วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ครั้งหนึ่งในชีวิต… อาจทำลายทั้งชีวิต (ข้อคิดจากงานแต่งของผม)

ผมเพิ่งแต่งงานได้ครบสัปดาห์ครับ
เราจัดงานกันเล็กๆ เลือกสถานที่ที่ใกล้บ้านทั้งสองฝ่ายที่สุด
ไม่จัดโรงแรม ไม่จัดใจกลางเมือง ไม่มีอะไรแฟนตาซีมาก
จัดเฉพาะงานกลางวัน เช้าเลี้ยงพระ สายหมั้น เที่ยงแต่ง
ไม่มีแสงสีเสียงเปิดตัว ไม่มีตัดเค้ก ไม่มีน้ำแข็งแกะสลัก
บ่ายก็ขับรถ Eco Car ที่ผมใช้ประจำกลับบ้าน เข้าหอ เป็นอันเสร็จพิธีการ
แพ็คเก็จถ่ายรูปก็ถูกๆ ถ่ายเสร็จได้ไฟล์รูปแค่ 15 รูป
(ตอนนี้ยังปวดหัว ว่ารูปใหญ่ที่ได้ จะเอาไปเก็บไว้ไหน)
แหวนหมั้น ก็เลือกด้วยกัน ใช้โปรโมชั่น 1 แถม 1
ซื้อจากแบรนด์ไทย Counter ตามห้างทั่วไป
การ์ดแต่งงาน ไปทำที่มาบุญครองถูกๆ  เลือกแบบที่เค้ามีไว้ให้
แม้ตัวการ์ตูนบนการ์ดจะไม่เหมือนเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่ก็น่ารัก ง่าย สวย ประหยัด
ของรับไหว้ เราให้เป็นข้าวสาร 150 สายพันธ์ 1 กก.
ให้ญาติผู้ใหญ่เอาไปหุงผสมกับข้าวหอมกิน
บนฉลากมีอธิบายสรรพคุณ ด้านสุขภาพ และการได้ช่วยชาวนาไทย
ของชำร่วย เราไปทำบุญของที่ระลึกจากวัดวัดหนึ่ง
เป็นพัดที่ม้วนๆ ใส่กระเป๋าได้ มีข้อความดีๆ บนพัด
หลวงพ่อยังบอกว่า เพิ่งจะเคยเห็นคู่แต่งงาน มาซื้อของวัดไปเป็นของชำร่วย
สรุปเราหมดเงินไปประมาณหนึ่ง ซึ่งไม่มากมาย
และได้รับเงินช่วยงานแต่งมาประมาณหนึ่ง ซึ่งเยอะมาก เมื่อเทียบกับเงินที่เราใช้จัดงาน
เราเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยเงินที่เป็น “บวก”  เกือบเท่าตัวของเงินที่เราใช้จัดงาน
ได้จัดสรรเงินส่วนหนึ่งไปทำบุญ เป็นมงคงชีวิตคู่
เงินส่วนที่เหลือ ก็ใช้สร้างครอบครัวกันต่อไป
เราลาหยุดงานกันแค่ 1 วัน
รุ่งขึ้นก็ไปทำงานต่างๆ ตามปกติ ไม่มีฮันนีมูนเลิศหรูอะไร
ที่รับปากกันไว้ ก็คงเป็นการไปเที่ยวเล็กๆ ในวันหยุดซักช่วง
ชีวิตกลับสู่ความเป็น “ปกติ” เร็วมาก
แต่งงานแล้ว ก็พร้อมมากขึ้น มีเงินมากขึ้น 
รู้สึกถึงความ “พอเพียง” ได้แจ่มชัดมากขึ้น ^-^
มองรอบตัว กลับเจอเหตุการณ์ประหลาดๆ เช่น
ค่าเช่าชุดของบางคู่ แพงกว่าแหวนหมั้นผมกับแฟน
บางคู่เลือกที่จะตัดเอา ซึ่งแพงมาก
ค่าแต่งหน้าของบางคู่ สามารถเปิดโต๊ะจีนระดับที่ผมใช้ได้ 10 โต๊ะ!
บางคู่เห็นรายได้ ก็ไม่น่าจะมากมายอะไร
แต่กลับจัดงานอลังการ เช้า กลางวัน เย็น After Party!
บางคู่ถึงกับต้องกู้เงินมาจัดงานแต่ง หรือกู้เงินมาเป็นสินสอด
เหตุผลที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ
แต่งงานแค่ครั้งเดียว “ขอครั้งหนึ่งในชีวิต
จะมาจากฝ่ายเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าบ่าว หรือทั้งสองฝ่ายก็ตาม
ชวนให้ผมคิดว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิต” อาจ “ทำลายทั้งชีวิต” ก็ได้
ได้งานหรูเลิศ “ถูกใจ” สักครั้งหนึ่ง
แต่ต้องตามใช้หนี้ หรือต้องมาเริ่มเก็บเงินสร้างตัวกันใหม่ ไปอีกหลายเดือน หลายปี
และอนาคตข้างหน้า ก็ยังจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกมากมาย
ที่ประดังเข้ามา ซ้ำเติมชีวิตคู่อีก… โดยเฉพาะเรื่องลูก
แทนที่จะได้เริ่มต้นอย่างมีความพร้อม
กลับต้องมาเสียเวลา เสียพลังงาน  ตามแก้ปัญหาที่ไม่ควรจะต้องเกิด
รู้หรือไม่ ? ว่าเงิน 3 แสน ที่ใช้ไปในการจัดงานแต่ง
ในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเวลาที่คู่ชีวิตคู่นี้จะเกษียณอายุ
จะเติบโตเป็นถึง 5 ล้านบาท หากลงทุนได้ 10% ต่อปี
และ 9 ล้านบาท หากลงทุนได้ 12% ต่อปี
หรือหากไม่มองไกลถึงเกษียณ เงิน 3 แสนนี้ ในอีก 20 ปีข้างหน้า
ก็จะโตเป็นกว่า 2 ล้านบาท  สามารถใช้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกได้เรียนดีๆ
โดยไม่ต้องเก็บเงินเพิ่มซักแดงเดียว!
บางคนอาจจะบอกว่า อยากจัดแบบพอเพียง มันก็อยากอยู่หรอก
แต่คนรอบข้างไม่ยอม หรือ ห่วงสายตาชาวบ้าน
ใครๆ เค้าก็จัดกันแบบใหญ่ๆ กันทั้งนั้น
คำถามก็คือ
เวลาเราทุกข์ เค้ามาทุกข์กับเรารึเปล่า ?
เวลาเราขัดสน เค้าช่วยเราจ่ายอะไรมั๊ย ?
หลายๆ อย่างเราก็มัวแต่คิดถึงคนอื่นมากไป
อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
ต้องให้ถูกใจคนนั้นคนนี้…
คนที่บางทีก็แค่มางานเราวันเดียว
จะบ่นอะไรบ้าง แว๊บๆ เค้าก็กลับไปยุ่งกับปัญหาในชีวิตเค้าต่อแล้ว
ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเราเลย
ส่วนคนที่รักเราจริง แม้งานเราจะเน่าแค่ไหน
เค้าก็ยังรักเราอยู่ดีแหละครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น