วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กฎแห่งแรงดึงดูด” (Law of Attraction)

“กฎแห่งแรงดึงดูด” (Law of Attraction) 





ศาสตร์ทางจิตวิทยา ที่อยู่คู่กับมวลมนุษย์มากว่า 1,000 ปีแล้ว ว่าง่ายๆ “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ มันก็คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งจักรวาล ซึ่งอยู่คู่โลกและอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมานับเป็นพันๆ ปี หรือนับตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วก็ว่าได้ ถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยแรงโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ก็เป็นกฎที่เป็นจริงอย่างนั้นเหมือนกัน และถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ หรือที่พระท่านบอกว่า “อิทัปปัจยตา” แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ ก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

เราอาจอธิบาย “กฎแห่งแรงดึงดูด” อย่างง่ายๆ ได้ว่า คนเราคิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่เราคิดถึงอยู่ตลอดเวลามันจะเป็นจริงได้ในที่สุด ความคิดของคนเรามักดึงดูดสิ่งที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้สิ่งนั้นเราจะไม่ต้องการก็ตาม แต่ถ้าเราคิดถึงมันอยู่ตลอด มันก็จะมาปรากฏแก่เราในที่สุด ดังคำโบราณของไทยที่ว่า “เกลียด และกลัวสิ่งไหน ก็มักจะเจอสิ่งนั้น!” ก็เพราะเรามักจะคิดแต่สิ่งที่เราเกลียดและที่เรากลัวอยู่ตลอดเวลา เราจึงมักต้องเจอกับสิ่งนั้นในที่สุด กูรูและผู้รู้หลายท่านจึงมักพร่ำสอนเรามาตลอดว่า ให้คิดถึงแต่สิ่งที่ต้องการ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ต้องการ ให้คิดแต่ในสิ่งที่อยากได้ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่อยากได้ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ชอบ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้มีความสุข อย่าไปคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ฯลฯ



BRIAN TRACY นักพูดระดับยักษ์ใหญ่ชาวอเมริกัน สรุปความหมายของกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ได้ดี โดยเขากล่าวว่า “บทสรุปที่ยิ่งใหญ่ของทุกศาสนา ทุกปรัชญา อภิปรัชญา จิตวิทยา และความสำเร็จ ก็คือ : คุณจะเป็นอย่างที่คุณคิดเกือบตลอดเวลา โลกภายนอกของคุณคือภาพสะท้อนโลกภายในของคุณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คุณคิด ทุกอย่างที่คุณคิดจะโผล่ออกมาในความเป็นจริงของคุณอย่างต่อเนื่อง” (จากหนังสือของเขาที่ชื่อว่า GOALS! : HOW TO GET EVERYTHING YOU WANT FASTER THAN YOU EVER THOUGH POSSIBLE ,2003. ในชื่อภาษาไทยว่า “เป้าหมาย ! : วิธีได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ เร็วกว่าที่คุณคิดว่าจะเป็นไปได้” แปลโดย วรรธนา วงษ์ฉัตร,2546,หน้า 8) 

จริงๆ แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้สามารถอธิบายให้ละเอียดพิสดาร มากมายมหาศาลมโหฬารมหันต์ลึก ในแง่ของหลักการและกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยกลศาสตร์และฟิสิคส์ ในระดับควอนตั้ม (เล็กกว่าอะตอม) ได้เลยทีเดียว 
หลักการวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน ตัวอย่างเช่น ของแข็ง ประกอบด้วย มวลสารเล็กๆมารวมตัวกัน และเช่นเดียวกันคลื่นความคิดหรือสิ่งที่มองไม่เห็นก็สามารถก่อรูปเป็นจิตนาการ ภาพ ได้ และเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มันมีปรากฏแก่เราทุกวันนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทั้งสิ้น และที่มันมีปรากฏขึ้นได้ก็ด้วยการก่อรูป ก่อร่างจากการคิดของมวลมนุษย์เองทั้งสิ้น! 

รูปแบบและเนื้อหาที่หลากหลายแตกต่างกัน เป็นเวลานับพันปีแล้ว หากจะยึดว่าในรอบหนึ่งศตวรรษ หรือในรอบร้อยปีที่ผ่านมา มีใครและหรือหนังสือเล่มใดได้นำเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดนี้มานำเสนอ หรือมากล่าวไว้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นการเฉพาะเจาะจงบ้างแล้วละก็ ก็อาจสามารถเรียงลำดับของหนังสือดังกล่าวตามปีค.ศ.ที่หนังสือนั้นได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกได้ดังนี้ :- (โดยยึดถือจากหนังสือที่ผมมีอยู่ และมีการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ในวงเล็บคือชื่อหนังสือในภาคภาษาไทย) 

1.THE SCIENCE OF GETTING RICH (ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย),1910, โดย WALLACE D.WATTLES 
นี่คือหนังสือที่ทำให้เกิดหนังสือ THE SECRET (2006) ขึ้นมา นับช่วงเวลาที่ห่างกันถึงเกือบหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว อาจถือได้ว่า THE SCIENCE OF GETTING RICH เป็นเสมือนหนังสือหลัก หนังสือต้นแบบให้คนอื่นๆ นำไปเขียนขยายผล อ้างอิง ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกนับเป็นร้อยคน หรือร้อยเล่มเลยทีเดียว 

2.THINK AND GROW RICH (คิดแล้วรวย),1937, โดย NAPOLEON HILL (ก่อนหน้านั้น เขาได้เขียน “LAW OF SUCCESS : ศาสตร์แห่งความสำเร็จ” ซึ่งในทัศนะของผมอาจถือได้ว่าเป็นงานในระดับ MASTERPIECE ของเขาเลยทีเดียว) 
NAPOLEON HILL กล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาในหนังสือของเขาทุกเล่มว่า “อะไรก็ตามที่มนุษย์เชื่อและศรัทธา มันจะสามารถเป็นจริงได้ในที่สุด!” 

3.THE POWER OF POSITIVE THINKING (พลังแห่งการคิดบวก),1952,โดย NORMAN VINCENT PEARL 
ในความเข้าใจของผม NORMAN VINCENT PEARL ผู้นี้นี่แหละที่เป็นคนแรกๆที่กล่าวถ้อยคำอมตะที่ว่า “ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตเราก็จะเปลี่ยน” และ “เปลี่ยนความคิดของคุณก่อน แล้วคุณจะเปลี่ยนโลกทั้งโลกได้” 

4.THE DYNAMIC LAWS OF PROSPERITY (พลังแห่งการสวดอ้อนวอน),1962, โดย CATHERINE PONDER (แต่หนังสือที่ขายดีของเธอน่าจะคือ PRAY AND GROW RICH,1986) 
คนที่มีจิตใจคับแคบอาจไม่ชอบหนังสือของเธอผู้นี้ เพราะค่อนข้างเน้นไปในเรื่องความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ในคริสต์ศาสนา 

5.THE POWER OF SUBCONSCIOUS MIND (พลังจิตใต้สำนึก),1963, โดย JOSEPH MURPHY (นอกจากนี้เขายังเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูดไว้อย่างเต็มๆ อีกสองเล่มคือ “THE COSMIC POWER WITHIN YOU : พลังจักรวาลในตัวท่าน” และ “THE AMAZING LAWS OF COSMIC MIND POWER : จิตมหาสมบัติ พิชิตทุกอย่างที่ขวางหน้า”) 

6.CREATIVE VISUALIZATION (จิตนาการสร้างสรรค์),1978, โดย SHAKTI GAWAIN 
ต้องกล่าวว่าหนังสือเล่มนี้นี่ไม่ธรรมดา เพราะสามารถขายไปได้ถึง 6 ล้านเล่ม ในเวลาไม่นานหลังจากวางจำหน่าย ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลกไปถึง 35 ภาษา 
ใครก็ตามที่ต้องการความกระจ่างที่ลึกซึ้งและมากขึ้น ในเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด ต้องอ่านเล่มนี้

7.UNLIMITED POWER (พลังไร้ขีดจำกัด),1986, โดย ANTHONY ROBBINS (รวมทั้ง AWAKEN THE GIANT WITHIN : ปลุกยักษ์ใหญ่ในตัวคุณ,1991) 
ANTHONY ROBBINS เป็นนักพูดปลุกใจที่ดังที่สุดของอเมริกา มีคนไทยหลายคนไปเข้าหลักสูตรของเขาแล้ว 

8.UNIVERSAL LAW OF SUCCESS AND ACHIEVEMENT,1991,โดย BRIAN TRACY (รวมทั้ง MAXIMUM ACHIEVEMENT : ศาสตร์แห่งความสำเร็จสูงสุด,1993) 
ความจริงแล้ว BRIAN TRACY เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม และทุกเล่มล้วนพูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดด้วยโดยตลอด แต่สำหรับสองเล่มที่จั่วหัวไว้ในข้อนี้ คือเล่มที่อาจถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลักของเขามากที่สุด และมีผู้เขียนคนอื่นๆ อ้างอิงถึงไว้มากที่สุดกว่าเล่มใด หนังสือเล่มอื่นๆ ของเขาก็เสมือนเป็นการแตกหน่อ ต่อยอด ขยายผล ไปอธิบายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ 
BRIAN TRACY เป็นนักพูดชื่อดังของอเมริกาเช่นเดียวกัน 

9.THE SEVEN SPIRITUAL LAWS OF SUCCESS (7 กฎ ด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม),1994, โดย DEEPAK CHOPRA (รวมทั้ง “THE SPONTANEOUS FULLFILMENT OF DESIRE : โชค ดวง ความบังเอิญ คุณกำหนดได้,2003) 
DEEPAK CHOPRA เป็นกูรูด้านจิตวิญญาณที่ดังมากในอเมริกา ถึงขนาดที่ JACK TROUT กูรูระดับโลกด้านกลยุทธ์ธุรกิจและการตลาด เคยเหน็บแนม CHOPRA ว่าเป็นหนึ่งในแก๊งค์ 3 คน ของอเมริกา ที่ร่ำรวยกับการหากินกับความโง่และความอ่อนแอของผู้คน (JACK TROUT เขาว่านะ) อันประกอบด้วย ANTHONY ROBBINS ที่ผมเพิ่งกล่าวถึงไปเมื่อสักครู่ , อีกคนคือ STEPHEN R.COVEY (ผู้เขียนหนังสือขายดีที่ชื่อว่า THE 7 HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE) แล้วก็ DEEPAK CHOPRA โดย JACK TROUT กล่าวประชดประชันว่า “มีคนหัวอ่อนเกิดเพิ่มขึ้นทุกวัน และมีคนอยู่สามคนที่จะขายของให้เขา!” ซึ่งไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังอิจฉาอยู่หรือเปล่า

10.CREATING MONEY (ชีวิตที่งดงามบนความเปลี่ยนแปลง),ประมาณปี 2000-2001, โดย SANAYA ROMAN & DUANE PACKER 

11.EXCUSE ME, YOUR LIFE IS WAITING (พลังแห่งความรู้สึก),2003, โดย LYNN GRABHORN 

12.THE POWER OF INTENTION : LEARNING TO CO-CREATE YOUR WORLD (พลังแห่งความตั้งใจจริง), 2004, โดย WAYNE W.DYER 

13.THE ATTRACTOR FACTOR : 5 EASY STEPS FOR CREATING WEALTH (OR ANYTHINGS ELSE) FROM INSIDE OUT (มนุษย์แม่เหล็ก) , 2005, โดย JOE VITALE 
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่คุณบัณฑิต อึ้งรังษี แนะนำไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก ในเรื่องเกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูด 

14.LAW OF ATTRACTION : THE SCIENCE OF ATTRACTING MORE OF WHAT YOU WANT AND LESS OF WHAT YOU DON’T (ดึงดูด : เวทย์มนตร์ยุคใหม่แห่งความสำเร็จ),2005, โดย MICHAEL J.LOSIER 

15.FEEL IT REAL! : THE MAGICAL POWER OF EMOTIONS (พลังวิเศษแห่งอารมณ์),2005, โดย DENISE COATES และสุดท้าย.. 

16.THE SECRET ,2006, โดย RHONDA BYRNE 

ในส่วนของคนไทยนั้น ก็เห็นจะมีคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ที่พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดไว้เป็นน้ำเป็นเนื้อมากที่สุด โดยหนังสือทั้งสองเล่มของเขา ก็คือ :- 

- CONDUCT YOUR DREAM (ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้),2006, และ 
- THE LUCKIEST MAN IN THE WORLD (30 วิธี เอาชนะโชคชะตา),2007. 

ในเล่มแรก เขาได้พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ไว้เพียงเล็กน้อย โดยเขาได้เล่าให้ฟังเพียงว่าเขาใช้กฎนี้อย่างไรในการหาคู่ครอง และในที่สุดเขาก็ได้คู่ชีวิตจริงๆ ที่เพียบพร้อมทุกอย่าง สมตามความปรารถนาที่เขาได้ตั้งใจไว้ และดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิตของเขา! 
ส่วนในเล่มที่สอง เขาได้กล่าวถึงกฎนี้อย่างเต็มๆ โดยเขายืนยันว่า “กฎที่สำคัญที่สุดแห่งโชคลาภ” นั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 กฎ ซึ่งเขาเรียกว่า “กฎพ่อ” และ “กฎแม่” กฎพ่อนั้นคือ “THE LAW OF CAUSE & EFFECT” ส่วนกฎแม่นั้นก็คือ “THE LAW OF ATTRACTION” ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่เอง 

ยังมีอีกเล่มหนึ่ง เป็นเล่มบางๆ หนาเพียง 60 กว่าหน้า ชื่อว่า “LAW OF ATTRACTION” (เขาตั้งชื่อภาษาไทยว่า “พลังเนรมิต”),2007, เขียนโดยคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ 

ที่ได้กล่าวเป็นลำดับมาเกี่ยวกับนักคิด นักเขียน และหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ในโลกนี้นั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่าใหม่หรอก ทุกอย่างมันมีอยู่และดำรงอยู่แล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร ไปค้นพบ แล้วนำเสนอมันออกมาในรูปแบบและวิธีการใด แม้เรื่องที่มีการค้นพบแล้ว ก็ยังสามารถนำมาเล่นแร่แปรธาตุ พัฒนา ปรับปรุง มานำเสนอในแง่มุมต่างๆ ให้ดูเป็นเรื่องใหม่ได้ตลอดเวลา อย่างที่ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ปราชญ์ชาวอเมริกันได้เคยกล่าวไว้นั่นแหละครับว่า “สังคมมักจะประหลาดใจกับตัวอย่างใหม่ๆ ของสามัญสำนึกกันอยู่เสมอ” และถ้าผมจำไม่ผิด กาลิเลโอเองก็เคยกล่าวเอาไว้เหมือนกันว่า “เราไม่สามารถสอนใครในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้หรอก เราทำได้ก็แค่เพียงทำให้เขาสำนึกในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วเท่านั้น!” 

“กฎแห่งแรงดึงดูด” นี่ก็เหมือนกัน มันมีอยู่มานานแล้วในโลกและจักรวาลนี้ มันมีอยู่แล้วตั้งแต่ต้นในตัวคนทุกคน นับแต่เกิดมาบนโลก เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีมันอยู่ แม้ถึงรู้ก็ไม่ได้ตระหนักสำนึกในความสำคัญของมัน แม้มีบ้างบางคนที่อาจตระหนักสำนึกแล้ว แต่ก็ไม่ได้เชื่อและศรัทธามากพอที่จะปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎแห่งจักรวาลนี้ 

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หนังสือแนะนำเพื่อความสำเร็จ

Richard St. John เป็นวิศวกร ออกแบบรถยนต์ แต่ใช้ความรู้ทางด้าน factor analysis เดินทางสัมภาษณ์ผู้ประสบความสำเร็จในอเมริกา 500 คน ใช้เวลา 10 ปี จนได้หนังสืออมตะ ชื่อ "8 to be Great" ขึ้นมา ว่าคนสำเร็จ จะมี 8 ปัจจัยนี้ เหมือนกัน

ดังนั้น หนังสือที่แนะนำ จะใช้ แนวคิด 8 to be Great ของ Richard St. John เป็นตัวยืน บางเล่มมีแปลไทย บางเล่มก็ไม่มีแปลไทยนะ

คนที่ประสบความสำเร็จ จะมี 8 factor เหมือนกันดังนี้

1. Passion - หาสิ่งที่รักที่จะทำ ให้ได้ก่อน >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติม คือ The 7 Spiritual Laws of Success ของ Deepak Chopra

2. Working Hard - ทำงานที่เรารักให้หนัก แต่เราจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ Outliers ของ Malcolm Gladwell

3. Focus - โฟกัสทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบัน >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ The Power of Now: A Guide to Spiritual Enlightenment ของ Eckhart Tolle

4. Push - เอาตัวเองออกจาก Comfort Zone + หา connection ดี ๆ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ 1.Train Your Brain For Success ของ Roger Seip 2.How to Win Friends and Influence People ของ Dale Carnegie

5.  Idea - ไอเดียจะเริ่มเกิด ถ้า 1-4 มาถูกทาง สุดยอดไอเดียจะมาตอนที่เราสงบ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ The 7 Spiritual Laws of Success ของ Deepak Chopra (หัวข้อ The law of pure potentiality, meditation) 

6. Improving - ปรับปรุงให้ทันยุคเสมอ >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ 1. The World Is Flat ของ Thomas L. Friedman 2.The Lean Startup ของ Eric Ries

7. Serve - แบ่งปัน(แบบฉลาดและมี impact) เพื่อได้รับกลับมามากขึ้น >> หนังสือยังไม่มี แต่มี Article แนะนำ (โหลดฟรี) ชื่อ "A Blank Check Waiting for You!" ของ Gardner Hunting

8. Persist - ไม่สนใจต่ออุปสรรค >> หนังสือแนะนำเพิ่มเติมคือ Change Your Thoughts - Change Your Life: Living the Wisdom of the Tao ของ Dr. Wayne W. Dyer

(พอดีมีนักศึกษามช. วิชา 011269 e-mail มาถาม เรื่องหนังสือ ที่จะให้อ่านเพิ่ม ไหน ๆ ก็ email มาแล้ว เลยโพสต์แชร์ในเฟสด้วยเลยละกัน อันนี้ไม่ออกสอบ final แต่ออกสอบไปตลอดชีวิต)

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

จากมะพร้าวธรรมดาๆ สู่การรังสรรค์จนได้เป็นมะพร้าวเปิดฝา สร้างรายได้มหาศาล



17 พฤศจิกายน 2558 : น. เวลา 18:04 น. |  (27056 view)
       
      COCO Easy หรือที่รู้จักกันในนาม มะพร้าวมีฝา ธุรกิจที่ถูกสรรสร้างจากไอเดียที่แปลกใหม่ โดยการนำเอานวัตถกรรมเข้ามาใช้ในการผลิต ทำให้ตัวมะพร้าวมีมูลค่ามากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการรับประทานอีกด้วย แถมธุรกิจนี้ยังสร้างรายได้ให้กับเจ้าของได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
     
       ธุรกิจ COCO Easy บริหารงานโดยคุณบรรพต เคลียพวงทิพย์ ผู้คิดค้นมะพร้าวเปิดฝา แต่กว่าที่จะมาเป็นผลิตภัณฑ์ดีๆให้ผู้บริโภคได้รับประทานกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลย โดยจุดเริ่มต้นมาจากส่วนตัวแล้วคุณบรรพตทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง และหลังจากเลิกงานจะชอบหาซื้อน้ำมะพร้าวดื่มเพราะรู้สึกสดชื้นเมื่อได้ทาน แต่แล้ววันนึงก็มีความคิดที่อยากเฉาะมะพร้าวกินเองให้ได้อย่างที่ซื้อ แต่ด้วยที่บ้านไม่มีมีดสำหรับเฉาะมะพร้าวจึงได้นำมะพร้าวไปทุบเข้ากับกำแพง แต่ผลที่ได้คือ มะพร้าวแตกเป็นเสี่ยงและทานไม่ได้ ทันใดนั้นเองภาพของมะพร้าวที่มีฝาก็เข้ามาในความคิดของคุณบรรพตจนกระทั่งเป็นไอเดียมะพร้าวมีฝาที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
     
       อุปสรรคของการทำธุรกิจนี้นอกจากจะเป็นในเรื่องของการหานวัตถกรรมมาเพื่อรองรับการผลิตแล้วยังเป็นเรื่องของผลผลิตที่บางฤดูกาลไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งบางฤดูกาลชาวสวนก็มีผลผลิตมะพร้าวมามากเกินความต้องการ แต่ในบางฤดูผลผลิตที่ได้กลับน้อยไม่พอต่อความต้องการ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของคุณบรรพตคือ การรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชาวสวนมีความไว้วางใจและขายมะพร้าวให้กับคุณบรรพต แถมการแก้ไขปัญหาวิธีนี้ยังเป็นการสร้างอาชีพและกระจายรายได้แก่ชาวสวนอีกด้วย
   
       โดยในปัจจุบัน COCO Easy ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งจัดจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ แต่ทว่าการทำธุรกิจนี้ก็ถือได้ว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของแหล่งผลผลิตที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งทางคุณบรรพตได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังคิดที่จะเริ่มทำธุรกิจว่า เมื่อคิดที่จะทำธุรกิจแล้วก็ควรที่จะลงมือทำเพื่อร่นระยะเวลาที่จะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน๋ เพียงแค่คุณศึกษาและลงมือทำทุกวันก็ถือว่าเป็นการลงมือทำที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพราะการเริ่มต้นทำธุรกิจจากศูนย์ไปจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นต้องอาศัยการก้าว ไม่ว่าจะก้าวมากก้าวน้อย แต่แค่คุณก้าวไปข้างหน้าทุกวันก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จแล้ว

      สำหรับใครที่สนใจสามารถติดตามมุมมองความคิดจากผู้บริหาร COCO Easy กับแนวคิดดีๆในการทำธุรกิจเพิ่มเติมได้ในรายการ Smart Focus ออกอากาศวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 คลิกเลย >> http://smartsme.tv/vod_detail.php?
gid=19&id=4267

เมื่อมหาเศรษฐีออกโรงเตือนเพื่อน ให้ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ ไม่งั้นอาจไม่เหลือที่ยืน !!

(ถ้าเครื่องใครโหลด Sub Thai ไม่ขึ้น กดเข้าไปดูได้ที่ TED ครับ)
นิค ฮานาวเออร์ (Nick Hanauer) เป็นนักลงทุนอภิมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ เขาเป็นนักลงทุนนอกครอบครัวคนแรกใน Amazon.com เขาร่วมก่อตั้งบริษัทเอควอนทีฟ ซึ่งขายให้ไมโครซอพท์ ไปในราคา 6.4 พันล้านเหรียญ และเขาเป็นเจ้าของธนาคาร และนิคกำลังเตือนเพื่อนอภิมหาเศรษฐีของเขาให้ฉุกคิดถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น จนสุดท้ายอาจจะทำให้พวกอภิมหาเศรษฐีอย่างเขาเองไม่มีที่ยืน และนี่คือส่วนหนึ่งจาก Clip
ผมมีชีวิตที่ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ ไม่สามารถแม้แต่จะจิตนาการได้ บ้านหลายหลัง เรือยอร์ช เครื่องบินส่วนตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่พูดกันตรง ๆ ผมไม่ได้เป็นคนฉลาดที่สุด ที่คุณเคยพบที่แน่ ๆ … แต่จริง ๆ แล้ว ผมก็เก่งมากในสองเรื่อง หนึ่ง ผมรับความเสี่ยงได้สูงเป็นพิเศษ และอีกอย่างหนึ่ง คือผมรู้สึกได้ไว มีลางสังหรณ์ดี ต่อเรื่องที่จะเกิดในอนาคต และผมคิดว่าลางสังหรณ์เกี่ยวกับ เรื่องในอนาคตนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของผู้ประกอบการที่ดี … 
แล้วผมเห็นอะไรในอนาคตของเราในวันนี้หรือ คุณจะถามใช่ไหมครับ ผมเห็นคราดของชาวไร่ชาวนา (Pitchfork) อย่างเช่นที่ฝูงชนคนซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยวเขาถือกัน
เพราะในขณะที่อภิมหาเศรษฐีอย่างพวกเรากำลังใช้ชีวิตเกินกว่าความฝันของผู้คน เพื่อนประชากรของเราอีก 99 เปอร์เซ็นต์กำลังถอยห่างไปอยู่ข้างหลัง และห่างไกลไปเรื่อย ๆ 
ปัญหานั้นไม่ใด้เกี่ยวกับว่า เรามีความไม่เท่าเทียมกันอยู่บ้างเล็กน้อย ความไม่เท่าเทียมกันบ้างเล็กน้อยนั้น เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุนนิยมประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ปัญหาคือ ความไม่เท่าเทียมกันนั้น กำลังอยู่ ณ จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมันก็แย่ลงทุกวัน
ผมจึงมีข้อความส่งถึงเพื่อนอภิมหาเศรษฐี และอภิมหึมามหาเศรษฐีทั้งหลาย และสำหรับใครก็ตามที่ใช้ชีวิต ในโลกฟองสบู่ที่มีรั้วล้อมรอบอยู่นั้น จงตื่นขึ้น ตื่นขึ้นเถิด สภาวะเช่นนี้มันอยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ไข ความไม่เท่าเทียมที่เห็นชัดเจนในสังคมของเราคราดนั้นก็จะหันมาหาเรา เพราะไม่มีสังคมเปิดแบบเสรีใด ๆ จะทนอยู่ได้นานกับ ความไม่สมดุลย์ทางเศรษฐกิจ ที่พุ่งสูงแบบนี้ได้
ต้นแบบสำหรับเรา คนรวย ควรเป็นเฮนรี ฟอร์ด เรารู้กันว่าฟอร์ดให้ค่าแรง 5 ดอลลาร์ ต่อวัน ซึ่งเป็นสองเท่าของค่าแรงทั่วไปในเวลานั้น เขาไม่ได้เพียงเพิ่มผลผลิต ของโรงงานของเขา แต่เขาได้เปลี่ยน คนงานผลิตรถยนต์ที่ถูกเอาเปรียบ ที่ยากจน ให้กลายเป็นคนชั้นกลางที่มีกินมีใช้ มีปัญญาซื้อผลิตภัณฑ์ ที่พวกเขาผลิตขึ้นเองได้ ฟอร์ดหยั่งรู้สิ่งที่เราเพิ่งจะตระหนักว่ามันเป็นจริง ที่จะต้องมองเศรษฐกิจให้เป็นระบบนิเวศน์
พวกเรา อภิมหาเศรษฐี จำเป็นต้องเอาวิถีเศรษฐกิจ ที่ผลประโยชน์หลั่งไหลสู่คนหยิบมือนี้ ไปไว้ข้างหลัง ความคิดที่ว่า ยิ่งเราดีขึ้นมากเท่าใดคนอื่นก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกันนั้น มันไม่เป็นความจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร [นิคหมายถึงว่า ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อว่าถ้าเจ้าของกิจการรวยสุด ๆ เงินทองก็จะค่อย ๆ ไหลรินลงมาสู่ผู้บริหาร สู่ลูกจ้าง สู่คนใช้แรงงาน นั้นมันไม่จริง] ผมหาเงินได้เป็นพันเท่าของค่าแรงโดยเฉลี่ย แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อของ มากถึงพันเท่า ใช่ไหมครับ จริง ๆ ผมซื้อกางเกงพวกนี้สองตัว ซึ่ง ไมค์ หุ้นส่วนของผม เรียกมันว่ากางเกงผู้จัดการ ผมอาจจะซื้อกางเกง 2,000 ตัวก็ได้ แต่ผมจะเอามันไปทำอะไรครับ (เสียงหัวเราะ) ผมจะตัดผมได้สักกี่ครั้งกัน ผมจะไปทานอาหารเย็นนอกบ้าน ได้บ่อยแค่ไหนกัน ไม่ว่าอภิมหาเศรษฐีซึ่งมีจำนวนน้อยจะรวยขนาดไหน ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติไปได้มากกว่านี้ คนชั้นกลางที่มีกินมีใช้เท่านั้นที่จะทำได้
วันที่ 19 มิถุนายน 2013 บลูมเบิร์ก เผยแพร่บทความที่ผมเขียน เรื่อง “กรณีนักทุนนิยมกับค่าแรงขั้นตํ่า 15 ดอลลาร์” หลาย ๆ คนที่นิตยสารฟอร์บในหมู่ผู้ที่นิยมชมชอบผมมากที่สุด เรียกมันว่า “ข้อเสนอที่ใกล้จะเพี้ยนของ นิก เฮนัวเออร์” แต่แล้ว แค่เพียง 350 วัน หลังจากที่บทความถูกตีพิมพ์ ผู้ว่าการเมืองซีแอทเทิล เอ็ด เมอร์เรย์ ก็ได้ลงนามเพิ่มค่าแรงขั้นตํ่าในซีแอทเทิล เป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศที่ 7.25 ดอลลาร์ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร คนที่มีเหตุผลอาจสงสัย มันเกิดขึ้นได้เพราะ กลุ่มคนของเรา ได้เตือนคนชั้นกลางว่า พวกเขาเป็นต้นกำเนิดของการเติบโตและความมั่งคั่งในเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เราเตือนพวกเขาว่า เมื่อคนงานมีเงินมากขึ้น ธุรกิจก็จะมีลูกค้ามากขึ้น และจำเป็นต้องจ้างงานมากขึ้น เราได้เตือนพวกเขาว่า เมื่อธุรกิจจ่ายค่าจ้างให้คนงานดำรงชีพได้อย่างเพียงพอ ผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องรับภาระในการอุดหนุนโครงการแก้ปัญหาความยากจน เช่น การแจกอาหาร การช่วยเหลือทางการแพทย์ และการสนับสนุนค่าเช่าบ้าน ซึ่งคนงานเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับ เราได้เตือนพวกเขาว่า คนงานที่ได้ค่าแรงตํ่า ก็จะจ่ายภาษีน้อย และเตือนว่า เมื่อคุณยกค่าแรงขั้นตํ่าขึ้นมาทั่วทั้งองค์กรธุรกิจทั้งหมด สุดท้ายธุรกิจเองก็จะได้กำไรและยังสามารถแข่งขันได้ … “
คลิปนี้เริ่มแปลโดย yamela areesamarn และแก้ไขตรวจทานโดย Sakunphat Jirawuthitanant … ชวนดูฉบับเต็มครับ

ส่องบ้านหรู5,700ล้าน แพงที่สุดในสหรัฐ! (ชมคลิป).... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/world/news/401390

http://www.posttoday.com |
ชมคลิปส่องบ้านหรูราคา5,700ล้านบาท แพงที่สุดในสหรัฐ! แรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซาย

เว็บไซต์ข่าว'เดลิเมลล์'ได้เผยแพร่ภาพ Le Palais Royal คฤหาสน์หลังใหม่สไตล์คล้ายพระราชวังแวร์ซายในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ที่ขณะนี้ขึ้นชื่อว่ากลายเป็นบ้านที่แพงที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยราคากว่า 159 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5,700 ล้านบาทเลยทีเดียว
คฤหาสน์หลังนี้ถูกประกาศขายเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2014 ด้วยราคา 139 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ก่อนจะถูกเพิ่มราคาเป็น 159 ล้านดอลลาร์เหมือนเช่นตอนนี้
บ้านหลังนี้มีขนาด 60,500 ตารางฟุตติดอยู่กับชายหาด โดยภายในบ้านมีห้องนอน 11 ห้อง, สระน้ำและระเบียงหรู, ที่จอดรถกว่า 30 คัน, ห้องเก็บไวน์กว่า 3,000 ขวด, ห้องชมภาพยนตร์ไอแมค 18 ที่นั่ง โดยพื้นที่หลายจุดมักจะมีทองคำเป็นส่วนประกอบด้วย
ขณะที่ชั้นใต้ดินยังมีลานโบว์ลิ่ง ลานไอซ์สเก็ต สนามแข่งรถโกว์คาร์ท และลานเต้นไนท์คลับ
คฤหาสน์หลังนี้มีนาย 'โรเบิร์ต เพอร์เรียรา' ผู้ก่อตั้งบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งซึ่งใฝ่ฝันจะได้อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ยักษ์มานานแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อสร้างเสร็จกลับตัดสินใจขายเสียอย่างนั้น
ที่มา dailymail.

7 เกาะ Unseen เมืองไทย ที่คุณต้องไปก่อนตาย!!

“เกาะ” ในประเทศไทยกลายเป็นที่เที่ยวติดอันดับต้นๆ ของโลกไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนอกจากเกาะชื่อดังที่หลายคนรู้จักและเคยไปเยือนนับครั้งไม่ถ้วนอย่าง เกาะเสม็ด เกาะล้าน เกาะสมุย ฯลฯ ในแดนสยามของเรายังมีเกาะน้ำทะเลใสสวยงามระดับ Unseen Thailand อยู่อีกหลายแห่ง ที่แนะนำว่าคุณต้องไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต เริ่มกันด้วย...



เกาะราชาหรือเกาะรายา เป็นหมู่เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดภูเก็ต  มีความโดดเด่นอยู่ที่หาดทรายขาวสะอาดนุ่มเท้า ทั้งยังเป็นแหล่งปะการังอันสวยงาม จนสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามายลโฉมได้เป็นจำนวนมาก และเสน่ห์อีกอย่างคือบรรยากาศเงียบสงบ    เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนหรือฮันนีมูน ซึ่งเกาะราชาจะแบ่งออกเป็น 2 เกาะคือ เกาะราชาใหญ่ และราชาน้อย  โดยเกาะราชาใหญ่จะมี 5 อ่าวให้เที่ยวชมได้แก่ 1.อ่าวปะตก 2.อ่าวสยาม 3.อ่าวขอนแค 4. อ่าวทือ 5. อ่าวหลา และทั้ง 5 อ่าวสามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ ส่วนเกาะราชาน้อยจะมีเพียง 2 อ่าวคือ1. อ่าวพร้าว และ 2. อ่าวรังไก่   ที่แม้จะมีชายหาดไม่งดงามเท่าเกาะราชาใหญ่ แต่ความสวยของโลกสีน้ำเงินใต้ท้องทะเลก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
“น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา” เป็นสิ่งที่นึกถึงแน่นอนเมื่อได้มาเยือนเกาะไข่ จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กมีอยู่ด้วยกัน 3 เกาะคือ 1.เกาะไข่ใน 2.เกาะไข่นอก 3. ไข่นุ้ย  (ปัจจุบันสามารถเที่ยวได้แค่เกาะไข่ในกับไข่นอก)  จุดเด่นอยู่ที่โขดหินรูปร่างแปลกสวยงาม หาดทรายขาว-น้ำทะเลใส  บริเวณรอบเกาะสามารถดำน้ำดูปะการังหลากชนิด มีปลาสวยงามแหวกว่ายให้เราสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดและภาพจำติดตาของใครหลายคนคือเตียงผ้าใบและร่มกันแดดหลากสีสันเรียงรายอยู่เต็มหาด โดยเกาะไข่นอกประกอบด้วย 2 หมู่เกาะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ดาวกลางทะเล  มีหาดทรายขาวเหมาะแก่การนอนอาบแดดลงเล่นน้ำและดูปะการัง ส่วนเกาะไข่ในก็มีความสวยงามเช่นเดียวกัน ทั้งความขาวของผืนทรายและฝูงปลาหลากสี แต่ที่เด่นกว่าคือจะมีหินรูปหัวช้างและรูปเต่า 3 ตัว

~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~

เกาะสวยใกล้กรุงเทพฯ ยังมีให้เที่ยวชมนั่นคือเกาะขาม อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตั้งห่างจากฝั่งเพียง 9 กม.ในเกาะจะมีหาดใหญ่ๆ อยู่ 2 ด้านคือทิศเหนือ กับทิศใต้ โดยหาดทิศเหนือจะมีผืนทรายที่ค่อนข้างละเอียด และน้ำทะเลใสเหมาะแก่การว่ายน้ำและทำกิจกรรมทางน้ำตามอัธยาศัย ส่วนหาดทิศใต้เป็นหาดทรายหยาบ   เต็มไปด้วยหินกรวดและซากปะการังทับถมตลอดชายหาด   อย่างไรก็ตามลึกลงไปในท้องทะเลสามารถพบแนวปะการังที่สมบูรณ์   เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังโต๊ะ และปะการังสมอง เป็นต้น จึงเหมาะกับการดำน้ำในระดับผิวและระดับลึก  นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ชมปลาทะเลและสัตว์ใต้น้ำหายากจำนวนมาก อาทิ ปลาผีเสื้อปลาสลิดหิน, ปลาอมไข่ หอยมือเสือ หอยมือแมว  เม่นทะเล และปลิงทะเล

~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
      Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
      Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
      Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
      Photo : .อธิกสุรทิน (* ดูหมายเหตุท้ายบทความ)
เหมาะสมกับฉายาที่หลายคนขนานให้เป็น “มัลดีฟส์ เมืองไทย” สำหรับเกาะพยาม จังหวัดระนอง เพราะทั้งน้ำทะเลใสแจ๋ว บวกกับรีสอร์ทที่ปักหมุดอยู่กลางทะเล ซึ่งให้อารมณ์เช่นเดียวกับที่มัลดีฟส์ไม่มีผิด และต้องไม่พลาดไปดำน้ำชมปะการังที่สวยงามนานาชนิดบริเวณรอบๆ เกาะ เพราะเกาะพยามนับเป็นแหล่งดูปะการังที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง หรือจะเลือกตกปลา, ขี่จักรยานรอบเกาะ ตลอดจนพายเรือคายักชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน และสัมผัสกับวิถีชีวิตชาวเล "เผ่ามอแกน" ที่มาอาศัยอยู่เป็นบางครั้ง ส่วนใครที่อยากลงเล่นน้ำทะเลก็แนะนำให้ไปเพลิดเพลินที่อ่าวเขาควาย, อ่าวใหญ่ และหาดขาม

~ คลิ๊กดูภาพเพิ่มเติม และอ่านรีวิว ~
* ขอสงวนลิขสิทธิ์ภาพชุดนี้ ห้ามนำรูปชุดนี้ไปใช้ หรือเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพโดยเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านใดต้องการนำไปใช้กรุณาติดต่อที่ 9febphotos@gmail.com ครับ **

สุดยอดงานแต่งที่อลังการที่สุด