วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กฎแห่งแรงดึงดูด” (Law of Attraction)

“กฎแห่งแรงดึงดูด” (Law of Attraction) 





ศาสตร์ทางจิตวิทยา ที่อยู่คู่กับมวลมนุษย์มากว่า 1,000 ปีแล้ว ว่าง่ายๆ “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ มันก็คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งจักรวาล ซึ่งอยู่คู่โลกและอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมานับเป็นพันๆ ปี หรือนับตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วก็ว่าได้ ถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยแรงโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ก็เป็นกฎที่เป็นจริงอย่างนั้นเหมือนกัน และถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ หรือที่พระท่านบอกว่า “อิทัปปัจยตา” แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ ก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

เราอาจอธิบาย “กฎแห่งแรงดึงดูด” อย่างง่ายๆ ได้ว่า คนเราคิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่เราคิดถึงอยู่ตลอดเวลามันจะเป็นจริงได้ในที่สุด ความคิดของคนเรามักดึงดูดสิ่งที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้สิ่งนั้นเราจะไม่ต้องการก็ตาม แต่ถ้าเราคิดถึงมันอยู่ตลอด มันก็จะมาปรากฏแก่เราในที่สุด ดังคำโบราณของไทยที่ว่า “เกลียด และกลัวสิ่งไหน ก็มักจะเจอสิ่งนั้น!” ก็เพราะเรามักจะคิดแต่สิ่งที่เราเกลียดและที่เรากลัวอยู่ตลอดเวลา เราจึงมักต้องเจอกับสิ่งนั้นในที่สุด กูรูและผู้รู้หลายท่านจึงมักพร่ำสอนเรามาตลอดว่า ให้คิดถึงแต่สิ่งที่ต้องการ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ต้องการ ให้คิดแต่ในสิ่งที่อยากได้ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่อยากได้ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ชอบ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้มีความสุข อย่าไปคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ฯลฯ



BRIAN TRACY นักพูดระดับยักษ์ใหญ่ชาวอเมริกัน สรุปความหมายของกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ได้ดี โดยเขากล่าวว่า “บทสรุปที่ยิ่งใหญ่ของทุกศาสนา ทุกปรัชญา อภิปรัชญา จิตวิทยา และความสำเร็จ ก็คือ : คุณจะเป็นอย่างที่คุณคิดเกือบตลอดเวลา โลกภายนอกของคุณคือภาพสะท้อนโลกภายในของคุณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คุณคิด ทุกอย่างที่คุณคิดจะโผล่ออกมาในความเป็นจริงของคุณอย่างต่อเนื่อง” (จากหนังสือของเขาที่ชื่อว่า GOALS! : HOW TO GET EVERYTHING YOU WANT FASTER THAN YOU EVER THOUGH POSSIBLE ,2003. ในชื่อภาษาไทยว่า “เป้าหมาย ! : วิธีได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ เร็วกว่าที่คุณคิดว่าจะเป็นไปได้” แปลโดย วรรธนา วงษ์ฉัตร,2546,หน้า 8) 

จริงๆ แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้สามารถอธิบายให้ละเอียดพิสดาร มากมายมหาศาลมโหฬารมหันต์ลึก ในแง่ของหลักการและกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยกลศาสตร์และฟิสิคส์ ในระดับควอนตั้ม (เล็กกว่าอะตอม) ได้เลยทีเดียว 
หลักการวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน ตัวอย่างเช่น ของแข็ง ประกอบด้วย มวลสารเล็กๆมารวมตัวกัน และเช่นเดียวกันคลื่นความคิดหรือสิ่งที่มองไม่เห็นก็สามารถก่อรูปเป็นจิตนาการ ภาพ ได้ และเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มันมีปรากฏแก่เราทุกวันนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทั้งสิ้น และที่มันมีปรากฏขึ้นได้ก็ด้วยการก่อรูป ก่อร่างจากการคิดของมวลมนุษย์เองทั้งสิ้น! 

รูปแบบและเนื้อหาที่หลากหลายแตกต่างกัน เป็นเวลานับพันปีแล้ว หากจะยึดว่าในรอบหนึ่งศตวรรษ หรือในรอบร้อยปีที่ผ่านมา มีใครและหรือหนังสือเล่มใดได้นำเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดนี้มานำเสนอ หรือมากล่าวไว้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นการเฉพาะเจาะจงบ้างแล้วละก็ ก็อาจสามารถเรียงลำดับของหนังสือดังกล่าวตามปีค.ศ.ที่หนังสือนั้นได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกได้ดังนี้ :- (โดยยึดถือจากหนังสือที่ผมมีอยู่ และมีการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ในวงเล็บคือชื่อหนังสือในภาคภาษาไทย) 

1.THE SCIENCE OF GETTING RICH (ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย),1910, โดย WALLACE D.WATTLES 
นี่คือหนังสือที่ทำให้เกิดหนังสือ THE SECRET (2006) ขึ้นมา นับช่วงเวลาที่ห่างกันถึงเกือบหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว อาจถือได้ว่า THE SCIENCE OF GETTING RICH เป็นเสมือนหนังสือหลัก หนังสือต้นแบบให้คนอื่นๆ นำไปเขียนขยายผล อ้างอิง ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกนับเป็นร้อยคน หรือร้อยเล่มเลยทีเดียว 

2.THINK AND GROW RICH (คิดแล้วรวย),1937, โดย NAPOLEON HILL (ก่อนหน้านั้น เขาได้เขียน “LAW OF SUCCESS : ศาสตร์แห่งความสำเร็จ” ซึ่งในทัศนะของผมอาจถือได้ว่าเป็นงานในระดับ MASTERPIECE ของเขาเลยทีเดียว) 
NAPOLEON HILL กล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาในหนังสือของเขาทุกเล่มว่า “อะไรก็ตามที่มนุษย์เชื่อและศรัทธา มันจะสามารถเป็นจริงได้ในที่สุด!” 

3.THE POWER OF POSITIVE THINKING (พลังแห่งการคิดบวก),1952,โดย NORMAN VINCENT PEARL 
ในความเข้าใจของผม NORMAN VINCENT PEARL ผู้นี้นี่แหละที่เป็นคนแรกๆที่กล่าวถ้อยคำอมตะที่ว่า “ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตเราก็จะเปลี่ยน” และ “เปลี่ยนความคิดของคุณก่อน แล้วคุณจะเปลี่ยนโลกทั้งโลกได้” 

4.THE DYNAMIC LAWS OF PROSPERITY (พลังแห่งการสวดอ้อนวอน),1962, โดย CATHERINE PONDER (แต่หนังสือที่ขายดีของเธอน่าจะคือ PRAY AND GROW RICH,1986) 
คนที่มีจิตใจคับแคบอาจไม่ชอบหนังสือของเธอผู้นี้ เพราะค่อนข้างเน้นไปในเรื่องความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ในคริสต์ศาสนา 

5.THE POWER OF SUBCONSCIOUS MIND (พลังจิตใต้สำนึก),1963, โดย JOSEPH MURPHY (นอกจากนี้เขายังเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูดไว้อย่างเต็มๆ อีกสองเล่มคือ “THE COSMIC POWER WITHIN YOU : พลังจักรวาลในตัวท่าน” และ “THE AMAZING LAWS OF COSMIC MIND POWER : จิตมหาสมบัติ พิชิตทุกอย่างที่ขวางหน้า”) 

6.CREATIVE VISUALIZATION (จิตนาการสร้างสรรค์),1978, โดย SHAKTI GAWAIN 
ต้องกล่าวว่าหนังสือเล่มนี้นี่ไม่ธรรมดา เพราะสามารถขายไปได้ถึง 6 ล้านเล่ม ในเวลาไม่นานหลังจากวางจำหน่าย ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลกไปถึง 35 ภาษา 
ใครก็ตามที่ต้องการความกระจ่างที่ลึกซึ้งและมากขึ้น ในเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด ต้องอ่านเล่มนี้

7.UNLIMITED POWER (พลังไร้ขีดจำกัด),1986, โดย ANTHONY ROBBINS (รวมทั้ง AWAKEN THE GIANT WITHIN : ปลุกยักษ์ใหญ่ในตัวคุณ,1991) 
ANTHONY ROBBINS เป็นนักพูดปลุกใจที่ดังที่สุดของอเมริกา มีคนไทยหลายคนไปเข้าหลักสูตรของเขาแล้ว 

8.UNIVERSAL LAW OF SUCCESS AND ACHIEVEMENT,1991,โดย BRIAN TRACY (รวมทั้ง MAXIMUM ACHIEVEMENT : ศาสตร์แห่งความสำเร็จสูงสุด,1993) 
ความจริงแล้ว BRIAN TRACY เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม และทุกเล่มล้วนพูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดด้วยโดยตลอด แต่สำหรับสองเล่มที่จั่วหัวไว้ในข้อนี้ คือเล่มที่อาจถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลักของเขามากที่สุด และมีผู้เขียนคนอื่นๆ อ้างอิงถึงไว้มากที่สุดกว่าเล่มใด หนังสือเล่มอื่นๆ ของเขาก็เสมือนเป็นการแตกหน่อ ต่อยอด ขยายผล ไปอธิบายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ 
BRIAN TRACY เป็นนักพูดชื่อดังของอเมริกาเช่นเดียวกัน 

9.THE SEVEN SPIRITUAL LAWS OF SUCCESS (7 กฎ ด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม),1994, โดย DEEPAK CHOPRA (รวมทั้ง “THE SPONTANEOUS FULLFILMENT OF DESIRE : โชค ดวง ความบังเอิญ คุณกำหนดได้,2003) 
DEEPAK CHOPRA เป็นกูรูด้านจิตวิญญาณที่ดังมากในอเมริกา ถึงขนาดที่ JACK TROUT กูรูระดับโลกด้านกลยุทธ์ธุรกิจและการตลาด เคยเหน็บแนม CHOPRA ว่าเป็นหนึ่งในแก๊งค์ 3 คน ของอเมริกา ที่ร่ำรวยกับการหากินกับความโง่และความอ่อนแอของผู้คน (JACK TROUT เขาว่านะ) อันประกอบด้วย ANTHONY ROBBINS ที่ผมเพิ่งกล่าวถึงไปเมื่อสักครู่ , อีกคนคือ STEPHEN R.COVEY (ผู้เขียนหนังสือขายดีที่ชื่อว่า THE 7 HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE) แล้วก็ DEEPAK CHOPRA โดย JACK TROUT กล่าวประชดประชันว่า “มีคนหัวอ่อนเกิดเพิ่มขึ้นทุกวัน และมีคนอยู่สามคนที่จะขายของให้เขา!” ซึ่งไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังอิจฉาอยู่หรือเปล่า

10.CREATING MONEY (ชีวิตที่งดงามบนความเปลี่ยนแปลง),ประมาณปี 2000-2001, โดย SANAYA ROMAN & DUANE PACKER 

11.EXCUSE ME, YOUR LIFE IS WAITING (พลังแห่งความรู้สึก),2003, โดย LYNN GRABHORN 

12.THE POWER OF INTENTION : LEARNING TO CO-CREATE YOUR WORLD (พลังแห่งความตั้งใจจริง), 2004, โดย WAYNE W.DYER 

13.THE ATTRACTOR FACTOR : 5 EASY STEPS FOR CREATING WEALTH (OR ANYTHINGS ELSE) FROM INSIDE OUT (มนุษย์แม่เหล็ก) , 2005, โดย JOE VITALE 
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่คุณบัณฑิต อึ้งรังษี แนะนำไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก ในเรื่องเกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูด 

14.LAW OF ATTRACTION : THE SCIENCE OF ATTRACTING MORE OF WHAT YOU WANT AND LESS OF WHAT YOU DON’T (ดึงดูด : เวทย์มนตร์ยุคใหม่แห่งความสำเร็จ),2005, โดย MICHAEL J.LOSIER 

15.FEEL IT REAL! : THE MAGICAL POWER OF EMOTIONS (พลังวิเศษแห่งอารมณ์),2005, โดย DENISE COATES และสุดท้าย.. 

16.THE SECRET ,2006, โดย RHONDA BYRNE 

ในส่วนของคนไทยนั้น ก็เห็นจะมีคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ที่พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดไว้เป็นน้ำเป็นเนื้อมากที่สุด โดยหนังสือทั้งสองเล่มของเขา ก็คือ :- 

- CONDUCT YOUR DREAM (ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้),2006, และ 
- THE LUCKIEST MAN IN THE WORLD (30 วิธี เอาชนะโชคชะตา),2007. 

ในเล่มแรก เขาได้พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ไว้เพียงเล็กน้อย โดยเขาได้เล่าให้ฟังเพียงว่าเขาใช้กฎนี้อย่างไรในการหาคู่ครอง และในที่สุดเขาก็ได้คู่ชีวิตจริงๆ ที่เพียบพร้อมทุกอย่าง สมตามความปรารถนาที่เขาได้ตั้งใจไว้ และดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิตของเขา! 
ส่วนในเล่มที่สอง เขาได้กล่าวถึงกฎนี้อย่างเต็มๆ โดยเขายืนยันว่า “กฎที่สำคัญที่สุดแห่งโชคลาภ” นั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 กฎ ซึ่งเขาเรียกว่า “กฎพ่อ” และ “กฎแม่” กฎพ่อนั้นคือ “THE LAW OF CAUSE & EFFECT” ส่วนกฎแม่นั้นก็คือ “THE LAW OF ATTRACTION” ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่เอง 

ยังมีอีกเล่มหนึ่ง เป็นเล่มบางๆ หนาเพียง 60 กว่าหน้า ชื่อว่า “LAW OF ATTRACTION” (เขาตั้งชื่อภาษาไทยว่า “พลังเนรมิต”),2007, เขียนโดยคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ 

ที่ได้กล่าวเป็นลำดับมาเกี่ยวกับนักคิด นักเขียน และหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ในโลกนี้นั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่าใหม่หรอก ทุกอย่างมันมีอยู่และดำรงอยู่แล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร ไปค้นพบ แล้วนำเสนอมันออกมาในรูปแบบและวิธีการใด แม้เรื่องที่มีการค้นพบแล้ว ก็ยังสามารถนำมาเล่นแร่แปรธาตุ พัฒนา ปรับปรุง มานำเสนอในแง่มุมต่างๆ ให้ดูเป็นเรื่องใหม่ได้ตลอดเวลา อย่างที่ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ปราชญ์ชาวอเมริกันได้เคยกล่าวไว้นั่นแหละครับว่า “สังคมมักจะประหลาดใจกับตัวอย่างใหม่ๆ ของสามัญสำนึกกันอยู่เสมอ” และถ้าผมจำไม่ผิด กาลิเลโอเองก็เคยกล่าวเอาไว้เหมือนกันว่า “เราไม่สามารถสอนใครในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้หรอก เราทำได้ก็แค่เพียงทำให้เขาสำนึกในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วเท่านั้น!” 

“กฎแห่งแรงดึงดูด” นี่ก็เหมือนกัน มันมีอยู่มานานแล้วในโลกและจักรวาลนี้ มันมีอยู่แล้วตั้งแต่ต้นในตัวคนทุกคน นับแต่เกิดมาบนโลก เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีมันอยู่ แม้ถึงรู้ก็ไม่ได้ตระหนักสำนึกในความสำคัญของมัน แม้มีบ้างบางคนที่อาจตระหนักสำนึกแล้ว แต่ก็ไม่ได้เชื่อและศรัทธามากพอที่จะปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎแห่งจักรวาลนี้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น