วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ขอแชร์แนวคิด และบอกเล่า จากเด็กอายุ 24 ปี ที่มี income 5 ทาง

สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมต้องขอแนะนำตัวเองก่อน ปัจจุบัน จขกท. อายุ 24 ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ 2 แห่ง และมีรายได้จากการเทรดหุ้นบางส่วน ผมขออนุญาต ไม่โฟกัสเรื่องรายได้นะครับ เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็น

สำหรับใครที่ไม่อยากอ่านเรื่องราว สามารถข้ามไปที่ความเห็นที่ 4 ผมจะทำการสรุปแนวคิดที่ผมได้รับไว้นะครับ


ผมมีความคิดที่อยากจะมาแชร์แนวคิดและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เนื่องมาจากว่าช่วงนี้ได้มีคุยกับคนหลายๆคน ซึ่งเกือบทุกคนนั้น จะมีปัญหาเรื่อง เป้าหมายในการใช้ชีวิต ชีวิตไม่รู้จะทำอะไร หรือไม่มีแรงบรรดาลใจในการทำอะไร ผมคิดว่าแนวการใช้ชีวิตของผมอาจจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย จึงได้ใช้เวลาว่างวันนี้ที่มีอยู่ ลองเรียบเรียงสิ่งต่างๆมาบอกเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันตามนี้ครับ

ครอบครัวผมมีกันอยู่ 3 คน มี ผม แม่ และ พี่ บ้านผมอยู่กันที่คอนโดเล็กๆแห่งหนึ่ง ชีวิตผมต้นเรื่องมาจาก การที่คุณแม่ผมคอยส่งเสียเลี้ยงดูผมคนเดียวเนื่องจาก การเสียชีวิตของคุณพ่อตั้งแต่ผมอยู่ ป.5 ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการพยายามเอาตัวรอดของครอบครัวผม คุณแม่ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นแต่แม่บ้าน ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อส่งเสียเลี้ยงผมและพี่ รถที่มีอยู่คันเดียวก็ต้องขายเพื่อนำมาทำทุน เราลองกันหลายอย่าง ทั้งขายของตลาดนัด ขายผลไม้ ขายเสื้อผ้า ขายตรง แต่มันก็ไม่ดีสักอย่าง จนแม่ผมได้ไปอบรมอาชีพ มีทั้งช่างตัดผม และนวดแผนโบราณ และคุณแม่ก็ใช้อาชีพที่ท่านเรียนมา คอยส่งเสียเลี้ยงดูผมและพี่มาเรื่อยๆ 

ซึ่งจากบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมเป็นคนค่อนข้างประหยัด อดออม และไม่ค่อยซื้อของสิ้นเปลืองเลย ไม่ใช้ของใหม่ อะไรที่มีและใช้ได้ผมก็จะใช้ไปจนมันไม่ไหวจริงๆ และอีก 1 อย่างที่ฝังความคิดให้ผมคือ “ผมอยากรวย”


จนเมื่อผมเข้ามัธยม เนื่องจากแม่ผมท่านก็ทำงาน ผมจะได้เจอคุณแม่แค่ตอนช่วงเช้า ก่อนไปโรงเรียนเท่านั้น กับบางครั้งถ้าผมนอนดึกมากจริงๆ มีบ้างที่ผมเริ่มเกเร ด้วยความยังเด็ก รวมทั้งติดเกมส์ การเรียนของผมตกลง จากที่ผมสอบเข้าโรงเรียนได้อันดับ 2 ของนักเรียนที่มาสอบทั้งหมด กลายเป็นคะแนนอันดับบ๊วยของห้องเรียน ในปีแรก แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลับมาในช่วงเวลา ปีที่ 2 และ 3 คือ เพื่อนๆครับ สภาพแวดล้อมเป็นส่วนสำคัญจริงๆในการเรียน เนื่องจากผลสอบเข้าของผมดี ผมจึงได้อยู่ในห้องคิง และกลุ่มเพื่อนๆก็ดี คอยช่วยกันเรียน ช่วยกันเล่นบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทิ้งกัน ผมจบ ม.2 ด้วยคะแนน 3.84(อังกฤษ เกรด 3) และ ม.3 ด้วยเกรด 4.00 ซึ่งอย่างที่เห็นคือ ผมเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมากกกก แต่สุดท้ายผมก็ใช้วิธีท่องจำ พยายามดิ้นรนจนสำเร็จมาได้

จากบทเรียนเหตุการณ์นี้คือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราเป็นสิ่งสำคัญและมีผลมาก การที่จะทำอะไรออกมาให้ดีหรือไม่ดีได้นั้น หากเรานำตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ความสำเร็จก็ย่อมมีได้ง่ายกว่า


มัธยมปลายเป็นช่วงเวลาที่ผมค่อนข้างไม่เป็นชิ้นเป็นอันอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากผมเลือกสายวิทย์ คณิต และเพื่อนกลุ่มเดิมโดนแยกย้ายไปหมด ใช้เวลานั่งเรียนทั้งวันเพื่อรอเพียง จะไปเล่นกับเพื่อนตอนเลิกเรียน บางครั้งพักไม่ตรงกัน ก็โดดเรียนไปเล่นบาสเล่นบอลกับเพื่อน ใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไร ไม่ได้คิดถึงอนาคตเลยด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไรต่อ คณะอะไร มหาลัยไหน จุดเปลี่ยนของผมมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมอยู่ช่วง ม.5 ผมได้ทำกิจกรรมรับน้องของโรงเรียน และได้ร่วมทำงานหลายๆอย่าง ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าผมชอบเรื่องแบบนี้มากๆ ผมชอบการทำงานที่ได้วางแผน ได้พูดคุยกับผู้คน ได้แก้ปัญหา และได้เป็นคนสำคัญ หลายๆอย่างปลูกฝังแนวคิดให้ผมอีกครั้ง และผมมีปัญหาตามประสาวัยรุ่นก็คือเรื่องความรัก จนทำให้ผมคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทั้งหมด จากแต่เดิม ผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ค่อยพูด ไม่ออกความเห็น ไม่ฮา ซีเรียส เครียด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเริ่มต้นใหม่ ในมหาลัยที่ไกล และแยกออกไปจากเพื่อนๆทุกคน เพื่อเริ่มต้นใหม่ สุดท้าย ผมเลือกเรียน คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันแถวสนามบินสุวรรณภูมิ และทิ้งทุกอย่างที่ผมเป็นไว้ด้านหลัง เพื่อเริ่มต้นใหม่ กับ ชีวิตใหม่

ย้อนกลับมาช่วง ม.6 จุดเปลี่ยนอย่างที่ 2 ของผมคือ การได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงเรื่อง การลงทุนในหุ้น และบุคคลชื่อดังคนหนึ่งคือ คุณวอเรน บัฟเฟต์ ผมได้อ่านชีวประวัติเขา และแนวคิดของเขา ซึ่งกระตุ้นความรู้สึกแรกที่ผมเคยบอกไว้ก็คือ ผมอยากรวย ผมคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่ผมค้นหามา นี่แหละที่ผมต้องเดินทางไป ผมเลยตัดสินใจเริ่มศึกษาการลงทุนทุกอย่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มหาทุน โดยการเริ่มทำงาน เซเว่น เป็นพาร์ทไทม์ เพื่อเก็บเงิน และไม่อยากลำบากครอบครัว (ผมเริ่มกู้กยศ ตอน ม.4-ม.5 ทำให้บ้านผมค่อนข้างเบาเรื่องรายจ่ายค่าเรียนไปค่อนข้างมาก รวมทั้งผมคิดว่ามันจะมีประโยชน์อย่างมากตอนที่ผมเข้าเรียนมหาลัย เพราะผมจะไม่ต้องไปขอยื่นใหม่ แย่งกับคนจำนวนมาก)

    จากบทสรุปของช่วงนี้คือ 
-    ผมคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตัวเองเสียใหม่ทุกๆอย่าง การเข้าสังคม การเป็นคนที่มีคนจดจำ ผมไม่อยากเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ผ่านมาและผ่านไปในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่เวลาผ่านไปแล้วไม่มีใครจำได้เลย
-    ผมเริ่มคิดจะเข้าไปในโลกของการลงทุน และเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ถึงหนทางที่จะทำให้ผมมีรายได้ที่ผมสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้


และก็มาถึงช่วงผมเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนี้มีบทเรียนให้ผมเยอะมาก และทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจนบางครั้งผม
กลับมาเจอเพื่อนเก่า หลายๆคนยังทักว่า ผมไม่เหมือนเดิมเลย แต่หลายๆอย่างมีที่มาครับ และหลายๆอย่างต้องใช้เวลา 

            อย่างที่เกริ่นให้ตั้งแต่ต้น จากปัญหาหลายๆอย่างทำให้ผมตัดสินใจ ฉีกตัวเองออกมาจากกลุ่มสังคมเดิม กลุ่มเพื่อนกลุ่มเดิม ผมไม่ยื่นคะแนนวิศวะเข้า ม.เกษตร ทั้งที่หากผมยื่น ผมสามารถเข้าเรียนได้เลย เพราะผมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ผมต้องหลุดออกมาจากสิ่งเดิมๆให้ได้เท่านั้น ผมเริ่มต้นมาเรียนที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ครับ และมาอยู่หอที่นี่ สังคมลาดกระบังเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มักจะมาอยู่หอ ทำให้เราได้เจอเพื่อนๆกันแทบทุกวันครับ ทำให้ผมใช้เวลาไม่นานก็ได้เจอกลุ่มเพื่อน และค่อนข้างกลบความเหงาที่แยกจากกลุ่มเพื่อนเก่าๆมาได้ค่อนข้างเร็ว เวลาอยู่ที่นี่มันไกลครับ นานๆมากถึงจะมีโอกาสได้กลับบ้านไปทีหนึ่ง

                ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจ นั่นคือกิจกรรมเชียร์ ใช่ครับ กิจกรรมเชียร์ที่หลายๆคนอาจมองว่ามันไม่ดี มันบังคับ มันจำกัดสิทธิ หลายๆอย่าง แต่สำหรับผม ผมมองว่านี่มันคือสถานการณ์ หรือ สิ่งที่ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดีที่สุดครับ คนทุกคนต้องเคยเกิดคำว่า “ไม่กล้า” ในทุกคนครับ ผมใช้เวทีนี้เป็นตัวขจัดคำว่า “ไม่กล้า” ของผมออกไปครับ ผมไม่ทราบว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่ที่ลาดกระบัง หลายครั้งที่เขาจะเรียกให้รุ่นน้องยืนขึ้นเพื่อตอบค่าถามต่างๆ บางทีเป็นคำถามง่ายๆเช่น “ได้ตามงานที่พี่มอบหมายให้หรือเปล่า” หรือคำถามที่ต้องคิดว่า “เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เราชวนเพื่อนมาได้” ผมจะไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อ ตอบคำถามทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ครั้งแรกจะเกร็งและกลัว แต่จนถึงวันหนึ่งผมก็ไม่มีความเกร็ง และกลัวอีกต่อไป มันทำให้ผมได้มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรต่างๆ และมีความมั่นใจในการพูดต่อหน้าผู้คนเยอะๆ

    จากบทเรียนข้อนี้ ทำให้ทุกวันนี้ผมสามรถพรีเซ้นต์งานต่อหน้าคนเยอะๆได้โดยไม่มีอาการประหม่า ไม่เขิน และรู้วิธีที่จะพูดอย่างไร เพื่อให้ผู้คนสนใจในการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ แม้มันอาจจะไม่ดีมากเท่าคนที่พูดเก่งๆ แต่มันก็ทำให้เรานิ่งพอ ที่จะทำงานต่อไปได้ครับ
    ผมมีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง โดยที่ผมจะไม่รอ เพราะสิ่งที่เข้ามา โอกาสที่เข้ามามีเพียงไม่มาก ผมไม่ได้บอกว่าแนวคิดนี้คือสิ่งที่ถูก แต่หากมีอะไรเข้ามา ผมก็จะก้าวเข้าไปรับไว้ก่อน ส่วนวิธีการ เดี๋ยวมันจะตามมาจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้วเองครับ
    “อยากให้มองทุกอย่างคือโอกาสที่เข้ามาในชีวิตครับ มองหลายๆมุมให้เห็นถึงโอกาสของมัน และคุณจะไม่พลาดในการพัฒนาตัวเองครับ”


    “INCOME แรก”
    ช่วงมหาลัย เป็นช่วงที่ผมใช้เวลาที่มีในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และควบคู่ไปกับการเริ่มต้น ลงทุนครั้งแรกในชีวิตครับ และแน่นอนว่าอย่างที่เคยได้เล่าให้ฟังเรื่อง การศึกษาการลงทุน ผมเริ่มต้นเทรดหุ้นจำลอง ใน Click2win ครับ จนรู้ระบบการเทรดต่างๆ และเมื่อผมอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ ผมก็เริ่มเปิดพอร์ตหุ้นของตัวเองทันทีครับ และใช้เงินทุนที่ได้จากการทำงานมาก้อนแรกประมาณ 2 หมื่นบาท และแน่นอนครับว่า เละครับ!! ตลาดหุ้นในยามศึกษา และการเทรดจริงนั้นคนละเรื่องเลยครับ ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก บรรยากาศ อินเตอร์เน็ต หลายๆอย่าง แต่แน่นอนว่าผมก็ไม่ยอมแพ้ และเทรดต่อไปเรื่อยๆ ศึกษาทุกวัน ผมจริงจังมาก ผมนั่งอ่านกราฟทุกวันถึงตี 2 ตี 3 ย้ำว่าทุกวัน ผมหาหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับการลงทุน ที่ผมควรจะต้องรู้ ช่วงนั้นผมมีหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับหุ้น จนผมค่อยๆปรับระบบให้เป็นของตัวเอง และหลายๆอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทำให้ผมเริ่มมีรายได้จากการเทรดหุ้นเมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งนั่นคือรายได้แรกของผม และมันก็ค่อยๆสร้างรายได้ให้ผมจนทุกวันนี้
    ผมคงไม่ลงรายละเอียดตรงนี้มากนะครับ หรือใครอยากให้เล่าคงจะแยกความเห็นออกไปอีกที ผมเทรดเยอะครับ เริ่มมจาก เทรดหุ้นธรรมดา เริ่มเทรด DW และมาเทรด Future ผมยังทำงานพาร์ทไทม์เรื่อยๆครับ เพื่อเพิ่มเงินไปเรื่อยๆจนหยุดทำเมื่อขึ้นปีที่ 3 ของการเรียนมหาลัยครับ ขออนุญาตไม่แจ้งมุลค่าพอร์ตนะครับ แต่สามารถนำบัญชีหุ้นค้ำประกัน เพื่อเปิดบัญชี TFEX ได้ครับ
    ช่วงเวลานั้นมีหนังสือหลายเล่มอยากจะแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆให้ได้อ่านกันครับ หากใครสนใจในการลงทุน เนื่องจากทุกวันนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีหนังสือไหนที่น่าสนใจกว่าเล่มพวกนี้หรือเปล่า ขอแนะนำไว้เป็นทางเลือกนะครับ
-    พ่อรวยสอนลูก (แน่นอนครับ เล่มนี้ สอนหลายๆอย่างในการคิด และการลงทุน)
-    ตีแตก ชอง ดร. นิเวศน์ (แนวคิดเริ่มต้นสำหรับการเทรดหุ้น ให้มองภาพกว้างๆ และให้ความรู้ดีครับ)
-    กลยุทธ์ หุ้นห่านทองคำ (เล่มสีดำๆ ผมเน้นตั้งแต่เล่ม 3 เป็นต้นไปนะครับ เล่ม 1-2 เป็นเกริ่น แต่หากใครสนใจอ่านหมดก็ดีครับ)
-    มหัศจรรย์หุ้นเทคนิค (เป็นหนังสือสอนการเทรดโดยใช้ indicator ที่ดีเล่มหนึ่งครับ ผมซื้อมาใหม่จนโดนเพื่อนยืมไป 2-3 รอบละไม่คืน เลยเลิกซื้อแล้วครับ)
ช่วงเวลานี้ค่อนข้างเครียดจริงๆครับ ลองหลายอย่าง หลายแบบ จนคิดว่าที่ผ่านมาเราคิดผิดมาหรือเปล่า มันจะมีทางเหรอ ถ้ามันได้จริงๆคนก็ทำได้
กันหมดแล้วมั้ง เสียเยอะทีก็เครียดไปนานครับ แต่ก็มีแรงฮึดมาใหม่เรื่อยๆครับ
    และนอกจากนั้น ผมได้มีพี่คนหนึ่งเอาเกมส์มาให้เล่นครับ ก็คือ Cash Flow ชวนเล่นกันสนุกๆเฉยๆนะครับ ไม่ได้ชวนไปทำขายตรง ซึ่งผมได้รับบทเรียนจากเกมส์นี้และนำมาใช้ทุกวันนี้คือ การสร้าง income ให้มากๆขึ้น เพื่อวันหนึ่งจะออกจากวงล้อหนูครับ
    บทเรียนที่ได้จากช่วงนี้คือ
-    ผมได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ต้องการจะทำสักทีครับ คือเทรดหุ้น ผมว่ามันสำคัญมากเลยคือหากเราคิดจะทำ หรือเริ่มต้นอะไร ให้เริ่มไปเลยครับ เริ่มยังไงก็ได้ให้รู้ว่าเราเริ่ม หลายๆคนมีข้ออ้างมากมายครับ
o    ไม่มีเวลา ผมก็ไม่มีครับ มาศึกษาช่วงตอนเลิกเรียน และเลิกกิจกรรม จนถึงดึกทุกคืน
o    ไม่มีเงิน ก็หาพาร์ทไทม์ทำ และขยันอดออม ครับ
o    ไม่มีความรู้ ก็ศึกษาครับ หนังสือมี how to มี อินเตอร์เน็ต มี ใช้ให้เป็นประโยชน์ครับ เราโชคดีมากครับที่เกิดมาในยุคที่มีพร้อมทุกอย่างแบบนี้
-    ผมได้แนวคิดเรื่องการเพิ่ม income ครับ นำทุนที่มีไปลงทุนเพื่อให้เกิด income และมาต่อยอดเรื่อยๆครับ
-    ผมไม่ยอมแพ้ครับ แม้มันจะต้องล้ม จะต้องเหนื่อย จะท้อสักกี่ครั้ง ผมก็จะมุ่งไปครับ จะทำให้มันสำเร็จให้ได้
-    ผมใช้คำว่า income ไม่ใช่ passive income เพราะว่า ผมยังต้องทำงานครับ ถึงจะได้ income ผมต้องเทรดหุ้นถึงจะได้เงิน ผมต้องปรับพอร์ตหุ้นทุกไตรมาส เพื่อหาหุ้นที่มีปันผลดีและเติบโตเหมาะสม 

“และผมก็ได้ income แรกจากการเทรดหุ้นครับ”

ช่วงพัฒนาตัวเอง
            กลับมาที่การพัฒนาตัวเองกันต่อครับ ย้อนกลับมาช่วงปี 1 ผมได้ทำกิจกรรมเยอะครับ และได้ติดสินใจเข้าร่วมงานกับสโมสรนักศึกษา ผมได้ผ่านการประชุมมากมาย กับบุคคลหลายประเภท คนที่ไม่เคยยอมใครเลย คนที่ไม่กล้าพูด คนที่ตามน้ำได้หมด หรือคนที่จ้องจะขัดตลอด มันทำให้เราได้รู้จักสารพัดวิธีการแก้ปัญหา และการตอบโต้ในเวลาจำกัดครับ 
             
            ผมได้แนวคิดดีๆจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว และพี่ที่เรียนอยู่ หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆผมก็เช่นกัน ทำให้เราได้รู้ว่า โลกนี้ไม่มีใครที่ถูกเสมอทุกอย่าง และไม่มีใครที่ผิดทุกอย่าง และรอบๆข้างเราล้วนมีความคิดดีๆที่เราไม่เคยหันไปมองครับ เพราะงั้น ใส่ใจกับคนข้างๆให้มาก สนใจในรายละเอียดปลีกย่อย และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอครับ จากที่ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองข้างต้นนำไปสู่ ความคิดที่ว่า ผมไม่อยากเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนและจบไปครับ หรือเมื่อหายไปแล้วไม่มีใครในที่นี้จำได้ ผมตัดสินใจจะเป็นนายกสโมสรนักศึกษา ตั้งแต่ปี 1 และผมพยายามทำหลายๆอย่าง เพื่อทำให้ตัวเองมีคุณสมบัติที่พร้อม และให้คนยอมรับ แม้มันอาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมก็ทำได้ในระดับหนึ่ง ผมสามารถเสนอแนวคิดดีๆได้ ผมรู้จักเพื่อนๆเยอะ ผมได้เรียนรู้ถึงความจำเจ ซ้ำซากของกิจกรรมในคณะ มันน่าเบื่อ มันไม่มีใครอยากทำ อยากมาร่วม ผมกับทีมเพื่อนมักมีแนวคิดแบบนี้เสมอคือ “พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เสมอครับ” หาจุดขายเพื่อเป็นแรงดึงดูด คิดสิ่งใหม่ๆและทำสิ่งที่ทุกคนต้องประหลาดใจเสมอครับ ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้คุณโดดเด่นและแยกออกมาจากคนอื่นครับ  

บทเรียนช่วงนี้ให้ผมได้ประโยชน์ดังนี้ครับ
    *** การวางแผนและตั้งเป้าหมายครับ *** นี่คือสิ่งสำคัญที่ผมอยากจะให้ทุกคนรู้และทำให้ผมมีวันนี้ครับ

                สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่ผมมักแนะนำรุ่นน้อง หรือเพื่อนที่มาปรึกษาพูดคุยเสมอๆ คือ เราควรต้องตั้งเป้าหมายให้ตัวเองครับ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เราอยากทำอะไร เราอยากเป็นอะไร และหมั่นตรวจเช็คเสมอว่าเราไปถึงจุดไหนแล้ว หากเราต่ำกว่าเกณฑ์ ต้องหาวิธีเพื่อกระตุ้นตัวเองเพิ่มเติมครับ

                 มีโฆษณาหนึ่งที่ผมชอบมาก และผมยังใช้บอกกับคนอื่นจนถึงทุกวันนี้คือ “ตีกอล์ฟ ตีไปให้ถึงดวงจันทร์ ถึงจะพลาดมันก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” แน่นอนว่าเป้าหมายมันอาจจะสำคัญ แต่เราก็ไม่มีอะไรเสียครับ วันหนึ่งถ้าคุณทำทุกอย่างเพื่อไปถึงจุดหมายของคุณได้แล้ว ต่อให้คุณพลาดเป้าหมายนั้น สุดท้ายแล้วตัวคุณก็ได้รับประโยชน์ จากสิ่งที่คุณทำเพื่อไปสู่เป้าหมายอยู่ดีครับ

            -    การทำงานร่วมกับคนอื่นครับ เรียนรู้และพยายามเข้ากับคนอื่นให้ได้อยู่เสมอครับ จะส่งผลดีต่อการทำงานครับ บางคนอาจเป็นคนเงียบๆไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบเจอหน้าใคร อยากให้ลองเปลี่ยนแปลงดูครับ สุดท้ายแล้ว ผลดีในระยะยาวก็จะอยู่ที่ตัวเราเองครับ เพราะการทำงานยังไงเราก็ต้องทำงานกับผู้คนครับ ต้องมีการติดต่อประสานงาน และการที่คนอื่นชอบคุณ จะทำให้ทำงานง่ายกว่าคนไม่ชอบเยอะมากครับ

            -    จงมีความทะเยอทยานอยู่เสมอครับ ในที่นี้คือพยายามหาแรงกระตุ้นใหม่ๆครับ อย่าปล่อยให้ตัวเองหยุดอยู่นิ่ง หมั่นหาอะไรทำ หมั่นพัฒนาระบบ พัฒนาตัวเอง เพื่อโอกาสใหม่ๆที่รอเราอยู่ข้างหน้าครับ

            -    การมีความคิดสร้างสรรค์ อย่าจำกัดตัวเองอยู่กับแค่ สิ่งเดิมๆที่เขามีมาให้ครับ ระบบไม่ดี ก็พัฒนาครับ อะไรไม่ดีก็หาวิธีปรับปรุงครับ สุดท้ายแล้ววประโยชน์มันก็อยู่ที่ตัวเราครับ ไม่ใช่ใครอื่น



“income ที่ 2”
                ต่อมาเมื่อผมเรียนจบ ผมทำตามเป้าหมายได้ ได้เป็นนายกสโม ได้มีรายได้จากการเทรดหุ้น มาถึงช่วงที่ผมสมัครงานครับ หลายๆคนคิดว่าผมคงไม่ทำงานต่อแล้ว อาจจะเทรดหุ้นไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็สบายแล้ว แต่ผมคิดกลับกันครับ แม้ว่าการหาเงินได้นั้นจะสำคัญ แต่การมีสังคมนั้นสำคัญยิ่งกว่า คุณจะมีความสุขอะไรกับการใช้ชีวิตไปวันๆหนึ่งกับคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็ปเล็ต ในขณะที่เมื่อคคุณกลับไปเจอเพื่อนเก่า แต่ละคนคุยถึงเรื่องประสบการณ์นู่นนี่นั่นที่เขาได้รับตอนวัยทำงาน 

             สิ่งหนึ่งที่ เราไม่สามารถหาซื้อได้คือ “ประสบการณ์ในการทำงาน” ครับ นอกจากนั้นการทำธุรกรรมต่างๆ การเป็นพนักงานเอกชนน่าเชื่อถือกว่า เจ้าของกิจการ หรือ freelance อีกครับ และผมก็ตัดสินใจเริ่มสมัครงาน 

             ผมมีตำแหน่งงานในใจอยู่แล้วคือผมไม่ชอบงานที่ต้องอยู่กับที่ ผมเป็นวิศวกร ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องทำงานในโรงงาน ผมใช้เวลาช่วงฝึกงานตอนปี 3 ศึกษาและหาข้อมูลงานวิศวกรทั้งหมด และผมเลือกตำแหน่งที่ผมสนใจและลองดู ปรากฏว่าผมก็ชอบมันค่อนข้างมาก แม้ว่าผมจะเป็นเด็กฝึกงานที่ทำงานโหดสุดช่วงนั้นก็ตาม ผมฝึกงานที่โรงงานแห่งหนึ่งที่ทุกวันจะต้องเข้าไปที่บางนาตอนเช้า และไปโรงงานที่อยุธยา ทุกวัน กลับ 4-5 ทุ่มครับ แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สุดท้ายแล้วผมตัดสินใจทำงาน วิศวกร ที่ไม่ต้องประจำที่โรงงาน แต่ต้องเดินทางไปมา เพื่อดูแลงานในพื้นที่ต่างๆครับ ผมร่อนใบสมัครไปเยอะมาก และผมใช้เวลา 2 เดือนในการสมัครงาน ผมไปสัมภาษณ์งานมาไม่ต่ำกว่า 30 – 40 ที่ ในเวลา 2 เดือน เพื่อหางานที่ผมคิดว่าตรงกับผมมากที่สุด ผมออกไปสัมภาษณ์งานแทบทุกวันครับ จ-ศ และทุกครั้งที่ผมไป ผมจะได้อะไรใหม่ๆมาให้พัฒนาตนตลอด

                สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนสัมภาษณ์งานของผมคือ ประสบการณ์การทำกิจกรรมของผม ครับ ผมได้เล่าให้ผู้สัมภาษณ์หลายคนฟัง และได้คุยหลายๆอย่าง บางครั้งเล่าปัญหา การแก้ปัญหา ซึ่งมันทำให้เรามีเรื่องคุยกับเขาครับ

                หลายๆคนบอกนะครับ ที่ทำงานที่แรก ได้ที่ไหนให้ทำไปก่อน สำหรับผม ผมมองต่างนะครับ ที่ทำงานไม่ว่าจะตอนไหนก็สำคัญที่สุดครับ เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าเราจะทำมันถึงตอนไหน และแน่นอนหากคุณอยากประสบความสำเร็จ อยากไปได้ไกลกว่าคนอื่น อยากถึงเส้นชัยก่อนคนอื่น คุณมี 3 วิธี
              -    ออกวิ่งก่อนเขา
              -    วิ่งให้เร็วกว่าเขา
              -    เริ่มวิ่งตำแหน่งที่ไกลกว่าเขา

             เพราะงั้นหากไม่อยากจะอยู่เหมือนคนอื่น แม้แต่ที่แรก ก็ต้องชิงจังหวะให้ดีกว่าคนอื่นครับ ผมได้ที่ทำงานที่แรก ในเงินเดือนที่ผมพอใจ บรรยากาศที่ดี และจากเนื่อหางาน ทำให้ผมตัดสินใจออกรถยนต์คันแรก ตอนอายุ 22 ปีครับ ใช้เงินที่เก็บมาและคำแนะนำและช่วยเหลือจากพี่ๆที่ทำงาน จนได้รถยนต์คันแรกของตัวเองโดยไม่ต้องให้ใครมาค้ำประกันให้ครับ

             แน่นอนว่าการทำงานที่ใช้รถยนต์นั้น จะมีสิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับคือ ค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ ซึ่งหลายๆคนอาจมองแค่ว่าไม่คุ้ม หรือว่า ได้มาก็ใช้ไป แต่ผมมองต่างครับ เพราะรายได้นี้จะโชว์ใน slip เงินเดือนคุณครับ หมายความว่า คุณจะมีอำนาจในการกู้ยืมเงินมากขึ้นกรณีมีเหตุจำเป็นเนื่องจากรายได้ตรงนี้ครับ แม้ว่ามันอาจจะไม่คุ้มในส่วนหนึ่ง แต่ในส่วนอื่นมันก็คุ้มครับ ขึ้นอยู่กับเรานำไปใช้ประโยชน์ 
    
             “และผมก็ได้ income ทางที่ 2 จากการทำงานครับ”

"    Income ทางที่ 3"
                    ผมพยายามหารายได้เพิ่มเติมจากการทำงาน และการเทรดหุ้นอยู่เรื่อยๆครับ พยายามมองหาตัวเองว่ามีอะไรดีบ้าง มีแนวทางอื่นๆไหม ผมทดลองทำหลายอย่างครับ ผมเคยทำป้ายไฟจีบสาวครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้ไหม 555 เคยหาซื้ออุปกรณ์ ตอนทำโปรเจคก็เคยไปที่บ้านหม้อ ก็เอาล่ะ ลองดูหน่อย แต่ลองทำแล้วงานมันค่อนข้างละเอียดและใช้เวลาครับ ประกอบกับไม่ดีต่อสุขภาพเรื่องไอตะกั่ว ทำให้ผมตัดสินใจพับโครงการนี้ไปครับ
                   
                 ผมมานั่งคิดต่อ ข้อดีของผมมีอะไรอีก ที่ทำงานผมอยู่กลางเมืองครับ อยู่ใกล้แหล่งซื้อของ มันอาจจะดีหากเราลองซื้อของจากแถว ประตูน้ำ แพลตินั่ม และส่งไปขาย โดยเน้นส่งให้กับตัวเพราะเรามีรถส่วนตัว แต่แนวคิดนี้ก็พับเก็บไปอีก เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างครับ
                   
                สุดท้ายจากที่ได้เล่าให้ทราบว่า ผมได้เทรดหุ้นมาสักพักจนทุกอย่างอยู่ตัว และเพื่อนๆหลายคนก็ทราบ บางครั้งก็ให้ผมไปสอนเทรด บางคนก็นำเงินมาฝากให้ผมช่วยเทรดให้ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรครับ จนมาถึงช่วงที่ผมคิดว่าผมต้องการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้มันเกิดประโยชน์มากขึ้น ผมตัดสินใจทำกองทุนเล็กๆแค่เพื่อนๆกับผม หรือคนรู้จักบางคน จากที่ผมได้รับความไว้ใจจากเพื่อนๆอยู่แล้ว ผมใช้เวลา 1 ชั่วโมง ลองถามเพื่อนๆ ระดมเงินทุนได้ประมาณ 4-5 แสน และเพิ่มระบบ การรายงานผล ทำกราฟ ทำรายได้ให้เห็น และผมได้รับ ค่า commission จากการเทรดให้คนอื่นๆมาอีกทางหนึ่งครับ 


    บทเรียนจาก ตรงนี้คือ 
-    หากเราจะหาหนทางสร้างรายได้ให้เริ่มสำรวจตัวเองก่อนครับว่าเราทำอะไรเป็น และทำอะไรได้ดี และพยายามต่อยอดมันออกมาให้ได้ครับ
-    ความไว้วางใจสำคัญมากครับ ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นหรือทำอะไร หากคุณเป็นคนไม่โกง มีความซื่อสัตย์ และมีความน่าเชื่อถือ คุณก็สามารถเริ่มต้นได้โดยง่ายกว่าทั่วไปครับ หมั่นสร้างเครดิตตัวเองไว้เสมอๆครับ



"Income ทางที่ 4 กิจการแรกของผม"
                เมื่อผมอายุได้ 23 ปี จากประสบการณ์ทำงานได้ 1 ปีของผม ผมก็เริ่มมีความคิดอยากทำธุรกิจครับ ผมใช้เวลานานและศึกษาหลายๆอย่างในการทำธุรกิจ จนผมได้เงินโบนัสก้อนแรกจากการทำงานมา รวมกับเงินเก็บที่ผมมี ผมตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจแรกคือ ร้านนวดแผนโบราณครับ ผมตัดสินใจเปิดร้านนวดแผนโบราณ เนื่องจากแม่ของผมท่านมีความสามารถด้านนี้ ทุกวันคุณแม่จะต้องไปทำงานตามร้าน ตามที่ต่างๆ มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะเปิดกิจการเล็กๆให้คุณแม่ดูแล จะได้ไม่ต้องไปไหนมาไหนไกลๆครับ
                   
                 การหาตั้งกิจการ ผมต้องคิดถึงหลายๆอย่างครับ
                 -    ทำเลที่ตั้ง
                 -    แรงงาน
                 -    เงินทุน
                 -    การประชาสัมพันธ์

               ผมได้แนวคิดหลายๆอย่างจากการทำกิจกรรมมา 4 ปี ในคณะ และการทำงาน 1 ปีครับ (ผมยังทำงานอยู่ไม่ได้ออกจากที่ทำงานนะครับ) ผมใช้เวลาวันหยุด ตะเวนหาที่ต่างๆเพื่อหาทำเล หาตามห้างต่างๆ เพราะผมคิดว่าหากมีคนเดินเยอะ หรืออยู่ในห้าง เราสามารถโฆษนาสถานที่ได้ง่ายกว่า และไปมา สะดวกกว่า สุดท้ายผมได้ที่หนึ่งในห้างครับ จึงตัดสินใจลุยทันทีครับ และตอนแรกผมไม่ได้บอกแม่ครับ
    
                จนก่อนหน้าที่จะทำสัญญากับห้าง ผมถึงบอกแม่และพาแม่ไปดูสถานที่ครับ แน่นอนว่าแม่ผมดีใจมากและตกใจมากครับ ท่านกังวลหลายอย่าง จะทำรอดไหม จะมีลูกค้าไหม หมอที่จะมาช่วยล่ะ ซึ่งอะไรต่างๆผมก็ได้จัดเตรียมไว้หมดแล้วครับ และก็ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อย ผมได้เริ่มทำป้ายร้าน ปรับปรุงร้าน ทำคัทเอาท์ หน้าร้าน ทำใบปลิว ประชาสัมพันธ์ ทำไวนิลประชาสัมพันธ์ ทำเวปเพจ 
    
ซึ่งทั้งหมดนั้นผมแยกย่อยสิ่งที่สำคัญดังนี้
               -    ดีไซน์ ผมมองว่าดีไซน์ที่ดี จะดึงดูดผู้คนได้มากกว่า 
               -    การบริการที่ดีจะทำให้ผู้คนประทับใจ 
               -    การประชาสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้คนสนใจ

               ผมขอยกวิธีเรื่องการประชาสัมพันธ์นะครับ ผมใช้รถของตัวเองครับ ติดลูกโป่งบนรถ และติดไวนิลด้านหน้าและด้านหลัง ก่อนที่จะขับวนรอบๆแถวๆนั้น เพื่อประชาสัมพันธ์ครับ มันค่อนข้างดึงดูดสายตาคนได้มากครับ และหากเราไม่มีธุระอะไรผมก็นำรถไปจอดไว้ในที่ที่มีผู้คนเห็นเยอะครับ เพราะผมไม่อยากจะไปติดป้ายตามเสาไฟฟ้า เพื่อจะโดนดึงออกและผิดกฏหมายด้วย

                 ผมจัดระบบในร้าน และได้ใช้มันเป็นแนวทางในร้านต่อๆไปของผมได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ ผมสามารถวางระบบโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปในร้านตลอด ของขาด ของหมด ทำความสะอาด เช็คลิสต์ อะไรที่ต้องตรวจ อะไรที่ต้องดูแล มีให้ครบครับ และมันก็ทำให้เราได้ประสบการณ์ และความรู้ใหม่ๆในการทำธุรกิจมากครับ


    บทเรียนในครั้งนี้
              -    ผมได้รู้จักการทำธุรกิจแรกของตัวเองครับ และอย่างที่ผมบอกครับ อยากทำอะไร ให้มองรอบข้างก่อนครับ หากเราทำไม่ได้ คนอื่นล่ะทำได้ไหม มีอะไรที่พอจะนำมาต่อยอดได้ โอกาสมีอยู่ทั่วไปครับ หากหาเจอก็สามารถทำได้ครับ
              -    ผมได้รู้ขั้นตอนของการทำธุรกิจ การเตรียมเงินทุน การวางแผน การประชาสัมพันธ์ และการบริหารครับ

“INCOME ที่ 5 กิจการที่สอง”

               หลังจากผมมีรายได้มาหลายทางและถึงช่วงผมอายุ 24 ปี ผมได้รับโบนัสก้อนที่ 2 จากที่ทำงานมา รวมกับเงินเก็บของผม ทำให้ผมคิดจะลุยต่อกับกิจการใหม่ที่ผมชอบ นั่นคือ หมูกะทะ ชาบู ผมชอบกินครับ แต่แน่นอน ผมไม่มีความสามารถด้านครัวเลยครับ ผมทำไม่เป็น ไม่มีความรู้ มีบ้างที่ช่วยเพื่อนๆทำหมูย่าง ตอนกินเลี้ยงเวลาทำกิจกรรม เพราะงั้นต้องหาความรู้ก่อนครับ แต่ที่ไหนจะให้ฟรีๆล่ะ ก็ตะเวนครับ หาลองนู่นนี่ นั่น ลองไปหมดครับ และผมไปเจอร้านที่เขาจะขายกิจการอยู่ครับ ราคาค่อนข้างสูง แต่ผมชั่งน้ำหนัก กับการได้รู้สูตร และการทำกิจการร้านอาหาร ผมยอมเสียเงินที่มากขึ้น เพื่อเวลาที่ลดลง ที่ผมไม่ต้องไปลองผิดลองถูกกับตอนแรกครับ 

               ผมตัดสินใจซื้อกิจการชาบูมา โดยใช้เวลาตัดสินใจแค่ 3 วันครับ และผมก็วางเงินก้อนแรกทันที โดยผมขอพี่เขาว่า ผมยอมรับราคานี้โดยที่ผมต้องการรู้ขั้นตอน และการทำ การดำเนินการทั้งหมด ทางพี่เขาก็ไม่มีปัญหาครับ เริ่มต้นพาผมไปเลือกซื้อของ และระบบในร้าน ซึ่งทำให้ผมได้ความรู้และลองเปิดร้านจริงๆดู ช่วงเวลาแรกผ่านไปอย่างติดขัดพอควรครับ ปัญหาหลักๆคือ ไม่มีลูกค้าครับ ใช่ครับ เรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา และเป็นเรื่องธรรมดาของการซื้อกิจการอยู่แล้ว ซึ่งผมก็เตรียมรับมือเรื่องนี้อยู่แล้ว ผมแบ่งการดำเนินการไว้เป็นแต่ละเฟสครับ เฟส 1 2 3 ในการเตรียมตัว และจะเปิดร้านจริงๆตอนไหน จะดึงลูกค้าอย่างไร

               ผมปรับปรุงสูตรของร้านเพิ่มเติม เพิ่ม/ลด เมนูอาหาร และทำเป็นร้านบุฟเฟต์ ผมได้รับประสบการณ์เยอะมาก วันที่เปิดบุฟเฟต์วันแรกไม่ค่อยมีคนครับ มีเพื่อนผมมาลองกิน ซึ่งผมโชคดีมาก เพราะผมได้รู้ปัญหาของระบบเยอะมาก และผมรีบแก้ไขในวันถัดไป ซึ่งวันถัดไปนั้นลูกค้าเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ ถือว่าเป็นโชคดีของผมครับ จาก 2-3 สัปดาห์แรกยอดขายวันละ 2พัน บางวันไม่ได้เลย กลายเป็น วันละ 4-6 พัน ซึ่งค่อนข้างดีขึ้นครับ 

              ต่อมาผมได้ผ่านการทดลองระบบอยู่หลายสัปดาห์ จนระบบเข้าที่และปล่อยให้มันดำเนินการไปเรื่อยๆครับ ผมได้ลองการประชาสัมพันธ์แบบต่างๆ และได้รับบทเรียนเพิ่มเติม จากยอดขายวันละ 4-5 พัน พีคสุดไม่เกิน 6 พันในวันเสาร์-อาทิตย์ กลายเป็น รายได้เฉลี่ยวันละ 1หมื่นและเสาร์อาทิตย์ประมาณ หมื่นห้า แม้จะมีปัญหาเล็กๆค่อยๆมีเรื่อยๆแต่ก็ค่อยๆแก้มันไปได้ครับ 

“และผมก็ได้ income ที่ 5 “

บทเรียนของเรื่องนี้คือ
       -    ผมเลือกจะลุยไปก่อนครับ และพยายามแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เพื่อให้ระบบต่างๆสามารถดำเนินการไปได้ครับ อย่าเมินเฉยกับปัญหาเล็กๆ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ครับ 
       -    การประชาสัมพันธ์ที่ตรงจุด ครั้งเดียว ได้ผลกว่า การหว่านแห ครับ
       -    การทำกิจการ เน้นการสร้างระบบ และการบริหารครับ พยายามแยกตัวเองออกมาเป็นผู้ยืนดูและผู้ตรวจสอบ จะทำให้เรามองเห็นปัญหา ได้มากขึ้นครับ แต่บางครั้งหากมีเวลา ให้ลองทำตำแหน่งลูกทีมดูครับ เราจะเจอบางปัญหาและเข้าใจได้ง่ายด้วยตัวเองครับ

จากบทเรียนทั้งหมด ผมขอแยกย่อยเป็นดังนี้นะครับคือ 
-    การพัฒนาตัวเอง
-    การทำธุรกิจ
-    การจัดการเงิน


การพัฒนาตัวเอง 
-    ควรวางเป้าหมายไว้เสมอครับ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตเราคืออะไร และค่อยๆแบ่งย่อยออกมาครับ หมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่าเราอยู่จุดไหนแล้วในเป้าหมายของเรา วาง checkpoint 1/2/3/4 ไปเรื่อยๆครับ เพื่อย้ำเตือนตัวเองเสมอ

-    พัฒนาตัวเองอยู่เสมอครับ กล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิด พยายามเสนอความคิดเห็นทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะเป็นความเห็นที่เราคิดว่าไร้สาระ แต่อาจมีใครที่เห็นอะไรในความเห็นนั้นๆ และต่อยอดต่อไปได้ครับ

-    มองทุกอย่างคือโอกาสครับ งานหนักคือโอกาสครับ ให้เราได้ประสบการณ์อย่างก้าวกระโดด งานวุ่นวายคือโอกาสครับ ให้เราปรับปรุงระบบและขั้นตอนการทำงาน เงินน้อยคือโอกาสครับ โอกาสให้เราพัฒนาตัวเองเพื่อหาให้ได้มากขึ้น มองโลกในแง่บวก และพยายามทำให้สำเร็จครับ

-    มีความคิดสร้างสรรค์เสมอๆครับ การมีความคิดสร้างสรรค์จะทำให้เราโดดเด่น และแยกออกมาจากคนอื่นครับ


-    นำตัวเองเข้าไปหากิจกรรม พยายามมีอะไรทำเสมอๆ เพื่อไม่ให้ตนเองเฉื่อย และเบื่อครับ เมื่อเรามีความแอคทีพ เราจะสามารถทำอะไรใหม่ๆได้เรื่อยๆครับ

-    เกร็ดเล็กน้อย จากที่ผมเล่าว่า ผมมีปัญหาเรื่องความรักช่วง ม.ปลาย หลังจากผมพัฒนาตัวเองและกลับมาเจอกันใหม่ หลังเรียนจบ ปัจจุบันผมคบกับคนที่ผมเคยคุยตอนม.ปลาย ครับ 
o    สำหรับคนที่มีปัญหาด้านความรัก ผมอยากจะแนะนำว่าให้ออกมาก่อนครับ มาพัฒนาตัวเองให้ดี ทำให้วันนึงถ้าคุณกลับไปเจอเขาและเขาจะมองคุณใหม่ครับ วันนั้น คุณจะกลายเป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิ์เลือกครับ ไม่ใช่แค่เขา

-    **แนวคิดนี้แล้วแต่วิจารณญาณของบุคคลนะครับ*** สำหรับผมคือ ผมเลือกจะทำไปก่อนครับ คือหากจะทำอะไรผมจะเปิดเข้าไปก่อนอย่างหนึ่งให้รู้ว่าเริ่มทำแล้ว และหลังจากนั้นประสบการณ์ต่างๆที่เรามีจะช่วยให้เราทำมันออกมาได้เองครับ 

การทำธุรกิจ

-    อย่างแรกสุดเลยคือ กล้าที่จะทำครับ

-    มีแผน 1 / 2 / 3 อยู่เสมอ โลกไม่ได้สวยงามขนาดที่นำเงินก้อนเดียวที่เก็บมาทั้งชีวิตมาลุ้นกับอนาคตครับ 

-    ประชาสัมพันธ์ที่ตรงจุดอย่างเดียว ให้ผลมากกว่า การหว่านแห หลายๆทางรวมกัน หาให้เจอ ว่าอะไรคือสี่งทึ่ลูกค้าต้องการ

-    พยายามสร้างธุรกิจที่มีอิสระในตัวเอง สามารถดำเนินการได้โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปมาก สร้างระบบการตรวจสอบที่ดี ให้โอกาสพนักงานในการแสดงความเห็น และใส่ใจกับมันเสมอ ให้อิสระพนักงานในการ คิด/ทำ ที่ส่งผลดีต่อธุรกิจ

-    ให้ความไว้ใจ กับลูกทีม ของบางอย่างยอมเสียได้ เสียไปครับ แต่ความรู้สึกไว้ใจที่เราให้เขา จะสร้างความคาดหวังของเราต่อตัวเขา ด้วยตัวเขาเองครับ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยครับ

-    ปัญหาเพียงเล็กน้อย ก็ต้องใส่ใจ และแก้ไข พยายามให้ลูกทีมช่วยกันคิดแก้ไขปัญหา และให้ออกมาจากข้อเสนอของพวกเขา แม้เราจะเป็นคนคุมให้มันออกมาเป็นแบบนั้น แต่ให้พวกเขาเป็นคนพูด

-    สร้างกฏ ที่จำเป็นต้องทำ และห้ามละเลยครับ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ความยุติธรรมสำคัญมากที่สุดครับ



การจัดการเงิน

-    แบ่งเงินเป็นส่วนๆเสมอครับ เงินออม / เงินลงทุน / เงินใช้จ่าย

-    เรื่องอัตราส่วนเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลครับ แต่พยายามแยกออกมาให้ชัดเจน ลำดับความสำคัญ และห้ามละเลยเด็ดขาด 
สำหรับผมก้อนแรก แบ่งมาออม ในจำนวนเท่ากันทุกเดือนห้ามขาดครับ
ก้อนที่ สอง เงินลงทุน แบ่งเป็น % จากเงินที่เหลืออยู่ครับ
ก้อนสุดท้าย เงินใช้จ่ายครับ ผมใช้จ่ายประมาณ 10% ของรายได้ที่หาได้ครับ

-    แยกบัญชีให้ชัดเจน เงินไหนมาจากรายรับไหน ห้ามปนกันเด็ดขาดครับ เพราะคุณจะคุมรายจ่ายไม่ได้ครับ 

-    ตั้งเงินเดือนในกิจการของตัวเองครับ สำคัญมาก และเงินที่ได้มาเกิน อย่าลืมที่จะแบ่งปันไปให้ลูกทีมที่ช่วยเหลือเรามาครับ หาโอกาสให้ในวันสำคัญต่างๆ หรือจัดเลี้ยงตามความเหมาะสมครับ

- ผมไม่โฟกัสกับ เงินออม มากเท่า การนำเงินไปเพิ่มรายได้ครับ ผมมีเงินล้านแรกตอนช่วงอายุ 22-23 แต่หากไม่นับเงินลงทุน ทั้งหุ้น และกิจการ ผมก็ไม่มีเงินออมถึงล้านอีกเลยครับ เพราะผมเน้นนำเงินที่ได้ไปต่อยอดเรื่อยๆ ให้มากที่สุดครับ แต่ก็ต้องแบ่งความคล่องตัวของเงินทุนนะครับ เช่น เงินลงทุนส่วนที่เป็นหุ้น จะมีความคล่องตัวสูงกว่า เงินลงทุนธุรกิจ กรณีที่ต้องใช้เร่งด่วน ประมาณนั้นครับ แต่เงินออมผมก็มีพอสมควรนะครับ
*** แนวคิดนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะครับ****

ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นแบบเดิมใช้ชีวิตแบบเดิมครับ แม้ด้วยรายรับที่มากขึ้น แต่ผมยังอยู่คอนโดเก่าๆเหมือนเดิม ใช้ของเดิมๆ ผมยังไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองสักครั้ง มีเพียงหากบริษัทส่งไป หรือทางมหาลัยส่งไป ซึ่งเมื่อถึงเวลาผมก็จะใช้มันกับความสุขของผมบ้างครับ ผมจะเน้นใช้เงินสำหรับพวก Gadget เพื่อเพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการทำงานเพียงเท่านั้น หรือบางครั้งเรื่องการกินครับ แหะๆ

สิ่งสำคัญคือการพัฒนาแนวคิด และทัศนคติ ต่อการรับมือกับสิ่งต่างๆ และวางแผนในอนาคตครับ 
ผมมีคนๆหนึ่งเคยบอกกับผมว่า ผมโชคดีที่มีโอกาส เพราะว่าเขา บ้านไม่มีโอกาสแบบนี้ ทั้งที่เขาไม่เคยรู้อะไรเรื่องชีวิตผมเลย ไม่รู้เลยว่าผมต้องเจอกับอะไรมาบ้างและผมพยายามแค่ไหน ผมก็ได้แต่ยิ้มให้ แต่ก็ไม่เถียงอะไร 

และนี่ยังไม่ใช่ Goal ของผมครับ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมวางแผนว่าจะทำและพวกนี้คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ผมอยากจะทำเหล่านั้นเท่านั้น

สุดท้ายนี้หวังว่าสิ่งที่ผมได้แชร์ให้ทุกคนจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับคำถามสามารถสอบถามได้ครับ จะหาเวลาเข้ามาตอบเรื่อยๆครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ และขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตนะครับ

ปล. ที่ผมใช้คำว่า เด็กอายุ 24 ปี นั้น เนื่องมาจากในหลายๆครั้ง ด้วยวัยของผม กับสิ่งที่ผมต้องดำเนินการ จะมีหลายคนที่ถามอายุแล้วบอกว่า ผมเด็กจัง หรือ too young ซึ่งมันก็ทำให้ผมคิดว่า ผมเองยังเด็กนัก เมื่อเทียบกับโลกกว้าง และคนอีกหลายๆคนครับ


**** เพิ่มความเห็นที่ 73 การแบ่งเวลาและการเริ่มต้นธุรกิจ นะครับ ****

****** อัพเดตเพิ่มเติมครับ ดีใจและยินดีที่ได้จุดประกายความคิดให้หลายๆคนนะครับ วันหนึ่งกระทู้นี้ของผมก็จะตกและหายไป แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้ใช้สิ่งที่รู้มา มาเล่าให้ทุกคนฟังครับ ผมไม่ขออะไรนอกจาก ในโอกาสถัดไปสำหรับเพื่อนๆที่ได้รับสิ่งดีๆไป หากวันข้างหน้ามีอะไรที่ต้องการบอกเล่าและแชร์ อยากให้กล้าที่จะมาเล่า และแชร์ให้คนอื่นๆรับรู้ เพราะเราไม่มีวันรู้ครับ ว่าสิ่งที่เรานำเสนอไป บางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครคนหนึ่งไปเลยก็ได้ ผมว่าเท่านั้นมันก็คุ้มค่ามากพอแล้ว

สำหรับเนื้อหากระทู้ การทำเยอะไม่ได้แปลว่าเก่งเสมอไปนะครับ ไม่อยากให้ไปมองกันที่ว่าต้องทำเยอะถึงจะดี ถึงจะเก่ง แต่อยากให้นำสิ่งที่ผมแชร์ไปใช้ประโยชน์ในอนาคตมากกว่าครับ ไม่สำคัญว่าจะทำเยอะแค่ไหน ขอแค่ 1 สิ่ง 1 อย่างที่เราตั้งใจจะทำจริงๆและทำมันให้ดีที่สุดก็พอครับ ของผมบังเอิญว่าสิ่งที่ผมตั้งใจทำนั้น มันต้องทำหลายๆอย่างและค่อยๆสานต่อรวมกันไปเรื่อยๆครับ เลยออกมารูปแบบนี้

ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ และ ขอบคุณสำหรับการแชร์ ในวันข้างหน้าต่อไปครับ

สำหรับเรื่องเงินทุนในการเตรียมทำร้านของผมครับ

ยินดีครับ 
สำหรับเงินทุน ผมแค่แยกเป็นเงินทุนตั้งต้น และเงินทุนโดยรวมนะครับ


ร้านนวดแผนโบราณ
เงินทุนตั้งต้นของผมคือ 250k ครับ แบ่งกว้างๆมาจาก
- 100 k เงินสำหรับค่าที่ครับ มีค่ามัดจำพื้นที่ เนื่องจากผมเช่าที่จากห้าง จะมีค่ามัดจำ 3-5 เท่าของค่าเช่า และเงินสำรองสำหรับจ่ายค่าเช่า 1-2 เดือนแรกครับ

- 150 k ต่อมาเป็นค่าตกแต่งร้านครับ จะหนักทางพวก แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า แนะนำให้หาตามอินเตอร์เน็ต หรือ งานโชว์สินค้า จะได้สินค้าราคาถูกกว่าห้างมากครับ

เงินลงทุนรวมทั้งหมดของร้านนวดใน 1-2 เดือนแรก ประมาณ 400k ครับ

- 50 k สำหรับ การประชาสัมพันธ์ และเครื่องมือในการ PR
- 100 k ที่เหลือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนของสินค้า สิ้นเปลือง ค่าแรง และจิปาถะอื่นๆครับ




ค่าร้านชาบู
- เงินลงทุนเริ่มแรก ประมาณ 300k ครับ สำหรับค่าร้าน ตกแต่งเพิ่มเติม และอุปกรณ์ต่างๆ

- 50 k สำหรับการ PR เช่นเดิมครับ

- 50 k สำหรับ ปรับปรุงร้าน และเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าครับ

- เงินทุนหมุนเวียน ควรสำรองไว้ อีก 100 k 
     - ค่าจ้างพนักงานประมาณ 40-50 k
     - ค่าวัตถุดิบ เฉลี่ย สัปดาห์ละ 20 k ครับ

รวมเงินทุนที่ใช้ 450-500 k ครับ

หวังว่าจะมีประโยชน์ในการวางแผนต่อไปนะครับ

เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นครับ



สำหรับการเทรดหุ้น 
ผมแยกการลงทุนเป็น 2 ส่วนและแยกย่อยลงไปอีกครับ

- ส่วนแรก เงินก้อนหนึ่ง เทรด โดยอ้างอิงกราฟ จะถามว่า day trade ไหม ก็ไม่ใช่ขนาดนั้นครับ ขึ้นอยู่กับสัญญาณว่า จังหวะไหนควรซื้อขาย บางทีถือไว้ หลายสัปดาห์ บางทีวันเดียวก็มีครับ
    
   ส่วนนี้ผมจะถอนกำไรออกทุกเดือนครับ



- ส่วนที่ 2 เงินก้อนนี้ผมอ้างอิงการเทรด ตามข้อมูลการเงินของบริษัทครับ โดยผมแบ่งย่อยอีกเป็น 2 ก้อน ลงทุนเพิ่มเข้าไปทุกเดือน และไม่มีการถอนออกครับ

    - ลงทุน โดยเน้นหุ้นที่มีโอกาสเติบโต ดูงบการเงินและความสามารถในการพัฒนาตัวเอง

    - ลงทุนโดยเน้น เงินปันผลครับ พิจารณาจากรายได้ปัจจุบัน ประเมินอนาคต และดูนโยบายการปันผลครับ 



ซึ่งจากตรงนี้ทำให้ผมมีรายได้ มาเรื่อยๆจาก ส่วนแรก และพอร์ตส่วนที่ 2 ของผมก็จะโตขึ้นเรื่อยๆเช่นกันครับ หากพอร์ตส่วนที่สอง ให้ปันผลมาผมก็นำมาต่อยอดต่อไปเรื่อยๆครับ

สำหรับ หลักการในการเทรดหุ้น ผมคงแนะนำได้ว่าพยายามสร้างระบบของตัวเอง หรือวิธีการเทรดของตัวเองให้ได้ครับ

ซื้อเพราะอะไร ให้ขายเพราะอันนั้น พิจารณาเหตุผลในการซื้อ และ วิเคราะห์ออกมาเป็นรูปธรรมให้ได้ครับ

เช่น คุณอาจลองเขียน 
กฎการซื้อ - ขาย ดูครับ และห้ามแหกกฎนี้เด็ดขาด ต้องมีวินัยในตัวเองให้มากครับ 

ต่อมาหมั่นฝึกฝนหาความรู้ครับ หาสิ่งใหม่ๆมาพัฒนาตัวเองเสมอๆ และอย่าลืมหันไปมองของเก่าๆที่เคยเรียนรู้มา เพราะบางครั้ง สิ่งที่เราเคยรู้มามันมีประโชยน์มากกับเรา แต่เรายังไม่เคยมองมันเห็นครับ

และปัจจัยสำคัญที่สุดของ การลงทุนคือ
Money Management ครับ

เป็นเรื่องธรรมดา ที่คนเทรดหุ้นต้องมีได้และเสีย แต่คุณจำกัดการเสียนั้นได้ดีพอหรือยัง คุณสามารถ cover เงินที่เสียไปในครั้งที่แล้วได้หรือไม่ มี margin of safety ในการเทรดที่เท่าไร เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นมากครับ

ผมยกตัวอย่างง่ายๆคือ

คุณมี 100 ขาดทุน 50% เหลือ 50
การที่คุณจะทำกลับมาจาก 50 เป็น 100 จะต้องได้ กำไร 100%
หากคุณไม่มีการจัดการเงินที่ดีพอ เงินจะลดลงเรื่อยๆครับ

ผมแนะนำว่าหากลองแบ่งออกมา

เงิน 100 เทรด 70 สำรอง 30
หากคุณ ขาดทุน 50% จาก 70 เหลือ 35
คุณก็มีเงินสำรองอีก 30 รวมกันเป็น 65 ทีนี้ คุณจะกลับมาเป็น 100 ก็เพียงทำกำไรที่ 50% นิดๆ ก็จะได้เท่าเดิมครับ

อันนี้คือตัวอย่างนะครับ

การบริหารเวลา และการใช้ชีวิต

เรื่องบริหารเวลา สำหรับผมนั้น ค่อนข้างที่จะจัดเวลาได้ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไรครับ
เนื่องจากอย่างที่บอกว่าตัวผมนั้นจะหาอะไรทำเสมอๆ และไม่ชอบอยู่นิ่งๆ เวลาวันไหนลองไม่ทำงานอะไรเลย มันหดหู่ในชีวิตครับ เหมือนไม่มีเป้าหมาย ขนาดนั้นเลย

ช่วงเวลาผม จ-ศ ทำงานครับ 8.00-19.00 บางทีดึกหน่อยก็ - 21.00 ครับ
ต่อมาผมจะทะยอยเข้าไปที่ร้านช่วงเก็บร้านครับ หากทันก็จะเข้าไปร้านนวดที่ปิด 21.00 และร้านชาบูปิด22.00 กลับมาถึงบ้านก็เคลียร์งานต่างๆ และพักผ่อนครับ เนื่องจากผมเลือกทำเลที่ต้องของร้านไม่ให้ไกลจากตัวบ้านมาก เพราะหากมีปัญหาอะไรผมสามารถไปดูได้อย่างทันท่วงทีครับ การเดินทางจากบ้านถึงแต่ละที่ไม่เกิน 10 นาทีครับ ด้วยรถยนต์ส่วนตัว

เสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากงานของผมค่อนข้างต้องมีการประสานงาน ติดต่อตลอดเวลา ช่วงนี้ผมจะใช้เวลากับคนข้างตัวครับ ไม่ว่าจะแฟน หรือครอบครัว แต่ก็มีบ้างที่ต้องทำงานควบคู่ไปด้วย มือถือและโน๊ตบุ้คต้องติดตัวตลอด ซึ่งก็อธิบายให้เขาเข้าใจครับ ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างให้เต็มที่ และหาไอเดียการทำสิ่งใหม่ๆเพิ่มเติมครับ และเรียนภาษาเพิ่มความรู้ไปด้วย แบ่งและจัดเวลาแวะเข้าไปดูที่ร้าน หรือหาอะไรใหม่ๆ ในเสาร์-อาทิตย์นี้ครับ รวมทั้งเวลาพักผ่อนด้วย

ทุกๆวันก่อนนอนผมจะวางแผนไว้ 1-2 วันครับ ว่าวันไหนจะทำอะไรบ้าง เป็นแผนกว้างๆไว้ ตื่นกี่โมง และทำอะไรกี่โมงช่วงเวลาไหน ทำให้เวลาผมค่อนข้างบีบ แต่ก็รู้สึกว่าใช้ได้คุ้มค่าครับ

หลักๆมีเท่านี้ครับ แต่ก็แน่นอนว่าหลังจากเราเหนื่อยกับการจัดระบบตอนต้นมาดีพอแล้วนะครับ และสำคัญคือ หมั่นหาเวลาเข้าไปพูดคุยกับลูกทีม ช่วยเขาแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในร้านเสมอๆครับ

เท่านี้แหละครับ
ผมโชคดีที่ยังอายุไม่มากและมีแรงที่จะทำอะไรได้หลายๆอย่าง เลยตัดสินใจใช้ชีวิตให้เต็มที่ครับ แต่แน่นอนว่า สุขภาพก็ต้องดูแลให้เต็มที่เช่นกันนะครับ








ต่อมาเรื่องการทำร้านกิจการควบคู่กับการทำงานประจำ

สำหรับเรื่องวางระบบในธุรกิจนะครับ 
ตามที่ผมเคยแนะนำในกระทู้ อย่างแรกเราควรจะแบ่งช่วงเวลาการสร้างธุรกิจของเราก่อนเป็นขั้นๆ
1. ขั้นเริ่มสร้าง ช่วงเวลานี้จะต้องทุ่มเวลาให้เยอะหน่อย ศึกษารายละเอียดให้มาก ลองผิดลองถูก ช่วงนี้จะเหนื่อยมากครับ
2. ช่วงทดสอบระบบ ช่วงนี้จะเริ่มปล่อยวางได้บางส่วน และลองให้มันรันไปโดยที่เราดูห่างๆ และเข้ามาแก้ไข เมื่อเกิดปัญหาครับ
3. ช่วงติดตาม ตอนนี้ก็สามารถปล่อยวางได้แล้ว และคอยดูอยู่ห่างๆครับ เน้นเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับลูกทีมบ้าง ประปราย มีระยะห่างให้รู้ว่าเขา ทำตัวกับเราได้แบบไหน แต่ไม่ห่างไปจนคุยกันไม่ได้เลย

สำหรับการสร้างระบบ ให้สามารถทำงานประจำได้

ช่วงแรกผมอธิบายดังนี้
ปัญหาหลักของการทำงานประจำ กับธุรกิจส่วนตัว คือเวลา ในการดูแลครับ 
ผมเลือกที่จะเปิดร้าน ในช่วงแรก โดยเปิดเวลา 17.00 - 22.00 ครับ เพราะเมื่อเราเลิกงานเราจะสามารถมาดูแลได้เต็มที่ครับ และเรียนรู้ว่าอะไรต้องแก้ไข หรือต้องปรับปรุงได้อย่างใกล้ชิดครับ ช่วงนี้ผมจะทำงานทุกอย่างทุกส่วนครับ 


ช่วงที่สองครับ
                หลังจากได้ขั้นตอนในร้าน การทำงาน หรือรายละเอียดต่างๆแล้ว ต่อมาสิ่งสำคัญของการทำธุรกิจ คือลูกทีมครับ การหาพนักงาน ในมุมผมถือเป็นเรื่องท้าทายมาก พยายามหมั่นสังเกต และให้ทีมงานออกความเห็นเสมอๆครับ เราจะรู้ว่าเราสามารถฝากฝังงานอะไร ให้กับใครได้ 

                 ช่วงนี้ก็ลองปล่อยให้เขาทำงาน แก้ไขปัญหาเอง แต่เราเฝ้าดูอยู่ห่างๆครับ มีอะไรไม่ถูกก็แนะนำเพิ่มเติมไป เริ่มลองอะไรใหม่ๆ อาจลองเปลี่ยนเวลาเปิดร้าน เพื่อลองดูว่า หากเราไม่มาแล้วมีปัญหาอะไรบ้าง แก้ปัญหากันเองได้ไหม ซึ่งหากแก้เองไม่ได้เราต้องมีแผนสำรองสำหรับปัญหานี้ครับ 

ช่วงสุดท้าย
              หลังจากระบบที่ดี พนักงานโอเค ก็ย้ายตัวเองออกมาข้างนอกครับ ตรวจสอบคุณภาพ ทำประชาสัมพันธ์  

              ผมพยามโฟกัสกับงานที่สำคัญและจำเป็นจริงๆครับ อันไหนเป็นส่วนเสริม หรือไม่ซีเรียสมาก จะทำระบบให้ทางลูกทีมเป็นคนดำเนินการครับ งานของผมในร้านจึงแทบไม่มีอะไรมากครับ 
- อนุมัติซื้อของ 
- ทำบัญชี รายรับ รายจ่าย
- จ่ายเงินเดือนพนักงาน
- ควบคุมคุณภาพ
- คิดรายการใหม่ๆ บริการใหม่ๆ

นอกเหนือจากนั้น ผมจัดทำขั้นตอนการทำ และ ขั้นตอนการตรวจสอบ และให้ทางทีมงานทำเกือบหมดครับ อย่าหวงความรู้ในการพัฒนาพนักงานหากวันหนึ่งเขาไปจากเรา ก็จะมีแต่สิ่งดีๆที่เขาพูดถึงเราครับ หากเขายังอยู่ เขาจะเป็นกำลังสำคัญให้เราในวันข้างหน้าต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น