วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

PASSION INCOME คู่มือค้นหาความชอบ เพื่อมอบรายได้ที่ใช่

Steve Jobs
Credit: flickr
กระแสการสร้างรายได้แบบ ให้เงินทำงาน (Passive Income)
กำลังมาแรงมากในยุคนี้ อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย
ใครๆก็อยากมีเวลา อยากมีอิสรภาพ
ต้องการมี Life Style ที่เลือกได้
( พอกันทีชีวิตมนุษย์เงินเดือน สักวันฉันจะเป็นนายตัวเอง )
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่เด็กรุ่นใหม่มักจะแสวงหาเวทีของตัวเอง
มีนักเทรดหน้าใหม่หลั่งไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ขาดสาย
แม่ค้า พ่อค้าออนไลน์ เปิดแฟนเพจใหม่กันง่ายดายภายใน 1 วัน
แถมยังประหยัดงบกว่าการมีหน้าร้านจริงไม่รู้กี่เท่า
Generation ใหม่ๆที่รักการทำ OT มีโบนัสเริ่มกลายเป็นพันธุ์หายาก
การจ้างงานในอนาคต กำลังจะเปลี่ยนไป
การเข้างาน 9โมงเช้าเลิก 5โมงเย็น มีเงินเข้าตอนสิ้นเดือน
อาจเป็นสิ่งที่โบราณมากในยุค ลูก หลาน ของพวกเรา
Trend ของ Holly Wood model กำลังค่อยๆเข้ามาปฏิวัติระบบการทำงานในรูปแบบเดิมๆ
( Holly Wood model คือการดีไซน์ รูปแบบการทำงาน
คล้ายกระบวนการสร้างภาพยนตร์ในฮอลลีวูด ของอเมริกา
หลักการคือดึงคนที่มีความชำนาญในทักษะที่แตกต่างกัน
มาทำงานร่วมกันเพื่อให้งาน สำเร็จ เป็น Project ไป
และเมื่อสิ้นสุดงาน ก็แยกย้ายกันไปทำงานตามความถนัดของตัวเอง
ทำให้การทำงานมีความยืดหยุ่น เป็นการทำงานเพื่อพัฒนาวิชาชีพ ประสบการณ์
มากกว่าการยึดติดกับเวลา หรือโครงสร้างระบบรกรุงรัง )
ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ให้สังเกตว่า
ไม่มีการแบ่งแยกคำว่า Active Iincome หรือ Passive Income แม้แต่น้อย
อาจกล่าวได้อีกอย่างว่า
หากเป็นงานที่เราหลงใหลแล้ว ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ให้ผลลัพธ์คือความพึงพอใจเช่นกัน
Passion Income = Active Income + Passive Income
อันที่จริง การสร้าง Active Income ในมุมมองของเรา ไม่ใช่เรื่องของการขายเวลา
แต่มันคือการสร้าง Value เฉพาะตัว
แบบที่องค์กรขาดเราไม่ได้ ถ้าเราหายไปจะเหมือน Wifi ล่มยิ่งดี …
สร้างตรงนี้ให้ได้
แล้วการต่อรอง เพื่อขอหลุดจากระบบเข้างาน 9โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น
จะง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
..เชื่อเถอะ เพราะมีคนที่ ทำสำเร็จมาแล้วมากมาย รวมทั้งตัวเราเองด้วย

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า งานไม่ประจำ จะดีกว่า หรือแย่ กว่างานประจำ
เพียงแค่ คุณต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า คุณชอบวิถีชีวิตแบบไหน
การสร้างสมดุลย์ให้ตัวเอง คือหลักสำคัญ
สำคัญกว่าการมาเลือกว่า ฉันจะเป็น มนุษย์ Active หรือ Passive
( มนุษย์เงินเดือนมากมาย มีความสุข และรายได้มากกว่า มนุษย์งานไม่ประจำ )
ในยุคสมัยที่ บนท้องฟ้าไม่ได้มีแต่เมฆสวย
ในแม่น้ำไม่ได้ใสสะอาด เช่นที่เคยเป็นมา
การเลือกเป็น นกหรือเป็นปลาเพียงอย่างเดียว
อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด
คำถามคือ แล้วทำไมต้องเลือก ?
ชีวิตนั้นสั้น…
สั้นแค่พอให้เราทำได้เฉพาะสิ่งที่รักเท่านั้น
ความเหนื่อยเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อพลังงานไหลวนอยู่ตลอดเวลา
เกินที่เราจะต้านทานตัวเองได้
ก็ต้องปลดปล่อยมันออกมา
เราขอเรียกกระบวนการนี้กว่า การสร้าง
“ Passion Income “ ค่ะ
คำว่า PASSION อาจจำกัดความเป็นภาษาไทยได้ง่ายๆว่า “ ความลุ่มหลงในทางที่ดี ”
ในทางที่เป็นพลังผลักดันให้เรารักและสานต่อสิ่งๆนั้น ให้สำเร็จลุล่วงด้วยหัวใจที่ไม่ท้อถอย
ไม่ยอมแพ้แม้ต้องเจออุปสรรค หนักหนา
เราจะได้สัมผัสถึง Internal Driving Force ที่มีเฉพาะ
ภายในหัวใจของเรา และอาจมีเพียงเราเท่านั้นที่รู้สึกได้

steve-jobs-quote
Your work is going to fill a large part of your life
and the only way to be truly satisfied is 
to do what you believe in Great work
And the only way to do great work is to the what you do.
If you have not found it yet, keep looking, and do not settle until you find it.
งานของคุณ คือการเติมเต็มในสิ่งที่สำคัญในชีวิตคุณ 
และทางเดียวที่จะอิ่มเอมใจได้ คือการทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่า
มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม และทางเดียวที่จะพบกับสิ่งที่เยี่ยมยอด นั่นคือ
รักในสิ่งที่คุณทำ    ถ้าคุณหามันไม่เจอ
ก็จงมองหามันจนกว่าจะเจอ …อย่าได้หยุดยั้ง
บทความนี้แบ่งเป็นสองตอน
โดยจะ ค่อยๆ แนะแนวทาง ตามที่ผู้เขียนได้ รวบรวมและ ทดลองแล้วว่า
เหมาะสมกับ ทุกๆคนที่กำลังค้นหาตัวเอง
หวังว่าจะสามารถสร้างหนทาง และแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่ผู้ที่กำลังไม่แน่ใจตัวเอง
เหมือนกับที่ทางผู้เขียน เคยประสพมาแล้วค่ะ
การค้นหาว่าอะไรคือ PASSION ของคุณมีหลักง่ายๆ ดังนี้
1 สังเกต Flow State หรือสภาวะอันไหลลื่น ของคุณ
2 ยอมรับในความเป็นเรา
3 ทดลอง ทดลอง และ ทดลอง
4 ชีวิตคือ การเลือก
5 ก้าวแรกสู่อิสรภาพ
       สังเกต Flow State หรือสภาวะอันไหลลื่น ของคุณ
ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ไม่เคยโกหก
คุณหลงใหลในสิ่งไหน ลองประเมินด้วยประสาทสัมผัสทั้งหกดูสิ
สายตาที่มองเห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่รับรู้ รสชาติที่ผ่านเข้ามา
สัมผัสที่คุณชอบ สิ่งเล็กๆ ที่กระทบเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจ
ทั้งหมดนี้ หากมีกิจกรรม หรือทักษะ การงานใดๆ
ที่ทำให้คุณรู้สึกลื่นไหล เพลิดเพลิน เกินเวลา
สิ่งนั้นก็น่าจะคือ PASSION ของคุณ
“ คำว่า Flow State หรือสภาวะอันไหลลื่น
เป็นภาษาทางจิตวิทยาเป็นภาวะที่คนคนหนึ่ง กำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง
ที่ให้รางวัลอันล้ำค่าในตัวของมันเอง
ซึ่งเป็นภาวะที่เรารู้สึกว่า ตัวเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์นั้น
โดยที่การกระทำและความตระหนักรู้ เชื่อมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน”
อ้างอิงจาก หนังสือแปล “เปิดห้องเรียนแห่งความสุข” 
เขียนโดย ดร.ทาล เบน-ซาฮาร์(Tal Ben-Shahar)
สิ่งที่ฉันเคยสัมผัสคือ เมื่อเราทำงานที่เรารัก
(เช่นการเขียนต้นฉบับ บทความ หรือ E-book อยู่ในขณะนี้ )
เราไม่ได้ คาดหวังถึงความสุขหรือการตอบแทนใดๆ
มีเพียงพลังขับเคลื่อน ให้สานต่อสิ่งที่ทำอยู่ ให้บรรลุผล
และกว่าจะรู้ตัวอีกที ก็อาจเพราะร่างกาย บอกถึงอาการหิว กระหาย
หรือ ต้องการพักผ่อน ทั้งๆที่จิตใจยังอยากทำอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
หลายๆคนอาจเคยรับรู้ความรู้สึก ขณะทำกิจกรรมที่ไหลลื่น ต่อเนื่อง
จนไม่ได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อน…
นักวิทยาศาสตร์ที่ง่วนอยุ่กับการทดลอง
นักกีฬาที่ตั้งใจซ้อม จนพบว่าเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านไปนั้น
เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน
ประสบการณ์เหล่านี้นี่เองคือการสัมผัสได้ Flow State เฉพาะตัวของคุณ….
ขอให้เสาะหา และ เลือกสรร ให้ดี
ว่าสิ่งใดที่ทำให้คุณเกิด Flow State ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
และ หาหนทางที่จะสานต่อสิ่งๆนั้น ให้เกิดเป็นรายได้ ให้เป็นรูปธรรม
เมื่อนั้นท้องฟ้าของคุณจะไม่มีคำว่า “ เบื่องาน ” อีกต่อไป
“ Choose a job you love ,
and you will never have to work a day in your life ”
# Confucius #
” ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Flow State ได้ตามคลิปนี้ค่ะ “

Passion
Credit : flickr.com
มาค้นหา Passion ของเรากันต่อค่ะ
2. ยอมรับในความเป็นเรา
มีหนังสือจิตวิทยา หลายเล่ม บอกเล่าเกี่ยวกับ ตัวตนของเรา ว่ามีอยู่ 3 อย่าง
1. ตัวตนที่คนอื่นมอง
2. ตัวตนที่เราสร้างขึ้น
3. ตัวตนแท้จริงของเรา
ผู้เขียน คิดว่า ข้อ 1+ ข้อ 2
เปรียบเหมือนกับ เฝือก หรือหน้ากาก
ที่ปกป้องเราไว้จาก สิ่งต่างๆ ภายนอก
ที่เราอาจกังวลใจไปเองว่า เสี่ยงเกินไปที่จะเปิดเผย ตัวตนจริงๆ ออกไป
หรืออาจจะใส่หน้ากากเพื่อเสริมสร้างความสวยงาม เอาใจผู้คนทั้งหลายทีมองมา
อันที่จริงแล้ว ‘เฝือก’ เป็นสิ่งจำเป็นมากยามบาดเจ็บ
ยามที่กล้ามเนื้อ หรือกระดูกอ่อนแอ แตกหัก
ใช้เยียวยา แผลภายในให้มีเวลารักษาตัวเอง
แต่อย่าลืมว่า เฝือกเป็นเพียงเปลือกนอก !
เมื่อเราหายแล้ว หรือพร้อมเปิดรับกับโลกภายนอกแล้ว
เราต้องถอดออก !
คนเราไม่สามารถ มีเฝือก ทั่วตัว แล้วอาศัยร่างเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นได้
นอกจากอึดอัดแล้ว ยังไม่มีการพัฒนาใดๆ ต่อไปได้อีกเลย
ส่วนหน้ากาก ก็เป็นอีกสิ่งแปลกปลอม
ที่หลายๆ ครั้งเราจำเป็นต้องมีไว้
เผื่อเวลาคับขับ ก็หยิบมาใช้หลบหนี จากสถานการณ์ ที่ไม่พึงใจ
หรืออาจมีไว้เพื่อหลอกลวง ผู้อืน ให้มาหลงรัก ให้มาเชื่อถือ
โดยลืมไปว่า พวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนมีหน้ากากด้วยเช่นกัน !
ต่อให้หน้ากากสวยงามขนาดไหน แต่ก็คือสิ่งแปลกปลอม วันยังค่ำ
หากเรายึดติดกับมัน นานวันเข้า ช่องว่างระหว่างหน้ากากกับ ตัวตนที่แท้จริง
ก็เชื่อมเข้าหากันมากยิ่งขึ้น..หนาแน่นขึ้น จนยากที่จะถอดออก
เมื่อใดก็ตาม ที่เรายังไม่กล้าที่จะถอดหน้ากากออก..
เมือนั้น หน้ากากจะเป็นอันตรายที่สุด
เพราะในที่สุดแล้ว หน้ากากที่เคยคิดว่า สวยงาม เลอค่า เพียงใดก็ตาม
ก็ไม่สามารถ ตอบโจทย์ ความชอบ ความใช่ ในชีวิตเราได้เลย
คนเราหวาดกลัวกันเกินไป ในการเปิดเผยตัวเอง
แน่นอนว่า พระเจ้าไม่ได้เล่นทอดลูกเต๋า
…ทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วล้วนมีเหตุและผลบางอย่าง
ถ้าการเปิดหน้ากากออก มันยากนัก
ยังไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของเรา สู่โลกภายนอกก็ได้
แต่… เราต้องยอมรับมัน ให้ได้จากส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจ !
ถ้าคุณมีฝีมือในการย่างหมู คุณอาจเป็นเจ้าแห่ง หมูย่างห่อใบตอง เงินล้าน
…ไม่จำเป็นต้องเปิดร้านอาหารฝรั่งเศสในห้างหรู

ถ้าคุณ มีความสุขกับความอวบอ้วนของตัวเอง
…คุณอาจขายเสื้อผ้า ไซส์ XXL ที่ดีไซน์เองตีตลาดจีน

ถ้าชีวิต ให้ ‘ส้ม’ คุณมา คุณก็ควรทำ น้ำส้ม…อย่าพยายามทำ บลูเบอร์รี่กรีนที !
ถ้าชีวิตให้ ‘มะละกอดิบ’ คุณมา คุณก็ควรทำส้มตำ ระดับตำนาน…อย่าพยายามทำ ตับห่านย่าง !
ถ้าชีวิตให้ เงินทองล้นเหลือ คุณก็ควรเป็นนักลงทุน ใช้ชีวิตทางธรรม และ ผู้บริจาคทาน.
…อย่าไปเล่นการเมือง เพียงเพราะอำนาจชื่อเสียง ปลอมๆ หวังให้คนอื่นนับหน้าถือตา (เกี่ยวมั้ย )
ก่อนจะลงเล่นในเกมส์ชีวิต ที่คิดว่าใช่ ใดๆ ก็ตาม
ลองจินตนาการดูว่า ขณะที่กำลังลงไปคลุกฝุ่น คลุกดิน อยู่กลางสนามนั่น
เป็นตัวเองจริงๆ หรือคนที่ยังต้องแบกเฝือก แบกหน้ากากไปลงสนามอยู่
ถ้ายังต้องปั้นแต่งหน้ากากให้สวยงาม
และ เสริมเฝือกให้แข็งโป๊ก หนาปึ๊กอยู่
นั่นไม่ใช่เกมส์ ของคุณแล้วล่ะ…
สามสิ่งนี้ ใช้วัดการเป็นตัวตนแท้จริงได้ค่ะ
1 ความพึงพอใจ ในชีวิต ( พึงใจ + พอแล้ว )
2 ภูมิใจในความกล้าหาญ ตามหนทางของเรา ไม่ต้องตามรอยเท้าใคร
3  อิสรภาพ ที่คนในสังคม ไม่เคยให้คะแนน
ขอให้ ” เล่น ” ในเกมส์ของเราค่ะ ! ได้โปรด  :)

3.ทดลอง ทดลอง และ ทดลอง
มีน้อยคนมากที่อยู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็ได้พบกับ PASSION ของตัวเอง
คุณจำเป็นต้องลองผิดลองถูก
( แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วจะผิดซะมากกว่า )
มันอาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี
แต่ขอให้มั่นใจว่า ตลอดเส้นทางของการค้นหา
คุณจะค่อยๆ มองเห็นตัวเองได้ชัดเจนขึ้น
คุณจะรู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนของคุณ
อะไรคือสิ่งที่คุณทำได้ดีโดยที่แทบไม่ต้องพยายาม
อะไรที่คุณยังมีพลังจะทำต่อไป แม้จะเจออุปสรรคบั่นทอน
…สิ่งที่สำคัญคือ อย่ากลัวที่จะล้มเหลว
และอย่าดูถูกความสามารถของคุณเอง
ว่าจะสร้างเงินได้หรือไม่ เพราะนั่นคือ Step ต่อไป
หากคุณยังลังเลสงสัย
หรือเข็ดขยาดกับความล้มเหลวซ้ำซากในการทดลองใช้ชีวิต
ลองฟังเรื่องราว ของชายเจ้าของวลี คนนี้ค่ะ
“I am not inventing anything , my dream invented it.”
(Thomas Edison)
ใช่แล้วค่ะ นักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ
ที่เราท่องจำชื่อเขาได้ตั้งแต่เรียนชั้นประถม
“โทมัส อัลวา เอดิสัน”
เขาทำการทดลองเรื่องหลอดไฟ ถึง 20,000 ครั้ง
และในแต่ละครั้งที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จนั้น
เขาไม่เคยมีความท้อใจเลย นั่นเป็นเพราะ
ความเชื่ออันทรงพลังของเขาที่ไม่เคยคิดเลยว่า
ที่ผ่านๆมานั่นคือความล้มเหลว แต่เขาเรียกมันว่า
‘ การค้นพบ ทางที่ยังไม่สำเร็จต่างหาก ‘
ขอยกประโยคสนทนา มาดังนี้ค่ะ
ดอนฮวนพูดว่า : “ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน มิสเตอร์เอดิสัน”
“แต่เราอยากจะถามคุณสักหน่อยว่า อัจฉริยะอย่างคุณรู้สึกยังไง
ในตอนที่ชาวบ้านหาว่าคุณบ้าที่พยายามประดิษฐ์ หลอดไฟ
คุณรู้สึกยังไงในตอนที่คุณล้มเหลวมา 10,000 ครั้งก่อนที่จะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จ”
มิสเตอร์เอดิสันเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า :
“I have not failed.
I’ve just found 10,000 ways that won’t work.”
 “ ผมไม่ได้ล้มเหลว แต่ผมค้นพบวิธีที่ไม่ได้ผลถึง 10,000 วิธี ”
thomas alva edisons
เอดิสัน เป็นตัวอย่างที่ดีมาก
สำหรับคนที่มี PASSION ที่ทรงพลัง
เขาไม่ได้เพียงแค่คิดลอยๆ
แต่ตั้งใจทำมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
เพื่อให้ หลอดไฟของเขา ได้เปล่งแสง แม้เพียงสักครั้ง!
…และเพียงครั้งเดียว นั่นก็เพียงพอแล้ว
ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
คำจำกัดความของ PASSION สำหรับ เอดิสัน
อาจคือประโยคคำพูดง่ายๆ ของเขาที่ว่า
“I never did a day’s work in my life. It was all fun.”
ขอส่งท้ายบทความด้วยประโยคภาษาจีนนี้ค่ะ
有些人还在继续梦想成功时,
另一些人却已经醒来努力为之奋斗了。
ขณะที่คนบางคนยังคงฝันถึงความสำเร็จอยู่
คนบางคนได้ตื่นขึ้นและพยายามดิ้นรนเพื่อมันแล้ว


จากบทความเรื่อง PASSION INCOME ค้นหาความชอบ เพื่อมอบรายได้ที่ใช่ ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2
เราได้กล่าวถึงเรื่อง Flow State , การยอมรับในความเป็นเรา , การทดลอง กันมาแล้ว
ขั้นตอนต่อไป ในการ นำสิ่งที่ชอบ และ ใช่ มาแปรเปลี่ยน ให้กลายเป็นรายได้ มีดังต่อไปนี้ค่ะ

4. ชีวิตคือ การเลือก

เมื่อผ่านขั้นตอนการทดลอง และ ค้นพบ ความชอบ ความใช่
ในกิจกรรมที่คุณทำได้ไม่รู้เบื่อแล้ว…ขั้นต่อไป ก็คือการเลือก หรือพูดอีกอย่างก็คือ
การ ‘ตัดทิ้ง’ นั่นเอง…

ในชีวิตคนเรา อาจมีเรื่องที่ชอบ อยู่มากมาย
…ชีวิตที่ไม่ต้องทำงาน เป็นเรื่องรื่นรมย์ค่ะ
บางคน ชอบทำอาหาร ชอบจัดสวน ..ชอบเทคโนโลยี ชอบการสื่อสารกับผู้คน
บางคน ชอบวาดภาพ ทำงานศิลปะ เขียนหนังสือ โดยไม่แคร์ความเหงา หรือ สังคมข้างนอก
บางคน ชอบทำธุรกิจ ชอบปาร์ตี้ ไทม์ …หลายๆคน มีความสุขกับงานประจำเบาๆ

แต่ทั้งหมดนี้ บางเรื่อง ไม่สามารถ สร้างรายได้
ให้พอกับ Fix cost รายเดือนของคุณ ใช่หรือไม่ ?
แน่นอนว่า หากคุณรักการนอนเป็นอาชีพ หรือ รักการนั่นไม่สามารถสร้างรายได้ให้คุณได้แน่ๆ
วิธีแก้ปัญหามีเพียง สองข้อ ดังนี้
1. ยอมรับความจริง แล้ว ตัดความชอบที่ไม่สร้างรายได้ทิ้ง
ทิ้งจากการคำนวน รายรับ … แต่ไม่ทิ้งไปจากชีวิต ! มีบางความชอบที่ดูเหมือนไม่มีทางสร้างรายได้
แต่ก็ ‘ ไม่แน่ ! ‘ หากคุณใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในทางของคุณ Value Add อาจเพิ่มเกินคาดเดา
โดย  เฉพาะ ในโลกออนไลน์  (โดยจะมีตัวอย่าง ในหัวข้อใหม่ ต่อไปค่ะ )
2. โฟกัส ไปที่สิ่งที่ชอบ ใช่ และสร้างรายได้
ถ้ายังหาไม่เจอ ให้กลับไปสู่ขั้นตอนของการทดลอง ในตอนที่สอง….
ฟังดูโหดร้ายไปสักนิด! แต่ชีวิตจริง โดยเฉพาะในโลกธุรกิจ ก็ไม่ได้อ่อนโยนกับคุณเท่าไหร่นัก

ลองมาดู ตัวอย่าง ที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ดังนี้ค่ะ

เมื่อ Steve Jobs หวนกลับคืนสู่ Apple ในปี 1997
ขณะนั้น Apple ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่หลากหลายมาก
แค่เครื่อง Macintosh อย่างเดียวก็มีรุ่นย่อย ๆ ออกวางขายเกือบสิบรุ่น

วันหนึ่งในขณะที่มีการประชุมวางแผนสินค้า
ทุกคนกำลังแสดงความเห็นเกี่ยวกับสินค้าของ Apple กันอย่างกว้างขวาง
แล้ว Jobs ก็ตะโกนออกมากลางที่ประชุมว่า “ STOP ”!!
แล้วเดินออกไปขีดเขียนบนกระดานไวท์บอร์ดเป็นตาราง 2 x 2
แนวตั้งเป็น “ลูกค้าทั่วไป – มืออาชีพ”
แนวนอนเป็น “อุปกรณ์ตั้งโต๊ะ – เคลื่อนที่”
แล้วบอกกับทุกคนว่า
“งานของเราคือต้องมุ่งให้ความสำคัญกับสินค้าหลัก 4 อย่างนี้เท่านั้น
สินค้าอื่นต้องยกเลิกไปให้หมด“
ประโยคนี้ทำให้ที่ประชุมเงียบลงไปทันตา
แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ Apple ลดรุ่นคอมพิวเตอร์ลง
เหลือเพียงแค่ 4 รุ่น ได้ช่วยชีวิต Apple ให้รอดตายจากภาวะล้มละลาย
ซึ่ง Jobs พูดถึงเรื่องนี้ในภายหลังว่า
เบื้องหลังของคำว่า โฟกัส 
คือการเลือกที่จะปฏิเสธ ไอเดียดีๆ นับร้อยไอเดีย แล้วเลือกมาเพียงหนึ่งเดียว
“People think focus means saying yes to the thing you’ve got to focus on. 
But that’s not what it means at all.
It means saying no to the hundred other good ideas that there are. 
You have to pick carefully.”
#Steve Jobs
Steve Jobs
Credit : flickr.com
นี่คือพลังของ การ FOCUS !  ( ตัดทิ้งในสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์ )
ชีวิตเราอาจมีเวลาน้อยเกินกว่าจะรับไว้ทุกอย่างที่ใจปรารถนา
ดังนั้น จงเลือกเฉพาะสิ่งที่ใจคุณบอกว่า
ใช่ ใช่ และ ใช่ ( ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผิน แต่คุณต้องตระหนักในทุก
แง่มุม ไม่ว่าดีร้าย ที่คุณต้องพบเจอ )

เรียบเรียงจาก The Real Leadership Lessons of Steve Jobs
by Walter Isaacson

สำหรับ ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการต่อสู้สไตล์กังฟู
คงนึกถึง “บรูซ ลี (Bruce Lee)” อดีตดาราดังฮ่องกงผู้ล่วงลับ
ซึ่งได้กลายเป็นตำนานโลก
ที่นำศิลปะการต่อสู้ของจีนไปเผยแพร่ยังซีกโลกตะวันตก ช่วงยุคปี 60-70
บรูซ ลี มีชื่อเสียงทั้งการเป็นนักแสดง ผู้กำกับ ผู้สร้าง ผู้เขียนบท
และศิลปินกังฟู ผู้คิดค้นท่ามวย“ จีทคุนโด้”
จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุด ด้านศิลปะการต่อสู้แห่งศตวรรษ ที่ 20
นอกจากนี้ เขายังเป็นนักคิดนักเขียน
ที่มักสอดแทรกปรัชญาผ่านบทสนทนาของตัวละคร ในภาพยนตร์หลายเรื่องของตัวเอง
ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วไปได้ตระหนักว่า
เราไม่ต้องฟังคำบงการจากใคร ชีวิตเป็นของเรา
เราคือผู้กำหนดโชคชะตาด้วยตัวเอง
“ผมไม่กลัวคนที่ฝึกเตะครั้งละ 10,000 ท่า แต่ผมกลัวคน ที่ฝึกเตะท่าเดียวถึง 10,000 ครั้ง”
Bruce Lee
Credit : flickr.com
คนที่ฝึกเตะครั้งละ 10,000 ท่า เปรียบเหมือนคนที่ไม่มีความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนคนที่ฝึกเตะท่าเดียวถึง 10,000 ครั้ง ก็เปรียบเหมือนคนที่มีใจจดจ่อในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ลุล่วงไป อย่างไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อ ไม่ถอย
เรียบเรียงจาก 10 ปรัชญาชีวิต จากสุดยอดดารากังฟู บลูซ ลี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2555

5. เมื่อเจอสิ่งที่ใช่ จงอย่าหยุดยั้งที่จะพัฒนาต่อไป

มนุษย์แต่ละคนก็มีความต่าง มีทักษะ และพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน
ถึงแม้คนบางคนจะโชคดี ค้นพบสิ่งที่เรียกว่าเป็น PASSION แล้ว
ก็ยังคงหนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับปัญหา เจออุปสรรคอะไรมากมาย
ไม่ต่างกับคนที่คิดว่าตัวเอง ยังไม่ไปไหน หรือ ยังหาตัวเองไม่เจอเลย
แต่ในอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น มีเพียงเส้นบางๆ
ที่แยกคนสองคนนี้ ให้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่านั้น
ขอกล่าวถึงเรื่องราวของชายผู้หนึ่งผู้ซึ่งค้นพบ Passion ของตนแล้ว

แต่ทว่าอุปสรรคใหญ่หลวงในชีวิตก็มาสะกิดเขาจนได้
…คารอลี่ ทาแคค เป็นทหารยศนายสิบและเป็นนักแม่นปืนระดับประเทศของฮังการี
เป็นตัวเต็งอันดับต้นๆของประเทศที่จะได้ไปโอลิมปิคในปี 1940
แต่ด้วยความโชคร้าย ปี 1938 สองปีก่อนโอลิมปิค
ทาแคคเกิดอุบัติเหตุทำลูกระเบิด ระเบิดใส่มือขวา
ข้างที่เขาใช้ยิงปืนจนมือพิการ ความฝันที่จะโอลิมปิคก็พังทลายไปกับมือ
เขาหายหน้าไปจากวงการแม่นปืน

เพื่อนๆคิดกันว่าเขาคงทำใจไม่ได้ คงผิดหวังและเสียใจอย่างหนัก
ในปี 1939 ในงานแข่งยิงปืนชิงแชมป์ประเทศของฮังการี
ทาแคคเดินเข้ามาในงานหลังจากหายไปหนึ่งปี
เพื่อนๆต่างกรูเข้าไปรุมล้อม บ้างแสดงความเห็นใจ
บ้างมาชื่นชมในความเข้มแข็ง
ที่ทาแคคฝืนใจมาเชียร์เพื่อนๆลงแข่งทั้งๆที่ตัวเองมือพิการ
แต่ทุกคนก็ประหลาดใจ…
เพราะทาแคคบอกว่า
เขาไม่ได้มาแค่ดูเพื่อนๆแข่ง แต่เขามาลงแข่งด้วย !!

ในหนึ่งปีที่หายไป
ทาแคคแอบซุ่มฝึกยิงปืนด้วยมือซ้าย มือที่ไม่ถนัดแต่เป็นข้างเดียวที่เหลืออยู่
ซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ไม่ได้คร่ำครวญ ไม่ได้เสียใจ
ทาแคคชนะการแข่งขันในวันนั้น
แต่เนื่องจากมีสงครามโลก โอลิมปิคปี 1940 และ 44 เลยไม่ได้จัด
แต่ทาแคคก็อดทนรอ จนได้ไปชนะพร้อมทำสถิติโลกในโอลิมปิคปี 1948
และได้เหรียญทองอีกครั้งในปี 1952
ทาแคคได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน Olympic hero
เขาเป็นหนึ่งในคนพิการไม่กี่คนที่ได้เหรียญทองโอลิมปิค
…เรื่องราวของเขาเป็นตำนานของโอลิมปิคจนถึงปัจจุบัน !

มือขวาพิการเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ แต่มือซ้ายยังใช้การได้
ทาแคคก็เลิกคิดถึงมือขวาและมุ่งมั่นกับมือซ้ายเพียงอย่างเดียว
เพียงเส้นบางๆ ที่แยกคนที่ประสบความสำเร็จ
กับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ อาจสรุปเป็นประโยคได้ว่า
“ Ignoring all the thing you could do.
And doing What you should do ”
อย่าไปใส่ใจในปัญหาที่แก้ไม่ได้
แล้วให้ทำให้สิ่งที่เราสามารถทำได้ (ให้ดีที่สุด)
เรียบเรียงจาก บทความ “ เส้นแบ่งของความสำเร็จ ”
ธนา เธียรอัจฉริยะ
ความลับมีเพียงเท่านี้
ขอให้ ทุกคนโชคดี กับการค้นพบค่ะ :)

所有事在变得容易之前,
都是困难的。
ก่อนที่จะมาเป็นเรื่องง่าย
ทุกเรื่องนั้นเคยเป็นเรื่องยากลำบากมาก่อน
cr:http://www.leaderwings.co/article/passion-income-part-3/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น