1,715 ครั้ง
“สมคิด” ชู “มหาวิทยาลัย” ความหวังปั้น”อินโนเวทีพ สตาร์ทอัพ” เป็นนักรบเศรษฐกิจพันธุ์แกร่ง เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ให้เวลาปีครึ่งดันให้ถึงฝั่ง แนะใช้ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจ ตอบโจทย์ปฏิรูปประเทศ...
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2558 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เรียกประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ (อคพน.) เป็นนัดแรก โดยเชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 5 กระทรวง อธิการบดี 5 มหาวิทยาลัย สำนักงานส่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาหาอการค้าแห่งประเทศไทย สภาวิจัยแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.)
นายสมคิด ได้สะท้อนถึงบทบาทของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการ อินโนเวทีฟ สตาร์ทอัพ หรือสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมหน้าใหม่ ให้เป็นนักรบเศรษฐกิจพันธุ์แกร่งที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยต้องคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการใช้นวัตกรรมอยู่ในกระบวนการวิจัยและการผลิตด้วย ซึ่งการจะมุ่งเป้าให้ประสบความสำเร็จนั้น หน่วยงานที่จะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนคือ มหาวิทยาลัย ที่มีงานวิจัยมากมายรอการต่อยอด แต่ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยไม่ได้โฟกัสตัวเองว่าจะมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านไหน สุดท้ายกลายเป็นทำวิจัยแข่งกันเอง
“จากนี้ไปขอให้รวมตัวกันหารือและแบ่งงานในการเป็นตัวแทนของภูมิภาค เพื่อวิจัยตอบโจทย์ท้องถิ่น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำเสมอว่า ผลผลิตชุมชนส่วนใหญ่งานวิจัยเข้าไปไม่ค่อยถึง ต้องหารือกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดการสนับสนุนเข้าถึงในระดับรากหญ้า โดยการหารือควรมีผู้แทนจากสำนักงบประมาณเข้าร่วมรับฟังด้วย”
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอแนวทางในการก้าวสู่ความสำเร็จของโครงการว่า อินโนเวทีพ สตาร์อัพ ต้องมีการออกแบบที่ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของกองทุนพัฒนาความสามารถ โอกาสในการเข้าตลาดหุ้น รวมถึงการเชื่อมโยงบูรณาการผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมองว่าองคาพยพในการสนับสนุนขณะนี้เรามีความพร้อม แต่อาจจะขาดการจัดการแบบเชื่อมโยง จึงขอให้ทุกคน ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ใช้เวลาภายในปีครึ่ง ทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยขอให้ทบทวนมาตรการและแรงจูงใจที่มีอยู่ว่าเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้นักลงทุนสนใจ หากจะสามารถปรับปรุงก็ให้เร่งดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุม ได้เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น โดยอธิการบดี และผู้แทน จาก 5 มหาวิทยาลัย ได้สะท้อนปัญหาที่ใกล้เคียงกันคือ แต่ละมหาวิทยาลัยมีการวิจัยและสนับสนุนให้เกิดสตาร์ทอัพมาหลายปีแล้ว โดยใช้งบประมาณของมหาวิทยาลัยเอง แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นของการสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ก็จะติดขัดในเรื่องของงบประมาณ และการสนับสนุนของภาคการเงิน ทำให้ไปต่อไม่ได้ สอดคล้องกับสภาวิจัยฯ สภาอุตสาหกรรมที่ให้ความเห็นในทางเดียวกัน โดยมีความหวังกับโครงการที่กระทรวงวิทยาศาตร์ฯ ผลักดันคือกองทุนนวัตกรรม รวมถึงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม
พร้อมระบุ มหาวิทยาลัย ได้ทำงานกับบริษัทเอกชนรายใหญ่หลายแห่งอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากที่มหาวิทยาลัยจะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด ซึ่งนายสมคิดได้แนะนำว่า ให้หารือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยขอให้เขารวบรวมรายชื่อเอสเอ็มอีที่มีอยู่ และหารือร่วมกันเพื่อหาช่องทางในความร่วมมือ และรวบรวมความต้องการในเรื่องสิทธิประโยชน์ และมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนต่อไป
ทั้งนี้ นายสมคิด ยังได้ให้แนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยขอให้ทุกหน่วยงาน ยึดความสามารถผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใน 10 สาขาหลัก ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของประเทศไทยในขณะนี้ คือ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร 6) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 7) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 8)อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 9) อุตสาหกรรมดิจิตอล และ 10) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร โดยทั้ง 10 สาขานั้นจะตอบโจทย์การปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง.
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2558 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เรียกประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ (อคพน.) เป็นนัดแรก โดยเชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 5 กระทรวง อธิการบดี 5 มหาวิทยาลัย สำนักงานส่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาหาอการค้าแห่งประเทศไทย สภาวิจัยแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.)
นายสมคิด ได้สะท้อนถึงบทบาทของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการ อินโนเวทีฟ สตาร์ทอัพ หรือสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมหน้าใหม่ ให้เป็นนักรบเศรษฐกิจพันธุ์แกร่งที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยต้องคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการใช้นวัตกรรมอยู่ในกระบวนการวิจัยและการผลิตด้วย ซึ่งการจะมุ่งเป้าให้ประสบความสำเร็จนั้น หน่วยงานที่จะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนคือ มหาวิทยาลัย ที่มีงานวิจัยมากมายรอการต่อยอด แต่ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยไม่ได้โฟกัสตัวเองว่าจะมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านไหน สุดท้ายกลายเป็นทำวิจัยแข่งกันเอง
“จากนี้ไปขอให้รวมตัวกันหารือและแบ่งงานในการเป็นตัวแทนของภูมิภาค เพื่อวิจัยตอบโจทย์ท้องถิ่น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำเสมอว่า ผลผลิตชุมชนส่วนใหญ่งานวิจัยเข้าไปไม่ค่อยถึง ต้องหารือกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดการสนับสนุนเข้าถึงในระดับรากหญ้า โดยการหารือควรมีผู้แทนจากสำนักงบประมาณเข้าร่วมรับฟังด้วย”
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอแนวทางในการก้าวสู่ความสำเร็จของโครงการว่า อินโนเวทีพ สตาร์อัพ ต้องมีการออกแบบที่ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของกองทุนพัฒนาความสามารถ โอกาสในการเข้าตลาดหุ้น รวมถึงการเชื่อมโยงบูรณาการผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมองว่าองคาพยพในการสนับสนุนขณะนี้เรามีความพร้อม แต่อาจจะขาดการจัดการแบบเชื่อมโยง จึงขอให้ทุกคน ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ใช้เวลาภายในปีครึ่ง ทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยขอให้ทบทวนมาตรการและแรงจูงใจที่มีอยู่ว่าเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้นักลงทุนสนใจ หากจะสามารถปรับปรุงก็ให้เร่งดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุม ได้เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น โดยอธิการบดี และผู้แทน จาก 5 มหาวิทยาลัย ได้สะท้อนปัญหาที่ใกล้เคียงกันคือ แต่ละมหาวิทยาลัยมีการวิจัยและสนับสนุนให้เกิดสตาร์ทอัพมาหลายปีแล้ว โดยใช้งบประมาณของมหาวิทยาลัยเอง แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นของการสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ก็จะติดขัดในเรื่องของงบประมาณ และการสนับสนุนของภาคการเงิน ทำให้ไปต่อไม่ได้ สอดคล้องกับสภาวิจัยฯ สภาอุตสาหกรรมที่ให้ความเห็นในทางเดียวกัน โดยมีความหวังกับโครงการที่กระทรวงวิทยาศาตร์ฯ ผลักดันคือกองทุนนวัตกรรม รวมถึงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม
พร้อมระบุ มหาวิทยาลัย ได้ทำงานกับบริษัทเอกชนรายใหญ่หลายแห่งอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากที่มหาวิทยาลัยจะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด ซึ่งนายสมคิดได้แนะนำว่า ให้หารือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยขอให้เขารวบรวมรายชื่อเอสเอ็มอีที่มีอยู่ และหารือร่วมกันเพื่อหาช่องทางในความร่วมมือ และรวบรวมความต้องการในเรื่องสิทธิประโยชน์ และมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนต่อไป
ทั้งนี้ นายสมคิด ยังได้ให้แนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยขอให้ทุกหน่วยงาน ยึดความสามารถผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใน 10 สาขาหลัก ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของประเทศไทยในขณะนี้ คือ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร 6) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 7) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 8)อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 9) อุตสาหกรรมดิจิตอล และ 10) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร โดยทั้ง 10 สาขานั้นจะตอบโจทย์การปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น