วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จากเด็กล้างจานสู่เศรษฐีพันล้าน : เส้นทาง "บี เตชะอุบล" ก่อนฮุบมิลาน

อ็กซ์คลูซีฟ : บทสัมภาษณ์พิเศษว่าที่เจ้าของทีมเอซี มิลาน คนใหม่ โดยคริส โวกส์ นักข่าวฟุตบอลนานาชาติของ Goal ว่าทำไมนักธุรกิจรายนี้ถึงเลือก เอซี มิลาน
โดย คริส โวกส์ | นักข่าวฟุตบอลนานาชาติ
ขณะที่ยูเวนตุสกำลังวุ่นอยู่กับการคว้าสคูเดตโต้สมัยที่ 4 ติดต่อกันเมื่อวันเสาร์ เอซี มิลาน เองก็เพิ่งตัดสินใจเดินหมากก้าวสำคัญสู่อนาคตที่อาจพาสโมสรไปยังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
หลังจากเจรจากันมาหลายเดือน บี เตชะอุบล ตกลงที่จะซื้อหุ้นส่วนหนึ่งของเอซี มิลาน ซึ่งแม้จะยังไม่ได้มีการยืนยันทันทีว่าการซื้อขายในครั้งนี้ของนักธุรกิจชาวไทย จะนำไปสู่การถือหุ้นส่วนใหญ่ของสโมสรหรือไม่ แต่โปรไฟล์ของเขาก็น่าจะทำให้ทุกสโมสรมีความสุขที่ได้เห็นคนแบบนี้เข้ามามีบทบาทในทีม
"ผมเคยเป็นเด็กล้างจานตอนอายุ 14 และเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตอนอายุ 16" บี เตชะอุบล สัมภาษณ์กับ Goal ก่อนการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ "ผมทำงานในร้านอาหารที่พ่อแม่เป็นเจ้าของ พวกเขาเน้นย้ำเสมอว่าผมต้องรู้จักคุณค่าของงาน
"จากนั้นผมจัดตั้งบริษัทค้าอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ซึ่งทำกำไรมหาศาลในตลาดหลักทรัพย์ แล้วผมก็เริ่มจากตรงนั้น
"แต่ในขณะที่ครอบครัวถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยมากมาย วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 ก็ทำให้เรากลายเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุด ตอนที่ผมจากออสเตรเลีย ประเทศที่ผมเติบโตและร่ำเรียนปริญญาวิลาวิศวกรรมโยธา ผมมีทรัพย์สินอยู่เพียง 2,000 เหรียญออสเตรเลียเท่านั้น
"ผมเข้าสู่หลาย ๆ อุตสาหกรรมหลังจากนั้นเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ต้องขอบคุณที่มันทำให้ผมได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับบริษัทมากมายที่ผมซื้อมาได้ในราคาถูก และขายไปในราคาแพง"
ความสนใจหลักของเขาอยู่ที่ไทยไพรม์ บริษัทซึ่งลงทุนและประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเปลี่ยนธุรกิจซึ่งกำลังย่ำแย่ ให้กลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาด ซึ่งผลกำไรจากธุรกิจจำนวนหนึ่ง รวมถึงบริการการเงิน, งานก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์, เทคโนโลยี, กีฬา ฯลฯ ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำทั่วทั้งเอเชียและออสเตรเลีย ในเรื่องการพลิกฟื้นกิจการเลยทีเดียว
เรื่องมันอาจจะฟังเรื่องเทพนิยายกรีกเกี่ยวกับ กษัตริย์ไมดาส ผู้จับอะไรก็เป็นทองคำไปเสียหมด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวของหนุ่มวัย 39 ปีรายนี้เลย เขายังคงถ่อมตัวและติดดินมากๆ
"ผมรู้ว่าผมโชคดี และมีชีวิตที่ดี แต่ผมก็ยังอยากอยู่อย่างคนปกติ วันหยุดผมก็ยังพาลูกไปซื้อของชำเข้าบ้าน งานบ้านเขาก็ต้องทำ เราไม่มีคนใช้ประจำบ้านหรืออะไรแบบนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเป็นครอบครัวธรรมดา
"ผมอาจจะไม่มีเงินเป็นพันล้านกองอยู่ แต่ผมรู้ว่าจะเอามาจากไหน"
"นั่นคือผมจะบอกว่า ผมรู้จักคนที่ต้องการจะสนับสนุนผม และต้องการเป็นหุ้นส่วนกับผม มีคนมาเสนอให้การสนับสนุนผม และให้ความสนใจร่วมลงทุนในหลาย ๆ สิ่ง อยู่ ๆ ไปผมก็เลยรู้จักผู้คนมากมายจากหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น ถ้าผมอยากลงทุนอะไร ก็ไม่ยากที่จะหาคนมาร่วมลงทุนด้วย"
หนึ่งในย่างก้าวสำคัญของเขาคือการพัฒนา Global Legends Series ที่รวบรวมซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเพื่อลงแข่งขันในแต่ละเมืองทั่วโลก รวมถึงมีแผนเรื่อง GLS Academy ที่ตั้งเป้าจะเข้าถึงเด็กกว่า 200 ล้านคนทั่วโลกในประมาณ 5 ปีข้างหน้า
แต่ความสนใจของบีในเกมฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟุตบอลอิตาลี ส่งผลให้เขาทำอะไรมากไปกว่านั้น
"บารอนเนส รอธไชลด์ (ทายาทเจ้าของธนาคารรอธไชลด์ ตระกูลเศรษฐีชื่อดัง) เป็นคนแนะนำผม ว่าการลงทุนกับมิลานนั้น น่าจะเป็นไปได้" เขาอธิบาย "ครอบครัวของเธอไม่ได้สนใจจะลงทุนในฟุตบอลจริงจัง และก็เหมือนผม พวกเขาจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งใดหากไม่มีความหลงใหลในสิ่งนั้น"
"ผมเริ่มดูฟุตบอลอิตาเลียนในยุค 90 ตอนที่มิลานครองความยิ่งใหญ่ เซเรียอาคือลีกที่ผมต้องดู เพราะมีคนอิตาเลียนในออสเตรเลียเยอะมาก ผมเลยดูตามเด็ก ๆ คนอื่น แล้วมันติดมาก ผมไม่เคยไปชอบลีกอื่นเลยจริง ๆ
"สำหรับผม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในแง่การลงทุนถึงต้องเป็นมิลานเท่านั้น ผมจะไม่เข้าไปทำอะไรกับสโมสรอื่นเด็ดขาด ผมปฎิเสธโอกาสแบบนี้ที่อื่นมาแล้ว มันต้องมีความหลงไหลอยู่ด้วย และผมก็เชื่อเรื่องการตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้ มิลานคือหนึ่งในชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอล และสามารถจะยิ่งใหญ่อย่างที่สุดได้ ศักยภาพนั้นไร้ขีดจำกัด"
เขาเคยสร้างชื่อมามากมายแล้ว จากการฉุดธุรกิจที่ตกต่ำให้ขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุด ซึ่งการซื้อเอซี มิลาน ก็อยู่ในข่ายเดียวกับนิยามดังกล่าวไม่มีผิดเพี้ยน
หากบีสามารถสร้างอิทธิพลในทีมรอสโซเนรี ได้สักครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เขาเคยทำในธุรกิจอื่นๆ มาแล้ว สโมสรซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดสโมสรหนึ่งในโลกอาจก้าวเข้าไปยุคที่ไม่เคยมีใครมีประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อนก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น