“กฎแห่งแรงดึงดูด” (Law of Attraction)
ศาสตร์ทางจิตวิทยา ที่อยู่คู่กับมวลมนุษย์มากว่า 1,000 ปีแล้ว ว่าง่ายๆ “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ มันก็คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งจักรวาล ซึ่งอยู่คู่โลกและอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมานับเป็นพันๆ ปี หรือนับตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วก็ว่าได้ ถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยแรงโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ก็เป็นกฎที่เป็นจริงอย่างนั้นเหมือนกัน และถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ หรือที่พระท่านบอกว่า “อิทัปปัจยตา” แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ ก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน
เราอาจอธิบาย “กฎแห่งแรงดึงดูด” อย่างง่ายๆ ได้ว่า คนเราคิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่เราคิดถึงอยู่ตลอดเวลามันจะเป็นจริงได้ในที่สุด ความคิดของคนเรามักดึงดูดสิ่งที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้สิ่งนั้นเราจะไม่ต้องการก็ตาม แต่ถ้าเราคิดถึงมันอยู่ตลอด มันก็จะมาปรากฏแก่เราในที่สุด ดังคำโบราณของไทยที่ว่า “เกลียด และกลัวสิ่งไหน ก็มักจะเจอสิ่งนั้น!” ก็เพราะเรามักจะคิดแต่สิ่งที่เราเกลียดและที่เรากลัวอยู่ตลอดเวลา เราจึงมักต้องเจอกับสิ่งนั้นในที่สุด กูรูและผู้รู้หลายท่านจึงมักพร่ำสอนเรามาตลอดว่า ให้คิดถึงแต่สิ่งที่ต้องการ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ต้องการ ให้คิดแต่ในสิ่งที่อยากได้ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่อยากได้ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ชอบ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้มีความสุข อย่าไปคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ฯลฯ
BRIAN TRACY นักพูดระดับยักษ์ใหญ่ชาวอเมริกัน สรุปความหมายของกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ได้ดี โดยเขากล่าวว่า “บทสรุปที่ยิ่งใหญ่ของทุกศาสนา ทุกปรัชญา อภิปรัชญา จิตวิทยา และความสำเร็จ ก็คือ : คุณจะเป็นอย่างที่คุณคิดเกือบตลอดเวลา โลกภายนอกของคุณคือภาพสะท้อนโลกภายในของคุณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คุณคิด ทุกอย่างที่คุณคิดจะโผล่ออกมาในความเป็นจริงของคุณอย่างต่อเนื่อง” (จากหนังสือของเขาที่ชื่อว่า GOALS! : HOW TO GET EVERYTHING YOU WANT FASTER THAN YOU EVER THOUGH POSSIBLE ,2003. ในชื่อภาษาไทยว่า “เป้าหมาย ! : วิธีได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ เร็วกว่าที่คุณคิดว่าจะเป็นไปได้” แปลโดย วรรธนา วงษ์ฉัตร,2546,หน้า 8)
จริงๆ แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้สามารถอธิบายให้ละเอียดพิสดาร มากมายมหาศาลมโหฬารมหันต์ลึก ในแง่ของหลักการและกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยกลศาสตร์และฟิสิคส์ ในระดับควอนตั้ม (เล็กกว่าอะตอม) ได้เลยทีเดียว
หลักการวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน ตัวอย่างเช่น ของแข็ง ประกอบด้วย มวลสารเล็กๆมารวมตัวกัน และเช่นเดียวกันคลื่นความคิดหรือสิ่งที่มองไม่เห็นก็สามารถก่อรูปเป็นจิตนาการ ภาพ ได้ และเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มันมีปรากฏแก่เราทุกวันนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทั้งสิ้น และที่มันมีปรากฏขึ้นได้ก็ด้วยการก่อรูป ก่อร่างจากการคิดของมวลมนุษย์เองทั้งสิ้น!
รูปแบบและเนื้อหาที่หลากหลายแตกต่างกัน เป็นเวลานับพันปีแล้ว หากจะยึดว่าในรอบหนึ่งศตวรรษ หรือในรอบร้อยปีที่ผ่านมา มีใครและหรือหนังสือเล่มใดได้นำเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดนี้มานำเสนอ หรือมากล่าวไว้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นการเฉพาะเจาะจงบ้างแล้วละก็ ก็อาจสามารถเรียงลำดับของหนังสือดังกล่าวตามปีค.ศ.ที่หนังสือนั้นได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกได้ดังนี้ :- (โดยยึดถือจากหนังสือที่ผมมีอยู่ และมีการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ในวงเล็บคือชื่อหนังสือในภาคภาษาไทย)
1.THE SCIENCE OF GETTING RICH (ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย),1910, โดย WALLACE D.WATTLES
นี่คือหนังสือที่ทำให้เกิดหนังสือ THE SECRET (2006) ขึ้นมา นับช่วงเวลาที่ห่างกันถึงเกือบหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว อาจถือได้ว่า THE SCIENCE OF GETTING RICH เป็นเสมือนหนังสือหลัก หนังสือต้นแบบให้คนอื่นๆ นำไปเขียนขยายผล อ้างอิง ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกนับเป็นร้อยคน หรือร้อยเล่มเลยทีเดียว
2.THINK AND GROW RICH (คิดแล้วรวย),1937, โดย NAPOLEON HILL (ก่อนหน้านั้น เขาได้เขียน “LAW OF SUCCESS : ศาสตร์แห่งความสำเร็จ” ซึ่งในทัศนะของผมอาจถือได้ว่าเป็นงานในระดับ MASTERPIECE ของเขาเลยทีเดียว)
NAPOLEON HILL กล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาในหนังสือของเขาทุกเล่มว่า “อะไรก็ตามที่มนุษย์เชื่อและศรัทธา มันจะสามารถเป็นจริงได้ในที่สุด!”
3.THE POWER OF POSITIVE THINKING (พลังแห่งการคิดบวก),1952,โดย NORMAN VINCENT PEARL
ในความเข้าใจของผม NORMAN VINCENT PEARL ผู้นี้นี่แหละที่เป็นคนแรกๆที่กล่าวถ้อยคำอมตะที่ว่า “ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตเราก็จะเปลี่ยน” และ “เปลี่ยนความคิดของคุณก่อน แล้วคุณจะเปลี่ยนโลกทั้งโลกได้”
4.THE DYNAMIC LAWS OF PROSPERITY (พลังแห่งการสวดอ้อนวอน),1962, โดย CATHERINE PONDER (แต่หนังสือที่ขายดีของเธอน่าจะคือ PRAY AND GROW RICH,1986)
คนที่มีจิตใจคับแคบอาจไม่ชอบหนังสือของเธอผู้นี้ เพราะค่อนข้างเน้นไปในเรื่องความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ในคริสต์ศาสนา
5.THE POWER OF SUBCONSCIOUS MIND (พลังจิตใต้สำนึก),1963, โดย JOSEPH MURPHY (นอกจากนี้เขายังเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูดไว้อย่างเต็มๆ อีกสองเล่มคือ “THE COSMIC POWER WITHIN YOU : พลังจักรวาลในตัวท่าน” และ “THE AMAZING LAWS OF COSMIC MIND POWER : จิตมหาสมบัติ พิชิตทุกอย่างที่ขวางหน้า”)
6.CREATIVE VISUALIZATION (จิตนาการสร้างสรรค์),1978, โดย SHAKTI GAWAIN
ต้องกล่าวว่าหนังสือเล่มนี้นี่ไม่ธรรมดา เพราะสามารถขายไปได้ถึง 6 ล้านเล่ม ในเวลาไม่นานหลังจากวางจำหน่าย ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลกไปถึง 35 ภาษา
ใครก็ตามที่ต้องการความกระจ่างที่ลึกซึ้งและมากขึ้น ในเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด ต้องอ่านเล่มนี้
7.UNLIMITED POWER (พลังไร้ขีดจำกัด),1986, โดย ANTHONY ROBBINS (รวมทั้ง AWAKEN THE GIANT WITHIN : ปลุกยักษ์ใหญ่ในตัวคุณ,1991)
ANTHONY ROBBINS เป็นนักพูดปลุกใจที่ดังที่สุดของอเมริกา มีคนไทยหลายคนไปเข้าหลักสูตรของเขาแล้ว
8.UNIVERSAL LAW OF SUCCESS AND ACHIEVEMENT,1991,โดย BRIAN TRACY (รวมทั้ง MAXIMUM ACHIEVEMENT : ศาสตร์แห่งความสำเร็จสูงสุด,1993)
ความจริงแล้ว BRIAN TRACY เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม และทุกเล่มล้วนพูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดด้วยโดยตลอด แต่สำหรับสองเล่มที่จั่วหัวไว้ในข้อนี้ คือเล่มที่อาจถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลักของเขามากที่สุด และมีผู้เขียนคนอื่นๆ อ้างอิงถึงไว้มากที่สุดกว่าเล่มใด หนังสือเล่มอื่นๆ ของเขาก็เสมือนเป็นการแตกหน่อ ต่อยอด ขยายผล ไปอธิบายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ
BRIAN TRACY เป็นนักพูดชื่อดังของอเมริกาเช่นเดียวกัน
9.THE SEVEN SPIRITUAL LAWS OF SUCCESS (7 กฎ ด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม),1994, โดย DEEPAK CHOPRA (รวมทั้ง “THE SPONTANEOUS FULLFILMENT OF DESIRE : โชค ดวง ความบังเอิญ คุณกำหนดได้,2003)
DEEPAK CHOPRA เป็นกูรูด้านจิตวิญญาณที่ดังมากในอเมริกา ถึงขนาดที่ JACK TROUT กูรูระดับโลกด้านกลยุทธ์ธุรกิจและการตลาด เคยเหน็บแนม CHOPRA ว่าเป็นหนึ่งในแก๊งค์ 3 คน ของอเมริกา ที่ร่ำรวยกับการหากินกับความโง่และความอ่อนแอของผู้คน (JACK TROUT เขาว่านะ) อันประกอบด้วย ANTHONY ROBBINS ที่ผมเพิ่งกล่าวถึงไปเมื่อสักครู่ , อีกคนคือ STEPHEN R.COVEY (ผู้เขียนหนังสือขายดีที่ชื่อว่า THE 7 HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE) แล้วก็ DEEPAK CHOPRA โดย JACK TROUT กล่าวประชดประชันว่า “มีคนหัวอ่อนเกิดเพิ่มขึ้นทุกวัน และมีคนอยู่สามคนที่จะขายของให้เขา!” ซึ่งไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังอิจฉาอยู่หรือเปล่า
10.CREATING MONEY (ชีวิตที่งดงามบนความเปลี่ยนแปลง),ประมาณปี 2000-2001, โดย SANAYA ROMAN & DUANE PACKER
11.EXCUSE ME, YOUR LIFE IS WAITING (พลังแห่งความรู้สึก),2003, โดย LYNN GRABHORN
12.THE POWER OF INTENTION : LEARNING TO CO-CREATE YOUR WORLD (พลังแห่งความตั้งใจจริง), 2004, โดย WAYNE W.DYER
13.THE ATTRACTOR FACTOR : 5 EASY STEPS FOR CREATING WEALTH (OR ANYTHINGS ELSE) FROM INSIDE OUT (มนุษย์แม่เหล็ก) , 2005, โดย JOE VITALE
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่คุณบัณฑิต อึ้งรังษี แนะนำไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก ในเรื่องเกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูด
14.LAW OF ATTRACTION : THE SCIENCE OF ATTRACTING MORE OF WHAT YOU WANT AND LESS OF WHAT YOU DON’T (ดึงดูด : เวทย์มนตร์ยุคใหม่แห่งความสำเร็จ),2005, โดย MICHAEL J.LOSIER
15.FEEL IT REAL! : THE MAGICAL POWER OF EMOTIONS (พลังวิเศษแห่งอารมณ์),2005, โดย DENISE COATES และสุดท้าย..
16.THE SECRET ,2006, โดย RHONDA BYRNE
ในส่วนของคนไทยนั้น ก็เห็นจะมีคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ที่พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดไว้เป็นน้ำเป็นเนื้อมากที่สุด โดยหนังสือทั้งสองเล่มของเขา ก็คือ :-
- CONDUCT YOUR DREAM (ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้),2006, และ
- THE LUCKIEST MAN IN THE WORLD (30 วิธี เอาชนะโชคชะตา),2007.
ในเล่มแรก เขาได้พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ไว้เพียงเล็กน้อย โดยเขาได้เล่าให้ฟังเพียงว่าเขาใช้กฎนี้อย่างไรในการหาคู่ครอง และในที่สุดเขาก็ได้คู่ชีวิตจริงๆ ที่เพียบพร้อมทุกอย่าง สมตามความปรารถนาที่เขาได้ตั้งใจไว้ และดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิตของเขา!
ส่วนในเล่มที่สอง เขาได้กล่าวถึงกฎนี้อย่างเต็มๆ โดยเขายืนยันว่า “กฎที่สำคัญที่สุดแห่งโชคลาภ” นั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 กฎ ซึ่งเขาเรียกว่า “กฎพ่อ” และ “กฎแม่” กฎพ่อนั้นคือ “THE LAW OF CAUSE & EFFECT” ส่วนกฎแม่นั้นก็คือ “THE LAW OF ATTRACTION” ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่เอง
ยังมีอีกเล่มหนึ่ง เป็นเล่มบางๆ หนาเพียง 60 กว่าหน้า ชื่อว่า “LAW OF ATTRACTION” (เขาตั้งชื่อภาษาไทยว่า “พลังเนรมิต”),2007, เขียนโดยคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์
ที่ได้กล่าวเป็นลำดับมาเกี่ยวกับนักคิด นักเขียน และหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ในโลกนี้นั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่าใหม่หรอก ทุกอย่างมันมีอยู่และดำรงอยู่แล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร ไปค้นพบ แล้วนำเสนอมันออกมาในรูปแบบและวิธีการใด แม้เรื่องที่มีการค้นพบแล้ว ก็ยังสามารถนำมาเล่นแร่แปรธาตุ พัฒนา ปรับปรุง มานำเสนอในแง่มุมต่างๆ ให้ดูเป็นเรื่องใหม่ได้ตลอดเวลา อย่างที่ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ปราชญ์ชาวอเมริกันได้เคยกล่าวไว้นั่นแหละครับว่า “สังคมมักจะประหลาดใจกับตัวอย่างใหม่ๆ ของสามัญสำนึกกันอยู่เสมอ” และถ้าผมจำไม่ผิด กาลิเลโอเองก็เคยกล่าวเอาไว้เหมือนกันว่า “เราไม่สามารถสอนใครในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้หรอก เราทำได้ก็แค่เพียงทำให้เขาสำนึกในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วเท่านั้น!”
“กฎแห่งแรงดึงดูด” นี่ก็เหมือนกัน มันมีอยู่มานานแล้วในโลกและจักรวาลนี้ มันมีอยู่แล้วตั้งแต่ต้นในตัวคนทุกคน นับแต่เกิดมาบนโลก เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีมันอยู่ แม้ถึงรู้ก็ไม่ได้ตระหนักสำนึกในความสำคัญของมัน แม้มีบ้างบางคนที่อาจตระหนักสำนึกแล้ว แต่ก็ไม่ได้เชื่อและศรัทธามากพอที่จะปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎแห่งจักรวาลนี้
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559
หนังสือแนะนำเพื่อความสำเร็จ
Richard St. John เป็นวิศวกร ออกแบบรถยนต์ แต่ใช้ความรู้ทางด้าน factor analysis เดินทางสัมภาษณ์ผู้ประสบความสำเร็จในอเมริกา 500 คน ใช้เวลา 10 ปี จนได้หนังสืออมตะ ชื่อ "8 to be Great" ขึ้นมา ว่าคนสำเร็จ จะมี 8 ปัจจัยนี้ เหมือนกัน
ดังนั้น หนังสือที่แนะนำ จะใช้ แนวคิด 8 to be Great ของ Richard St. John เป็นตัวยืน บางเล่มมีแปลไทย บางเล่มก็ไม่มีแปลไทยนะ
คนที่ประสบความสำเร็จ จะมี 8 factor เหมือนกันดังนี้
1. Passion - หาสิ่งที่รักที่จะทำ ให้ได้ก่อน >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติม คือ The 7 Spiritual Laws of Success ของ Deepak Chopra
2. Working Hard - ทำงานที่เรารักให้หนัก แต่เราจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ Outliers ของ Malcolm Gladwell
3. Focus - โฟกัสทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบัน >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ The Power of Now: A Guide to Spiritual Enlightenment ของ Eckhart Tolle
4. Push - เอาตัวเองออกจาก Comfort Zone + หา connection ดี ๆ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ 1.Train Your Brain For Success ของ Roger Seip 2.How to Win Friends and Influence People ของ Dale Carnegie
5. Idea - ไอเดียจะเริ่มเกิด ถ้า 1-4 มาถูกทาง สุดยอดไอเดียจะมาตอนที่เราสงบ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ The 7 Spiritual Laws of Success ของ Deepak Chopra (หัวข้อ The law of pure potentiality, meditation)
6. Improving - ปรับปรุงให้ทันยุคเสมอ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ 1. The World Is Flat ของ Thomas L. Friedman 2.The Lean Startup ของ Eric Ries
7. Serve - แบ่งปัน(แบบฉลาดและมี impact) เพื่อได้รับกลับมามากขึ้น >> หนังสือยังไม่มี แต่มี Article แนะนำ (โหลดฟรี) ชื่อ "A Blank Check Waiting for You!" ของ Gardner Hunting
8. Persist - ไม่สนใจต่ออุปสรรค >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ Change Your Thoughts - Change Your Life: Living the Wisdom of the Tao ของ Dr. Wayne W. Dyer
(พอดีมีนักศึกษามช. วิชา 011269 e-mail มาถาม เรื่องหนังสือ ที่จะให้อ่านเพิ่ม ไหน ๆ ก็ email มาแล้ว เลยโพสต์แชร์ในเฟสด้วยเลยละกัน อันนี้ไม่ออกสอบ final แต่ออกสอบไปตลอดชีวิต)
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559
จากมะพร้าวธรรมดาๆ สู่การรังสรรค์จนได้เป็นมะพร้าวเปิดฝา สร้างรายได้มหาศาล
http://www.smartsme.tv/knowledge-detail.php?sid=2&gid=34&id=18770
17 พฤศจิกายน 2558 : น. เวลา 18:04 น. | (27056 view)
COCO Easy หรือที่รู้จักกันในนาม มะพร้าวมีฝา ธุรกิจที่ถูกสรรสร้างจากไอเดียที่แปลกใหม่ โดยการนำเอานวัตถกรรมเข้ามาใช้ในการผลิต ทำให้ตัวมะพร้าวมีมูลค่ามากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการรับประทานอีกด้วย แถมธุรกิจนี้ยังสร้างรายได้ให้กับเจ้าของได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
ธุรกิจ COCO Easy บริหารงานโดยคุณบรรพต เคลียพวงทิพย์ ผู้คิดค้นมะพร้าวเปิดฝา แต่กว่าที่จะมาเป็นผลิตภัณฑ์ดีๆให้ผู้บริโภคได้รับประทานกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลย โดยจุดเริ่มต้นมาจากส่วนตัวแล้วคุณบรรพตทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง และหลังจากเลิกงานจะชอบหาซื้อน้ำมะพร้าวดื่มเพราะรู้สึกสดชื้นเมื่อได้ทาน แต่แล้ววันนึงก็มีความคิดที่อยากเฉาะมะพร้าวกินเองให้ได้อย่างที่ซื้อ แต่ด้วยที่บ้านไม่มีมีดสำหรับเฉาะมะพร้าวจึงได้นำมะพร้าวไปทุบเข้ากับกำแพง แต่ผลที่ได้คือ มะพร้าวแตกเป็นเสี่ยงและทานไม่ได้ ทันใดนั้นเองภาพของมะพร้าวที่มีฝาก็เข้ามาในความคิดของคุณบรรพตจนกระทั่งเป็นไอเดียมะพร้าวมีฝาที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
อุปสรรคของการทำธุรกิจนี้นอกจากจะเป็นในเรื่องของการหานวัตถกรรมมาเพื่อรองรับการผลิตแล้วยังเป็นเรื่องของผลผลิตที่บางฤดูกาลไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งบางฤดูกาลชาวสวนก็มีผลผลิตมะพร้าวมามากเกินความต้องการ แต่ในบางฤดูผลผลิตที่ได้กลับน้อยไม่พอต่อความต้องการ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของคุณบรรพตคือ การรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชาวสวนมีความไว้วางใจและขายมะพร้าวให้กับคุณบรรพต แถมการแก้ไขปัญหาวิธีนี้ยังเป็นการสร้างอาชีพและกระจายรายได้แก่ชาวสวนอีกด้วย
โดยในปัจจุบัน COCO Easy ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งจัดจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ แต่ทว่าการทำธุรกิจนี้ก็ถือได้ว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของแหล่งผลผลิตที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งทางคุณบรรพตได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังคิดที่จะเริ่มทำธุรกิจว่า เมื่อคิดที่จะทำธุรกิจแล้วก็ควรที่จะลงมือทำเพื่อร่นระยะเวลาที่จะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน๋ เพียงแค่คุณศึกษาและลงมือทำทุกวันก็ถือว่าเป็นการลงมือทำที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพราะการเริ่มต้นทำธุรกิจจากศูนย์ไปจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นต้องอาศัยการก้าว ไม่ว่าจะก้าวมากก้าวน้อย แต่แค่คุณก้าวไปข้างหน้าทุกวันก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จแล้ว
สำหรับใครที่สนใจสามารถติดตามมุมมองความคิดจากผู้บริหาร COCO Easy กับแนวคิดดีๆในการทำธุรกิจเพิ่มเติมได้ในรายการ Smart Focus ออกอากาศวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 คลิกเลย >> http://smartsme.tv/vod_detail.php?
gid=19&id=4267
สำหรับใครที่สนใจสามารถติดตามมุมมองความคิดจากผู้บริหาร COCO Easy กับแนวคิดดีๆในการทำธุรกิจเพิ่มเติมได้ในรายการ Smart Focus ออกอากาศวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 คลิกเลย >> http://smartsme.tv/vod_detail.php?
gid=19&id=4267
เมื่อมหาเศรษฐีออกโรงเตือนเพื่อน ให้ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ ไม่งั้นอาจไม่เหลือที่ยืน !!
thailandinvestmentforum
(ถ้าเครื่องใครโหลด Sub Thai ไม่ขึ้น กดเข้าไปดูได้ที่ TED ครับ)
นิค ฮานาวเออร์ (Nick Hanauer) เป็นนักลงทุนอภิมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ เขาเป็นนักลงทุนนอกครอบครัวคนแรกใน Amazon.com เขาร่วมก่อตั้งบริษัทเอควอนทีฟ ซึ่งขายให้ไมโครซอพท์ ไปในราคา 6.4 พันล้านเหรียญ และเขาเป็นเจ้าของธนาคาร และนิคกำลังเตือนเพื่อนอภิมหาเศรษฐีของเขาให้ฉุกคิดถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น จนสุดท้ายอาจจะทำให้พวกอภิมหาเศรษฐีอย่างเขาเองไม่มีที่ยืน และนี่คือส่วนหนึ่งจาก Clip
“ผมมีชีวิตที่ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ ไม่สามารถแม้แต่จะจิตนาการได้ บ้านหลายหลัง เรือยอร์ช เครื่องบินส่วนตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่พูดกันตรง ๆ ผมไม่ได้เป็นคนฉลาดที่สุด ที่คุณเคยพบที่แน่ ๆ … แต่จริง ๆ แล้ว ผมก็เก่งมากในสองเรื่อง หนึ่ง ผมรับความเสี่ยงได้สูงเป็นพิเศษ และอีกอย่างหนึ่ง คือผมรู้สึกได้ไว มีลางสังหรณ์ดี ต่อเรื่องที่จะเกิดในอนาคต และผมคิดว่าลางสังหรณ์เกี่ยวกับ เรื่องในอนาคตนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของผู้ประกอบการที่ดี …
แล้วผมเห็นอะไรในอนาคตของเราในวันนี้หรือ คุณจะถามใช่ไหมครับ ผมเห็นคราดของชาวไร่ชาวนา (Pitchfork) อย่างเช่นที่ฝูงชนคนซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยวเขาถือกัน
เพราะในขณะที่อภิมหาเศรษฐีอย่างพวกเรากำลังใช้ชีวิตเกินกว่าความฝันของผู้คน เพื่อนประชากรของเราอีก 99 เปอร์เซ็นต์กำลังถอยห่างไปอยู่ข้างหลัง และห่างไกลไปเรื่อย ๆ
ปัญหานั้นไม่ใด้เกี่ยวกับว่า เรามีความไม่เท่าเทียมกันอยู่บ้างเล็กน้อย ความไม่เท่าเทียมกันบ้างเล็กน้อยนั้น เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุนนิยมประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ปัญหาคือ ความไม่เท่าเทียมกันนั้น กำลังอยู่ ณ จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมันก็แย่ลงทุกวัน
ผมจึงมีข้อความส่งถึงเพื่อนอภิมหาเศรษฐี และอภิมหึมามหาเศรษฐีทั้งหลาย และสำหรับใครก็ตามที่ใช้ชีวิต ในโลกฟองสบู่ที่มีรั้วล้อมรอบอยู่นั้น จงตื่นขึ้น ตื่นขึ้นเถิด สภาวะเช่นนี้มันอยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ไข ความไม่เท่าเทียมที่เห็นชัดเจนในสังคมของเราคราดนั้นก็จะหันมาหาเรา เพราะไม่มีสังคมเปิดแบบเสรีใด ๆ จะทนอยู่ได้นานกับ ความไม่สมดุลย์ทางเศรษฐกิจ ที่พุ่งสูงแบบนี้ได้
ต้นแบบสำหรับเรา คนรวย ควรเป็นเฮนรี ฟอร์ด เรารู้กันว่าฟอร์ดให้ค่าแรง 5 ดอลลาร์ ต่อวัน ซึ่งเป็นสองเท่าของค่าแรงทั่วไปในเวลานั้น เขาไม่ได้เพียงเพิ่มผลผลิต ของโรงงานของเขา แต่เขาได้เปลี่ยน คนงานผลิตรถยนต์ที่ถูกเอาเปรียบ ที่ยากจน ให้กลายเป็นคนชั้นกลางที่มีกินมีใช้ มีปัญญาซื้อผลิตภัณฑ์ ที่พวกเขาผลิตขึ้นเองได้ ฟอร์ดหยั่งรู้สิ่งที่เราเพิ่งจะตระหนักว่ามันเป็นจริง ที่จะต้องมองเศรษฐกิจให้เป็นระบบนิเวศน์
พวกเรา อภิมหาเศรษฐี จำเป็นต้องเอาวิถีเศรษฐกิจ ที่ผลประโยชน์หลั่งไหลสู่คนหยิบมือนี้ ไปไว้ข้างหลัง ความคิดที่ว่า ยิ่งเราดีขึ้นมากเท่าใดคนอื่นก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกันนั้น มันไม่เป็นความจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร [นิคหมายถึงว่า ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อว่าถ้าเจ้าของกิจการรวยสุด ๆ เงินทองก็จะค่อย ๆ ไหลรินลงมาสู่ผู้บริหาร สู่ลูกจ้าง สู่คนใช้แรงงาน นั้นมันไม่จริง] ผมหาเงินได้เป็นพันเท่าของค่าแรงโดยเฉลี่ย แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อของ มากถึงพันเท่า ใช่ไหมครับ จริง ๆ ผมซื้อกางเกงพวกนี้สองตัว ซึ่ง ไมค์ หุ้นส่วนของผม เรียกมันว่ากางเกงผู้จัดการ ผมอาจจะซื้อกางเกง 2,000 ตัวก็ได้ แต่ผมจะเอามันไปทำอะไรครับ (เสียงหัวเราะ) ผมจะตัดผมได้สักกี่ครั้งกัน ผมจะไปทานอาหารเย็นนอกบ้าน ได้บ่อยแค่ไหนกัน ไม่ว่าอภิมหาเศรษฐีซึ่งมีจำนวนน้อยจะรวยขนาดไหน ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติไปได้มากกว่านี้ คนชั้นกลางที่มีกินมีใช้เท่านั้นที่จะทำได้
วันที่ 19 มิถุนายน 2013 บลูมเบิร์ก เผยแพร่บทความที่ผมเขียน เรื่อง “กรณีนักทุนนิยมกับค่าแรงขั้นตํ่า 15 ดอลลาร์” หลาย ๆ คนที่นิตยสารฟอร์บในหมู่ผู้ที่นิยมชมชอบผมมากที่สุด เรียกมันว่า “ข้อเสนอที่ใกล้จะเพี้ยนของ นิก เฮนัวเออร์” แต่แล้ว แค่เพียง 350 วัน หลังจากที่บทความถูกตีพิมพ์ ผู้ว่าการเมืองซีแอทเทิล เอ็ด เมอร์เรย์ ก็ได้ลงนามเพิ่มค่าแรงขั้นตํ่าในซีแอทเทิล เป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศที่ 7.25 ดอลลาร์ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร คนที่มีเหตุผลอาจสงสัย มันเกิดขึ้นได้เพราะ กลุ่มคนของเรา ได้เตือนคนชั้นกลางว่า พวกเขาเป็นต้นกำเนิดของการเติบโตและความมั่งคั่งในเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เราเตือนพวกเขาว่า เมื่อคนงานมีเงินมากขึ้น ธุรกิจก็จะมีลูกค้ามากขึ้น และจำเป็นต้องจ้างงานมากขึ้น เราได้เตือนพวกเขาว่า เมื่อธุรกิจจ่ายค่าจ้างให้คนงานดำรงชีพได้อย่างเพียงพอ ผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องรับภาระในการอุดหนุนโครงการแก้ปัญหาความยากจน เช่น การแจกอาหาร การช่วยเหลือทางการแพทย์ และการสนับสนุนค่าเช่าบ้าน ซึ่งคนงานเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับ เราได้เตือนพวกเขาว่า คนงานที่ได้ค่าแรงตํ่า ก็จะจ่ายภาษีน้อย และเตือนว่า เมื่อคุณยกค่าแรงขั้นตํ่าขึ้นมาทั่วทั้งองค์กรธุรกิจทั้งหมด สุดท้ายธุรกิจเองก็จะได้กำไรและยังสามารถแข่งขันได้ … “
คลิปนี้เริ่มแปลโดย yamela areesamarn และแก้ไขตรวจทานโดย Sakunphat Jirawuthitanant … ชวนดูฉบับเต็มครับ
นิค ฮานาวเออร์ (Nick Hanauer) เป็นนักลงทุนอภิมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ เขาเป็นนักลงทุนนอกครอบครัวคนแรกใน Amazon.com เขาร่วมก่อตั้งบริษัทเอควอนทีฟ ซึ่งขายให้ไมโครซอพท์ ไปในราคา 6.4 พันล้านเหรียญ และเขาเป็นเจ้าของธนาคาร และนิคกำลังเตือนเพื่อนอภิมหาเศรษฐีของเขาให้ฉุกคิดถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น จนสุดท้ายอาจจะทำให้พวกอภิมหาเศรษฐีอย่างเขาเองไม่มีที่ยืน และนี่คือส่วนหนึ่งจาก Clip
“ผมมีชีวิตที่ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ ไม่สามารถแม้แต่จะจิตนาการได้ บ้านหลายหลัง เรือยอร์ช เครื่องบินส่วนตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่พูดกันตรง ๆ ผมไม่ได้เป็นคนฉลาดที่สุด ที่คุณเคยพบที่แน่ ๆ … แต่จริง ๆ แล้ว ผมก็เก่งมากในสองเรื่อง หนึ่ง ผมรับความเสี่ยงได้สูงเป็นพิเศษ และอีกอย่างหนึ่ง คือผมรู้สึกได้ไว มีลางสังหรณ์ดี ต่อเรื่องที่จะเกิดในอนาคต และผมคิดว่าลางสังหรณ์เกี่ยวกับ เรื่องในอนาคตนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของผู้ประกอบการที่ดี …
แล้วผมเห็นอะไรในอนาคตของเราในวันนี้หรือ คุณจะถามใช่ไหมครับ ผมเห็นคราดของชาวไร่ชาวนา (Pitchfork) อย่างเช่นที่ฝูงชนคนซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยวเขาถือกัน
ปัญหานั้นไม่ใด้เกี่ยวกับว่า เรามีความไม่เท่าเทียมกันอยู่บ้างเล็กน้อย ความไม่เท่าเทียมกันบ้างเล็กน้อยนั้น เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุนนิยมประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ปัญหาคือ ความไม่เท่าเทียมกันนั้น กำลังอยู่ ณ จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมันก็แย่ลงทุกวัน
ผมจึงมีข้อความส่งถึงเพื่อนอภิมหาเศรษฐี และอภิมหึมามหาเศรษฐีทั้งหลาย และสำหรับใครก็ตามที่ใช้ชีวิต ในโลกฟองสบู่ที่มีรั้วล้อมรอบอยู่นั้น จงตื่นขึ้น ตื่นขึ้นเถิด สภาวะเช่นนี้มันอยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ไข ความไม่เท่าเทียมที่เห็นชัดเจนในสังคมของเราคราดนั้นก็จะหันมาหาเรา เพราะไม่มีสังคมเปิดแบบเสรีใด ๆ จะทนอยู่ได้นานกับ ความไม่สมดุลย์ทางเศรษฐกิจ ที่พุ่งสูงแบบนี้ได้
ต้นแบบสำหรับเรา คนรวย ควรเป็นเฮนรี ฟอร์ด เรารู้กันว่าฟอร์ดให้ค่าแรง 5 ดอลลาร์ ต่อวัน ซึ่งเป็นสองเท่าของค่าแรงทั่วไปในเวลานั้น เขาไม่ได้เพียงเพิ่มผลผลิต ของโรงงานของเขา แต่เขาได้เปลี่ยน คนงานผลิตรถยนต์ที่ถูกเอาเปรียบ ที่ยากจน ให้กลายเป็นคนชั้นกลางที่มีกินมีใช้ มีปัญญาซื้อผลิตภัณฑ์ ที่พวกเขาผลิตขึ้นเองได้ ฟอร์ดหยั่งรู้สิ่งที่เราเพิ่งจะตระหนักว่ามันเป็นจริง ที่จะต้องมองเศรษฐกิจให้เป็นระบบนิเวศน์
พวกเรา อภิมหาเศรษฐี จำเป็นต้องเอาวิถีเศรษฐกิจ ที่ผลประโยชน์หลั่งไหลสู่คนหยิบมือนี้ ไปไว้ข้างหลัง ความคิดที่ว่า ยิ่งเราดีขึ้นมากเท่าใดคนอื่นก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกันนั้น มันไม่เป็นความจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร [นิคหมายถึงว่า ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อว่าถ้าเจ้าของกิจการรวยสุด ๆ เงินทองก็จะค่อย ๆ ไหลรินลงมาสู่ผู้บริหาร สู่ลูกจ้าง สู่คนใช้แรงงาน นั้นมันไม่จริง] ผมหาเงินได้เป็นพันเท่าของค่าแรงโดยเฉลี่ย แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อของ มากถึงพันเท่า ใช่ไหมครับ จริง ๆ ผมซื้อกางเกงพวกนี้สองตัว ซึ่ง ไมค์ หุ้นส่วนของผม เรียกมันว่ากางเกงผู้จัดการ ผมอาจจะซื้อกางเกง 2,000 ตัวก็ได้ แต่ผมจะเอามันไปทำอะไรครับ (เสียงหัวเราะ) ผมจะตัดผมได้สักกี่ครั้งกัน ผมจะไปทานอาหารเย็นนอกบ้าน ได้บ่อยแค่ไหนกัน ไม่ว่าอภิมหาเศรษฐีซึ่งมีจำนวนน้อยจะรวยขนาดไหน ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติไปได้มากกว่านี้ คนชั้นกลางที่มีกินมีใช้เท่านั้นที่จะทำได้
วันที่ 19 มิถุนายน 2013 บลูมเบิร์ก เผยแพร่บทความที่ผมเขียน เรื่อง “กรณีนักทุนนิยมกับค่าแรงขั้นตํ่า 15 ดอลลาร์” หลาย ๆ คนที่นิตยสารฟอร์บในหมู่ผู้ที่นิยมชมชอบผมมากที่สุด เรียกมันว่า “ข้อเสนอที่ใกล้จะเพี้ยนของ นิก เฮนัวเออร์” แต่แล้ว แค่เพียง 350 วัน หลังจากที่บทความถูกตีพิมพ์ ผู้ว่าการเมืองซีแอทเทิล เอ็ด เมอร์เรย์ ก็ได้ลงนามเพิ่มค่าแรงขั้นตํ่าในซีแอทเทิล เป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศที่ 7.25 ดอลลาร์ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร คนที่มีเหตุผลอาจสงสัย มันเกิดขึ้นได้เพราะ กลุ่มคนของเรา ได้เตือนคนชั้นกลางว่า พวกเขาเป็นต้นกำเนิดของการเติบโตและความมั่งคั่งในเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เราเตือนพวกเขาว่า เมื่อคนงานมีเงินมากขึ้น ธุรกิจก็จะมีลูกค้ามากขึ้น และจำเป็นต้องจ้างงานมากขึ้น เราได้เตือนพวกเขาว่า เมื่อธุรกิจจ่ายค่าจ้างให้คนงานดำรงชีพได้อย่างเพียงพอ ผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องรับภาระในการอุดหนุนโครงการแก้ปัญหาความยากจน เช่น การแจกอาหาร การช่วยเหลือทางการแพทย์ และการสนับสนุนค่าเช่าบ้าน ซึ่งคนงานเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับ เราได้เตือนพวกเขาว่า คนงานที่ได้ค่าแรงตํ่า ก็จะจ่ายภาษีน้อย และเตือนว่า เมื่อคุณยกค่าแรงขั้นตํ่าขึ้นมาทั่วทั้งองค์กรธุรกิจทั้งหมด สุดท้ายธุรกิจเองก็จะได้กำไรและยังสามารถแข่งขันได้ … “
คลิปนี้เริ่มแปลโดย yamela areesamarn และแก้ไขตรวจทานโดย Sakunphat Jirawuthitanant … ชวนดูฉบับเต็มครับ
ส่องบ้านหรู5,700ล้าน แพงที่สุดในสหรัฐ! (ชมคลิป).... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/world/news/401390
http://www.posttoday.com |
เว็บไซต์ข่าว'เดลิเมลล์'ได้เผยแพร่ภาพ Le Palais Royal คฤหาสน์หลังใหม่สไตล์คล้ายพระราชวังแวร์ซายในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ที่ขณะนี้ขึ้นชื่อว่ากลายเป็นบ้านที่แพงที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยราคากว่า 159 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5,700 ล้านบาทเลยทีเดียว
คฤหาสน์หลังนี้ถูกประกาศขายเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2014 ด้วยราคา 139 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ก่อนจะถูกเพิ่มราคาเป็น 159 ล้านดอลลาร์เหมือนเช่นตอนนี้
บ้านหลังนี้มีขนาด 60,500 ตารางฟุตติดอยู่กับชายหาด โดยภายในบ้านมีห้องนอน 11 ห้อง, สระน้ำและระเบียงหรู, ที่จอดรถกว่า 30 คัน, ห้องเก็บไวน์กว่า 3,000 ขวด, ห้องชมภาพยนตร์ไอแมค 18 ที่นั่ง โดยพื้นที่หลายจุดมักจะมีทองคำเป็นส่วนประกอบด้วย
ขณะที่ชั้นใต้ดินยังมีลานโบว์ลิ่ง ลานไอซ์สเก็ต สนามแข่งรถโกว์คาร์ท และลานเต้นไนท์คลับ
คฤหาสน์หลังนี้มีนาย 'โรเบิร์ต เพอร์เรียรา' ผู้ก่อตั้งบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งซึ่งใฝ่ฝันจะได้อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ยักษ์มานานแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อสร้างเสร็จกลับตัดสินใจขายเสียอย่างนั้น
ที่มา dailymail.
ชมคลิปส่องบ้านหรูราคา5,700ล้านบาท แพงที่สุดในสหรัฐ! แรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซาย
เว็บไซต์ข่าว'เดลิเมลล์'ได้เผยแพร่ภาพ Le Palais Royal คฤหาสน์หลังใหม่สไตล์คล้ายพระราชวังแวร์ซายในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ที่ขณะนี้ขึ้นชื่อว่ากลายเป็นบ้านที่แพงที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยราคากว่า 159 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5,700 ล้านบาทเลยทีเดียว
คฤหาสน์หลังนี้ถูกประกาศขายเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2014 ด้วยราคา 139 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ก่อนจะถูกเพิ่มราคาเป็น 159 ล้านดอลลาร์เหมือนเช่นตอนนี้
บ้านหลังนี้มีขนาด 60,500 ตารางฟุตติดอยู่กับชายหาด โดยภายในบ้านมีห้องนอน 11 ห้อง, สระน้ำและระเบียงหรู, ที่จอดรถกว่า 30 คัน, ห้องเก็บไวน์กว่า 3,000 ขวด, ห้องชมภาพยนตร์ไอแมค 18 ที่นั่ง โดยพื้นที่หลายจุดมักจะมีทองคำเป็นส่วนประกอบด้วย
ขณะที่ชั้นใต้ดินยังมีลานโบว์ลิ่ง ลานไอซ์สเก็ต สนามแข่งรถโกว์คาร์ท และลานเต้นไนท์คลับ
คฤหาสน์หลังนี้มีนาย 'โรเบิร์ต เพอร์เรียรา' ผู้ก่อตั้งบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งซึ่งใฝ่ฝันจะได้อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ยักษ์มานานแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อสร้างเสร็จกลับตัดสินใจขายเสียอย่างนั้น
ที่มา dailymail.
7 เกาะ Unseen เมืองไทย ที่คุณต้องไปก่อนตาย!!
Biz Dimension Co.,Ltd.
“เกาะ” ในประเทศไทยกลายเป็นที่เที่ยวติดอันดับต้นๆ ของโลกไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนอกจากเกาะชื่อดังที่หลายคนรู้จักและเคยไปเยือนนับครั้งไม่ถ้วนอย่าง เกาะเสม็ด เกาะล้าน เกาะสมุย ฯลฯ ในแดนสยามของเรายังมีเกาะน้ำทะเลใสสวยงามระดับ Unseen Thailand อยู่อีกหลายแห่ง ที่แนะนำว่าคุณต้องไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต เริ่มกันด้วย...
เกาะราชาหรือเกาะรายา เป็นหมู่เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดภูเก็ต มีความโดดเด่นอยู่ที่หาดทรายขาวสะอาดนุ่มเท้า ทั้งยังเป็นแหล่งปะการังอันสวยงาม จนสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามายลโฉมได้เป็นจำนวนมาก และเสน่ห์อีกอย่างคือบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนหรือฮันนีมูน ซึ่งเกาะราชาจะแบ่งออกเป็น 2 เกาะคือ เกาะราชาใหญ่ และราชาน้อย โดยเกาะราชาใหญ่จะมี 5 อ่าวให้เที่ยวชมได้แก่ 1.อ่าวปะตก 2.อ่าวสยาม 3.อ่าวขอนแค 4. อ่าวทือ 5. อ่าวหลา และทั้ง 5 อ่าวสามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ ส่วนเกาะราชาน้อยจะมีเพียง 2 อ่าวคือ1. อ่าวพร้าว และ 2. อ่าวรังไก่ ที่แม้จะมีชายหาดไม่งดงามเท่าเกาะราชาใหญ่ แต่ความสวยของโลกสีน้ำเงินใต้ท้องทะเลก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
“น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา” เป็นสิ่งที่นึกถึงแน่นอนเมื่อได้มาเยือนเกาะไข่ จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กมีอยู่ด้วยกัน 3 เกาะคือ 1.เกาะไข่ใน 2.เกาะไข่นอก 3. ไข่นุ้ย (ปัจจุบันสามารถเที่ยวได้แค่เกาะไข่ในกับไข่นอก) จุดเด่นอยู่ที่โขดหินรูปร่างแปลกสวยงาม หาดทรายขาว-น้ำทะเลใส บริเวณรอบเกาะสามารถดำน้ำดูปะการังหลากชนิด มีปลาสวยงามแหวกว่ายให้เราสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดและภาพจำติดตาของใครหลายคนคือเตียงผ้าใบและร่มกันแดดหลากสีสันเรียงรายอยู่เต็มหาด โดยเกาะไข่นอกประกอบด้วย 2 หมู่เกาะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ดาวกลางทะเล มีหาดทรายขาวเหมาะแก่การนอนอาบแดดลงเล่นน้ำและดูปะการัง ส่วนเกาะไข่ในก็มีความสวยงามเช่นเดียวกัน ทั้งความขาวของผืนทรายและฝูงปลาหลากสี แต่ที่เด่นกว่าคือจะมีหินรูปหัวช้างและรูปเต่า 3 ตัว
~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
เหมาะสมกับฉายาที่หลายคนขนานให้เป็น “มัลดีฟส์ เมืองไทย” สำหรับเกาะพยาม จังหวัดระนอง เพราะทั้งน้ำทะเลใสแจ๋ว บวกกับรีสอร์ทที่ปักหมุดอยู่กลางทะเล ซึ่งให้อารมณ์เช่นเดียวกับที่มัลดีฟส์ไม่มีผิด และต้องไม่พลาดไปดำน้ำชมปะการังที่สวยงามนานาชนิดบริเวณรอบๆ เกาะ เพราะเกาะพยามนับเป็นแหล่งดูปะการังที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง หรือจะเลือกตกปลา, ขี่จักรยานรอบเกาะ ตลอดจนพายเรือคายักชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน และสัมผัสกับวิถีชีวิตชาวเล "เผ่ามอแกน" ที่มาอาศัยอยู่เป็นบางครั้ง ส่วนใครที่อยากลงเล่นน้ำทะเลก็แนะนำให้ไปเพลิดเพลินที่อ่าวเขาควาย, อ่าวใหญ่ และหาดขาม
~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
* ขอสงวนลิขสิทธิ์ภาพชุดนี้ ห้ามนำรูปชุดนี้ไปใช้ หรือเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพโดยเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านใดต้องการนำไปใช้กรุณาติดต่อที่ 9febphotos@gmail.com ครับ **~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
© 2011 Painaidii, all right reserved.
Google เปิดตัวคู่มือ Search Quality Rating Guidelines เพื่อคนทำ SEO แบบเต็มๆ หนากว่า 160 หน้า
ศาสตร์ของ SEO เป็นสิ่งที่ใครหลายคนอยากจะรู้ รู้เพื่อรู้ใจ Google ว่าการกวาดข้อมูลเนื้อหาเพื่อจัดอันดับนั้นมีหลักการคิดอย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีการเผยแพร่ความรู้จากเหล่าผู้รู้ แต่ก็ไม่ใช่จากปากของ Google เอง แต่นี่คือเวอร์ชันล่าสุดที่ Google ปล่อยออกมาให้ผู้ที่สนใจศึกษาด้าน SEO ได้อ่านกันโดยเฉพาะ ซึ่งจะเรียกเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ปล่อยแบบจัดเต็มขนาดนี้
เอกสารฉบับนี้ใช้ชื่อว่า Search Quality Rating Guidelines โดยที่บอกว่าเป็นครั้งแรกๆ ที่จัดเต็ม เพราะก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่เอกสารนี้มาบ้างแล้วในปี 2008, 2011, 2012 และ 2013 แต่ทุกปีที่กล่าวมาล้วนแล้วเป็นฉบับย่อๆ แทบทั้งสิ้น
มาในปีนี้ 2015 Google เองได้ตัดสินใจที่จะเผยแพร่ข้อมูลทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับการจัดอันดับการค้นหา ลงใน Guideline ที่มีความหนาถึง 160 หน้า โดยทาง Google เผยถึงการให้ข้อมูลแบบไม่ได้ให้กันเล่นๆ ครั้งนี้ว่า เราอยากให้คนเข้าใจถึงกระบวนการในการตัดสินใจก่อนที่จะเรียงเป็นอันดับจากการบอกเล่าของเราเอง
เนื้อหาภายในเมื่อลองเข้าไปดูในสารบัญแล้วก็จะแยกเป็น 4 ส่วนคือ ภาพรวมทั้งหมด, เรื่อง Page Quality, ความเข้าใจถึงโมบายล์, เรื่อง Rating และการใช้ Evaluation Platform
ให้กันขนาดนี้ จะรออะไรครับ เข้าไปอ่านและดาวน์โหลดมาไว้เลยที่นี่ Search Quality Rating Guidelines 2015 by Google
ที่มา: Google Webmaster Central Blog
เอกสารฉบับนี้ใช้ชื่อว่า Search Quality Rating Guidelines โดยที่บอกว่าเป็นครั้งแรกๆ ที่จัดเต็ม เพราะก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่เอกสารนี้มาบ้างแล้วในปี 2008, 2011, 2012 และ 2013 แต่ทุกปีที่กล่าวมาล้วนแล้วเป็นฉบับย่อๆ แทบทั้งสิ้น
มาในปีนี้ 2015 Google เองได้ตัดสินใจที่จะเผยแพร่ข้อมูลทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับการจัดอันดับการค้นหา ลงใน Guideline ที่มีความหนาถึง 160 หน้า โดยทาง Google เผยถึงการให้ข้อมูลแบบไม่ได้ให้กันเล่นๆ ครั้งนี้ว่า เราอยากให้คนเข้าใจถึงกระบวนการในการตัดสินใจก่อนที่จะเรียงเป็นอันดับจากการบอกเล่าของเราเอง
เนื้อหาภายในเมื่อลองเข้าไปดูในสารบัญแล้วก็จะแยกเป็น 4 ส่วนคือ ภาพรวมทั้งหมด, เรื่อง Page Quality, ความเข้าใจถึงโมบายล์, เรื่อง Rating และการใช้ Evaluation Platform
ให้กันขนาดนี้ จะรออะไรครับ เข้าไปอ่านและดาวน์โหลดมาไว้เลยที่นี่ Search Quality Rating Guidelines 2015 by Google
ที่มา: Google Webmaster Central Blog
ดีลตรง "70ธุรกิจยักษ์" ทั่วโลก สิทธิพิเศษรายตัวบูม 10 อุตฯอนาคต
updated: 28 พ.ย. 2558 เวลา 10:30:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
รัฐกางสูตรส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ให้สิทธิพิเศษภาษี-ถือครองที่ดิน 99 ปี ดีลตรงต่างชาติ 70 บริษัทต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่-อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ-ท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี-เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ-การแปรรูปอาหาร ดัน 5 กลุ่มใหม่ ยึดโมเดลชายฝั่งทะเลตะวันออกเป็นต้นแบบ เอกชนขานรับ
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยมุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การเร่งรัดเบิกจ่ายโครงการลงทุนภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งช่วยเหลือภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคนซื้อบ้าน ซึ่งหลายมาตรการเริ่มปรากฏผลทิศทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
ล่าสุด กระทรวงเสาหลักด้านเศรษฐกิจ 7 กระทรวงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามนโยบายระยะยาวเพื่อสร้างอนาคตของประเทศไทย ที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเร่งขับเคลื่อนผลักดันด้วยการปรับโครงสร้างด้านการผลิตทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรับฟังความคิดเห็นและการให้ข้อเสนอแนะโดยนักลงทุนและเจ้าของเทคโนโลยีสำคัญทั่วโลกกว่า 70 ราย นำมากำหนดแผนและนโยบายในการส่งเสริมการลงทุน "อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต"
ชูธง 10 อุตฯเป้าหมาย
เป็นเหมือนคู่มือแนะนำและดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศไทย ประกอบด้วย 1.การต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม (First S-Curve) ได้แก่ 1.1 อุตฯยานยนต์สมัยใหม่ (Next-generation Automotive) 1.2. อุตฯอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 1.3.อุตฯการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affuent, Medical and Wellness Tourism)
1.4 การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) และ 1.5 อุตฯการแปรรูปอาหาร (Food for the Future)
2.เพิ่ม 5 อุตฯอนาคต (New-S-Curve) ซึ่งเป็นอุตฯใหม่ที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและมีผู้สนใจลงทุน ได้แก่ 2.1 อุตฯหุ่นยนต์ (Robotics) 2.2 อุตฯการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) 2.3 อุตฯเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) 2.4 อุตฯดิจิทัล (Digital) และ 2.5 อุตฯการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)
เปิดพื้นที่ส่งเสริมอุตฯอนาคตไทย
แนวทางพัฒนาระยะสั้น-ปานกลาง จะยกระดับอุตฯเดิม 5 อุตฯเป้าหมายที่เป็น First S-Curve เพื่อต่อยอดการเจริญเติบโต ระยะยาว พัฒนาอุตฯแห่งอนาคต 5 อุตฯเป้าหมาย หรือ New-S-Curve เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยแบบก้าวกระโดด โดยในส่วนของอุตฯอนาคตกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนดังนี้ อุตฯหุ่นยนต์ พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก อุตฯการขนส่งและการบิน พื้นที่สนามบินพัทยา-อู่ตะเภา อุตฯการแพทย์ครบวงจร พื้นที่วิจัยและพัฒนาให้อยู่ในโรงเรียนแพทย์ คลัสเตอร์การแพทย์ เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) พัทยา อุตฯเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อยู่ในพื้นที่ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และอุตฯต่อเนื่องอยู่บริเวณมาบตาพุด อุตฯดิจิทัลอยู่ในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เช่น กทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต
ยึดโมเดลนิคมอุตฯภาคตะวันออก
ทั้งนี้ จากที่ปัจจุบัน 6 ใน 10 อุตฯเป้าหมาย
ทั้ง First S-Curve และ New-S-Curve ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก คือ ยานยนต์แห่งอนาคตอยู่ในพื้นที่ ชลบุรีและศรีราชา อุตฯอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอยู่ในสมุทรปราการ ชลบุรี ศรีราชา ท่องเที่ยวระดับคุณภาพอยู่ที่พัทยา ระยอง อุตฯหุ่นยนต์อยู่ในชลบุรี ศรีราชา อุตฯการบินอยู่ที่อู่ตะเภา สัตหีบ และอุตฯไบโอเคมี อยู่ที่มาบตาพุด จากปัจจัยพื้นฐานความแข็งแกร่งจากในอดีต รัฐบาลจึงจะนำเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกมาเป็นตัวจุดประกายในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตฯเป้าหมายทั้ง 10 อุตฯ
ทั้งนี้ปัจจัยความสำเร็จในการดึงนักลงทุนจากทั่วโลกต้องมีกลไกการกำกับดูแลการพัฒนาอุตฯเป้าหมายและเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมาย ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการการลงทุนอุตฯเป้าหมาย ทำหน้าที่กำหนดแผนการลงทุน กำหนดผู้ลงทุนรายสำคัญ 2.คณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มีหน้าที่เจรจากับผู้ลงทุนรายสำคัญ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทั่วไปและสิทธิประโยชน์พิเศษ 3.คณะกรรมการกำกับดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษ ทำหน้าที่อนุมัติแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการการลงทุนคลัสเตอร์ โครงสร้างพื้นฐาน และบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีสำนักงานบริหารเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษ ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน ดำเนินการด้านสิทธิประโยชน์ และติดตามความคืบหน้าในการติดต่อและชักจูงนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายและเป็นเลขานุการให้คณะกรรมการระดับชาติ
ตั้งกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันเพื่อผลักดันให้การลงทุนในอุตฯเป้าหมายเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม รัฐบาลกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน ประกอบด้วยมาตรการทางการเงิน มาตรการทางการคลัง และมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทั้งนี้ กรอบนโยบายและมาตรการส่งเสริมทั้งด้าน
การเงิน การคลัง และมาตรการอื่น ๆ ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ 7 กระทรวงเศรษฐกิจเสนอ และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว
งัดมาตรการการเงิน-การคลังหนุน
ในส่วนของมาตรการทางการเงินจะจัดตั้ง "กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม" ขึ้น ทำหน้าที่ให้เงินสนับสนุนให้เงินกู้ยืม หรือชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ หรือเป็นกองทุนในการลงทุนโครงการลงทุนพิเศษ โดยสามารถให้เงินสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา รวมทั้งสร้างบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตฯเป้าหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม
มาตรการการคลัง อาทิ กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษ ยกเว้นอัตราภาษีนิติบุคคลเป็นเวลา 10-15 ปี สำหรับโครงการที่มีความสำคัญสูงในอุตฯเป้าหมาย เพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์สูงสุด 8 ปี ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนทั่วไป กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เชี่ยวชาญไม่เกิน 15% อัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดา
ของผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติ และไม่เกิน 15% สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับสูง และผู้บริหารระดับสูงที่จำเป็นในโครงการลงทุน และสามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศ และแก้ไขโครงสร้างอากรขาเข้าชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตหรือให้บริการในอุตฯเป้าหมาย (หรือใช้มาตรา 12 ของกระทรวงการคลัง) เนื่องจากอัตราอากรของชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์สูงกว่าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งยกเว้นอากรขาเข้าของนำเข้าเพื่อทำการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบ
สิทธิเข้า-ออก ปท.-ถือที่ดิน 99 ปี
ส่วนมาตรการอื่น ๆ ประกอบด้วย การกำหนดสิทธิประโยชน์การเข้าออก และการทำงานของผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากต่างประเทศ เทียบเท่าคนไทยครั้งละ 5 ปี ตลอดอายุการส่งเสริมการลงทุน กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ 100% ในระยะเริ่มต้น หรือกรณีเป็นการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร ซึ่งนักลงทุนไทยไม่มีความเชี่ยวชาญ และกำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษให้ผู้ลงทุนต่างชาติ การถือครองที่ดิน 99 ปี โดยขายคืนให้รัฐบาลเมื่อครบกำหนด
ธุรกิจโรงพยาบาลหนุนเต็บสูบ
นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล และที่ปรึกษาสมาคมโรงพยาบาลเอกชน มองว่า นโยบายดังกล่าวควรทำมานานแล้ว เพราะธุรกิจการแพทย์เป็นอุตฯบริการ และการจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาคหรือของโลกในอนาคตมีความจำเป็น ต้องมีความชัดเจนเชิงนโยบายและปรับปรุงข้อจำกัดต่าง ๆ ทั้งเชิงกฎหมายการลงทุน การขอวีซ่าเข้าประเทศ การผลิตบุคลากรการแพทย์ที่ต้องให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต เพื่อตอบโจทย์และลดการขาดแคลน
"ควรทำมานานแล้วและทำให้ชัดเจน วันนี้มีการพูดแล้วว่าธุรกิจเฮลท์แคร์น่าจะเป็นธุรกิจบริการดาวเด่น อาทิตย์ที่แล้วมีการเรียกคุยไปแล้ว 1 รอบ ภายในสัปดาห์นี้กำลังทำแผนอยู่ น่าจะหารือกันอีกเป็นระยะ ๆ นโยบายดังกล่าวไม่มีกลุ่มไหนได้ประโยชน์ แต่เป็นประเทศไทยได้ประโยชน์ ทุกคนคาดหวังว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเฮลท์แคร์ เพราะการเปิดอาเซียนจะเริ่มขึ้นแล้ว"
สิทธิประโยชน์ใหม่จูงใจพอ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มั่นใจว่าการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษรูปแบบคลัสเตอร์จะเกิดขึ้นได้แน่นอน
จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือเร่งรัดให้เกิดการลงทุนจริง อาทิ มาตรการทางภาษีของบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี ลดหย่อนภาษี 50% เพิ่มเติม 5 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการทางการคลังที่อยู่ระหว่างพิจารณาให้กิจการเพื่ออนาคตยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10-15 ปี และจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 0-15%
สำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในระดับนานาชาติที่ทำงานในพื้นที่กำหนดทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมถึงกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศ วงเงิน 10,000 ล้านบาท และอื่น ๆ ถือว่าเพียงพอแล้ว และกลุ่มนักลงทุนอุตฯเป้าหมายอย่างไฮเทคโนโลยีสนใจเข้ามาลงทุนมากกว่าเดิม เพราะปัจจัยหลายอย่างจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ เศรษฐกิจที่กำลังฟื้น เห็นได้จากยอดขอส่งเสริมการลงทุนมีเกือบ 2,000 โครงการ มูลค่า 6.9 แสนล้านบาท
"ส่วนที่มองว่าสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้ยังไม่พอ อาจมีแค่บางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งไม่อยากให้เอาไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์และค่าแรง ควรมองว่าไทยเองมีความพร้อมและเหนือกว่าคู่แข่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค โลจิสติกส์"
กลุ่มยานยนต์ขานรับลงทุน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า กลุ่มยานยนต์เป็นส่วนหนึ่งในอุตฯเป้าหมายที่ถูกผลักดันให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ และยกระดับสู่การเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ มั่นใจว่ารัฐเดินมาถูกทางกับการพัฒนาอุตฯในประเทศ และทุก ๆ มาตรการส่งเสริมที่ออกมาจะเป็นส่วนสำคัญให้นักลงทุนรายเก่าที่ลงทุนอยู่แล้วไม่ย้าย
การผลิตไปไหน แต่จะทำการวิจัยเพิ่มเพื่อต่อยอดพัฒนาสินค้ารองรับการขยายธุรกิจแทน นอกจากนี้นักลงทุนรายใหม่จะหันกลับมาพิจารณาลงทุนในไทยมากขึ้น จากเดิมที่จะไปลงทุนในประเทศที่มีค่าแรงถูก แต่ไม่เอื้อในเรื่องความพร้อมอื่น ๆ
"ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มยานยนต์กระปรี้กระเปร่าขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ในท้องถิ่นสอบถามเข้ามามาก ปัจจุบันกลุ่มยานยนต์มีภาคการผลิตที่เป็นคลัสเตอร์กันอยู่แล้ว และส่วนใหญ่กระจายตั้งโรงงานอยู่ในภาคตะวันออก ทั้งชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา โดยกลุ่มอุตฯยานยนต์เองมองเห็นศักยภาพของพื้นที่ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ว่าน่าจะพัฒนาเป็นเมืองคลัสเตอร์ยานยนต์/ชิ้นส่วนยานยนต์"
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยมุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การเร่งรัดเบิกจ่ายโครงการลงทุนภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งช่วยเหลือภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคนซื้อบ้าน ซึ่งหลายมาตรการเริ่มปรากฏผลทิศทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
ล่าสุด กระทรวงเสาหลักด้านเศรษฐกิจ 7 กระทรวงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามนโยบายระยะยาวเพื่อสร้างอนาคตของประเทศไทย ที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเร่งขับเคลื่อนผลักดันด้วยการปรับโครงสร้างด้านการผลิตทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรับฟังความคิดเห็นและการให้ข้อเสนอแนะโดยนักลงทุนและเจ้าของเทคโนโลยีสำคัญทั่วโลกกว่า 70 ราย นำมากำหนดแผนและนโยบายในการส่งเสริมการลงทุน "อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต"
ชูธง 10 อุตฯเป้าหมาย
เป็นเหมือนคู่มือแนะนำและดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศไทย ประกอบด้วย 1.การต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม (First S-Curve) ได้แก่ 1.1 อุตฯยานยนต์สมัยใหม่ (Next-generation Automotive) 1.2. อุตฯอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 1.3.อุตฯการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affuent, Medical and Wellness Tourism)
1.4 การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) และ 1.5 อุตฯการแปรรูปอาหาร (Food for the Future)
2.เพิ่ม 5 อุตฯอนาคต (New-S-Curve) ซึ่งเป็นอุตฯใหม่ที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและมีผู้สนใจลงทุน ได้แก่ 2.1 อุตฯหุ่นยนต์ (Robotics) 2.2 อุตฯการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) 2.3 อุตฯเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) 2.4 อุตฯดิจิทัล (Digital) และ 2.5 อุตฯการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)
เปิดพื้นที่ส่งเสริมอุตฯอนาคตไทย
แนวทางพัฒนาระยะสั้น-ปานกลาง จะยกระดับอุตฯเดิม 5 อุตฯเป้าหมายที่เป็น First S-Curve เพื่อต่อยอดการเจริญเติบโต ระยะยาว พัฒนาอุตฯแห่งอนาคต 5 อุตฯเป้าหมาย หรือ New-S-Curve เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยแบบก้าวกระโดด โดยในส่วนของอุตฯอนาคตกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนดังนี้ อุตฯหุ่นยนต์ พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก อุตฯการขนส่งและการบิน พื้นที่สนามบินพัทยา-อู่ตะเภา อุตฯการแพทย์ครบวงจร พื้นที่วิจัยและพัฒนาให้อยู่ในโรงเรียนแพทย์ คลัสเตอร์การแพทย์ เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) พัทยา อุตฯเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อยู่ในพื้นที่ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และอุตฯต่อเนื่องอยู่บริเวณมาบตาพุด อุตฯดิจิทัลอยู่ในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เช่น กทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต
ยึดโมเดลนิคมอุตฯภาคตะวันออก
ทั้งนี้ จากที่ปัจจุบัน 6 ใน 10 อุตฯเป้าหมาย
ทั้ง First S-Curve และ New-S-Curve ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก คือ ยานยนต์แห่งอนาคตอยู่ในพื้นที่ ชลบุรีและศรีราชา อุตฯอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอยู่ในสมุทรปราการ ชลบุรี ศรีราชา ท่องเที่ยวระดับคุณภาพอยู่ที่พัทยา ระยอง อุตฯหุ่นยนต์อยู่ในชลบุรี ศรีราชา อุตฯการบินอยู่ที่อู่ตะเภา สัตหีบ และอุตฯไบโอเคมี อยู่ที่มาบตาพุด จากปัจจัยพื้นฐานความแข็งแกร่งจากในอดีต รัฐบาลจึงจะนำเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกมาเป็นตัวจุดประกายในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตฯเป้าหมายทั้ง 10 อุตฯ
ทั้งนี้ปัจจัยความสำเร็จในการดึงนักลงทุนจากทั่วโลกต้องมีกลไกการกำกับดูแลการพัฒนาอุตฯเป้าหมายและเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมาย ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการการลงทุนอุตฯเป้าหมาย ทำหน้าที่กำหนดแผนการลงทุน กำหนดผู้ลงทุนรายสำคัญ 2.คณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มีหน้าที่เจรจากับผู้ลงทุนรายสำคัญ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทั่วไปและสิทธิประโยชน์พิเศษ 3.คณะกรรมการกำกับดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษ ทำหน้าที่อนุมัติแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการการลงทุนคลัสเตอร์ โครงสร้างพื้นฐาน และบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีสำนักงานบริหารเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษ ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน ดำเนินการด้านสิทธิประโยชน์ และติดตามความคืบหน้าในการติดต่อและชักจูงนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายและเป็นเลขานุการให้คณะกรรมการระดับชาติ
ตั้งกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันเพื่อผลักดันให้การลงทุนในอุตฯเป้าหมายเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม รัฐบาลกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน ประกอบด้วยมาตรการทางการเงิน มาตรการทางการคลัง และมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทั้งนี้ กรอบนโยบายและมาตรการส่งเสริมทั้งด้าน
การเงิน การคลัง และมาตรการอื่น ๆ ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ 7 กระทรวงเศรษฐกิจเสนอ และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว
งัดมาตรการการเงิน-การคลังหนุน
ในส่วนของมาตรการทางการเงินจะจัดตั้ง "กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม" ขึ้น ทำหน้าที่ให้เงินสนับสนุนให้เงินกู้ยืม หรือชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ หรือเป็นกองทุนในการลงทุนโครงการลงทุนพิเศษ โดยสามารถให้เงินสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา รวมทั้งสร้างบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตฯเป้าหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม
มาตรการการคลัง อาทิ กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษ ยกเว้นอัตราภาษีนิติบุคคลเป็นเวลา 10-15 ปี สำหรับโครงการที่มีความสำคัญสูงในอุตฯเป้าหมาย เพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์สูงสุด 8 ปี ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนทั่วไป กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เชี่ยวชาญไม่เกิน 15% อัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดา
ของผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติ และไม่เกิน 15% สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับสูง และผู้บริหารระดับสูงที่จำเป็นในโครงการลงทุน และสามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศ และแก้ไขโครงสร้างอากรขาเข้าชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตหรือให้บริการในอุตฯเป้าหมาย (หรือใช้มาตรา 12 ของกระทรวงการคลัง) เนื่องจากอัตราอากรของชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์สูงกว่าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งยกเว้นอากรขาเข้าของนำเข้าเพื่อทำการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบ
สิทธิเข้า-ออก ปท.-ถือที่ดิน 99 ปี
ส่วนมาตรการอื่น ๆ ประกอบด้วย การกำหนดสิทธิประโยชน์การเข้าออก และการทำงานของผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากต่างประเทศ เทียบเท่าคนไทยครั้งละ 5 ปี ตลอดอายุการส่งเสริมการลงทุน กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ 100% ในระยะเริ่มต้น หรือกรณีเป็นการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร ซึ่งนักลงทุนไทยไม่มีความเชี่ยวชาญ และกำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษให้ผู้ลงทุนต่างชาติ การถือครองที่ดิน 99 ปี โดยขายคืนให้รัฐบาลเมื่อครบกำหนด
ธุรกิจโรงพยาบาลหนุนเต็บสูบ
นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล และที่ปรึกษาสมาคมโรงพยาบาลเอกชน มองว่า นโยบายดังกล่าวควรทำมานานแล้ว เพราะธุรกิจการแพทย์เป็นอุตฯบริการ และการจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาคหรือของโลกในอนาคตมีความจำเป็น ต้องมีความชัดเจนเชิงนโยบายและปรับปรุงข้อจำกัดต่าง ๆ ทั้งเชิงกฎหมายการลงทุน การขอวีซ่าเข้าประเทศ การผลิตบุคลากรการแพทย์ที่ต้องให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต เพื่อตอบโจทย์และลดการขาดแคลน
"ควรทำมานานแล้วและทำให้ชัดเจน วันนี้มีการพูดแล้วว่าธุรกิจเฮลท์แคร์น่าจะเป็นธุรกิจบริการดาวเด่น อาทิตย์ที่แล้วมีการเรียกคุยไปแล้ว 1 รอบ ภายในสัปดาห์นี้กำลังทำแผนอยู่ น่าจะหารือกันอีกเป็นระยะ ๆ นโยบายดังกล่าวไม่มีกลุ่มไหนได้ประโยชน์ แต่เป็นประเทศไทยได้ประโยชน์ ทุกคนคาดหวังว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเฮลท์แคร์ เพราะการเปิดอาเซียนจะเริ่มขึ้นแล้ว"
สิทธิประโยชน์ใหม่จูงใจพอ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มั่นใจว่าการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษรูปแบบคลัสเตอร์จะเกิดขึ้นได้แน่นอน
จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือเร่งรัดให้เกิดการลงทุนจริง อาทิ มาตรการทางภาษีของบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี ลดหย่อนภาษี 50% เพิ่มเติม 5 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการทางการคลังที่อยู่ระหว่างพิจารณาให้กิจการเพื่ออนาคตยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10-15 ปี และจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 0-15%
สำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในระดับนานาชาติที่ทำงานในพื้นที่กำหนดทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมถึงกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศ วงเงิน 10,000 ล้านบาท และอื่น ๆ ถือว่าเพียงพอแล้ว และกลุ่มนักลงทุนอุตฯเป้าหมายอย่างไฮเทคโนโลยีสนใจเข้ามาลงทุนมากกว่าเดิม เพราะปัจจัยหลายอย่างจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ เศรษฐกิจที่กำลังฟื้น เห็นได้จากยอดขอส่งเสริมการลงทุนมีเกือบ 2,000 โครงการ มูลค่า 6.9 แสนล้านบาท
"ส่วนที่มองว่าสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้ยังไม่พอ อาจมีแค่บางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งไม่อยากให้เอาไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์และค่าแรง ควรมองว่าไทยเองมีความพร้อมและเหนือกว่าคู่แข่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค โลจิสติกส์"
กลุ่มยานยนต์ขานรับลงทุน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า กลุ่มยานยนต์เป็นส่วนหนึ่งในอุตฯเป้าหมายที่ถูกผลักดันให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ และยกระดับสู่การเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ มั่นใจว่ารัฐเดินมาถูกทางกับการพัฒนาอุตฯในประเทศ และทุก ๆ มาตรการส่งเสริมที่ออกมาจะเป็นส่วนสำคัญให้นักลงทุนรายเก่าที่ลงทุนอยู่แล้วไม่ย้าย
การผลิตไปไหน แต่จะทำการวิจัยเพิ่มเพื่อต่อยอดพัฒนาสินค้ารองรับการขยายธุรกิจแทน นอกจากนี้นักลงทุนรายใหม่จะหันกลับมาพิจารณาลงทุนในไทยมากขึ้น จากเดิมที่จะไปลงทุนในประเทศที่มีค่าแรงถูก แต่ไม่เอื้อในเรื่องความพร้อมอื่น ๆ
"ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มยานยนต์กระปรี้กระเปร่าขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ในท้องถิ่นสอบถามเข้ามามาก ปัจจุบันกลุ่มยานยนต์มีภาคการผลิตที่เป็นคลัสเตอร์กันอยู่แล้ว และส่วนใหญ่กระจายตั้งโรงงานอยู่ในภาคตะวันออก ทั้งชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา โดยกลุ่มอุตฯยานยนต์เองมองเห็นศักยภาพของพื้นที่ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ว่าน่าจะพัฒนาเป็นเมืองคลัสเตอร์ยานยนต์/ชิ้นส่วนยานยนต์"
"13 ขั้นตอนสร้างความมั่งคั่งของบุคคลระดับโลก"
แรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ
"13 ขั้นตอนสร้างความมั่งคั่งของบุคคลระดับโลก"
.
เส้นทางชีวิตของเศรษฐีที่สร้างตัวเองมาแล้วกว่า 500 คน ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นลำดับทั้งหมด 13 ขั้นบันได เขียนโดย Nap...oleon Hill ครับ..
.
1. ”ปราถนาอย่างแรงกล้า” ความต้องการที่ชัดเจนว่าคุณจะร่ำรวย เป็นสิ่งที่เศรษฐีทุกคนทำก่อนที่จะได้เห็นตัวเงินในบัญชีธนาคารซะอีก เมื่อปรารถนาแล้ว ความหวัง ความฝัน และแผนการ จะเริ่มผุดขึ้นในความคิดของเรา
.
2. “ศรัทธาในความเชื่อของตัวเองว่าเราจะประสบความสำเร็จ” ความร่ำรวยเริ่มต้นจากวิธีคิดและหากคุณมีความเชื่อมั่นในหัวใจตัวเองอย่างชัดเจนว่าคุณก็สำเร็จได้ ความคิดคุณก็จะไม่ถูกจำกัดอยู่กับที่..
.
3. “ตอกย้ำใจตัวเองให้เชื่อในความคิด” คุณมีหน้าที่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปตอกย้ำจิตใต้สำนึกให้มีความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นว่า คุณจะเดินไปสู่ความร่ำรวยและทำได้แน่ๆ ...จะไม่มีอะไรเบี่ยงเบนความสนใจของเราได้
.
4. เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ ..ยกระดับตัวเองเป็นผู้มีทักษะพิเศษ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มัวแต่คิดว่าความรู้จบลงเมื่อได้ปริญญา แต่ไม่ใช่กับเศรษฐี พวกเขายังคงหาความรู้อยู่เสมอ ทั้งจากการพบปะผู้คนและการอ่าน
.
5. ต้องให้อิสระในการจินตนาการ ..จินตนาการคือชนวนจุดประกายความคิด ..ก็ไอเดียจากความคิดนั่นแหละที่มีโอกาสสร้างเงินล้านให้คุณ อย่าไปกลัวหรืออายในไอเดียของตัวเองครับ
.
6. วางแผนและต้องเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง ..เมื่อชัดเจนแล้วก็อย่ารอช้า ต้องทำทันที ..จำไว้ว่าระหว่างเดินหน้าสู่ความสำเร็จ อาการผิดแผนมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ห้ามถอดใจ ..เราอาจจะก้าวช้า แต่จะต้องไปถึงแน่นอน
.
7. เลิกลังเล!.. คนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถสร้างฐานะได้ ก็เพราะไม่มั่นใจในเป้าหมายของตัวเอง มันก็จบ.. วิธีคิด/การตัดสินใจ ก็ไม่เกิด
.
8. "มุ่งหน้า ไม่ย่อท้อจนกว่าจะได้สิ่งที่หวัง" ..ความร่ำรวยไม่อาจเกิดได้จากความฝันเพียงลำพัง แต่มันมาจากแผนการที่ชัดเจน สนับสนุนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า และลงมือทำอย่างไม่หยุดยั้ง
.
9. พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนที่สุดยอด เพราะด้วยเราเพียงคนเดียวคงเป็นเรื่องยากในการไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การได้แบ่งปันไอเดีย แลกเปลี่ยนความเห็นกับคนเก่งๆ จะทำให้คุณไปได้เร็วขึ้นและไกลขึ้น
.
10. เลือกคู่ชีวิตให้ดี คนที่อยู่เคียงข้างคุณจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังมากที่สุดในชีวิต คอยสร้างแรงจูงใจ แรงกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อไปสู่เป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม
.
11. พัฒนาความสามารถในการคิดบวกให้แข็งแรงขึ้น ..จิตใต้สำนึกของเรา ไม่ได้ว่างเปล่า มันจะตกเป็นอยู่ในอำนาจของความคิดด้านบวกหรือไม่ก็ลบ ..นั่นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสอนมันให้จดจำพลังด้านบวกเอาไว้
.
12. สมองของคนเราเชือมต่อกันได้ จงเรียนรู้จากคนที่เก่งและฉลาดกว่าคุณ ซึมซับพลังความคิดและความสร้างสรรค์จากคนที่เหนือกว่าคุณอยู่เสมอ
.
13. เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง หรือประสามสัมผัสที่ 6 นั่นแหละ เพราะมักจะเป็นตัวบอกให้คุณเตรียตัวระวังอันตราย หรือเป็นตัวยืนยันว่าคุณกำลังมุ่งสู่เส้นทางความรวยที่
.
เส้นทางชีวิตของเศรษฐีที่สร้างตัวเองมาแล้วกว่า 500 คน ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นลำดับทั้งหมด 13 ขั้นบันได เขียนโดย Nap...oleon Hill ครับ..
.
1. ”ปราถนาอย่างแรงกล้า” ความต้องการที่ชัดเจนว่าคุณจะร่ำรวย เป็นสิ่งที่เศรษฐีทุกคนทำก่อนที่จะได้เห็นตัวเงินในบัญชีธนาคารซะอีก เมื่อปรารถนาแล้ว ความหวัง ความฝัน และแผนการ จะเริ่มผุดขึ้นในความคิดของเรา
.
2. “ศรัทธาในความเชื่อของตัวเองว่าเราจะประสบความสำเร็จ” ความร่ำรวยเริ่มต้นจากวิธีคิดและหากคุณมีความเชื่อมั่นในหัวใจตัวเองอย่างชัดเจนว่าคุณก็สำเร็จได้ ความคิดคุณก็จะไม่ถูกจำกัดอยู่กับที่..
.
3. “ตอกย้ำใจตัวเองให้เชื่อในความคิด” คุณมีหน้าที่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปตอกย้ำจิตใต้สำนึกให้มีความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นว่า คุณจะเดินไปสู่ความร่ำรวยและทำได้แน่ๆ ...จะไม่มีอะไรเบี่ยงเบนความสนใจของเราได้
.
4. เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ ..ยกระดับตัวเองเป็นผู้มีทักษะพิเศษ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มัวแต่คิดว่าความรู้จบลงเมื่อได้ปริญญา แต่ไม่ใช่กับเศรษฐี พวกเขายังคงหาความรู้อยู่เสมอ ทั้งจากการพบปะผู้คนและการอ่าน
.
5. ต้องให้อิสระในการจินตนาการ ..จินตนาการคือชนวนจุดประกายความคิด ..ก็ไอเดียจากความคิดนั่นแหละที่มีโอกาสสร้างเงินล้านให้คุณ อย่าไปกลัวหรืออายในไอเดียของตัวเองครับ
.
6. วางแผนและต้องเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง ..เมื่อชัดเจนแล้วก็อย่ารอช้า ต้องทำทันที ..จำไว้ว่าระหว่างเดินหน้าสู่ความสำเร็จ อาการผิดแผนมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ห้ามถอดใจ ..เราอาจจะก้าวช้า แต่จะต้องไปถึงแน่นอน
.
7. เลิกลังเล!.. คนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถสร้างฐานะได้ ก็เพราะไม่มั่นใจในเป้าหมายของตัวเอง มันก็จบ.. วิธีคิด/การตัดสินใจ ก็ไม่เกิด
.
8. "มุ่งหน้า ไม่ย่อท้อจนกว่าจะได้สิ่งที่หวัง" ..ความร่ำรวยไม่อาจเกิดได้จากความฝันเพียงลำพัง แต่มันมาจากแผนการที่ชัดเจน สนับสนุนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า และลงมือทำอย่างไม่หยุดยั้ง
.
9. พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนที่สุดยอด เพราะด้วยเราเพียงคนเดียวคงเป็นเรื่องยากในการไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การได้แบ่งปันไอเดีย แลกเปลี่ยนความเห็นกับคนเก่งๆ จะทำให้คุณไปได้เร็วขึ้นและไกลขึ้น
.
10. เลือกคู่ชีวิตให้ดี คนที่อยู่เคียงข้างคุณจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังมากที่สุดในชีวิต คอยสร้างแรงจูงใจ แรงกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อไปสู่เป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม
.
11. พัฒนาความสามารถในการคิดบวกให้แข็งแรงขึ้น ..จิตใต้สำนึกของเรา ไม่ได้ว่างเปล่า มันจะตกเป็นอยู่ในอำนาจของความคิดด้านบวกหรือไม่ก็ลบ ..นั่นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสอนมันให้จดจำพลังด้านบวกเอาไว้
.
12. สมองของคนเราเชือมต่อกันได้ จงเรียนรู้จากคนที่เก่งและฉลาดกว่าคุณ ซึมซับพลังความคิดและความสร้างสรรค์จากคนที่เหนือกว่าคุณอยู่เสมอ
.
13. เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง หรือประสามสัมผัสที่ 6 นั่นแหละ เพราะมักจะเป็นตัวบอกให้คุณเตรียตัวระวังอันตราย หรือเป็นตัวยืนยันว่าคุณกำลังมุ่งสู่เส้นทางความรวยที่
5 เคล็ดลับสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
เรื่อง กองบรรณาธิการ
ผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นและเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก มักจะต้องประสบปัญหาการทำงานอย่างหนักในระยะเริ่มต้น เพื่อนำพาธุรกิจให้อยู่รอด มิต้องพูดถึงการเติบโตที่ยังเป็นเรื่องไกลออกไป ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับ 5 ข้อที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “ต้องทำ” สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการประสบความสำเร็จในปี 2013
1.ตรวจสอบธุรกิจของคุณเองอย่างซื่อสัตย์
ก่อนอื่น ถามตัวคุณเองก่อนว่า “คุณได้มีปีที่ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้วหรือยัง?” หากคำตอบคือ ยังไม่มี รีบกลับมาทบทวนดูการทำธุรกิจของคุณเองก่อนว่า เพราะเหตุใด ทำไมคุณถึงยังไม่สามารถทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ สิ่งจำเป็นที่สุดคือ ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะกุญแจสำคัญที่จะทำให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ อยู่ที่การประเมินการทำธุรกิจที่อยู่ในมือคุณอย่างซื่อสัตย์ที่สุดนี้เอง เพื่อที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กจะได้นำข้อมูลที่ได้เป็นแนวทางในการดำเนินงานปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นต่อไป
2.ปรับปรุงพนักงานในองค์กรตั้งแต่ยอดจนถึงฐานปิรามิด
เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กมักจะตกอยู่ในรูปแบบและติดกับกระบวนการทางธุรกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ สาเหตุสำคัญหนึ่งคือ “พนักงาน” อย่าปล่อยให้วิธีการที่ล้าสมัยในการทำธุรกิจหรือพนักงานที่ไม่มีมีประสิทธิภาพมาคอยถ่วงธุรกิจของคุณอีกต่อไป เร่งสำรวจจุดอ่อนและปรับปรุงการทำงานทั้งระบบ เป็นโอกาสสำหรับคุณที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำและแสดงให้เห็นอำนาจของคุณ เพราะถ้าหากไม่สามารถควบคุมระบบและกระบวนการในการทำธุรกิจของคุณเอง ก็ไม่อาจถือได้ว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นจริงๆ
3.หามุมมองจากภายนอก
การพบปะพูดคุยเพื่อหามุมมองทางธุรกิจจากบุคคลภายนอกองค์กร เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ บางบริษัทอาจเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง สำนักงานกฎหมาย บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี ฯลฯ เข้ามาช่วยในการทำงาน นอกจากให้คำปรึกษาเฉพาะทางแล้ว การได้ประชุมนอกรอบหรือพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ อาจทำให้ได้รับมุมมองที่กว้างและสดใหม่ ที่ส่งผลต่อธุรกิจของคุณอย่างคาดไม่ถึง
4.ขอบคุณลูกค้าที่ดีที่สุดของคุณ
ธุรกิจแต่ละประเภทมีนิยามคำว่า ‘ดีที่สุด’ สำหรับลูกค้าแตกต่างกันไป มองหาว่าใครคือลูกค้าที่ดีที่สุดในธุรกิจของคุณ จากนั้นลงมือแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขามีความสำคัญมากแค่ไหน อาจจัดเป็นโปรโมชั่นหรือกิจกรรมพิเศษแทนคำขอบคุณสำหรับลูกค้า เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้
5.กระตุ้นความคึกคักให้กับธุรกิจ
ความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน อาจส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่มีความเสี่ยง เปลี่ยนความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้มาเป็นการตอบสนองตนเองด้วยการทำนายถึงอนาคตที่สดใสทางธุรกิจแทนที่ อย่าไปฟังข่าวที่มีข้อมูลแย่ๆ เชิงลบ ชวนให้หดหู่มากนัก แต่หันมาผลักดันให้ธุรกิจของคุณเดินไปข้างหน้าดีกว่า เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กควรจะมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไม่ย่ำอยู่กับที่ ในขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยหรือทอดทิ้งการดูแลธุรกิจที่มีอยู่เดิมของคุณด้วย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ SME (เอสเอ็มอี)
เปิดพิมพ์เขียวมอเตอร์เวย์21สาย2ล้านล้านรื้อเส้นทางใหม่เชื่อม′หัวเมืองหลัก-ค้าชายแดน′ทั่วไทย6พันก.ม.
เปิดพิมพ์เขียวมอเตอร์เวย์21สาย2ล้านล้านรื้อเส้นทางใหม่เชื่อม′หัวเมืองหลัก-ค้าชายแดน′ทั่วไทย6พันก.ม.
กรมทางหลวงรื้อแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ใหม่ สร้างเพิ่มอีกกว่า 2,000 กิโลเมตร เป็นกว่า 6,000 กิโลเมตร ใช้เงินเวนคืนที่ดินและก่อสร้างกว่า 2.11 ล้านล้าน ขีดแนวประชิดชายแดน รองรับการค้า เขตเศรษฐกิจพิเศษ และเออีซี แบ่งพัฒนา 2 ระยะ เฟสแรก 16 เส้นทาง ปักหมุดปีླྀ เร่งเครื่องสายพัทยา-มาบตาพุดให้ได้ผู้รับเหมาธ.ค.นี้ ปีหน้าตีฆ้องประมูลสายบางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี
แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ"ว่า หลังกรมจัดทำแผนแม่บทมอเตอร์เวย์เมื่อปี 2540 ล่าสุดกำลังรีวิวแผนแม่บทใหม่ ให้เข้ากับสภาพพื้นที่ปัจจุบัน สอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ให้เข้าถึงแหล่งเศรษฐกิจ แหล่งท่องเที่ยว การค้าชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ปลายปีนี้
โดยจะวางกรอบการพัฒนาไว้ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2560 - 2579 แบ่งการพัฒนา 2 ระยะ ช่วง 10 ปีแรก เริ่มปี 2560-2269 และระยะ 10 ปีถัดไปเริ่มปี 2570-2579 ส่วนแนวเส้นทางมีทั้งสิ้น 21 สายทาง รวม 6,278 กิโลเมตร เพิ่มเติมจากแผนแม่บทฉบับเดิมกว่า 2,100 กิโลเมตร ที่มีโครงข่ายจำนวน 13 เส้นทาง ระยะทางรวม 4,150 กิโลเมตร
21 สายลงทุนกว่า 2 ล้านล้าน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้ง 21 สายทาง เมื่อแบ่งเป็นรายภาค อยู่ที่ภาคเหนือ 3 สายทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 สายทาง ภาคกลาง-ภาคตะวันตกและภาคตะวันออกรวม 15 สายทาง และภาคใต้ 3 สายทาง ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด กรมอยู่ระหว่างให้ที่ปรึกษาจัดรับฟังความคิดเห็นกลุ่มจังหวัดของแต่ละภาค เพื่อประมวลข้อมูลสุดท้าย
สำหรับเงินลงทุนรวมทั้งค่าเวนคืนและค่าก่อสร้าง เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.11 ล้านล้านบาท ค่าก่อสร้างเฉลี่ย 330 ล้านบาทต่อกิโลเมตร และเป็นเม็ดเงินรวมกับ 3 เส้นทางที่ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ไปแล้วเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
ได้แก่ 1.สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง196 กิโลเมตร เงินลงทุน 84,600 ล้านบาท 2.สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร เงินลงทุน 55,620 ล้านบาท และ 3.สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 32 กิโลเมตร เงินลงทุน 20,200 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างปี 2559-2562
"ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างประกาศทีโออาร์ประมูลก่อสร้างสายพัทยา-มาบตาพุด 11 สัญญา ได้ผู้รับเหมาไปแล้ว 3 สัญญา เหลืออีก 9 สัญญา อยู่ระหว่างชี้แจงรายละเอียด หลังมีคนท้วงติง ส่วนอีก 2 สัญญาอยู่ระหว่างปรับแบบร่วมกับการรถไฟฯเพราะขอใช้ที่ดินการรถไฟฯสร้าง คาดว่าภายใน ธ.ค.นี้จะได้ผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งหมด ส่วนสายบางปะอิน-โคราช จะเริ่มประกาศทีโออาร์ประมูลได้เดือนม.ค.ปีหน้า จากนั้นกลางปีจะเป็นช่วงบางใหญ่-กาญจนบุรีเพราะต้องรอเคลียร์เรื่องสิ่งแวดล้อมก่อน"
เปิดโผเส้นทาง10ปีแรก
สำหรับโครงข่ายใหม่ตามแผนแม่บท ช่วงระยะ 10 ปี มี 16 สายทาง ระยะทางรวม 3,120 กิโลเมตร เงินลงทุน 1.24 ล้านล้านบาท ได้แก่ 1.สายบางปะอิน-เชียงราย (ด่านแม่สายและเชียงของ) 908 กิโลเมตร เร่งลงทุนช่วงรังสิต-บางปะอิน 18 กิโลเมตร ช่วงบางปะอิน-นครสวรรค์-พิษณุโลก 315 กิโลเมตรและช่วงลำปาง-เชียงรายเชื่อมด่านเชียงของและแม่สาย 267 กิโลเมตร
2.บางปะอิน-หนองคาย 510 กิโลเมตร 3.กรุงเทพ-บ้านฉาง 153 กิโลเมตร เร่งดำเนินการช่วงพัทยา-มาบตาพุด 38 กิโลเมตรก่อน 4.นครปฐม-นราธิวาส 1,098 กิโลเมตร เร่งสร้างช่วงนครปฐม-ชะอำ-ชุมพร 409 กิโลเมตร 5.วงแหวนรอบนอกรอบที่ 2 ระยะทาง 165 กิโลเมตร เร่งช่วงด้านตะวันตกก่อนเป็นลำดับแรก 68 กิโลเมตร
6.เชียงใหม่-ลำปาง (แจ้ห่ม) 53 กิโลเมตร 7.ชลบุรี (ท่าเรือแหลมฉบัง)-นครราชสีมา 288 กิโลเมตร ก่อสร้างช่วงชลบุรี (ท่าเรือแหลมฉบัง)-ปราจีนบุรี 117 กิโลเมตรเป็นลำดับแรก 8.วงแหวนรอบนอกรอบที่ 2 ด้านตะวันออก-สระบุรี 78 กิโลเมตร 9.วงแหวนรอบนอกตะวันออก-สระแก้ว (ด่านอรัญประเทศ) 204 กิโลเมตร
ปัดฝุ่นวงแหวนรอบที่ 3
10.ชลบุรี-ตราด 216 กิโลเมตร 11.บางใหญ่-กาญจนบุรี-บ้านพุน้ำร้อน 164 กิโลเมตร 12.วงแหวนรอบนอกตะวันรอบที่ 2-ปากท่อ 74 กิโลเมตร 13.สุราษฎร์ธานี-ภูเก็ต 187 กิโลเมตร 14.สงขลา-ด่านสะเดา 95 กิโลเมตร 15.วงแหวนรอบที่ 3 ระยะทาง 254 กิโลเมตร และ 16.ชลบุรี-นครปฐม 96 กิโลเมตร
ส่วนระยะที่ 2 มี 5 สายทางหลัก ระยะทาง 3,152 กิโลเมตร เงินลงทุนกว่า 8.7 แสนล้านบาท ได้แก่ 1.สายตาก-มุกดาหาร 703 กิโลเมตร 2.สุรินทร์-บึงกาฬ 454 กิโลเมตร 3.นครสวรรค์-อุบลราชธานี 610 กิโลเมตร 4.สุพรรณบุรี-ชัยนาท 42 กิโลเมตรและ 5.วงแหวนรอบที่ 2 ตะวันตก-บางปะหัน 48 กิโลเมตร
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ แผนงานก่อสร้างเฟส 2 จะมีการก่อสร้างบางช่วงในเส้นทางที่บรรจุไว้ในแผน 10 ปีแรก ประกอบด้วย สายบางปะอิน-เชียงราย จะสร้างช่วงพิษณุโลก-อุตรดิตถ์-ลำปาง ระยะทาง 253 กิโลเมตร, สายนครปฐม-นราธิวาส ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี-สงขลา (หาดใหญ่)-นราธิวาส (ด่านสุไหงโก-ลก) 668 กิโลเมตร, สายชลบุรี-นครราชสีมา ช่วงปราจีนบุรี-นครราชสีมา 171 กิโลเมตร, สายวงแหวนรอบที่ 2 ด้านตะวันออก-สระแก้ว สร้างช่วงสระแก้ว-อรัญประเทศ 51 กิโลเมตร และสายชลบุรี-นครปฐม ช่วงสระบุรี-สุพรรณบุรี-นครปฐม 158 กิโลเมตร
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
กรมทางหลวงรื้อแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ใหม่ สร้างเพิ่มอีกกว่า 2,000 กิโลเมตร เป็นกว่า 6,000 กิโลเมตร ใช้เงินเวนคืนที่ดินและก่อสร้างกว่า 2.11 ล้านล้าน ขีดแนวประชิดชายแดน รองรับการค้า เขตเศรษฐกิจพิเศษ และเออีซี แบ่งพัฒนา 2 ระยะ เฟสแรก 16 เส้นทาง ปักหมุดปีླྀ เร่งเครื่องสายพัทยา-มาบตาพุดให้ได้ผู้รับเหมาธ.ค.นี้ ปีหน้าตีฆ้องประมูลสายบางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี
แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ"ว่า หลังกรมจัดทำแผนแม่บทมอเตอร์เวย์เมื่อปี 2540 ล่าสุดกำลังรีวิวแผนแม่บทใหม่ ให้เข้ากับสภาพพื้นที่ปัจจุบัน สอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ให้เข้าถึงแหล่งเศรษฐกิจ แหล่งท่องเที่ยว การค้าชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ปลายปีนี้
โดยจะวางกรอบการพัฒนาไว้ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2560 - 2579 แบ่งการพัฒนา 2 ระยะ ช่วง 10 ปีแรก เริ่มปี 2560-2269 และระยะ 10 ปีถัดไปเริ่มปี 2570-2579 ส่วนแนวเส้นทางมีทั้งสิ้น 21 สายทาง รวม 6,278 กิโลเมตร เพิ่มเติมจากแผนแม่บทฉบับเดิมกว่า 2,100 กิโลเมตร ที่มีโครงข่ายจำนวน 13 เส้นทาง ระยะทางรวม 4,150 กิโลเมตร
21 สายลงทุนกว่า 2 ล้านล้าน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้ง 21 สายทาง เมื่อแบ่งเป็นรายภาค อยู่ที่ภาคเหนือ 3 สายทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 สายทาง ภาคกลาง-ภาคตะวันตกและภาคตะวันออกรวม 15 สายทาง และภาคใต้ 3 สายทาง ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด กรมอยู่ระหว่างให้ที่ปรึกษาจัดรับฟังความคิดเห็นกลุ่มจังหวัดของแต่ละภาค เพื่อประมวลข้อมูลสุดท้าย
สำหรับเงินลงทุนรวมทั้งค่าเวนคืนและค่าก่อสร้าง เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.11 ล้านล้านบาท ค่าก่อสร้างเฉลี่ย 330 ล้านบาทต่อกิโลเมตร และเป็นเม็ดเงินรวมกับ 3 เส้นทางที่ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ไปแล้วเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
ได้แก่ 1.สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง196 กิโลเมตร เงินลงทุน 84,600 ล้านบาท 2.สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร เงินลงทุน 55,620 ล้านบาท และ 3.สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 32 กิโลเมตร เงินลงทุน 20,200 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างปี 2559-2562
"ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างประกาศทีโออาร์ประมูลก่อสร้างสายพัทยา-มาบตาพุด 11 สัญญา ได้ผู้รับเหมาไปแล้ว 3 สัญญา เหลืออีก 9 สัญญา อยู่ระหว่างชี้แจงรายละเอียด หลังมีคนท้วงติง ส่วนอีก 2 สัญญาอยู่ระหว่างปรับแบบร่วมกับการรถไฟฯเพราะขอใช้ที่ดินการรถไฟฯสร้าง คาดว่าภายใน ธ.ค.นี้จะได้ผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งหมด ส่วนสายบางปะอิน-โคราช จะเริ่มประกาศทีโออาร์ประมูลได้เดือนม.ค.ปีหน้า จากนั้นกลางปีจะเป็นช่วงบางใหญ่-กาญจนบุรีเพราะต้องรอเคลียร์เรื่องสิ่งแวดล้อมก่อน"
เปิดโผเส้นทาง10ปีแรก
สำหรับโครงข่ายใหม่ตามแผนแม่บท ช่วงระยะ 10 ปี มี 16 สายทาง ระยะทางรวม 3,120 กิโลเมตร เงินลงทุน 1.24 ล้านล้านบาท ได้แก่ 1.สายบางปะอิน-เชียงราย (ด่านแม่สายและเชียงของ) 908 กิโลเมตร เร่งลงทุนช่วงรังสิต-บางปะอิน 18 กิโลเมตร ช่วงบางปะอิน-นครสวรรค์-พิษณุโลก 315 กิโลเมตรและช่วงลำปาง-เชียงรายเชื่อมด่านเชียงของและแม่สาย 267 กิโลเมตร
2.บางปะอิน-หนองคาย 510 กิโลเมตร 3.กรุงเทพ-บ้านฉาง 153 กิโลเมตร เร่งดำเนินการช่วงพัทยา-มาบตาพุด 38 กิโลเมตรก่อน 4.นครปฐม-นราธิวาส 1,098 กิโลเมตร เร่งสร้างช่วงนครปฐม-ชะอำ-ชุมพร 409 กิโลเมตร 5.วงแหวนรอบนอกรอบที่ 2 ระยะทาง 165 กิโลเมตร เร่งช่วงด้านตะวันตกก่อนเป็นลำดับแรก 68 กิโลเมตร
6.เชียงใหม่-ลำปาง (แจ้ห่ม) 53 กิโลเมตร 7.ชลบุรี (ท่าเรือแหลมฉบัง)-นครราชสีมา 288 กิโลเมตร ก่อสร้างช่วงชลบุรี (ท่าเรือแหลมฉบัง)-ปราจีนบุรี 117 กิโลเมตรเป็นลำดับแรก 8.วงแหวนรอบนอกรอบที่ 2 ด้านตะวันออก-สระบุรี 78 กิโลเมตร 9.วงแหวนรอบนอกตะวันออก-สระแก้ว (ด่านอรัญประเทศ) 204 กิโลเมตร
ปัดฝุ่นวงแหวนรอบที่ 3
10.ชลบุรี-ตราด 216 กิโลเมตร 11.บางใหญ่-กาญจนบุรี-บ้านพุน้ำร้อน 164 กิโลเมตร 12.วงแหวนรอบนอกตะวันรอบที่ 2-ปากท่อ 74 กิโลเมตร 13.สุราษฎร์ธานี-ภูเก็ต 187 กิโลเมตร 14.สงขลา-ด่านสะเดา 95 กิโลเมตร 15.วงแหวนรอบที่ 3 ระยะทาง 254 กิโลเมตร และ 16.ชลบุรี-นครปฐม 96 กิโลเมตร
ส่วนระยะที่ 2 มี 5 สายทางหลัก ระยะทาง 3,152 กิโลเมตร เงินลงทุนกว่า 8.7 แสนล้านบาท ได้แก่ 1.สายตาก-มุกดาหาร 703 กิโลเมตร 2.สุรินทร์-บึงกาฬ 454 กิโลเมตร 3.นครสวรรค์-อุบลราชธานี 610 กิโลเมตร 4.สุพรรณบุรี-ชัยนาท 42 กิโลเมตรและ 5.วงแหวนรอบที่ 2 ตะวันตก-บางปะหัน 48 กิโลเมตร
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ แผนงานก่อสร้างเฟส 2 จะมีการก่อสร้างบางช่วงในเส้นทางที่บรรจุไว้ในแผน 10 ปีแรก ประกอบด้วย สายบางปะอิน-เชียงราย จะสร้างช่วงพิษณุโลก-อุตรดิตถ์-ลำปาง ระยะทาง 253 กิโลเมตร, สายนครปฐม-นราธิวาส ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี-สงขลา (หาดใหญ่)-นราธิวาส (ด่านสุไหงโก-ลก) 668 กิโลเมตร, สายชลบุรี-นครราชสีมา ช่วงปราจีนบุรี-นครราชสีมา 171 กิโลเมตร, สายวงแหวนรอบที่ 2 ด้านตะวันออก-สระแก้ว สร้างช่วงสระแก้ว-อรัญประเทศ 51 กิโลเมตร และสายชลบุรี-นครปฐม ช่วงสระบุรี-สุพรรณบุรี-นครปฐม 158 กิโลเมตร
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
【คุณแม่ที่ไม่ดุลูก】
Japan Gossip by เกตุวดี Marumura
【คุณแม่ที่ไม่ดุลูก】
สมัยเรียนมัธยม ซายากะจังเป็นสาวสุดซ่าตัวแสบประจำคลาส
เธอเริ่มไปเรียนพิเศษกวดเข้ามหาวิทยาลัยตอนม.5
เธอทำข้อสอบวัดทักษะความรู้ของโรงเรียนกวดวิ...ชา
ผลสอบคือ..... “ระดับความรู้เทียบเท่าชั้นป.4”
สมัยเรียนมัธยม ซายากะจังเป็นสาวสุดซ่าตัวแสบประจำคลาส
เธอเริ่มไปเรียนพิเศษกวดเข้ามหาวิทยาลัยตอนม.5
เธอทำข้อสอบวัดทักษะความรู้ของโรงเรียนกวดวิ...ชา
ผลสอบคือ..... “ระดับความรู้เทียบเท่าชั้นป.4”
แต่ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง
เด็กม.5 สติปัญญาป.4 คนนี้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเคโอ
... ม.เอกชนที่สอบเข้ายากที่สุดในญี่ปุ่นได้สำเร็จ
ผู้อยู่เบื้องหลังปาฏิหาริย์ของเธอ คือ ครูสอนพิเศษ และ “ก้าจัง”
วันนี้ ดิฉันขอเล่าถึง “ก้าจัง” ค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ก้าจัง(*)” หรือ คุณแม่ของซายากะจัง มีลูก 3 คน
คือ ซายากะ...ลูกสาวคนโต ลูกสาวคนรอง และลูกชาย
ตอนเด็กๆ ซายากะจังโดนเพื่อนแกล้ง
ก้าจังบุกไปถึงโรงเรียนเพื่อพบครู
คุณครูอธิบายว่า
“การแกล้งกันในโรงเรียนประถมเป็นเรื่องปกติ โรงเรียนไหนๆ ก็มี
เด็กๆ ย่านนี้ก็ซนๆ กันทั้งนั้น เราไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนได้หรอกครับ”
วันนั้น ก้าจังให้ลูกลาออกและย้ายโรงเรียนทันที
พอขึ้นชั้นมัธยม ซายากะจังเริ่มแต่งหน้า ย้อมผม
ใส่ชุดผิดระเบียบ ไม่เข้าเรียน
ครูบางคนถึงกับด่าเธอว่า “นักเรียนอย่างเธอมันคือขยะชัดๆ”
ก้าจังโดนโรงเรียนเรียกไปพบอยู่บ่อยๆ
เธอก้มศีรษะขอโทษ แต่ขณะเดียวกัน ก็พร่ำบอกครูว่า
“ลูกดิฉันเป็นเด็กดีค่ะ
โปรดอย่าตัดสินเด็กว่าเป็นเด็กดีหรือเลวแค่ที่เครื่องแบบ
หรือคะแนนสอบสิคะ”
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้น ตอนที่ซายากะถูกครูจับได้ว่า สูบบุหรี่
ครูเรียกเธอมาพบที่ห้อง และขู่ว่า
“ซายากะ...สารภาพมาซะดีๆ มีใครไปสูบกับเธออีกบ้าง
ถ้าเธอสารภาพ โรงเรียนจะลดโทษให้”
ซายากะปกป้องเพื่อนโดยการปิดปากเงียบ
พอก้าจังมาพบฝ่ายปกครอง เธอบอกทางโรงเรียนว่า
“การให้เด็กนักเรียนขายเพื่อนตัวเอง
เป็นนโยบายการศึกษาของทางโรงเรียนเหรอคะ
ถ้าอย่างนั้น ครูจะไล่ลูกดิฉันออกก็เชิญค่ะ
แต่ดิฉันภูมิใจในตัวลูกสาวดิฉันมาก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนในสังคมอาจมองก้าจังว่า เป็นแม่ที่ “ตามใจลูกเหลือเกิน”
แต่ก้าจังมองว่า
เธอจะทำทุกวิธีเพื่อให้ลูกรู้ว่า
เธออยู่ข้างๆ พวกเขา พร้อมปกป้องพวกเขา
เวลาลูกทำดี เธอจะชมเสมอๆ
เวลาลูกทำผิด เธอไม่ดุด่า
แต่จะค่อยๆ สอน ค่อยๆ บอกให้เขารู้
แยกให้ออกระหว่าง "การเตือน" กับ "การดุด่าโดยใช้อารมณ์"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“กำเนิดก้าจัง”
ตอนเด็กๆ คุณแม่เลี้ยงก้าจังแบบเข้มงวดมาก
แม่อยากให้เธอเป็นกุลสตรี มารยาทดี ทำงานบ้านเก่ง
จะได้แต่งงานไปมีชีวิตดีๆ มีความสุข
แม่ดุและบ่นก้าจังตลอดเวลา
“ล้างจานไม่ได้เรื่อง ต้มผักแย่”
เธอรู้ว่าแม่อยากให้เธอได้ดี แต่เธอก็ทรมาน
เธอคิดเสมอๆ ว่า “ฉันมันเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลย”
ความมั่นใจในตัวเองของเธอสลายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ตอนเด็กๆ ก้าจังเห็นแม่โดนพี่น้องมาขอเงินอยู่บ่อยๆ
พี่สาวแม่ เรียนจบมหาลัยชื่อดัง หน้าตาสะสวย ได้แต่งงานกับคนรวย
แต่เธอใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จนทำให้สามีล้มละลาย
ส่วนน้องชายแม่ เคยเป็นนักเบสบอลตัวเอกของทีม
และฝันอยากไปทีมชาติ แต่พอล้มเหลว
ก็กลายเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานและติดการพนัน
“หน้าตาสะสวย” “เรียนจบม.ชื่อดัง” “ตำแหน่งดังๆ”
ไม่ได้ทำให้คนมีความสุขเลย
เมื่อมีลูก เธอจึงอยากให้ลูกรักตัวเอง
ไม่ได้เกลียดตัวเองเหมือนที่เธอเคยเป็น
เธออยากให้ลูกๆ เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด
ไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งที่สุด หรือรวยที่สุด
เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่ไปโรงเรียน เธอไม่โมโห ไม่บังคับให้เชื่อฟังครู
แต่จะถามเหตุผลว่า ทำไมไม่อยากไป
ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป
พอเด็กรู้สึกสบายใจ เดี๋ยวเด็กก็เริ่มอยากไปเอง
ถึงตอนนั้น เธอก็จะชมและให้กำลังใจเขา คอยอยู่เคียงข้างเขา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ลูกชายกับพ่อ”
คุณพ่อซายากะรับไม่ได้ที่ก้าจังเลี้ยงลูกสาวคนโตและคนรอง
แบบให้อิสระขนาดนี้
พ่อยื่นคำขาดว่า เธอดูลูกสาวของเธอไป ส่วนฉันจะดูแลลูกชายเอง
พ่อฝันอยากให้ลูกชายเป็นนักกีฬาเบสบอลทีมชาติ
แกฝึกลูกชายอย่างหนักตั้งแต่เล็กๆ
ทุ่มเทฝึก สั่งสอน อบรม
พ่อไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้ลูกสาวเลย
แต่กลับซื้อรองเท้ากีฬาและถุงมือเบสบอลที่ดีที่สุดให้ลูกชาย
ความฝันและความทุ่มเทของพ่อ
กลับกลายเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้งบนไหล่ลูกชาย
สุดท้าย ตอนม.ปลาย ลูกชายรับแรงกดนั้นไม่ไหว
เขาเกลียดเบสบอลจนขอลาออกจากชมรม และไม่กลับไปอีกเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ลูกสาวกับแม่”
พ่อเลี้ยงดูลูกชายแบบเข้มงวด แต่แม่กลับเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระ
วิธีหว่านพืชต่างกัน ผลที่งอกงามก็ต่างกัน
+ตอนซายากะถูกครูจับเรื่องมีบุหรี่
เธอเห็นแม่ก้มหัวขอโทษทั้งน้ำตา แต่ก็ยังปกป้องเธอ และภูมิใจในเธอ
เธอรู้สึกผิดและตัดสินใจเลิกบุหรี่ตั้งแต่วันนั้น...
+ตอนที่ถูกพักการเรียน ก้าจังเดินมาถามว่า
สนใจไปเรียนพิเศษสักนิดไหม ลองไปฟังก่อนนิดนึงก็ได้
ซายากะเชื่อว่าแม่อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทำเพื่อเธอเสมอ
จึงเชื่อฟังคำแนะนำของแม่ ....ยอมไปเรียน
(จนได้พบกับครูสอนพิเศษที่เปลี่ยนชีวิตเธอ ไว้จะเล่าให้ฟังค่ะ)
+ ตอนก้าจังไปขอเงินพ่อเพื่อส่งลูกเรียนพิเศษ
พ่อของซายากะเห็นความเหลวไหลของลูกสาว
แถมมองว่า ภรรยาโดนครูสอนพิเศษหลอก
อย่างซายากะเหรอจะเข้าม.เคโอ ไม่มีทาง....
แต่ก้าจังที่อยู่เคียงข้างลูกมาตลอด กลับเชื่อมั่นในตัวลูก
เมื่อคุณพ่อก็ปฏิเสธ ไม่ยอมออกเงินค่าเรียนพิเศษ
ก้าจังเลยไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินส่งลูกเรียนเอง
+ตอนซายากะลองทำข้อสอบวัดผล แล้วได้คะแนนต่ำกว่าที่คิดไว้เยอะ
เธอคิดจะเลิกสอบเข้าม.เคโอ..มันเป็นไปไม่ได้
เมื่อก้าจังได้ยินลูกสาวพูด
เธอบอกว่า “ถ้าเหนื่อย ก็พอเถอะลูก”
แต่ประโยคนั้น กลับทำให้ซายากะฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง
ซายากะยังจำซองใส่ปึกธนบัตรหนาเตอะที่เป็นค่าเรียนพิเศษได้
ธนบัตรปึกนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่
ก้าจังทำเพื่อเธอมาตลอดชีวิต เธอก็เลยอยากทำเพื่อก้าจังบ้าง
อยากให้ก้าจังดีใจที่เธอสอบเข้าได้
...และเธอทำสำเร็จ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง
ดิฉันคงไม่ค่อยปลื้มเด็กแบบซายากะจังเท่าไร
แต่งตัวทำผมแบบนั้น...แถมยังโดดเรียนอีก
แต่พอคิดดีๆ ...ดิฉันก็เกิดคำถามกับตัวเอง
ใครที่ทำให้เด็กคนนี้ต่อต้านโรงเรียน
ถ้าเด็กคนนี้เหลวไหลจริง แต่ทำไมเธอถึงกลับมาทุ่มเทอ่านหนังสือสอบ
จนเข้ามหาลัยได้
ตอนติวสอบเข้า ซายากะตัดสินใจเลิกแต่งหน้า เลิกย้อมผม
เอากรรไกรมาตัดผมตัวเองให้สั้นกุด
จะได้เอาเวลาไปดูหนังสือ ไม่ต้องแต่งตัวอีก
หน้าตาน่าเกลียดๆ อย่างนี้ดีแล้ว จะได้ไม่กล้าไปเที่ยวกับเพื่อน
ไม่มีใครบอกให้เธอทำอย่างนั้น
เด็กคนนี้คิดเอง ทำเอง
ความรักและวิธีสอนลูกแบบก้าจัง
แม้จะสร้างเด็กที่ดูภายนอกเหมือนเป็นเด็กแบบไม่เอาถ่าน
แต่จริงๆ แล้ว ก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจ อ่อนโยน และคิดถึงผู้อื่น โดยเฉพาะแม่
คำชม แทนที่ คำด่า
เหตุผล แทนที่ อารมณ์
การให้อิสระ แทนที่ การยัดเยียดความต้องการของพ่อแม่
ความเชื่อมั่นในตัวลูก
ความเชื่อมั่นในความรักที่ให้ลูก
และความเชื่อมั่นว่าลูกรับรู้ความรักตนเองได้
นี่คือวิธีการสอนลูกแบบก้าจังค่ะ
Japan Gossip by เกตุวดี Marumura
===================================================
หมายเหตุ: จริงๆ ซายากะเรียกคุณแม่ว่า “อ้าจัง” ไม่ใช่ “ก้าจัง” แต่พอเขียนเป็นภาษาไทยแล้วดูตลก ไม่เหมือนชื่อเรียก เกรงว่า ผู้อ่านจะสับสน จึงขออนุญาตใช้คำว่า “ก้าจัง” ซึ่งมาจากคำว่า “โอก้าซัง” ที่แปลว่า "แม่" ในบทความค่ะ
เด็กม.5 สติปัญญาป.4 คนนี้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเคโอ
... ม.เอกชนที่สอบเข้ายากที่สุดในญี่ปุ่นได้สำเร็จ
ผู้อยู่เบื้องหลังปาฏิหาริย์ของเธอ คือ ครูสอนพิเศษ และ “ก้าจัง”
วันนี้ ดิฉันขอเล่าถึง “ก้าจัง” ค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ก้าจัง(*)” หรือ คุณแม่ของซายากะจัง มีลูก 3 คน
คือ ซายากะ...ลูกสาวคนโต ลูกสาวคนรอง และลูกชาย
ตอนเด็กๆ ซายากะจังโดนเพื่อนแกล้ง
ก้าจังบุกไปถึงโรงเรียนเพื่อพบครู
คุณครูอธิบายว่า
“การแกล้งกันในโรงเรียนประถมเป็นเรื่องปกติ โรงเรียนไหนๆ ก็มี
เด็กๆ ย่านนี้ก็ซนๆ กันทั้งนั้น เราไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนได้หรอกครับ”
วันนั้น ก้าจังให้ลูกลาออกและย้ายโรงเรียนทันที
พอขึ้นชั้นมัธยม ซายากะจังเริ่มแต่งหน้า ย้อมผม
ใส่ชุดผิดระเบียบ ไม่เข้าเรียน
ครูบางคนถึงกับด่าเธอว่า “นักเรียนอย่างเธอมันคือขยะชัดๆ”
ก้าจังโดนโรงเรียนเรียกไปพบอยู่บ่อยๆ
เธอก้มศีรษะขอโทษ แต่ขณะเดียวกัน ก็พร่ำบอกครูว่า
“ลูกดิฉันเป็นเด็กดีค่ะ
โปรดอย่าตัดสินเด็กว่าเป็นเด็กดีหรือเลวแค่ที่เครื่องแบบ
หรือคะแนนสอบสิคะ”
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้น ตอนที่ซายากะถูกครูจับได้ว่า สูบบุหรี่
ครูเรียกเธอมาพบที่ห้อง และขู่ว่า
“ซายากะ...สารภาพมาซะดีๆ มีใครไปสูบกับเธออีกบ้าง
ถ้าเธอสารภาพ โรงเรียนจะลดโทษให้”
ซายากะปกป้องเพื่อนโดยการปิดปากเงียบ
พอก้าจังมาพบฝ่ายปกครอง เธอบอกทางโรงเรียนว่า
“การให้เด็กนักเรียนขายเพื่อนตัวเอง
เป็นนโยบายการศึกษาของทางโรงเรียนเหรอคะ
ถ้าอย่างนั้น ครูจะไล่ลูกดิฉันออกก็เชิญค่ะ
แต่ดิฉันภูมิใจในตัวลูกสาวดิฉันมาก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนในสังคมอาจมองก้าจังว่า เป็นแม่ที่ “ตามใจลูกเหลือเกิน”
แต่ก้าจังมองว่า
เธอจะทำทุกวิธีเพื่อให้ลูกรู้ว่า
เธออยู่ข้างๆ พวกเขา พร้อมปกป้องพวกเขา
เวลาลูกทำดี เธอจะชมเสมอๆ
เวลาลูกทำผิด เธอไม่ดุด่า
แต่จะค่อยๆ สอน ค่อยๆ บอกให้เขารู้
แยกให้ออกระหว่าง "การเตือน" กับ "การดุด่าโดยใช้อารมณ์"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“กำเนิดก้าจัง”
ตอนเด็กๆ คุณแม่เลี้ยงก้าจังแบบเข้มงวดมาก
แม่อยากให้เธอเป็นกุลสตรี มารยาทดี ทำงานบ้านเก่ง
จะได้แต่งงานไปมีชีวิตดีๆ มีความสุข
แม่ดุและบ่นก้าจังตลอดเวลา
“ล้างจานไม่ได้เรื่อง ต้มผักแย่”
เธอรู้ว่าแม่อยากให้เธอได้ดี แต่เธอก็ทรมาน
เธอคิดเสมอๆ ว่า “ฉันมันเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลย”
ความมั่นใจในตัวเองของเธอสลายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ตอนเด็กๆ ก้าจังเห็นแม่โดนพี่น้องมาขอเงินอยู่บ่อยๆ
พี่สาวแม่ เรียนจบมหาลัยชื่อดัง หน้าตาสะสวย ได้แต่งงานกับคนรวย
แต่เธอใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จนทำให้สามีล้มละลาย
ส่วนน้องชายแม่ เคยเป็นนักเบสบอลตัวเอกของทีม
และฝันอยากไปทีมชาติ แต่พอล้มเหลว
ก็กลายเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานและติดการพนัน
“หน้าตาสะสวย” “เรียนจบม.ชื่อดัง” “ตำแหน่งดังๆ”
ไม่ได้ทำให้คนมีความสุขเลย
เมื่อมีลูก เธอจึงอยากให้ลูกรักตัวเอง
ไม่ได้เกลียดตัวเองเหมือนที่เธอเคยเป็น
เธออยากให้ลูกๆ เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด
ไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งที่สุด หรือรวยที่สุด
เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่ไปโรงเรียน เธอไม่โมโห ไม่บังคับให้เชื่อฟังครู
แต่จะถามเหตุผลว่า ทำไมไม่อยากไป
ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป
พอเด็กรู้สึกสบายใจ เดี๋ยวเด็กก็เริ่มอยากไปเอง
ถึงตอนนั้น เธอก็จะชมและให้กำลังใจเขา คอยอยู่เคียงข้างเขา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ลูกชายกับพ่อ”
คุณพ่อซายากะรับไม่ได้ที่ก้าจังเลี้ยงลูกสาวคนโตและคนรอง
แบบให้อิสระขนาดนี้
พ่อยื่นคำขาดว่า เธอดูลูกสาวของเธอไป ส่วนฉันจะดูแลลูกชายเอง
พ่อฝันอยากให้ลูกชายเป็นนักกีฬาเบสบอลทีมชาติ
แกฝึกลูกชายอย่างหนักตั้งแต่เล็กๆ
ทุ่มเทฝึก สั่งสอน อบรม
พ่อไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้ลูกสาวเลย
แต่กลับซื้อรองเท้ากีฬาและถุงมือเบสบอลที่ดีที่สุดให้ลูกชาย
ความฝันและความทุ่มเทของพ่อ
กลับกลายเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้งบนไหล่ลูกชาย
สุดท้าย ตอนม.ปลาย ลูกชายรับแรงกดนั้นไม่ไหว
เขาเกลียดเบสบอลจนขอลาออกจากชมรม และไม่กลับไปอีกเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ลูกสาวกับแม่”
พ่อเลี้ยงดูลูกชายแบบเข้มงวด แต่แม่กลับเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระ
วิธีหว่านพืชต่างกัน ผลที่งอกงามก็ต่างกัน
+ตอนซายากะถูกครูจับเรื่องมีบุหรี่
เธอเห็นแม่ก้มหัวขอโทษทั้งน้ำตา แต่ก็ยังปกป้องเธอ และภูมิใจในเธอ
เธอรู้สึกผิดและตัดสินใจเลิกบุหรี่ตั้งแต่วันนั้น...
+ตอนที่ถูกพักการเรียน ก้าจังเดินมาถามว่า
สนใจไปเรียนพิเศษสักนิดไหม ลองไปฟังก่อนนิดนึงก็ได้
ซายากะเชื่อว่าแม่อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทำเพื่อเธอเสมอ
จึงเชื่อฟังคำแนะนำของแม่ ....ยอมไปเรียน
(จนได้พบกับครูสอนพิเศษที่เปลี่ยนชีวิตเธอ ไว้จะเล่าให้ฟังค่ะ)
+ ตอนก้าจังไปขอเงินพ่อเพื่อส่งลูกเรียนพิเศษ
พ่อของซายากะเห็นความเหลวไหลของลูกสาว
แถมมองว่า ภรรยาโดนครูสอนพิเศษหลอก
อย่างซายากะเหรอจะเข้าม.เคโอ ไม่มีทาง....
แต่ก้าจังที่อยู่เคียงข้างลูกมาตลอด กลับเชื่อมั่นในตัวลูก
เมื่อคุณพ่อก็ปฏิเสธ ไม่ยอมออกเงินค่าเรียนพิเศษ
ก้าจังเลยไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินส่งลูกเรียนเอง
+ตอนซายากะลองทำข้อสอบวัดผล แล้วได้คะแนนต่ำกว่าที่คิดไว้เยอะ
เธอคิดจะเลิกสอบเข้าม.เคโอ..มันเป็นไปไม่ได้
เมื่อก้าจังได้ยินลูกสาวพูด
เธอบอกว่า “ถ้าเหนื่อย ก็พอเถอะลูก”
แต่ประโยคนั้น กลับทำให้ซายากะฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง
ซายากะยังจำซองใส่ปึกธนบัตรหนาเตอะที่เป็นค่าเรียนพิเศษได้
ธนบัตรปึกนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่
ก้าจังทำเพื่อเธอมาตลอดชีวิต เธอก็เลยอยากทำเพื่อก้าจังบ้าง
อยากให้ก้าจังดีใจที่เธอสอบเข้าได้
...และเธอทำสำเร็จ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง
ดิฉันคงไม่ค่อยปลื้มเด็กแบบซายากะจังเท่าไร
แต่งตัวทำผมแบบนั้น...แถมยังโดดเรียนอีก
แต่พอคิดดีๆ ...ดิฉันก็เกิดคำถามกับตัวเอง
ใครที่ทำให้เด็กคนนี้ต่อต้านโรงเรียน
ถ้าเด็กคนนี้เหลวไหลจริง แต่ทำไมเธอถึงกลับมาทุ่มเทอ่านหนังสือสอบ
จนเข้ามหาลัยได้
ตอนติวสอบเข้า ซายากะตัดสินใจเลิกแต่งหน้า เลิกย้อมผม
เอากรรไกรมาตัดผมตัวเองให้สั้นกุด
จะได้เอาเวลาไปดูหนังสือ ไม่ต้องแต่งตัวอีก
หน้าตาน่าเกลียดๆ อย่างนี้ดีแล้ว จะได้ไม่กล้าไปเที่ยวกับเพื่อน
ไม่มีใครบอกให้เธอทำอย่างนั้น
เด็กคนนี้คิดเอง ทำเอง
ความรักและวิธีสอนลูกแบบก้าจัง
แม้จะสร้างเด็กที่ดูภายนอกเหมือนเป็นเด็กแบบไม่เอาถ่าน
แต่จริงๆ แล้ว ก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจ อ่อนโยน และคิดถึงผู้อื่น โดยเฉพาะแม่
คำชม แทนที่ คำด่า
เหตุผล แทนที่ อารมณ์
การให้อิสระ แทนที่ การยัดเยียดความต้องการของพ่อแม่
ความเชื่อมั่นในตัวลูก
ความเชื่อมั่นในความรักที่ให้ลูก
และความเชื่อมั่นว่าลูกรับรู้ความรักตนเองได้
นี่คือวิธีการสอนลูกแบบก้าจังค่ะ
Japan Gossip by เกตุวดี Marumura
===================================================
หมายเหตุ: จริงๆ ซายากะเรียกคุณแม่ว่า “อ้าจัง” ไม่ใช่ “ก้าจัง” แต่พอเขียนเป็นภาษาไทยแล้วดูตลก ไม่เหมือนชื่อเรียก เกรงว่า ผู้อ่านจะสับสน จึงขออนุญาตใช้คำว่า “ก้าจัง” ซึ่งมาจากคำว่า “โอก้าซัง” ที่แปลว่า "แม่" ในบทความค่ะ
การลงทุนคอน...โดให้เช่า เป็นอะไรที่ได้รับความสนใจมากทีเดียว
Finance Geek
เนื่องจากตลาดการเงินที่ค่อนข้างจะผันผวนในปีนี้นะคะ เราจะเห็นว่านักลงทุนเริ่มที่จะให้ความสนใจในการลงทุนทางเลือกมากขึ้น เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนคอน...โดให้เช่า เป็นอะไรที่ได้รับความสนใจมากทีเดียว โดยแนวทางการลงทุนที่เป็นกระเสอยู่ตอนนี้คือ "การลงทุนคอนโดโดยไม่ใช่เงินตัวเองแม้แต่บาทเดียว" ซึ่งทำได้โดยกู้เงินเต็ม 100% ของมูลค่าคอนโดจากธนาคาร ไม่ต้องใช้เงินตัวเองดาวน์ และปล่อยคอนโดให้เช่า โดยค่าเช่าที่ได้รับจะต้องเท่ากับหรือมากกว่าเงินที่ต้องผ่อนธนาคารในแต่ละเดือน ฟังดูเป็นแนวคิดที่ดีเลยใช่ไหมคะ ทั้งไม่ต้องลงทุนเงินตัวเองเลย ไม่ต้องผ่อนธนาคาร ได้กำไรจากค่าเช่า แถมยังได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อีก
เนื่องจากตลาดการเงินที่ค่อนข้างจะผันผวนในปีนี้นะคะ เราจะเห็นว่านักลงทุนเริ่มที่จะให้ความสนใจในการลงทุนทางเลือกมากขึ้น เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนคอน...โดให้เช่า เป็นอะไรที่ได้รับความสนใจมากทีเดียว โดยแนวทางการลงทุนที่เป็นกระเสอยู่ตอนนี้คือ "การลงทุนคอนโดโดยไม่ใช่เงินตัวเองแม้แต่บาทเดียว" ซึ่งทำได้โดยกู้เงินเต็ม 100% ของมูลค่าคอนโดจากธนาคาร ไม่ต้องใช้เงินตัวเองดาวน์ และปล่อยคอนโดให้เช่า โดยค่าเช่าที่ได้รับจะต้องเท่ากับหรือมากกว่าเงินที่ต้องผ่อนธนาคารในแต่ละเดือน ฟังดูเป็นแนวคิดที่ดีเลยใช่ไหมคะ ทั้งไม่ต้องลงทุนเงินตัวเองเลย ไม่ต้องผ่อนธนาคาร ได้กำไรจากค่าเช่า แถมยังได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อีก
วันนี้เลยอยากจะมาชี้ให้เห็นถึงมุมมองอีกด้านหนึ่งนะคะ ว่าการกู้เงินมาลงทุน หรือ เรียกว่าการใช้ Leverage มีความเสี่ยงอย่างมากที่ไม่เราไม่อาจมองข้ามได้ค่ะ อย่างผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่บริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ยังต้องมีการจำกัดว่าสามารถกู้เงินมาลงทุนได้เป็นอัตราส่วนเท่าไหร่ของมูลค่าสินทรัพย์ (Loan-to-Value หรือ "LTV") ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 80% เช่น ถ้ามูลค่าคอนโดอยู่ที่ 1 ล้านบาท ก็จะกู้เงินมากที่สุดแค่ 8 แสนบาทเท่านั้น
ทำไมถึงต้องกำหนดว่าจะใช้ Leverage ได้เท่าไหร่ด้วยล่ะ?
ที่ต้องกำหนดไว้ก็เพราะว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงในเวลาที่มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง (Buffer) ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆกันดีกว่าค่ะ สมมุติว่าเรามีเงิน 2 แสนบาท กู้เงิน 8 แสนบาท เพื่อมาซื้อคอนโดราคา 1 ล้านบาทนะคะ ในกรณีนี้เรามี Leverage Ratio ที่ 10:2 (หรือ 5:1) ซึ่งหมายถึง ในทุกๆ 10 บาทของมูลค่าสินทรัพย์ เราใช้เงินตัวเอง 2 บาท
ถ้าเวลาหนึ่งปีผ่านไป ราคาคอนโดเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านบาท เราจะมองได้ว่า เราได้กำไร 10% ใช่ไหมคะ แต่จริงๆแล้วเราลงทุนเงินตัวเองแค่ 2 แสนบาทเท่านั้น แต่ได้กำไร 1 แสนบาท เท่ากับกำไร 50% เลย (ในกรณีนี้สมมุติง่ายๆว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้นะคะ แต่ในชีวิตจริงแล้วเราต้องเสียดอกเบี้ย การคำนวณกำไรต้องหักลบจำนวนดอกเบี้ยที่เราเสียด้วยค่ะ) เราจะเห็นได้ว่าการกู้เงินมาลงทุนสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากเงินต้นของเราได้ทีเดียว (Leverage Enhance Return)
แต่ถ้าในทางกลับกันล่ะ มูลค่าของคอนโดลดเป็น 9 แสนบาท เท่ากับ เราขาดทุน 50% จากเงินลงทุนเลยทีเดียว คิดง่ายๆได้โดย มูลค่าคอนโด 9 แสนบาท หักลบหนี้ 8 แสนบาท เหลือเป็นส่วนของเราแค่ 1 แสนบาท (ถ้าคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้เข้าไปอีก ก็คือขาดทุนมากกว่า 50% อีกค่ะ)
คราวนี้เราลองกลับมาดูที่แผนการลงทุนโดยไม่ใช่เงินตัวเองเลยสักบาทเดียวนะคะ คอนโด 1 ล้านบาท หากมูลค่าลดลงเหลือ 9 แสนบาท นั่นหมายถึง เรามีเงินกู้ที่ต้องคืน 1 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย ในขณะที่คอนโดมีมูลค่า 9 แสนบาทเท่านั้น ต่อให้เราขายคอนโดได้ เราก็ยังเข้าเนื้อตัวเองอย่างน้อยหนึ่งแสนบาท
หลายๆคนอาจจะมองว่าถ้าเราไม่ขายคอนโดล่ะ เราก็ยังไม่ต้องรับรู้การขาดทุนนี้ (Unrealized Loss) ซึ่งก็ทำได้ค่ะ ถ้าเรายังมีผู้เช่าที่จ่ายเงินให้เราทุกเดือนไปผ่อนธนาคารได้ แต่ถ้าเกิดเราไม่มีผู้เช่าล่ะ กลายเป็นว่าเรามีมูลค่าหนี้ที่ต้องผ่อนชำระที่มากกว่ามูลค่าคอนโดของเราเสียอีก
นี่คือตัวอย่างง่ายๆ และสมมุติว่าราคาคอนโดลงมาแค่ 10% เท่านั้นนะคะ ในช่วงเวลาวิกฤต Subprime ของอเมริกาที่ผ่านมาในช่วงปี 2007-2009 มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัวลงเกินกว่า 30% ทำให้ผู้กู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะไม่ผ่อนต่อ และให้ธนาคารยึดอสังหาริมทรัพย์ไป เนื่องจากมูลค่าหนี้ที่มีสูงกว่ามูลค่าหลักทรัพย์มาก ผ่อนต่อไปก็ไม่คุ้ม เท่ากับว่าเงินที่เราผ่อนไปแล้วก็เสียไปฟรีๆ แถมคอนโดก็โดนธนาคารยึดอีก
แต่ถ้าเราลงทุนเงินตัวเองสัก 4 แสนบาท ต่อให้ราคาคอนโดลดมา 30% เหลือ 7 แสนบาท เราก็มีภาระหนี้ที่ 6 แสนบาทรวมดอกเบี้ยเท่านั้น เราก็ยังอยากผ่อนต่อเพราะคอนโดมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ที่เหลือ เราไม่อยากให้ธนาคารยึดคอนโดไป ถึงจะขาดทุนเงินดาวน์ไปแล้ว แต่เราไม่ได้มีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ จะเห็นได้ว่าการลงทุนเงินตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็จะมี Buffer รองรับการลดลงของมูลค่าคอนโดมากเท่านั้น
ในขณะที่การไม่ลงทุนตัวเองสักบาทเดียว หากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ลดลงแม้แต่นิดเดียว เราก็จะมีหนี้ทันทีนะคะ แทนที่จะเป็นการลงทุนที่ได้กำไร กลับมีหนี้เสียอีก เทียบกับการเล่นหุ้น (ที่ไม่ได้ Leverage หรือกู้เงินมาเล่นนะคะ) เราขาดทุนสูงสุดก็แค่มูลค่าพอร์ตเราเท่านั้น เราไม่ได้มีหนี้เพิ่ม Hedge Fund ที่โด่งดังในอดีตหลายกองที่ปิดตัวไปก็เพราะว่าการกู้เงินมาลงทุนอย่างมาก (Excessive Leverage) เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นที่คาดหวัง ทำให้กองทุนมีหนี้มากมาย จนรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยชำระหนี้ให้ก็มีค่ะ
เพราะแบบนี้แหล่ะค่ะ ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทั้งหลายถึงต้องมีการกำหนด LTV หรือ Leverage Ratio ในการจำกัดไม่ให้ใช้หนี้มากเกินไปในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์อะไรก็ตาม เพราะกู้เงินมามากเท่าไหร่ เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นตามที่คาดหวัง ความเสียหายก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น (Leverage Multiply Loss)
หวังว่าบทความนี้จะนำเสนอมุมมองอีกด้านให้กับผู้ลงทุนเรื่องการกู้เงินมาลงทุนนะคะ ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างดีไปหมด เป็นไปตามแผนทุกอย่าง การกู้เงินมาลงทุนจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนได้มากขึ้น แต่ถ้าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น ตามคำกล่าวในวงการการเงินว่า "When the music stops" การกู้เงินมาลงทุนจะสร้างหนี้ให้เราอย่างมากค่ะ
เพจ DD Healthymind ที่เป็นเพจที่ให้ความรู้ในเรื่องการลงทุนคอนโด ได้เคยพูดเรื่องการกู้เงินมาลงทุนไว้อย่างน่าสนใจเหมือนกันค่ะ https://www.facebook.com/DDhealthymind/posts/1641060196171750
ทำไมถึงต้องกำหนดว่าจะใช้ Leverage ได้เท่าไหร่ด้วยล่ะ?
ที่ต้องกำหนดไว้ก็เพราะว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงในเวลาที่มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง (Buffer) ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆกันดีกว่าค่ะ สมมุติว่าเรามีเงิน 2 แสนบาท กู้เงิน 8 แสนบาท เพื่อมาซื้อคอนโดราคา 1 ล้านบาทนะคะ ในกรณีนี้เรามี Leverage Ratio ที่ 10:2 (หรือ 5:1) ซึ่งหมายถึง ในทุกๆ 10 บาทของมูลค่าสินทรัพย์ เราใช้เงินตัวเอง 2 บาท
ถ้าเวลาหนึ่งปีผ่านไป ราคาคอนโดเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านบาท เราจะมองได้ว่า เราได้กำไร 10% ใช่ไหมคะ แต่จริงๆแล้วเราลงทุนเงินตัวเองแค่ 2 แสนบาทเท่านั้น แต่ได้กำไร 1 แสนบาท เท่ากับกำไร 50% เลย (ในกรณีนี้สมมุติง่ายๆว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้นะคะ แต่ในชีวิตจริงแล้วเราต้องเสียดอกเบี้ย การคำนวณกำไรต้องหักลบจำนวนดอกเบี้ยที่เราเสียด้วยค่ะ) เราจะเห็นได้ว่าการกู้เงินมาลงทุนสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากเงินต้นของเราได้ทีเดียว (Leverage Enhance Return)
แต่ถ้าในทางกลับกันล่ะ มูลค่าของคอนโดลดเป็น 9 แสนบาท เท่ากับ เราขาดทุน 50% จากเงินลงทุนเลยทีเดียว คิดง่ายๆได้โดย มูลค่าคอนโด 9 แสนบาท หักลบหนี้ 8 แสนบาท เหลือเป็นส่วนของเราแค่ 1 แสนบาท (ถ้าคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้เข้าไปอีก ก็คือขาดทุนมากกว่า 50% อีกค่ะ)
คราวนี้เราลองกลับมาดูที่แผนการลงทุนโดยไม่ใช่เงินตัวเองเลยสักบาทเดียวนะคะ คอนโด 1 ล้านบาท หากมูลค่าลดลงเหลือ 9 แสนบาท นั่นหมายถึง เรามีเงินกู้ที่ต้องคืน 1 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย ในขณะที่คอนโดมีมูลค่า 9 แสนบาทเท่านั้น ต่อให้เราขายคอนโดได้ เราก็ยังเข้าเนื้อตัวเองอย่างน้อยหนึ่งแสนบาท
หลายๆคนอาจจะมองว่าถ้าเราไม่ขายคอนโดล่ะ เราก็ยังไม่ต้องรับรู้การขาดทุนนี้ (Unrealized Loss) ซึ่งก็ทำได้ค่ะ ถ้าเรายังมีผู้เช่าที่จ่ายเงินให้เราทุกเดือนไปผ่อนธนาคารได้ แต่ถ้าเกิดเราไม่มีผู้เช่าล่ะ กลายเป็นว่าเรามีมูลค่าหนี้ที่ต้องผ่อนชำระที่มากกว่ามูลค่าคอนโดของเราเสียอีก
นี่คือตัวอย่างง่ายๆ และสมมุติว่าราคาคอนโดลงมาแค่ 10% เท่านั้นนะคะ ในช่วงเวลาวิกฤต Subprime ของอเมริกาที่ผ่านมาในช่วงปี 2007-2009 มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัวลงเกินกว่า 30% ทำให้ผู้กู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะไม่ผ่อนต่อ และให้ธนาคารยึดอสังหาริมทรัพย์ไป เนื่องจากมูลค่าหนี้ที่มีสูงกว่ามูลค่าหลักทรัพย์มาก ผ่อนต่อไปก็ไม่คุ้ม เท่ากับว่าเงินที่เราผ่อนไปแล้วก็เสียไปฟรีๆ แถมคอนโดก็โดนธนาคารยึดอีก
แต่ถ้าเราลงทุนเงินตัวเองสัก 4 แสนบาท ต่อให้ราคาคอนโดลดมา 30% เหลือ 7 แสนบาท เราก็มีภาระหนี้ที่ 6 แสนบาทรวมดอกเบี้ยเท่านั้น เราก็ยังอยากผ่อนต่อเพราะคอนโดมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ที่เหลือ เราไม่อยากให้ธนาคารยึดคอนโดไป ถึงจะขาดทุนเงินดาวน์ไปแล้ว แต่เราไม่ได้มีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ จะเห็นได้ว่าการลงทุนเงินตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็จะมี Buffer รองรับการลดลงของมูลค่าคอนโดมากเท่านั้น
ในขณะที่การไม่ลงทุนตัวเองสักบาทเดียว หากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ลดลงแม้แต่นิดเดียว เราก็จะมีหนี้ทันทีนะคะ แทนที่จะเป็นการลงทุนที่ได้กำไร กลับมีหนี้เสียอีก เทียบกับการเล่นหุ้น (ที่ไม่ได้ Leverage หรือกู้เงินมาเล่นนะคะ) เราขาดทุนสูงสุดก็แค่มูลค่าพอร์ตเราเท่านั้น เราไม่ได้มีหนี้เพิ่ม Hedge Fund ที่โด่งดังในอดีตหลายกองที่ปิดตัวไปก็เพราะว่าการกู้เงินมาลงทุนอย่างมาก (Excessive Leverage) เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นที่คาดหวัง ทำให้กองทุนมีหนี้มากมาย จนรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยชำระหนี้ให้ก็มีค่ะ
เพราะแบบนี้แหล่ะค่ะ ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทั้งหลายถึงต้องมีการกำหนด LTV หรือ Leverage Ratio ในการจำกัดไม่ให้ใช้หนี้มากเกินไปในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์อะไรก็ตาม เพราะกู้เงินมามากเท่าไหร่ เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นตามที่คาดหวัง ความเสียหายก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น (Leverage Multiply Loss)
หวังว่าบทความนี้จะนำเสนอมุมมองอีกด้านให้กับผู้ลงทุนเรื่องการกู้เงินมาลงทุนนะคะ ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างดีไปหมด เป็นไปตามแผนทุกอย่าง การกู้เงินมาลงทุนจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนได้มากขึ้น แต่ถ้าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น ตามคำกล่าวในวงการการเงินว่า "When the music stops" การกู้เงินมาลงทุนจะสร้างหนี้ให้เราอย่างมากค่ะ
เพจ DD Healthymind ที่เป็นเพจที่ให้ความรู้ในเรื่องการลงทุนคอนโด ได้เคยพูดเรื่องการกู้เงินมาลงทุนไว้อย่างน่าสนใจเหมือนกันค่ะ https://www.facebook.com/DDhealthymind/posts/1641060196171750
อย่าบอกว่าไม่มีเวลา! โซอี้สาวเก่งแอบทำวันละ 1 ชั่วโมงปั้นแบรนด์ผ้าพันคอเงินล้านออนไลน์ ส่งห้าง และส่งออก
Paul Kridakorn
ผมพบคุณโซอี้ ภญ. โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ ครั้งแรกในงานสัมมนา เขียนไม่กี่คำ ทำเงินกว่า รุ่น 7 ของพี่บอย วิสูตร ตอนนั้นคุณโซอี้ทำกิจกรรมขึ้นพูดบนเวทีและพูดเรื่องการแอบทำธุรกิจส่วนตัวเงียบๆ โดยที่ที่บ้านไม่รู้ แถมกำลังมีลูกอีกต่างหาก ทำไปเลี้ยงลูกไป หาฉากตั้งกล้องถ่ายรูปสินค้าเอง ทำสำเร็จเกิดธุรกิจมีสินค้าจำหน่ายในห้างและออนไลน์แถมส่งออกด้วย!
เธออยากนำประสบการณ์มาเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนในการเดินตามฝันและทำในสิ่งที่รักจึงมาเข้าคอร์สเขียนไม่กี่คำทำเงินกว่าของพี่บอย วิสูตร เพื่อเตรียมออกหนังสือ ตอนนั้นผมได้ฟังเพียงระยะเวลาสั้นๆก็รู้สึกได้แรงบันดาลใจไปด้วย และยิ่งมีโอกาสได้คุยก็ยิ่งทึ่งในความขยัน เพราะขนาดผมเป็นผู้ชายตัวคนเดียว เขียน Blog เล็กๆ คู่กับการผลิต Information products ซึ่งอยู่ในรูปแบบ ดิจิตอล ยังเหนื่อยเลย แต่คุณโซอี้เล่นผลิตสินค้าเป็นชิ้นเป็นอันยันส่งออก!
วันนี้คุณโซอี้มีผลงานหนังสือออกมาเป็นที่เรียบร้อยชื่อ (แอบทำ) 1 ชั่วโมงต่อวัน ฝันเปลี่ยน สูตรสำเร็จเคล็ดสร้างล้าน แบ่งปันประสบการณสร้างธุรกิจติดวงเล็บว่า แอบทำ! ผมจึงขอพาคุณโซอี้มาเล่าให้ฟังว่าเป็นมาอย่างไรทำไมต้อง แอบ?
หมายเหตุ: ผมขออนุญาตไม่ปรับเปลี่ยนภาษาใดๆ ขอให้คงไว้เป็นเอกลักษณ์ภาษาพูดของผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อความเป็นธรรมชาติครับ
1. คุณโซอี้แอบทำธุรกิจ ซึ่งคนจะทำธุรกิจออกจะน่าภูมิใจแต่ทำไมกรณีต้องแอบ? คุณโซอี้ช่วยเล่าให้ฟังแบบจัดเต็มให้หน่อยครับ
ประวัติส่วนตัว
โซอี้ ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส ซี แอล อินโนเวชั่น จำกัด
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ โซอี้สคาร์ฟ
ติดตามบทความไอเดีย+แรงบันดาลใจในสร้างธุรกิจได้ที่
Official Line ID : @hizoe
เธออยากนำประสบการณ์มาเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนในการเดินตามฝันและทำในสิ่งที่รักจึงมาเข้าคอร์สเขียนไม่กี่คำทำเงินกว่าของพี่บอย วิสูตร เพื่อเตรียมออกหนังสือ ตอนนั้นผมได้ฟังเพียงระยะเวลาสั้นๆก็รู้สึกได้แรงบันดาลใจไปด้วย และยิ่งมีโอกาสได้คุยก็ยิ่งทึ่งในความขยัน เพราะขนาดผมเป็นผู้ชายตัวคนเดียว เขียน Blog เล็กๆ คู่กับการผลิต Information products ซึ่งอยู่ในรูปแบบ ดิจิตอล ยังเหนื่อยเลย แต่คุณโซอี้เล่นผลิตสินค้าเป็นชิ้นเป็นอันยันส่งออก!
วันนี้คุณโซอี้มีผลงานหนังสือออกมาเป็นที่เรียบร้อยชื่อ (แอบทำ) 1 ชั่วโมงต่อวัน ฝันเปลี่ยน สูตรสำเร็จเคล็ดสร้างล้าน แบ่งปันประสบการณสร้างธุรกิจติดวงเล็บว่า แอบทำ! ผมจึงขอพาคุณโซอี้มาเล่าให้ฟังว่าเป็นมาอย่างไรทำไมต้อง แอบ?
หมายเหตุ: ผมขออนุญาตไม่ปรับเปลี่ยนภาษาใดๆ ขอให้คงไว้เป็นเอกลักษณ์ภาษาพูดของผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อความเป็นธรรมชาติครับ
1. คุณโซอี้แอบทำธุรกิจ ซึ่งคนจะทำธุรกิจออกจะน่าภูมิใจแต่ทำไมกรณีต้องแอบ? คุณโซอี้ช่วยเล่าให้ฟังแบบจัดเต็มให้หน่อยครับ
การผจญภัยเล็กๆของโซอี้ เริ่มหลังจากการแต่งงานค่ะ
เราเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เมื่อแต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายชาย
บ้านสามีโซอี้ทำธุรกิจเป็นระบบกงสีขนาดใหญ่ค่ะ
ป๊าม๊าบอกโซอี้เสมอว่า เราแต่งงานไป ห้ามอยู่บ้านเค้าเฉยๆ
ต้องรู้จักทำมาหากิน อืม…
เราเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เมื่อแต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายชาย
บ้านสามีโซอี้ทำธุรกิจเป็นระบบกงสีขนาดใหญ่ค่ะ
ป๊าม๊าบอกโซอี้เสมอว่า เราแต่งงานไป ห้ามอยู่บ้านเค้าเฉยๆ
ต้องรู้จักทำมาหากิน อืม…
โชคดีที่ฝั่งบ้านสามี ให้ทุกคนทำงาน
ตอนนั้นโซอี้สนุกกับการได้เรียนรู้งานใหม่ๆในกงสี
หลังจากได้เรียนรู้ เราก็อยากจะสร้างผลงานบ้าง
เพราะโซอี้เคยรู้สึก ”ตัวใหญ่” มาก่อน
โซอี้เป็นพวกบ้าพลัง ชอบสร้างผลงานค่ะ
ตอนนั้นโซอี้สนุกกับการได้เรียนรู้งานใหม่ๆในกงสี
หลังจากได้เรียนรู้ เราก็อยากจะสร้างผลงานบ้าง
เพราะโซอี้เคยรู้สึก ”ตัวใหญ่” มาก่อน
โซอี้เป็นพวกบ้าพลัง ชอบสร้างผลงานค่ะ
ตอนเป็นผู้แทนยา ก็เป็น Top sale
ตอนช่วยที่บ้าน สร้างตึกก็เห็นตึก
ซื้อที่ขายที่ ซื้อตึกขายตึกก็เห็นเงินก้อน
มันเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆของโซอี้ค่ะ
ตอนช่วยที่บ้าน สร้างตึกก็เห็นตึก
ซื้อที่ขายที่ ซื้อตึกขายตึกก็เห็นเงินก้อน
มันเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆของโซอี้ค่ะ
แต่การสร้างผลงาน ทางบ้านสามีของโซอี้ มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิคะ
ระบบกงสีที่บ้านสามี เค้าวางไว้ดีมาก
แถมมีที่ปรึกษาที่ทรงคุณวุฒิ หลายท่าน
โซอี้รู้สึกเลยว่าเรา”ตัวเล็ก”ทันที
ระบบกงสีที่บ้านสามี เค้าวางไว้ดีมาก
แถมมีที่ปรึกษาที่ทรงคุณวุฒิ หลายท่าน
โซอี้รู้สึกเลยว่าเรา”ตัวเล็ก”ทันที
หลังจากนั้นโซอี้เริ่มคิดว่า ถ้าอย่างนี้เราจะไม่ได้ใช้ศักยภาพของเราที่มีอยู่
เพราะนานวันไปโซอี้ก็เริ่มรู้สึกเฉา
โซอี้เลยคิดขึ้นมาว่า .. เราต้องสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ฮึ๊บๆ
แค่คิดก็สนุกแล้วค่ะ
เพราะนานวันไปโซอี้ก็เริ่มรู้สึกเฉา
โซอี้เลยคิดขึ้นมาว่า .. เราต้องสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ฮึ๊บๆ
แค่คิดก็สนุกแล้วค่ะ
แต่ตอนทำสิคะ …
โซอี้มีงานหลักที่จะต้องทำ
หลายคนคงทราบดี ถ้าเรามีงานเสริมด้วย
อาจโดนเพ่งเล็งใช่มั้ยคะ ??
โซอี้มีงานหลักที่จะต้องทำ
หลายคนคงทราบดี ถ้าเรามีงานเสริมด้วย
อาจโดนเพ่งเล็งใช่มั้ยคะ ??
เหมือนกับถ้าคุณขายประกันเป็นงานเสริม
แต่บอกหัวหน้าว่า ใช้เวลานอกเหนือจากเวลางาน
คุณคิดว่า หัวหน้าจะเชื่อคุณมั้ย ??
แต่บอกหัวหน้าว่า ใช้เวลานอกเหนือจากเวลางาน
คุณคิดว่า หัวหน้าจะเชื่อคุณมั้ย ??
อีกอย่างป๊าสามีเค้าเคยพูดว่า
อย่าเสียเวลาไปทำอะไรที่มันเล็กๆ
เพราะจะได้ไม่คุ้มค่าเหนื่อย
เอาเวลามาช่วยกันทำธุรกิจในกงสีดีกว่า
อย่าเสียเวลาไปทำอะไรที่มันเล็กๆ
เพราะจะได้ไม่คุ้มค่าเหนื่อย
เอาเวลามาช่วยกันทำธุรกิจในกงสีดีกว่า
และก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการที่โซอี้ต้อง “แอบทำ”
2. คุณโซอี้ ทำงานให้ทั้งทางฝั่งสามี และทางบ้านตัวเอง แล้วยังมีลูก 1 คนและกำลังท้องอีก 1 คน แถมเรียนปริญญาโทไปด้วย เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการสร้างธุรกิจใหม่ อยากให้แชร์วิธีการบริหารเวลาตรงจุดนี้ครับ
โซอี้แอบสร้างธุรกิจของตัวเองโดยไม่ให้คนอื่นรู้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต งานประจำทั้งทางบ้านฝั่งสามีและทางบ้านตัวเองต้องไม่มีปัญหา การเรียนต้องไม่กระทบ เลี้ยงลูกก็ต้องให้เวลาเต็มที่ โซอี้บริหารจัดการเวลาโดยแบ่งงานออกเป็น 4 กลุ่ม
1. สำคัญและเร่งด่วน
2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
สำคัญและเร่งด่วน:
เป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องทำทันที เช่นการแก้ไขปัญหางานต่างๆ พาลูกไปหาหมอ ต้องเติมน้ำมันเพราะหมดถังแล้ว ต้องจ่ายบิลค่าโทรศัพท์เพราะวันสุดท้าย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องทำทันทีไม่สามารถเลี่ยงได้ โซอี้พยายามบริหารจัดการงานต่างๆให้เกิดสิ่งนี้น้อยที่สุด เพราะถ้ามีมากจะทำให้ชีวิตวุ่นวาย กดดัน และยุ่งตลอดเวลา
เป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องทำทันที เช่นการแก้ไขปัญหางานต่างๆ พาลูกไปหาหมอ ต้องเติมน้ำมันเพราะหมดถังแล้ว ต้องจ่ายบิลค่าโทรศัพท์เพราะวันสุดท้าย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องทำทันทีไม่สามารถเลี่ยงได้ โซอี้พยายามบริหารจัดการงานต่างๆให้เกิดสิ่งนี้น้อยที่สุด เพราะถ้ามีมากจะทำให้ชีวิตวุ่นวาย กดดัน และยุ่งตลอดเวลา
สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน:
เป็นสิ่งสำคัญและสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ งานทุกอย่างที่โซอี้ต้องทำ โซอี้จะจัดตารางงานไว้ ทำเป็นข้อๆ และค่อยๆทำให้เสร็จ โซอี้ให้ความสำคัญกับงานกลุ่มนี้มาก ไม่ว่านัดประชุมกรรมการ ประชุมการขาย วางแผนการผลิต นัดคุยกับลูกค้า สอนการบ้านลูก พาลูกๆไปเที่ยว ตรวจความเรียบร้อยของอาคาร ออกกำลังกาย พวกนี้อยู่ในตารางนัดโซอี้ทั้งหมด และแน่นอน โซอี้เหลือเวลาเพียงพอที่จะนัดคุยกับโรงงานผู้ผลิต ประสานงานเพื่อนำเข้าผ้า นัดคุยกับคนออกแบบลายผ้า เพื่อสานฝันของโซอี้
เป็นสิ่งสำคัญและสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ งานทุกอย่างที่โซอี้ต้องทำ โซอี้จะจัดตารางงานไว้ ทำเป็นข้อๆ และค่อยๆทำให้เสร็จ โซอี้ให้ความสำคัญกับงานกลุ่มนี้มาก ไม่ว่านัดประชุมกรรมการ ประชุมการขาย วางแผนการผลิต นัดคุยกับลูกค้า สอนการบ้านลูก พาลูกๆไปเที่ยว ตรวจความเรียบร้อยของอาคาร ออกกำลังกาย พวกนี้อยู่ในตารางนัดโซอี้ทั้งหมด และแน่นอน โซอี้เหลือเวลาเพียงพอที่จะนัดคุยกับโรงงานผู้ผลิต ประสานงานเพื่อนำเข้าผ้า นัดคุยกับคนออกแบบลายผ้า เพื่อสานฝันของโซอี้
ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน:
เป็นสิ่งที่จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ซึ่งต้องเผชิญและต้องตัดสินใจในขณะนั้นทันที เช่น มีคนโทรศัพท์มาชวนทำบัตรเครดิต เพื่อนชวนทานข้าวด้วยตอนนี้ เพื่อนโทรถามทาง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมาขัดจังหวะการใช้เวลาและขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในขณะนั้น ซึ่งส่งผลทำให้การใช้เวลามีประสิทธิภาพลดลง
เป็นสิ่งที่จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ซึ่งต้องเผชิญและต้องตัดสินใจในขณะนั้นทันที เช่น มีคนโทรศัพท์มาชวนทำบัตรเครดิต เพื่อนชวนทานข้าวด้วยตอนนี้ เพื่อนโทรถามทาง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมาขัดจังหวะการใช้เวลาและขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในขณะนั้น ซึ่งส่งผลทำให้การใช้เวลามีประสิทธิภาพลดลง
ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน:
เป็นสิ่งที่ทำไปตามอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เช่น อ่านดราม่าในเฟสบุ๊ก เล่นเกมส์คุ้กกี้รัน นอนเพลิน ติดละคร โซอี้พยายามทำให้น้อยที่สุดเพราะรู้ว่าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
เป็นสิ่งที่ทำไปตามอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เช่น อ่านดราม่าในเฟสบุ๊ก เล่นเกมส์คุ้กกี้รัน นอนเพลิน ติดละคร โซอี้พยายามทำให้น้อยที่สุดเพราะรู้ว่าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
โซอี้แบ่งงานและให้ความสำคัญกับงานเรียงลำดับโดยเรียงจาก สำคัญและไม่เร่งด่วนเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะไปลด สิ่งที่สำคัญและเร่งด่วน (เพราะทุกอย่างถ้าเราวางแผนไว้ดี ปัญหาเร่งด่วนจะไม่ตามมา) งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน เป็นสิ่งที่อยู่นอกแผน แต่ต้องเผชิญ และ สุดท้ายไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนพยายามตัดออกไป ลองเอาไปใช้นะคะ รับรองว่าเวลาเหลืออื้อเลย
3. อยากให้แชร์ความแตกต่างระหว่างการช่วยงานกงสี (งานประจำ) และวันที่เราเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเอง
ธุรกิจกงสี (งานประจำ): เป็นทำงานร่วมกันหลายฝ่าย เพราะฉะนั้น การตัดสินใจจะตัดสินใจร่วมกัน
ข้อดี คือมีโอกาสได้ฟังหลายๆความคิดเห็น ทำให้ได้มุมมองหลายมุมมอง แต่ความคล่องตัวในการปฏิบัติงานจะน้อยกว่า
ข้อดี คือมีโอกาสได้ฟังหลายๆความคิดเห็น ทำให้ได้มุมมองหลายมุมมอง แต่ความคล่องตัวในการปฏิบัติงานจะน้อยกว่า
ธุรกิจส่วนตัว: เนื่องจากเป็นธุรกิจของเราคนเดียว ทำให้ต้องตัดสินใจเอง และต้องเด็ดขาด การตัดสินใจคนเดียวอาจผิดพลาดได้บ้าง แต่เราจะมีอิสระทางความคิด และทำงานได้รวดเร็วกว่า มีความคล่องตัวมากกว่า
4. หลายคนอยากประสบความสำเร็จ แต่มักมีข้ออ้างว่า ไม่มีเวลา และ ทำไม่เป็น อยากให้คุณโซอี้แชร์ความความเห็นเกี่ยวกับสองประโยคนี้ครับ
ประเด็นแรก เรื่อง ”ไม่มีเวลา”
อันดับแรกคือ ต้องทบทวนตัวเองว่า ใน1วันเราใช้เวลาทำอะไรบ้าง ?
อันดับแรกคือ ต้องทบทวนตัวเองว่า ใน1วันเราใช้เวลาทำอะไรบ้าง ?
เช่น เช้าถึงเย็นทำงาน เย็นทานข้าวให้เวลากับครอบครัว บางคนก็บอกว่าหมดวันแล้ว ตอนกลางคืนขอพักบ้าง
จริงๆแล้วก็ไม่ผิดนะคะ เราจะพักก็ได้ เราก็จะได้ชีวิตที่เหมือนเดิม หรือเหมือนกับคนทั่วไป
แต่ถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่เปลี่ยนไป เราก็ต้องเปลี่ยนแปลง
จริงๆแล้วก็ไม่ผิดนะคะ เราจะพักก็ได้ เราก็จะได้ชีวิตที่เหมือนเดิม หรือเหมือนกับคนทั่วไป
แต่ถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่เปลี่ยนไป เราก็ต้องเปลี่ยนแปลง
ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆค่ะ โซอี้ก็ต้องแลกเวลาในตอนกลางคืนของตัวเองที่จะได้พักผ่อน
วันละเล็กละน้อย แต่ทำอย่างมีวินัย และสม่ำเสมอ เพื่อต่อเติมความฝันของเราให้ถึงเป้าหมาย
วันละเล็กละน้อย แต่ทำอย่างมีวินัย และสม่ำเสมอ เพื่อต่อเติมความฝันของเราให้ถึงเป้าหมาย
ประเด็นที่2 เรื่อง “ทำไม่เป็น”
ถ้าหมายถึง ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องศึกษาเพิ่ม หรือค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่ม
เพราะคงไม่มีใครรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในวันที่โซอี้คิดจะทำธุรกิจผ้าพันคอ โซอี้ก็ไม่เคยมีความรู้เช่นกันค่ะ
ถ้าหมายถึง ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องศึกษาเพิ่ม หรือค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่ม
เพราะคงไม่มีใครรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในวันที่โซอี้คิดจะทำธุรกิจผ้าพันคอ โซอี้ก็ไม่เคยมีความรู้เช่นกันค่ะ
ตอนนั้นก็โทรหาเพื่อนที่เค้าน่าจะรู้เรื่องนี้ และเริ่มหาข้อมูลต่างๆ เก็บเกี่ยวความรู้ทีละเล็ก ทีละน้อย
แน่นอนค่ะ ตอนแรกที่ทำออกมามันไม่เพอร์เฟคหรอก แต่เราก็ค่อยๆแก้ไขปัญหาทีละจุด ทีละจุด
และการที่ได้แก้ไขปัญหานี่แหละค่ะ ที่ทำให้เรามีความรู้ และทำเป็นมากขึ้น
แน่นอนค่ะ ตอนแรกที่ทำออกมามันไม่เพอร์เฟคหรอก แต่เราก็ค่อยๆแก้ไขปัญหาทีละจุด ทีละจุด
และการที่ได้แก้ไขปัญหานี่แหละค่ะ ที่ทำให้เรามีความรู้ และทำเป็นมากขึ้น
บางคน รอที่จะต้องรู้ทุกอย่างให้ครบก่อนแล้วค่อยเริ่ม โซอี้ว่ามันเป็นไปได้ยากมากๆค่ะ
เพราะความรู้นี่มันไม่มีวันสิ้นสุด พ่อโซอี้สอนมาตลอด ต้องลงมือทำก่อน จะได้รู้ว่าติดอะไรแล้วก็ค่อยๆแก้ไป
ไม่ใช่รอให้รู้หมด แล้วค่อยลงมือทำ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ทำสักที คุณว่ามั้ยคะ ?
5. ประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับจากหนังสือ (แอบทำ) 1 ชั่วโมงต่อวัน ฝันเปลี่ยน สูตรสำเร็จเคล็ดสร้างล้าน? และสามารถหาซื้อได้ที่ไหน? เพราะความรู้นี่มันไม่มีวันสิ้นสุด พ่อโซอี้สอนมาตลอด ต้องลงมือทำก่อน จะได้รู้ว่าติดอะไรแล้วก็ค่อยๆแก้ไป
ไม่ใช่รอให้รู้หมด แล้วค่อยลงมือทำ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ทำสักที คุณว่ามั้ยคะ ?
หนังสือเล่มนี้ เหมาะกับใครก็ตามที่อยากจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง (ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจผ้าพันคอ) ไม่ว่าปัจจุบันจะทำงานประจำอยู่ หรือทำงานส่วนตัวอยู่แล้วก็ตามค่ะ
เพราะในเล่มนี้ บอกตั้งแต่วิธีค้นหาธุรกิจที่เหมาะกับตัวเอง การจัดเวลาแบบแอบทำ เทคนิคการแอบทำ ถ้าคุณอยากที่จะทำธุรกิจ แบบคนน้อย เวลาน้อย และทุนน้อย จะต้องทำอย่างไร
วิธีการขายของออนไลน์ การนำสินค้าเข้าห้าง รวมถึงการส่งออก ซึ่งถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงๆของโซอี้ ที่ทำแล้วได้ผลและนำมาบอกต่อ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเรื่องเล่าวิธีการคิด และวิธีการทำของโซอี้ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือ เรื่องเล่า+how to ที่นำไปปฏิบัติได้จริง
หากท่านใดสนใจหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ที่ร้าน SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Line ID : @hizoe ครับประวัติส่วนตัว
โซอี้ ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส ซี แอล อินโนเวชั่น จำกัด
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ โซอี้สคาร์ฟ
ติดตามบทความไอเดีย+แรงบันดาลใจในสร้างธุรกิจได้ที่
Official Line ID : @hizoe
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
เส้นลายมือ เศรษฐี 100 ล้าน มาดูกันเร็ว
ภาพลายมือหลักทรัพย์ ลายมือคนรวย ที่นำมาแสดงไว้ด้านบนนี้ เป็นเพียง 1 แบบตัวอย่างของมือคนที่่รวย หากไม่ได้เกิดมารวยตั้งแต่ต้น ก็จะมีโอกาสที่จะสร้างตัวเองให้ร่ำรวยได้ด้วยเส้นลายมือดังการวิเคราะห์ต่อไปนี้ (ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง)
หมายเลข 1 เส้นชีวิต จะเห็นว่าเส้นชีวิตมีปลายแยกออกบ่งบอกว่าในสุดท้ายชีวิตมั่นคงด้วยทรัพย์สินเงินทองและมีเส้นจากเส้นวาสนามาสัมผัสกับเส้นชีวิต หรือจะมองว่ามีเส้นแยกจากเส้นชีวิตไปรวมกับต้นเส้นวาสนาก็ได้และเส้นวาสนาแยกเป็นสามง่ามคล้ายกับต้นไม้แตกกิ่งก้าน เส้นวาสนาแบบนี้จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยมีรายได้จากหลายทางสามรถทำงานหรือประกอบอาชีพได้หลายอย่างพร้อม ๆกัน จึงทำให้มีรายได้มาก มีความมั่นคงกับการทำมาหาได้
หมายเลข2
เส้นสมองเกิดห่างจากเส้นชีวิตพอประมาณ ไม่ห่างมากเกินไป และเส้นสมองมีลักษณะดีมากคือเส้นคมชัดไม่แตกไม่เป็นเกาะ เส้นยาวพอประมาณ ทิศทางปลายเส้นเข้าแนวอังคารสูง แสดงถึงสมองที่มีคุณภาพ เป็นนักคิด นักวางแผนที่ดี และกล้าได้กล้าเสียแต่ก็มีเหตุผลเพียงพอ กล้าตัดสินใจด้วยความเหมาะสมและทันต่อเวลาและสถานการณ์ (หากเส้นสมองเกิดรวมกันเส้นชีวิตลึกเข้ามาในมือ จะเป็นคนที่ลังเลขาดความเชื่อมั่นหรือขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร และไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ )
หมายเลข3 เส้นใจหรือจิตใจ เป็นเส้นที่คมชัด ไม่แตก ไม่เป็นโซ่ ไม่มีเกาะ ยาวเข้าเนินพฤหัส(ใต้นิ้วชี้) แสดงถึงจิตใจที่มั่นคงมีความตั้งใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วจะทำให้ได้และมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จ เป็นคนมีคุณธรรมสูง จิตใจดีงามและมักจะได้รับความสุขความสำเร็จในชีวิตรักและครอบครัวเป็นอย่างดี ความรักลงตัว ครอบครัวดีจะเป็นพื้นฐานของความสำเร็จอีกหลาย ๆ อย่างตามมา ปลายเส้นใจแยกออกเล็กน้อย หมายถึงความพอเหมาะพอดีในเรื่องการใช้เหตุผลควบคุม ในขณะที่มีความเห็นอกเห็นใจหรือเข้าใจในอารมณ์ของคนอื่น รวมถึงเป็นคนให้ความสำคัญกับคำว่าศักดิ์ศรีและเกียรติยศ
หมายเลข4 เส้นวาสนา ยาวตรงถึงเนินเสาร์ ในมือนี้เส้นวาสนา (หมายเลข 1) คือเส้นเดียวกันเป็นเส้นที่ยาวต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนหรือมีเส้นตัด จะมีแผ่วบางลงบ้างช่วงระหว่างเส้นสมองกับเส้นจิตใจ เส้นวาสนายาวต่อเนื่องแสดงว่าการประกอบอาชีพ หรือธุรกิจหน้าที่การงานมีความต่อเนื่อง ไม่สะดุด ไม่มีอุปสรรค จะมีบ้างช่วงที่เส้นจางหรือบางลง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะเส้นไม่ขาดหรือเปลี่ยนตำแหน่ง แสดงว่ามีปัญหาก็แก้ไขได้ คนที่มีเส้นวาสนาดีเข้าไปสิ้นสุดที่ใต้โคนนิ้วกลาง บริเวณเนินเสาร์ และเนินเสาร์ก็ต้องเต็มมีความกว้างได้มาตรฐาน(ไม่แฟบหรือสูงเกินไป วัดระยะจากเส้นรัดข้อนิ้วกล่างล่างสุดถึงเส้นสมองไม่ต่ำกว่า 25 มม.)ก็จะมีหลักทรัพย์ หรือมีทรัพย์สินเงินทองมั่นคงได้อย่างแน่นอน (ดูเนินหลักทรัพย์ที่บริเวณเนินศุกร์ประกอบด้วย)
หมายเลข5 เส้นอาทิตย์หรือเส้นสำคัญ เกิดใต้นิ้วนางบริเวณเนินอาทิตย์ เส้นอาทิตย์เป็นพี่เลี้ยงหรือส่งเสริมเส้นวาสนา เส้นนี้เกิดขึ้นจากที่ใดก็ได้ปลายเส้นวิ่งเข้าเนินอาทิตย์ เนินอาทิตย์ที่สมบูรณ์และได้มาตรฐานคือวัดจากเส้นรัดข้อนิ้วนางลางสุดถึงเส้นใจมีระยะไม่น้อยกว่า 30 มม. เนินไม่แฟบแบนและไม่แคบเกินไป จะส่งเสริมเส้นอาทิตย์ จากภาพที่นำมานี้เส้นอาทิตย์เกิดขึ้นจากเส้นจิตใจ แสดงว่าเจ้าของมือมีความปรารถนาที่จะมีชื่อเสียงเงินทอง หรือมีความเด่นดังและสามารถทำได้ ด้วยได้รับอิทธิพลจากเส้นอาทิตย์นี้ซึ่งเป็นเส้นที่สวย ตั้งตรงไม่มีเส้นตัด คนที่มีเส้นอาทิตย์จะทำให้ชีวิตเดินเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วกว่าคนอื่น คือมีตัวช่วย มีพลังพิเศษมาสนับสนุน เส้นอาทิตย์เปรียบได้กับดวงอาทิตย์ คือมีแสงสว่างในตัวเองและให้แสงสว่างแก่สรรพสิ่งอื่น ๆ ด้วย หรือหากจะมองแบบดาวในมือท่านก็เปรียบเป็นสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่สัตว์ คือเจ้าของมือจะมีความกล้าหาญ มีความรอบรู้ ฉลาด และมีพลัง จึงทำให้พิชิตเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว คนที่มีชื่อเสียงเด่นดังทุก ๆ คนจะมีเส้นอาทิตย์ที่สวยงามเสมอ
หมายเลข6 เส้นพุธ เป็นเส้นที่ส่งเสริมเส้นอาทิตย์ด้วย เป็นเส้นที่่สื่อถึงการเจรจา การใช้วาทะศิลป์ ความเฉลี่ยวฉลาด ความมีเหตุผลและความซับซ้อนในมิติการคิดอ่าน การเข้าถึงจิตใจของบุคคลอื่น การมีสัมผัสที่ 6 การการมีสุขภาพที่ดีหรือรู้จักดูแลใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ จึงเป็นคนที่มีสุขภาพดี และแจ่มใสอยู่เสมอ
หมายเลข7 เส้นจิตใจที่มีปลายแยกออกเป็นง่ามหรือปากซ่อม หมายถึงความเข้าถึงจิตใจคนอื่น เป็นนักปกครอง หรือบริหารจัดการได้ดีเยี่ยม รู้จักเข้ากับคนอื่น ๆ รู้วิธีแก้ปัญหาเรื่องคนได้อย่างดีเยี่ยม ตรงนี้คือลักษณะเด่นอีกหนึ่งประการของการเป็นผู้นำหรือเจ้าของกิจการจำเป็นที่จะต้องมี และอีกหนึ่งความหมายของปลายแยกเข้าสู่ใกล้ใต้โคนนิ้วชี้คือเกียรติยศ เป็นคนมีจิตใจรักเกียรติรักศักดิ์ศรี จึงหาวิธีหรือช่องทางเพื่อความมั่นคงและมีศักดิ์ศรีในสังคมเพิ่มเติมจากความร่ำรวยมีเงินทองแล้ว
สรุปนะครับว่าการที่จะเป็นคนรวยได้นั้นต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างประกอบกัน แต่ก็ใช่ว่าจะต้องมีครบทุกองค์ประกอบ บางคนเส้นชีวิตดี สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยประกอบกับเส้นสมองดีก็รวยได้แต่จะรวยมากสู้กับคนที่มีวาสนาดีและเส้นอาทิตย์ดีคงจะไม่ใช่ บางคนเกิดมาไม่รวย เส้นสมองดี เส้นจิตใจดีก็อาจได้ทุนเรียนและมีโอกาสร่ำรวยได้เช่นกัน แต่ก็ต้องดูุเส้นวาสนาและเส้นอาทิตย์ประกอบ เส้นวาสนาคือเส้นทีจะส่งผลเรื่องการงาน อาชีพ การดำเนินชีวิต เส้นอาทิตย์จะส่งเสริมเรื่องโอกาส ความเฉลียวฉลาด ความมีชื่อเสียงและโด่งดัง อย่างไรก็ตาม จะดูลายมือเพียงเส้นหนึ่งเส้นใด หรือตำแหน่งใด ๆ เพียงลำพังไม่ได้ ต้องดูประกอบกัน เพราะแต่ละคนก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป ดังนั้นผู้ที่เป็นนักพยากรณ์ลายมือที่มีประสบการณ์หรือมีความชำนาญพอก็ย่อมบอกได้ว่าท่านจะรวยหรือไม่ เริ่มต้นรวยเมื่อใด สุดท้ายในอนาคต หรือบั้นปลายชีวิตจะมั่นคงหรือร่ำรวยมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าคุณมีเส้นทุกเส้นครบ แต่ไม่สร้างอะไรเลย มันจะรวยได้อย่างไร??
http://horoscope.sanook.com/91923/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)