม่มีใครสามารถบินได้ในทันที” Fredrich Wilhelm Nietzche
“เรียนรู้จากวันวาน ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ มีความหวังกับวันพรุ่งนี้ สิ่งสำคัญคืออย่าหยุดตั้งคำถาม” Albert Einstein
“สิ่งที่วิเศษสุดสำหรับการเรียนรู้ คือไม่มีใครสามารถเอามันไปจากคุณได้.” B.B. King
“สิ่งที่ฉันต้องการจะรู้ อยู่ในหนังสือ; เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน คือคนที่จะเอาหนังสือที่ฉันไม่เคยอ่านมาให้” Abraham Lincoln
“การเป็นอัจฉริยะ ประกอบด้วยแรงบันดาลใจ 1% และหยาดเหงื่ออีก 99%.”  Thomas Alva Edisons
“ไม่เริ่มต้นในวันนี้ จะไม่มีทางสำเร็จในวันพรุ่ง” Johann Wolfgang von Goethe
“ให้ความรู้แก่สมอง โดยที่หัวใจปราศจากการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับการไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย.” Aristotle“สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว” ท่านพุทธทาสภิกขุ
“มาไวไปสามชั่วโมง ดีกว่ามาช้าหนึ่งนาที” วิลเลียม  เชคสเปียร์

Lolly Wolly Doodle : The Dell of Apparel


ใครที่มีโรงงานและอยากขยายธุรกิจสู่ช่องทางออนไลน์ ผมแนะนำให้ศึกษาแบรนด์ Lolly Wolly Doodle ให้ดีๆ LWD เป็นแบรนด์เสื้อผ้าเด็กออนไลน์ที่มียอดขายพุ่งสูงขึ้นถึง 11 ล้านเหรียญ ภายใน 3 ปีนับจากวันแรกที่เปิดทำการและได้รับการยกย่องว่าเป็นแบรนด์ที่มียอดขายผ่าน facebook สูงที่สุดแบรนด์นึงของโลก
Business Model ของ LWD นั้นน่าสนใจมาก เริ่มตั้งแต่การสร้างคุณค่า (Value Proposition) ที่ Brandi Temple เจ้าของ ได้สร้างจุดขายของแบรนด์ว่าเป็น Design-By-You พร้อมวางระบบ "Customer-Specific System" เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้ามาเลือกลายผ้า ส่วนประกอบและอุปกรณ์ตกแต่งเสื้อผ้าทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง และ Lolly Wolly Doodle จะเป็นผู้ตัดเย็บให้
ลายผ้าแบบ Monogram ที่ให้ผู้ซื้อเลือกได้ตามใจ เหมือนกับที่เค้าเรียกตัวเองว่า เป็น Dell (คอมพิวเตอร์ที่ผู้ซื้อเลือก Spec ประกอบได้ตามใจ) of Apparel คือ สเน่ห์ของแบรนด์ที่ไม่มีใครทำได้
ความแตกต่างที่ทำให้ Lolly Wolly Doodle เติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็วคือ
1. การมีระบบ website ที่ใช้งานง่ายมากและสามารถช่วยเหลือให้คำแนะนำอย่างดีว่า อันนี้ติดได้หรือติดไม่ได้ รวมถึงการแนะนำ matching color ให้ด้วย และระบบนี้ช่วยลดภาระทางด้านหน้าร้านและการจ้างพนักงานขายไปได้มาก เพราะธุรกิจแบบเธอถ้าจะมีหน้าร้านเพื่อวางผ้าทุกสีทุกแบบให้คนมาเลือกได้ คาดว่าน่าจะใช้พท.ไม่ต่ำกว่าสนามฟุตบอลย่อมๆสักแห่ง สามารเข้าไปลองใช้งานได้ที่designedbyme.lollywollydoodle.com/dress/ และล่าสุดก็มีแอพสำหรับ iPad ออกมาแล้ว
2. การก้าวข้ามคำว่า Minimum Order ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ค่อย friendly กับผู้บริโภคเท่าไหร่ แต่ที่ LWD ลูกค้าจะสั่งเพียงตัวเดียวก็ได้ ไม่มีปัญหา
เรื่องนี้ผมเคยให้คำแนะนำไปหลายคนแล้วว่า ให้ลบคำว่า minimum order ออกจากระบบการทำงานเสียที โลกเค้าไปถึงไหนแล้ว หลายคนแอบหัวเราะบอกว่าผมไม่เข้าใจเรื่องการผลิต แต่วันนี้คนที่หัวเราะในวันนั้น ไม่เจ๊งไปแล้วก็มีแต่ยอดขายลดลงเรื่อยๆ ใครที่ยังมีความคิดว่าจะผลิตของต้องมีจำนวนขั้นต่ำ คุณจะกลับใจวันนี้ยังไม่สายนะครับ
3. ธุรกิจ Lolly Wolly Doodle เลือกที่จะจ่ายค่าจ้างที่สูงกว่า แต่ควบคุมคุณภาพของงานได้ใกล้ชิดกว่าและการบริหารทั้งหมดอยู่ที่เมืองเดียว ช่วยสร้างงานให้กับแม่บ้านกว่า 300 ครอบครัวในเมืองบ้านเกิด Thomasville-Lexington, NC ที่เค้าเลือกแบบนี้เพราะเน้นการทำงานโดยเอาคุณภาพเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เน้นเรื่องกำไรสูงสุด และ Brandi เองก็เคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายจากการสั่งของจากจีนเข้าไปด้วยเงิน $10,000 และเธอบอกว่า นั่นเป็น terrifying experience
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากความบังเอิญหรือทำตามใครๆ แต่มาจากการออกแบบโมเดลธุรกิจและกำหนดคุณค่าของแบรนด์ไว้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญคือ เรื่องแบบนี้ทำกันได้ทุกคนถ้าตั้งใจและเห็นความสำคัญ

สอนวิธีสร้างรายได้ จาก sunfrogshirts และ teespring

สอนวิธีสร้างรายได้ จาก Sunfrogshirts และ Teespring

     ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่า Sunfrogshirt และ Teespring คืออะไรน่ะครับ Sunfrogshirt และ Teespring คือเว็บไซด์ ขายเสื้อยืดออนไลน์ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างไม่จำกัด สำหรับรายได้นั้นได้มาจากค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าออกแบบลายเสื้อ ซึ่งความแตกต่างระหว่าง 2 เว็บนี้คือ เว็บ Teespring นั้น ต้องขายให้ได้ยอดจำนวนเสื้อขั้นต่ำ ถึงจะมีการผลิต จะทำให้เราได้ค่าส่วนต่าง(ราคาขาย-ราคาทุน = รายได้ของเรา ) ยกตัวอย่างเช่น มีจำนวนยอดสั่งซื้อ ขั้นต่ำ 10 ตัว ถึงจะผลิตเสื้อลาย หรือ รูปแบบนั้นขึ้นมา หาไม่ถึงก็ไม่สามารถผลิตได้ จำเป็นต้องออกแบบลายเสื้อ หรือ ทำ Campaign ขึ้นมาใหม่ ซึ่งแตกต่างกับเว็บ Sunfrogshirt เราสามารถมีรายได้แม้กระทั่งเราขายได้แค่ 1 ตัว ซึ่งเราจะได้รับเป็นค่าคอมมิชชั่นประมาณ 40 เปอร์เซ็นจากยอดขาย และที่นี้มาถึงสิ่งที่เราทุกคนรอคอยคือ วิธีการสร้างรายได้จากการขายเสื้อ เว็บ Sunfrogshirt และ Teespring มีวิธีการดังนี้ครับ


ถ้าคุณอยากจะทําธุรกิจเสื้อยืด Sunfrogshirt และ Teespring ... 
1. คุณแค่ออกแบบลายไปลงหรือจ้างคนออกแบบ ซึ่งราคาไม่แพงแค่ 150-300 บาทเท่านั้น ( Teespring )
2. คุณไม่จําเป็นต้องยุ่งกับตัวสินค้าหรือลูกค้าใดๆ ทั้งสิ้น Sunfrogshirt และ Teespring จัดการให้ หมด 
3. เมื่อคุณออกแบบลายแล้ว สิ่งที่คุณต้องทําคือลงโฆษณาหาคนมาซื้อ โดยใช้ Facebook Ads 

ขั้นตอนจริงๆ ก็มีเท่านี้ครับ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยใช่มั้ยครับ การใช้งานระบบ โฆษณาของ Facebook นั้นก็ง่ายต่อการเข้าใจ ใช้เวลาในการลงโฆษณาไม่ถึง 15 นาทีก็ลงโฆษณาให้คนเห็นเป็นหมื่นเป็นแสนได้แล้ว แต่ถึงยังงั้นก็ยังมีหลายคน ครับ ที่ไม่สามารถประสบความสําเร็จกับการขายเสื้อยืดออนไลน์ได้ เพราะอะไร ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆนะครับ



ถ้าคุณทำ Teespring ตั้งยอดจำหน่ายเสื้อขั้นต่ำไว้ที่ 10 ตัวจึงจะทำการผลิต หลักการคือ
1. คุณต้องทำแบบลายเสื้อ
2. คุณต้องจับกลุ่มตลาด โฆษณา โดยใช้ Facebook Ads
เห็นอะไรไหมครับ คุณมีต้นทุนแล้ว คือ การโฆษณา โชคดีถ้าคุณสามารถหาลูกค้าจนถึงยอดสั่งผลิตขั้นต่ำ แต่ถ้าโชคร้ายหรือไม่เข้าข้าง ซึ่งถ้าคุณโฆษณาไปแล้ว แต่ยอดขายเสื้อไม่ถึง 10 ตัว ยอดขั้นต่ำ เท่ากับคุณไม่มีกำไร ซ้ำยังขาดคุณค่าโฆษณาอีก ตอนนี้ได้มีคอร์สสอนทั้ง  Sunfrogshirt และ Teespring  ที่ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทดลองผิด ทดลองถูก และ ช่วยประหยัดเงินทุนต่างๆที่มีอย่างจำกัด แค่คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองศึกษา เรียนรู้ให้ถูกกับรูปแบบการทำงานของคุณแค่นั้นเองครับ

สำหรับในปัจจุบันนี้ มีสองคอร์สหลักๆ ที่น่าสนใจ สอนโดยคนไทยมากประสบการณ์ สร้างรายได้จริง โดย คุณ เก่ง พีระพล ผมนำมาสองคอร์สนี้ให้ท่านเลือก เอาตามความถนัด ศึกษาดูครับ

 Easy Tee Profits 2.0 Frog Shirts Formula


สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ ธุรกิจเสื้อยืด Sunfrogshirt และ Teespring

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

The world’s first 3D printer supercar looks stunning, has amazing specs and is eco-friendly

It can reach 100 km/h (60 mph) in 2 seconds, it has a 700 horsepower engine, it weighs 90% less than traditional cars, it has less emissions and it’s 3D printed – it may very well be the car of the future.
Despite technological developments, the automobile industry has remained relatively stagnant in the past few decades. Sure, you have new models coming out every year, you have more and more computers in cars, but the manufacturing process and the emissions caused by production and driving have remained relatively unchanged. But 3D printing has the potential to change all that and revolutionize all that, despite not living to its potential until now.
Kevin Czinger, founder and CEO of a company calledDivergent Microfactories (DM) presented his disruptive innovation, a spectacular car called Blade.
“Society has made great strides in its awareness and adoption of cleaner and greener cars. The problem is that while these cars do now exist, the actual manufacturing of them is anything but environmentally friendly,” said Kevin Czinger, founder and CEO of Divergent Microfactories.
Blade reportedly has 1/3 the emissions of an electric car and 1/50 the factory capital costs of other manufactured cars. It’s also fundamentally different from other 3D printed cars we’ve presented; the company doesn’t 3D print the entire car, but instead it prints aluminum ‘nodes’ that are fitted together like Lego blocks. The main reason why they do this is to reduce pollution and the environmental impact of producing the car. This also makes the car much lighter than existing vehicles which reduces fuel consumption and makes it much more resilient to the wear and tear of everyday driving.
“Divergent Microfactories is going to unveil a supercar that is built based on 3D printed parts,” Manny Vara of LMG PR said. “It is very light and super fast — can you say faster acceleration than a McLaren P1, and 2x the power-to-weight ratio of a Bugatti Veyron? But the car itself is only part of the story. The company is actually trying to completely change how cars are made in order to hugely reduce the amount of materials, power, pollution and cost associated with making traditional cars.”
The entire body of the car is composite, with the chassis alone being made of  70 3D printed aluminum nodes which are then manually assembled together – a process that takes about 30 minutes.
“The body of the car is composite,” Vara tells us. “One cool thing is that the body itself is not structural, so you could build it out of just about any material, even something like spandex. The important piece, structurally, is the chassis.”
So far, an unknown number of cars has been produced, and an official price hasn’t been announced, but don’t worry – DM also wants to revolutionize the manufacturing process by democratizing it. Their goal is to make the technology available for others as well and enable small entrepreneurial teams around the world to set up their own microfactories and build their own cars. These microfactories will further innovate the product, while limiting emissions and pollution.
The car is not electric – its 700-horsepower engine can use either compressed natural gas or gasoline.
Photos by: Business Wire


Read more: http://www.zmescience.com/research/inventions/3d-printed-supercar-26052015/#ixzz3eR46lQ00

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิชาที่ไร้ประโยชน์ โดยวินทร์ เลียววาริณ

“แล้วมันใช้ประโยชน์อะไรได้?” เป็นประโยคที่หล่นจากปากของนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษหลังจากดูสาธิตกลไกการทำงานของไฟฟ้ากับแม่เหล็กโดยนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นชื่อ ไมเคิล ฟาราเดย์ เป็นผู้ค้นพบความลับเกี่ยวกับไฟฟ้ามากมายหลายเรื่อง งานของเขาล้ำยุค แต่ดูไม่มีประโยชน์อะไร
ฟาราเดย์ผู้นี้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ฐานะยากจนมาก เขาเรียนไม่จบชั้นประถมเพราะครูเห็นว่าเขาเป็นเด็กทึ่ม เขาอาจไม่ได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์หากมิใช่เพระเขาทำงานในร้านทำปกหนังสือ มีโอกาสผ่านตาหนังสือจำนวนมากมาย เขาอ่านหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมืออย่างกระหาย และพบว่าตัวเองรักวิทยาศาสตร์ เขาเรียนเองทุกอย่าง ค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับไฟฟ้าแทบทุกอย่างที่จินตนาการของเขาโลดแล่นไปถึง
โลกต้นศตวรรษที่ 19 รู้จักไฟฟ้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร งานของฟาราเดย์ก้าวหน้าเกินกาล เขารู้ว่าเขากำลังก้าวไปสู่พื้นที่ใหม่ที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าเขาจะสร้างชื่อเสียงในระดับหนึ่ง แต่คนในยุคของเขามองไม่เห็นคุณค่าของงานของเขา เป็นที่มาของคำถามของนายกรัฐมนตรีข้างต้น
ผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี มนุษย์รู้เรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าหมดแล้ว และเริ่มทำความเข้าใจกับอะตอมและอนุภาค โลกเคลื่อนเข้าสู่ยุคอวกาศ แต่คำถามแบบเดิมก็ยังคงอยู่ ทุกครั้งที่มีการส่งจรวดออกนอกโลก มีเสียงคำถามดังขึ้นเสมอว่า “ส่งจรวดไปนอกโลกทำไม ในเมื่อประชาชาตินับพันล้านคนอดอยาก มีคนอดตายทุกวัน เอาเงินค่าทดลองจรวดไปช่วยคนพวกนั้นไม่ดีกว่าหรือ?” ทุกครั้งที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเรื่องอะตอมและอนุภาคชื่อประหลาดๆ หลายคนบอกว่า “แล้วมันใช้ประโยชน์อะไรได้?” ทุกครั้งที่มีคนศึกษาเรื่องจักรวาลไกลโพ้น หลุมดำ เควซาร์ พัลซาร์ สสารมืด พลังงานมืด ฯลฯ ไปจนถึงการเฝ้าดูร่องรอยของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว คนจำนวนมากตั้งคำถามว่า “รู้ไปทำไม?”
เหล่านี้ย่อมมิใช่คำถามที่ไม่มีเหตุผล เพราะดูเผินๆ การศึกษาอวกาศ อนุภาค จักรวาล หลุมดำ ดูไร้สาระจริงๆ เหมือนว่าพวกนักวิทยาศาสตร์ว่างงานมาก เอาแรงไปขุดดินปลูกผัก ยังจะได้ผลเป็นรูปธรรมกว่า
นอกจากเรื่องการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้ว คนจำนวนมากยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการศึกษาวิชาเลขคณิต เราขาคณิต พีชคณิต ตรีโกณมิติ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ปรัชญา ฯลฯ ว่า “เรียนวิชาบ้าพวกนี้ไปทำไมก็ไม่รู้ ไม่เห็นต้องใช้” คนส่วนมากเรียนหลายวิชาเหล่านี้ในโรงเรียน แล้วไม่ได้นำไปใช้ประกอบอาชีพในตอนโตแต่อย่างไร เรียนวิศวกรรมจบมาขายประกัน เรียนรัฐศาสตร์จบมาเป็นเซลส์ขายเครื่องสำอาง เรียนแพทย์จบมาเป็นนักการเมือง เรียนปรัชญาจบมาผลิตดีวีดีเถื่อนขาย ฯลฯ
จริงหรือไม่ที่เราเรียนวิชาบ้าพวกนี้ไปทำไมก็ไม่รู้? จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องรู้วิชาที่ “รู้ไปทำไม?” ?
บางทีมันขึ้นกับว่าเราอยากเป็นมนุษย์แบบไหน และเราอยากได้สังคมแบบใด
สังคมมนุษย์ต่างจากสังคมสัตว์ส่วนใหญ่ตรงที่เราจัดระบบการดำเนินชีวิตของปัจเจก แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อจะลดงานของแต่ละคนลง และที่สำคัญจะได้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาย ได้งานที่ดีที่สุดเพราะผู้เชี่ยวชาญทุ่มกำลังความคิดและพลังงานทั้งหมดกับงานประเภทเดียว
เราเป็นสัตว์โลกที่รู้จักมองไกลไปในอนาคต เราคาดการณ์ปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง มันเป็นกระบวนการหนึ่งเพื่อความอยู่รอดของเรา ยิ่งเรารู้มากเท่าไร โอกาสรอดของสายพันธุ์ก็สูงขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่การจะทำอย่างนี้ได้ เราต้องมีองค์ความรู้ที่กว้างพอ องค์ความรู้ระดับนี้มาจากความหลากหลายของความคิด ความหลากหลายของความคิดมาจากการรู้รอบด้านและทดลองหาทางสายใหม่ การรู้รอบด้านและทดลองหาทางสายใหม่มาจากการวางรากฐานเด็กๆ ด้วยการเรียนรู้ทุกวิชาก่อน
ความรู้ไม่ใช่ผลไม้ที่มีอยู่แล้วในป่ารอเราไปเก็บ มันไม่พอที่จะสร้างสังคมที่สมบูรณ์ขึ้น เราต้องการผลไม้ใหม่ๆ ที่เราต้องค้นหาหรือสร้างขึ้นมาเอง และหนทางไปสู่ความรู้ใหม่ๆ ก็คือการทดลองเรื่องประเภท ‘ทำไปทำไม?’ เช่นที่ ไมเคิล ฟาราเดย์ ทำ
ในวันนั้นเมื่อนายกรัฐมนตรีอังกฤษถามเขาว่า “แล้วมันใช้ประโยชน์อะไรได้?” ฟาราเดย์ตอบว่า “แล้วทารกแรกเกิดใช้ประโยชน์อะไรได้?”
บุคคลสำคัญและผู้สร้างสรรค์สิ่งสำคัญของโลกทุกคนล้วนเป็นทารกไร้ประโยชน์มาก่อนทั้งสิ้น! งานนวัตกรรมทุกชิ้นเป็นทารกแรกเกิด มันอาจโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์ หรืออาจตายเสียก่อน เราไม่มีทางรู้จนกว่าจะลองเลี้ยงทารกคนนั้น
‘ทารกแรกเกิด’ ที่ดูไร้ประโยชน์ของฟาราเดย์กลายเป็นรากฐานให้ เจมส์ คลาร์ก แมกซเวลล์ สานต่อ แล้วต่อมาเป็นรากฐานให้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พัฒนาความคิดของเขา ต่อยอดกลายเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่แห่งสหัสวรรษ!
หากปราศจากผลงานที่ ‘ใช้ประโยชน์อะไรได้?’ ของ ไมเคิล ฟาราเดย์ ในวันนั้น และหากปราศจากการส่งจรวดไปนอกโลกและการศึกษาอนุภาค จักรวาล หลุมดำ ฯลฯ โลกเรายามกลางคืนในวันนี้ก็ยังคงเป็นโลกมืดมิดเช่นเมื่อล้านปีก่อน โลกวันนี้จะไม่มีพัดลม, เครื่องซักผ้า, ตู้เย็น, นาฬิกา, เครื่องดูดฝุ่น, ปั๊มน้ำ, เครื่องเล่นดีวีดี, เครื่องพิมพ์, โทรทัศน์, ดาวเทียม, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ทางการแพทย์, เครื่องมือทันตแพทย์, ระบบเลเซอร์ทางการแพทย์, เครื่องตรวจมะเร็ง, เครื่องสแกนร่างกาย, แขนขาเทียม, เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด, การตรวจโครโมโซม, เครื่องตรวจมะเร็งเต้านม, การพยากรณ์อากาศ, การหาตำแหน่งฝูงปลาสำหรับการประมง, เครื่องกู้กับระเบิด, การถ่ายทอดทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม, ระบบการสื่อสารทั่วโลก, สัญญาณโทรศัพท์, ระบบจีพีเอส, เครื่องป้อนนมลูกสัตว์ในฟาร์ม, เครื่องตรวจควันและสัญญาณเตือนไฟไหม้, เครื่องกรองน้ำ, ฉนวนกันความร้อนของบ้าน, สว่านเจาะไร้สาย, เครื่องกำจัดฝุ่น, ระบบ LED, เครื่องส่งสัญญาณขนาดจิ๋ว, กราไฟท์, เครื่องป้องกันฟ้าผ่าเครื่องบิน, เครื่องป้องกันเครื่องบินชนกัน, เลเซอร์ตัดของในโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจประดิษฐ์ ทั้งหมดนี้เป็นผลพลอยได้จากการค้นคว้าทดลองที่ ‘ใช้ประโยชน์อะไรได้?’ ล้วนๆ !
แต่ละวิชาในโลกดูแตกต่างกัน แต่ทุกๆ ศาสตร์เชื่อมต่อกัน คณิตศาสตร์เชื่อมกับฟิสิกส์ ชีววิทยาเชื่อมกับเคมี เคมีเชื่อมกับกายวิภาคศาสตร์ ประวัติศาสตร์เชื่อมกับภูมิศาสตร์ ฯลฯ การรู้เพียงจุดเดียวทำให้โลกทรรศน์ของเราไม่กว้างพอ การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จำเป็นต้องได้มีความรู้รอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น หากเรารู้เรื่องโครงสร้างอาคารและวัสดุก่อสร้าง เราก็สร้างตึกได้ แต่มันไม่ได้แปลว่าเราเป็นสถาปนิก การเป็น ‘สถาปนิก’ ต้องมีองค์ความรู้และภูมิปัญญากว้างกว่านั้นมาก ต้องรู้ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ชีววิทยา ปรัชญา สังคม วัฒนธรรมจิตวิทยา ดาราศาสตร์ ฯลฯ ต้องเข้าใจจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ ต้องรู้ว่างานชิ้นหนึ่งสร้างผลกระทบต่อเพื่อนมนุษย์ สังคม และโลกอย่างไร
เช่นกัน การเป็นพระต้องรู้มากกว่าแค่บทสวด พระธรรม ศีลธรรม ‘พระ’ ต้องรู้ประวัติศาสตร์ ปรัชญา สังคม วัฒนธรรมจิตวิทยา ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา ฯลฯ พระจะบรรลุธรรมได้อย่างไรหากไม่รู้ว่าคนมาจากไหน
หลายเรื่องหลายสิ่งในโลกมองเผินๆ ไร้ประโยชน์ เช่น ขี้ ซากศพ ขยะ ฯลฯ แต่มองให้ลึกจะเห็นว่า ขี้เป็นที่อยู่และอาหารของสัตว์หลายชนิด ซากศพเป็นอาหารของแร้ง ขยะสามารถนำไปรีไซเคิล บางครั้งนำไปสร้างเป็นงานศิลปะ การศึกษาค้นคว้าก็เช่นกัน
ความรู้เป็นตัวขยายสมอง เปิดโลกทรรศน์ เปิดประตูสู่ดินแดนใหม่ๆ เราต้องไม่กลัวก้าวไปสู่พื้นที่ใหม่ พื้นที่ที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อน ปริมาณและคุณภาพของความรู้และปัญญาจะกำหนดว่าเราเป็นมนุษย์แบบไหน วิชาการต่างๆ จึงจำเป็นต่อเรา และแม้ว่าความรู้ที่มีอยู่ในโลกตอนนี้เรียนทั้งชีวิตก็ไม่หมด แต่มันก็ยังน้อยเกินไป! ยังมีความรู้ใหม่ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นรอเราอยู่ และความรู้เหล่านั้นอาจเปลี่ยนมนุษยชาติและสรรพชีวิตในโลกในทางที่ดีขึ้น
ดังนั้นการมองการเรียนด้วยมุมมองเดิมๆ มุมมองเดียวจึงอาจพลาดโอกาสได้ ประโยค “เธออ่านอะไรยากจัง” “รู้ไปทำไม?” “เรียนไปทำไม?” เหล่านี้ทำลายโอกาสการสร้างนวัตกรรมมามากแล้ว
แน่ละ มันย่อมไม่ใช่ความผิดของคนถาม “มันใช้ประโยชน์อะไรได้?” และ “รู้ไปทำไม?” เพราะความสามารถมองไกลกว่าสิ่งที่โลกมี สิ่งที่โลกเป็น และมองเห็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในโลกนั้นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะคนที่ไม่มีความรู้รอบตัวมากพอ ไม่เปิดสมองกว้างพอ และไม่เปิดใจกว้างพอ
บนโต๊ะทำงานของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ วางรูปถ่ายของบุคคลสามคนที่เป็นไอดอลของเขา ไอแซค นิวตัน, ไมเคิล ฟาราเดย์ และ เจมส์ คลาร์ก แมกซเวลล์ เตือนใจเขาว่าเขากำลังยืนอยู่บนรากฐานของคนรุ่นก่อนซึ่งคิดค้นสิ่งที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ รอให้เขาสานต่อเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ความรู้ต่อยอดความรู้ คลื่นต่อยอดคลื่น
กระบวนการต่อยอดทางปัญญาหยุดเมื่อไร ไม่เพียงเราจะเดินถอยหลัง แม้แต่มนุษยชาติก็อาจสิ้นสุดไปด้วย
Cr. วิชาที่ไร้ประโยชน์ โดยวินทร์ เลียววาริณ

กระชากหน้ากาก “เจ้ามือ” ในตลาดหุ้น มี 5 พฤติกรรมปั่น

กระชากหน้ากาก “เจ้ามือ” ในตลาดหุ้น มี 5 พฤติกรรมปั่น หลอกแมงเม่าเข้าปิ้ง เผยวิธีดู Bid-Offer ที่จะได้รู้ทัน “เจ้ามือ” เอกยุทธเตือนรายย่อยเล่นหุ้น อย่าโลภ-อย่าเป็นเสือหวน
By : เอกยุทธ อัญชันบุตร

นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า อยากแนะนำวิธีในการพิจารณาดู Bid-Offer (ฝั่งซ้าย-ฝั่งขวา) ให้กับนักลงทุนรายย่อยว่า จะมองอย่างไรถึงจะรู้ว่า ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้น-วิ่งลง ซึ่งข้อมูลทั้งหมด ขอยืนยันว่าไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ศึกษาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง ตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เห็นภาพอะไรบางอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นแต่ละประเทศจะมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน

“โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นในเมืองไทย ที่ต้องยอมรับกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การกำหนดเกมของ “เจ้ามือ” เป็นหลัก จึงจะขอวิเคราะห์จากตลาดเมืองไทยเป็นหลัก และนี่ก็ไม่ใช่ตำราที่จะนำไปใช้อ้างอิงใดๆ เป็นเพียงมุมมองของคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ที่ไม่อยากให้
นักลงทุนรายย่อยทั้งหลายต้องตกเป็น “เหยื่อ” อันโอชะให้ “เจ้ามือ” ทั้งหลายกอบโกย...เฉพาะอย่างยิ่งกับ “เจ้ามือ” ที่อาศัยฐานอำนาจรัฐมาเป็นเกราะป้องกันให้ตัวเอง สร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ระทมของคนอื่น”นายเอกยุทธกล่าว

สำหรับ 5 หลักการคร่าวๆ ที่ขอแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยได้พึงสังเกตพฤติกรรมและวิธีการเล่นของ “เจ้ามือ” ว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวนั้น จะมีปัจจัยพื้นฐานและความน่าสนใจที่แตกต่างกัน จึงต้องมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้...คือ

1.พฤติกรรมย่ำราคา โดยสังเกตได้จาก Bid ด้านซ้าย จะหนามากๆ และมีปริมาณการซื้อ-ขายที่มาก ในระดับราคาที่ยืนอยู่นิ่งๆ นานๆ โดยแนะนำให้สังเกตดูเป็นรายชั่วโมง เพราะจะสามารถแยกรูปแบบการเล่นนี้ ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

1.1 ย่ำราคาเพื่อเรียกร้องความสนใจ...จะ เป็นการสร้าง Volume แบบหนามากๆ ตลอดเวลา โดยราคาไม่ได้พุ่งขึ้นตามไป ถือว่าเป็นการ “โชว์” ให้นักลงทุนได้เห็นว่า หุ้นตัวนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะ “เล่น” กันในระยะเวลาอันใกล้นี้ เปรียบได้กับเป็นอีกรูปแบบที่
“เจ้ามือ” ทยอยเก็บของ เพราะหาก “เจ้ามือ” ซัดช่องขวาเข้าไปเมื่อไหร่ ราคาจะวิ่งขึ้นทันที
1.2 ย่ำราคาเพื่อทุบลง...เป็นการสร้าง Volume แบบหนาๆ เพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนเข้ามาเล่น จากนั้นหากได้จังหวะ ก็จะยก Bid ทิ้งออกไป เพื่อตบราคาให้ร่วงลงมา หากนักลงทุนรายใด “ตกใจ” และ “เทขาย” ของออกมา ก็จะทำให้ “เจ้ามือ” เก็บของ
ในราคาที่ถูกลงได้อีก

“พฤติกรรมย่ำราคานี้ ให้สังเกตดีๆ ว่า จะมี Volume หนาแน่นมาก 2-3 ช่องในด้านซ้าย (Bid) ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก”

2.พฤติกรรมสร้าง Volume มากๆ แบบผิดสังเกต โดยที่ราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาจขึ้น-ลง แค่ 1-2 ช่อง...วิธีนี้ให้นักลงทุนรีบย้อนหลังกลับไปดู Volume การซื้อ-ขายอย่างต่ำ 1-2 เดือน เพราะหากดูประวัติย้อนหลังแล้วพบว่า Volume การซื้อ-ขาย
น้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยนั้น แต่อยู่ๆ กลับมีขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ถือว่า “เจ้ามือ” กำลังสร้าง Volume เพื่อเตรียมทำราคา วิธีการนี้หากนักลงทุนรายใด มีหุ้นตัวนั้นๆ อยู่ในมือก็ให้ท่องจำอยู่ในใจว่า “อย่าขาย” เด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะทำราคากันขึ้นไป
เล่นในเร็ววัน

“พฤติกรรมสร้าง Volume หนักๆ เช่นนี้ โดยราคายังนิ่งๆ ทั้งที่แต่เดิม Volume ของหุ้นนั้นแทบจะมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย ทำให้นักลงทุนบางคนอาจตื่นตระหนก แล้วรีบเทขายออกมา เพราะเห็นว่า หุ้นที่ตัวเองถืออยู่นี้ ราคาไม่ได้วิ่งมานาน จึงกลัวจะต้องถือยาวกว่านี้
เมื่อเทขายหุ้นออกมา ก็เข้าทาง “เจ้ามือ” ที่วางกลอุบายเอาไว้แล้ว และสามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้นอีก”

3.พฤติกรรมลากไปติดดอย มีวิธีสังเกตคือ ฝั่ง Offer จะหนามาก ในขณะที่ Bid จะเบาบาง และมีราคาวิ่งขึ้นตลอด ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ “เจ้ามือ” วางกับดักล่อ โดยจะกินช่องขวา (Offer) ตลอด เมื่อมีคนแห่เข้ามาเล่นตามในช่องขวาเป็นจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่ง
ที่ “เจ้ามือ” จะออกของก็จะไล่ราคาร่วงลงมาได้ในทุกระดับ เพราะเจ้ามือสามารถออกของได้ทุกระดับราคาอยู่แล้ว โยนออกมาไม้ไหนก็มีแต่กำไร

“พฤติกรรมนี้ ให้นักลงทุนสังเกตให้ดีๆ ว่า หากมีการไล่ราคาในช่องขวา (Offer) ขึ้นไปกันหลายช่องและวิ่งขึ้นตลอด อย่าเข้าไปซื้อเด็ดขาด เพราะถ้าเข้าไปก็มีสิทธิติดยอดดอยกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ รอให้มีการทุบราคาลงมาจนเห็นสีแดงนานๆ ก็อาจเข้าไปซื้อได้ แต่ต้องดู
ประวัติย้อนหลังของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วยว่า น่าเล่นหรือไม่”

4.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นตลอด ให้สังเกตว่า Volume ทั้งด้านซ้าย (Bid) และด้านขวา (Offer) จะหนามากๆ และตลอดเวลา อีกทั้งราคาจะมีการวิ่งขึ้น-ลง วันละ 10-20 ช่องตลอด ซึ่งรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ขึ้นกับนักลงทุนเองว่า จะมีความเร็วในการ
“เข้า-ออก” หรือไม่ เพราะราคาจะสวิงขึ้น-ลงตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษคือ หากราคาไปหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับไหนนานๆ ให้ตระหนักไว้เลยว่า มีสิทธิที่จะลากขึ้นไปไกล หรือทุบลงมาอย่างแรงได้ทั้งสองทาง จึงขึ้นกับความไวของตัวนักลงทุนเอง

“วิธีนี้ขึ้นกับตัวเจ้ามือแล้วว่า จะทำให้นักลงทุนติดยอดดอยกันในระดับราคาไหน เพราะเขาสามารถออกของได้ทุกระดับราคา จากนั้นเมื่อทุบร่วงลงมาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้ จากนั้นก็จะนำกลับมาเล่นกันใหม่ หุ้นลักษณะนี้จะพบว่า มีการเล่นกันตลอดทั้งสัปดาห์ อาจมีหยุดบ้างก็
1-2 วัน แต่ Volume ก็ยังมีให้เห็นอยู่”

5.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นเป็นรอบ วิธีนี้จะเล่นกันสัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้ง จึงขอให้นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูประวัติย้อนหลังของหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำ สุดที่นิ่งนานๆ บวกกับการดูราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงสุดว่าอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วนำมาหารครึ่ง เพื่อดูราคาว่า ระดับไหนถึงจะซื้อได้
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวนั้น เคยอยู่ที่ระดับต่ำนิ่งๆ ประมาณ 4 บาท แต่มีการทำราคาไล่ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 12 บาท ดังนั้น ราคาที่เหมาะสมที่น่าจะซื้อได้จึงอยู่ที่ระดับ 8 บาทต่อหุ้น (12-4 = 8)

“พฤติกรรมการเล่นเป็นรอบนี้ นักลงทุนต้องพึงระวังว่า เจ้ามืออาจจะกลับมาเล่น หรือไม่เล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความน่าสนใจของหุ้นตัวๆ นั้นว่า เป็นที่สนใจของนักลงทุนหรือไม่”

นายเอกยุทธ กล่าวต่อว่า วิธีการทั้งหมดนี้...อยากบอกว่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องใช้เวลาในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด ตนไม่สามารถยกตัวอย่างหุ้นเป็นรายตัวออกมาให้เห็นได้ เพราะเกรงจะมีข้อกฎหมายตามมาภายหลัง แต่เชื่อว่า หากนักลงทุนที่เล่นหุ้นกันอยู่ในตลาดหุ้น
ไทย คงรับทราบดีว่า หุ้นตัวไหน เป็นหุ้นที่เข้าข่ายใด ใน 5 พฤติกรรมข้างต้น เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตัวเราเองจะเล่นแบบไหน และจะสังเกตวิธีการที่เจ้ามือเล่นกันได้อย่างไร แต่ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องพึงระลึกว่า “อย่าโลภ” ถ้าอยากเล่นหุ้นปั่น หากได้กำไรแค่ไหน จงนึกเสมอว่า...
อย่าเป็น “เสือหวน” เด็ดขาด

“เชื่อว่า หากนักลงทุนเข้าใจในหลักการนี้แล้ว ต่อไป...บรรดา “เจ้ามือ” ทั้งหลายก็คงต้องมีวิวัฒนาการใหม่ๆ ออกมา เพื่อไม่ให้ “รายย่อย” ได้ตามทัน มิเช่นนั้น... “เจ้ามือ” เองก็คงไม่สามารถ “ล่อ” แมงเม่าให้เข้ามาในกองไฟได้อีก

การออมเงิน หนทางสู่ความมั่งคั่งในอนาคต พร้อมไฟส์ การคำนวณ

หลังจากที่ผมห่างหายไปจาก Pantip ไปนานมาก เพื่อไปประกอบอาชีพด้านอื่นๆ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสฟัง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนวันเฉลิม ก็คิดว่า ขนาดท่านป่วยขนาดนี้ ท่านยังพยายามเป็นผู้ให้ตลอดเวลา ตัวผมก็เลยมีความตั้งใจว่า อยากจะลองเป็นผู้ให้ โดยแบ่งปันความรู้และประสพการณ์ สู่สังคมบ้าง ก็เลยต้งใจที่จะพยายามเขียนบทความให้ได้สัก สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งก็หวังว่าการแบ่งปันนี้จะเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง ที่อาจจะทำให้สังคมดีขึ้นมาบ้าง

วันนี้อยากจะมาคุยเรื่องการออมเงินในสังคมไทย ซึ่งตัวผมเองหลายๆ วันที่ผ่านมานี้ได้คุยกับพนักงานในบริษัทและได้ถามถึงการออมเงิน ส่วนใหญ่พนักงานระดับล่างจะไม่ค่อยได้ออมในรูปแบบของเงินสด (เพราะใช้หมด) แต่เป็นการลงทุนในการปลูกบ้านในพื้นที่ของตัวเอง ส่วนระดับสูงขึ้นมาหน่อยมักจะนิยมซื้อรถ แต่พอถามเพิ่มเติมสำหรับคนที่มีบ้านแล้วกลับไม่ค่อยเห็นการออมในรูปแบบอื่นๆ เท่าไหร่นัก


ซึ่งทำให้ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจในอุปนิสัย การออมโดยทั่วๆ ไปของคนไทย ว่าจะเหมือนพนักงานที่บริษัท หรือไม่อย่างไร ผมก็เลยมาลองค้นคว้าดูเพิ่มเติม พอดูแล้วค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากการสำรวจของ เอแบคโพล1 ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,674 ตัวอย่าง ในปี 2555  ปรากฏว่ามีเพียง 28% ที่มีเงินออม โดยเฉลี่ยออมเงินเพียงเดือนละ 3,122 บาทต่อเดือน อีก 72% ของกลุ่มตัวอย่างไม่มีเงินเหลือที่จะออมเลย  ซึ่งค่อนข้างสวนทางกับ GNS – Gross Domestic Saving ซึ่งสูงถึง 31% ของ GDP 2 เลยทีเดียว แต่พอมาเทียบว่าเงินออมภาคครัวเรือนของคนไทย กลับมีเพียงแค่ 8.5% ของ GDP 3 เท่านั้น (ที่เหลือจะเป็นการออมภาครัฐ และ การออมของบริษัทเอกชน)


เมื่อ เอแบคโพล ถามกลุ่มตัวอย่างว่าแบ่งว่าเอาเงินออมไปทำอะไร ส่วนใหญ่มักที่จะเลือกการออมเงินในแง่ ฝากเงินในธนาคาร การทำประกันชีวิต และ ออมด้วยสลากออมสิน เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วดูน่าเป็นห่วงอย่างมากเพราะว่าอัตราผลตอบแทนในการออม 3 อย่างหลักที่กล่าวมาเป็นดังนี้

อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยธนาคาร:



อัตราผลตอบแทนประกันชีวิต:

สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 4% IRR + ผลตอบแทนจากการลดหย่อน + การประกันความเสี่ยง 

อัตราผลตอบแทนสลากออมสิน 4 :

ประมาณ 2% IRR + โอกาสลุ้นรางวัล


ถ้าเรามองว่าครัวเรือนส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงการออมเงินเท่าไหร่นัก ก็เพราะว่าเรามักจะมองความสำคัญของตัวเราในปัจจุบันมากกว่า ตัวของเราในอนาคต ซึ่งหลายๆ คนยังไม่ได้คิดถึงความเกี่ยวเนื่องกับตัวเราในตอนนี้เท่าไหร่นัก แต่จริงๆ แล้วตัวเราในอนาคตนั้น บางทีกลับน่าเป็นห่วงมากกว่าตัวเราเองในปัจจุบันเสียอีก ลองนึกถึงว่าถ้าวันนึงเราไม่มีรายได้ แต่เราต้องการใช้เงินเราจะเอาเงินจากไหน?

ผมมีเพื่อน หลายๆ คนที่นึกว่าพวกเขาเองคงไม่ได้อยู่ถึงเป็นผู้สูงวัย ซึ่งเป็นแนวคิดที่แตกต่างกับหลักสถิติที่แสดงอย่างชัดเจนว่า คนไทย (และทั่วโลก) ต่างมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้นเป็นอย่างมาก ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จากตัวอย่างด้านล่าง ประเทศไทยในปี 2549 มีอายุคาดเฉลี่ย ของประชากรหญิงที่ 77.6 ปี และ ประชากรชายที่ 69.9 ปี ซึ่งอัตรานี้ตรงข้ามกับเวลาที่เราจะใช้ทำงาน ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเวลาที่เราใช้ในการเรียนที่มากขึ้นอย่างมาก 


 

อายุคาดเฉลี่ยของประชากร 5




สมมุติว่าเด็กที่จบปริญญาตรีวันนี้อายุประมาณ 22 ปี เขาจะมีเวลาหาเงินจนถึงเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี เป็นเวลา 38 ปี ถ้ามองจากอายุเฉลี่ยของผู้ชายที่อายุ 70 ปี แสดงว่าเขาต้องเลี้ยงตัวเองเฉลี่ยไปอีก 10 ปี แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะต้องเลี้ยงตัวเองเฉลี่ยไปอีก 18 ปี เลยทีเดียว ซึ่งแนวโน้มนี้ยิ่งวันก็จะยิ่งสูงขึ้นเนื่องจากความเจริญทางการแพทย์ ที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว


เราจะมาดูว่าถ้าเขาจะต้องเก็บเงินเท่าไหร่ และมีผลตอบแทนเท่าไหร่ ถึงจะมีชีวิตที่ต้องการ หลังจากเกษียณ จะต้องทำอย่างไรบ้าง ?


อันแรกผมลองตั้งสมมุติฐานว่า

เด็กคนนี้เริ่มงานด้วยเงินเดือน = 15,000 บาท
มีอัตราขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยที่ = 5%
เงินเฟ้อเฉลี่ย = 3.5%
เงินออมต่อเดือน = 10%
ผลตอบแทนของการออม + ลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ = 4%
ต้องการใช้เงินเท่ากับมูลค่าปัจจุบัน = 20,000 บาทต่อเดือน


แล้วลองใช้ Excel คำนวณดูว่าเด็กคนนี้จะใช้ชีวิตได้กี่ปีหลังการเกษียณ

พอลองกดดูก็จะเห็นว่าจริงๆ เขาจะมีเงินเก็บตอนเกษียณถึง 3.7 ล้านบาท เลยทีเดียว แต่เดือนๆ นึงต้องใช้ ถึง76,500 บาท  ตอนอายุ 61 ปี และเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต 38 ปีจะหมดตอนที่เขาอายุ 64 ปี เท่านั้น !!


ต่อจากนี้ผมจะสมมุติให้  เงินเดือนฐาน เงินเฟ้อ และ อัตราขึ้นเงินเดือน คงที่เพื่อลดความซับซ้อนของระบบ

แสดงว่าเด็กคนนี้จะสามารถเลือกทำได้ 3 อย่าง 

1. ออมมากขึ้นอย่างเดียว


ลองมาเริ่มด้วยการออมให้มากขึ้นก่อน จากตารางคำนวณเขาต้องออมถึง 25% เพื่อให้ใช้เงินหมดตอนอายุ 70 ปี แต่ถ้าต้องการอยู่ถึง 78 ปี จำเป็นต้องออมถึง 42% ของรายได้เลยเชียวล่ะ แต่ถ้าจะอยู่ให้ได้ถึง 100 ปีแล้วล่ะก็ น้องเขาต้องออมถึง 86% ของรายได้ เชียวล่ะ


2. ใช้เงินตอนเกษียณน้อยลงอย่างเดียว

ถ้าเขาใช้เงินให้น้อยลงตอนเกษียณ ก็เป็นทางหนึ่งที่จะทำให้เขาอยู่ได้ยาวขึ้นจากเงินที่มีอยู่ ถ้าจะให้ใช้เงินหมดตอนอายุ 70 ปี เขาจะต้องใช้เงินเท่ากับมูลค่าปัจจุบัน = 8,000 บาทต่อเดือน เท่านั้น แต่ถ้าจะให้อยู่ได้ถึง 78 ปี แล้วล่ะก็ จะต้องใช้เงินในมูลค่าปัจจุบันแค่เดือนละ 4,800 บาทเท่านั้น สมมุติว่าต้องการที่จะอยู่ให้ถึง 100 ปีล่ะก็ จะเหลือเงินให้ใช้เท่ากับมูลค่าปัจจุบันที่ 2,300 บาทเท่านั้น


3. ออม และ ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนดีขึ้นอย่างเดียว

ถ้าต้องการจะอยู่ถึงอายุเฉลี่ยของผู้ชายที่ 70 ปี เด็กคนนี้ก็ต้องลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 7.7% ต่อปี แต่ถ้าอยากจะอยู่ถึง 78 ปี ก็ต้องลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ 9.1% ต่อปี นอกจากนี้เพียงแค่เพิ่มผลตอบแทนไปอีกนิดหน่อยให้เป็น 10.2% ต่อปีก็เพียงพอที่จะอยู่ได้เป็น 100 ปีแล้วล่ะครับ




สรุปการออมเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าต้องคำนึงด้วยว่า สิ่งที่เราออมให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ อย่างมีนัยยสำคัญ จริงหรือไม่ ? ถ้าไม่ เราจะทำวิธีไหนให้มี เงินเพียงพอที่จะอยู่ได้หลังเกษียณ อย่างน้อยๆ เท่ากับอายุเฉลี่ยของประชากร ชาย / หญิง หรือถ้าจะให้มั่นใจกว่านั้นคือต้องให้เพียงพอจนถึง 100 ปี

ในปัจจุบันผู้สูงอายุ ที่ยังต้องทำงานมีมากขึ้น และแนวโน้มยิ่งจะสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากครอบครัวมีขนาดเล็กลง และ อายุเฉลี่ยมากขึ้น

ถ้าวันนี้ คุณเป็นลูกคนเดียว และ คุณมีลูกเพียงคนเดียว จะทำให้ลูก-หลาน 1 คน จะต้อง Support พ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย จำนวน 6 คนด้วยตัวคนเดียว ถ้าทั้ง 6 คนไม่ได้คิดหาทางให้ตัวเอง มีฐานะทางการเงินเพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ในวัยเกษียณ

แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ที่คนวัยทำงาน 1 คน จะ Support คนอีก 6 คน ?


วันนี้คุณมีทางเลือกที่จะไม่สนใจ ตัวคุณในอนาคต และ ใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ตามที่ตัวคุณ ในปัจจุบัน อยากที่จะทำ แล้วรอพึ่งลูกหลาน หรือ จะกลับมามองถึงแผนการออม และการลงทุนในอนาคต ที่จะทำให้คุณมีความมั่งคั่ง เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้หลังเกษียณ


Edited: 

เห็นหลายท่านบ่นเรื่องไม่รู้จะหาวิธีไหนที่จะทำให้เงินออมเพิ่มขึ้นได้ โดยไม่เสี่ยงมาก ผมอยากแนะนำหนังสืออยู่ 1 เล่ม ที่ชื่อว่า the little book that beats the market ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนปีนี้ ผมจะหยิบมาเล่าให้ฟังในสักบทความนึงครับ

ไฟส์คำนวณ เพื่อแก้ไข Parameters ต่างๆ  สำหรับคนที่อยากลองสมมุติฐานอื่นๆ โหลดได้ที่ 
https://dl.dropboxusercontent.com/u/90106282/Saving-Calc.xls



Ref 1: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333078952&grpid=03&catid=&subcatid=

Ref 2: http://data.worldbank.org/indicator/NY.GDS.TOTL.ZS

Ref 3: http://www.fpo.go.th/S-I/Source/Article/Article142.pdf

Ref 4: http://www.gsb.or.th/lottery/lottery3.php

Ref 5: http://popcensus.nso.go.th/sub_topic.php?pid=1