“เราเหลือกันเเค่นี้นะลูก” คำพูดของเเม่ผมขณะขับรถกลับบ้านหลังงานศพพ่อ (3ปีก่อน)
“ก็จะให้ทำยังไง งานมันยังไม่เสร็จ” พ่อบ่นเเม่ขณะนั้งตรวจเอกสารบนเตียงผู้ป่วยห้อง ICU โรงพยาบาลกรุงเทพ (4ปีก่อน)
“ยังไงเราก็ต้องปล่อยบ้านให้เขายึดไปนะลูก” เเม่พูดขนาดนั้งอยู่ในออฟฟิต กับเอกสารหนี้ทั้งหมด (2ปีก่อน)
“เอาวะ! ทนอีกซัก 10 ปี รอให้เอ็งโตก่อน ป๊าค่อยวางมือ” พ่อผมพูด ขณะขับรถเขาออฟฟิตก่อนเสียชีวิตประมาณครึ่งปี (4ปีก่อน)
ย้อยไปเมื่อ 3 ปีก่อน.....
ผมเคยมาตั้งกระทู้ครั้งนึงเพราะไม่รู้จะเเก้ไขเรื่องราวต่างๆได้อย่างไร พ่อผมขยายธุรกิจ กู้เเบงค์กว่า 40 ล้าน ขณะที่ทรัพยากรบุคคลยังไม่พร้อม เศษรฐกิจที่ซบเซ้าลง เเละสุขภาพ
พ่อผมเป็นคนชอบคิด ชอบทำงาน เราเคยมีเงินเก็บหลายล้านจากการขายของเก่าบ้าง กระดาษบ้าง พลาสติกบ้าง ก่อนเเบงค์จะเข้ามาเสนอการลงทุนเเละสร้างโรงงานผลิตเอง
สมัยนั้นผมยังเรียนอยู่ เศษรฐกิจค่อยๆชลอตัวลงเรื่อยๆ งานทางบ้านผมเป็นตัวดูฐานเศษรฐกิจได้เป็นอย่างดีเนื่องจากทำงานด้าน packaging เป็นหลัก
กิจการที่บ้านมาสะดุดตอนที่พ่อผมโดนโกงหลายล้าน เเละเป็นเวลาที่พ่อผมป่วยด้วย ใช้เงินรักษาไปหลายล้าน สุดท้ายท่านก็เสียชีวิตลงเมื่อ 3 ปีก่อนด้วยโรคตับ
หลังจากพ่อเสีย ผมเพิ่มมารู้ว่าที่บ้านมีหนี้กว่า 40 ล้าน!!
ตอนนั้นมึนไปหมด เพราะที่บ้านต้องเเบกรับหนี้กว่า 40 ล้านบาท กับการขาดทุนกว่า 400,000 บาทต่อเดือน ผมยังเรียนไม่จบ เเละเเม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องงานที่ทำดีพอ
ตอนนั้นเราเเย่กันมาก ผมกะจะ drop เรียนจากมหาลัยมาช่วยงานที่บ้าน เเต่เเม่ไม่ให้ เราทะเลาะกันบ้างตอนนั้น เเต่ผมพยายามจะสงบที่สุด เพราะไม่อยากให้เเม่เสียใจมากไปกว่านี้ เพราะตั้งเเต่พ่อเสีย เเม่ก็ต้องรับปัญหาทุกอย่างเองคนเดียวทั้งหมด..
ผมขอเกรินไว้เท่านี้นะครับ กับงานที่ทำ คราวนี้ขอกล่าวเกี่ยวกับ เหตุการณ์หลังจากนี้ว่าที่บ้านผมผ่านวิกฤตมาอย่างไร
เราคุยกัน 1 เรื่อง ว่าเราจะสู้ต่อหรือทิ้งทุกอย่าง เเม่เลือกลุยต่อ ผมก็เลือกทางนี้เช่นเดียวกัน (เเม้จะยังไม่เห็นหนทางออกใดๆเลย) เท่ากับว่าเราเลือกตรงกัน
ตอนนั้นผมขอบวชให้พ่อ หลังจากที่พ่อผมเสีย ผมบวช 1 เดือนเป็นนาค 1 เดือน เท่ากับ 2 เดือน
เเม่ผมไปติดต่อกับเเบงค์ขอหยุดผ่อนก่อน เพราะยังไม่ไหวพร้อมกับเล่าปัญหาต่างๆให้เเบงค์ฟัง เเต่เเบงค์กับไม่ช่วยอะไรเลย เเถวยังขู่อีกว่าถ้าจ่ายไม่ได้ก็จะต้องยึดที่อีก ยังไงคือก็ต้องจ่าย เเถมเเบงค์หาคนเตรียมซื้อที่โรงงานเราเเล้ว ถ้ารู้ว่าเราผ่อนไม่ไหว ตอนนั้นผมยังไม่รู้ เพราะบวชอยู่ มารู้ทีหลัง รู้สึกว่าเรื่องนี้เเบงค์เเย่มากเกินไป เพราะที่บ้านผมโดยปัญหาเยอะมาก เจอคนโกง พ่อเสียชีวิต ธุรกิจกำลังเเย่ เเถมเจอคนเเบงค์เเเบบนี้อีก จริงๆเเบงค์น่าจะหาทางช่วยได้ เพราะเเบงค์รู้เรื่องการเงินเราดีอยู่เเล้ว เเถวมีความรู้เรื้องเงินดีกว่าด้วย เเต่สุดท้ายกับจะเอาเเต่กำไรอย่างเดียวเลย
สิ่งที่เเม่ผมทำคือ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด งดจ่ายหนี้เเบงค์รายเดือนทุกอย่าง (ยอดรวม 4เเสน) เเถมไม่ออก ทำงานต่อไป ไม่มีเงินจ่าย ไม่ย้ายไปไหน ทำงานต่อไป เก็บเงินอย่างเดียว ในเมื่อคุยไม่รู้เรื่องก็ไม่คุย
จนเเบค์ต้องมาเคลียด้วย เเละนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปรดหนี้ของบ้านผม สิ่งที่เเม่คิดคือ เราไม่มีเงินเเเล้ว เราต้องดึงเงินในมือคือมา cash flow สำคัญมาก เเม่ผมงดจ่ายหนี้ทุกอย่างหมด เเละเตรียมพร้อมบางอย่างไว้ เเม้จะเรื่องที่เสี่ยง เเต่มันจำเป็น เราไม่เหลือเงินในมือกันเลย
ตอนนั้นเเบงค์มาคุย เเละขอเคลียหนี้ เเม่ผมไม่คุยด้วย เเละดึงเรื่องยาวถึงศาล (ประเด็นคือยืดเวลาให้มากที่สุด ไหนๆก็ไหนๆเเล้ว เพื่อดึงเงินเก็บให้มากที่สุด ไว้สำหรับการต่อรอง)
เราดึงเวลามาครึ่งปี ก็จบลงด้วยที่ศาลตัดสินว่าเราต้องจ่ายเงินเเบงค์คืนประมาณ 40 กว่าล้าน เเม่ผมเลยตัดสินใจปล่อยโรงงานทิ้ง 3 โรง เวนคืนให้เเบงค์ เเละปล่อยบ้านด้วย T T เท่ากับเราเหลือหนี้ประมาณ 20 กว่าล้าน
** อีกประเด็นนึงที่ผมเกลียดเเบงค์นะคือ
(ตอนซื้อที่โรงงาน บ้านผมก็ซื้อที่จากเเบงค์นี้ เเบงค์ประเมินให้สินทรัพย์โดยรวมกว่า 15 ล้านบาท ขาย 17 ล้าน เเต่ตอนเวนคือเเบงค์กลับให้เเค่ 6 ล้านเป็นยอดปรดหนี้ไป จริงๆผมเข้าใจเเบงค์นะว่าธุรกิจมันต้องมีกำไร เเต่ในช่วงที่บ้านผมไม่เหลืออะไรเลย เเบงค์กับไม่ช่วยอะไรซักอย่าง เเถมยังเอาเเต่ได้กับได้)
สุดท้ายเราเหลือเเค่ตัวโรงงานเล็กๆ สมัยพ่อผมเก็บของเก่าขาย (จริงๆก็ไม่เหลือครับ เป็นของเเบงค์ไปเเล้ว เเต่เราทำสัญญาผ่อนจ่ายต่อไป) เเม่โอนเครื่องจักรงานทุกอย่างมาที่นี้หมด พร้อมกับปรับโครงสร้างงานใหม่หมด สิ่งที่เราทำคือ
-ลดรายจ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายลดจากรายจ่าย 4 เเสนต่อเดือน เหลือ 160,000 บาท
-ปรับโครงสร้างงานใหม่ทั้งหมด ส่งของให้เร็วขึ้น เพราะไม่มีพื้นที่ เหลือเเต่โรงงานเล็กๆ
-ทิ้งลูกค้าที่ไม่มีกำไร หรือกำไรน้อยออกไปกว่า 40 รายเพราะกำลังผลิตมีน้อยลง
-ประคองลูกค้าเก่าที่สำคัญๆไว้
เท่ากับว่าเรากลับมาเริ่มต้นใหม่จากเงินที่ติดลบกว่า 20 ล้าน
ตอนนี้ผ่านไป 3 ปีเเล้วตั้งเเต่พ่อผมเสีย เราสามารถประคองธุรกิจได้อยู่ ขณะที่หนี้ลดลงมาเหลือ 10 กว่าล้าน
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ เราโชคดีที่ตัดสินใจถูก เเละเราช่วยกันประคองกันตลอดเวลา ถึงเเม้ตอนนี้ยังคงมีหนี้อยู่กับ 10 ล้านเเละยังมีปัญหาอีกมากมาย เเต่ก็ถือว่าดีกว่าเเต่ก่อนมากเเล้ว
ช่วงหลังๆผมเห็นคนในพันทิปหลายรายที่ เครียดกับการขาดทุนในสภาวะเศษรฐกิจตอนนี้ และไม่รู้จะเเก้อย่างไร ผมเลยเขียนเรื่องราวของบ้านผมดู ไม่รู้จะมีประโยชน์หรือเปล่านะครับ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ
- สำหรับธุรกิจเเล้ว cash flow สำคัญมาก อย่างให้เงินขาดมือเด็ดขาด
- ถ้ารู้ว่าเดินเกมผิด ให้เปลี่ยนเเผนทันที เสียเบี้ยบางตัว ดีกว่าเสียหมากทั้งกระดาน
- อย่าให้ credit ใครเกิน 3% จากยอดทุนจดทะเบียน ผมเคยลองคำนวนดู พวกที่ดึง credit เกิน 5% สุดท้ายเป็นหนี้เสียกว่า 80% ครับ (อย่ากลัวที่จะขอ statement มาดูลูกค้าก่อนจะให้ credit)
- การลดรายจ่าย (fixed cost) สำคัญกว่าการหารายได้
- พยายามลองเปิดตลาดใหม่ เราเป็นลูกค้าใคร ใช้สินค้าของใคร จำไว้ว่าเค้าก็เป็นลูกค้าเราได้เหมือนกัน
- บุคคลากร คนมีฝีมือ กอดไว้ให้เเน่นๆ อย่าให้หนีไปไหน
- อย่าตัดราคาสินค้าตัวเองจนไม่มีกำไร ให้เสนอเงื่อนไขที่ลูกค้าจะได้ประโยชน์เพิ่ม ในขณะที่กำไรเราเท่าเดิม (ลองดูครับ ถ้าจับจุดได้ คุณจะเปิดตลาดใหม่ได้อีกเยอะเลย)
- ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายใหญ่ ให้ตั้งเป้าหมายง่ายๆ ในเเต่ละวัน เเละทำมันให้สำเร็จ อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ (ถ้าวันนี้คุณยังมีหนี้อยู่ เเสดงว่าคุณได้ผ่านประสบการณ์ความล้มเหลวมาอย่างโชคโชนเเล้ว)
- ข้อสุดท้ายที่จะชี้เเนะได้ คือ เที่ยวครับ ออกไปเที่ยวเลย ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป การเที่ยวครั้งนึงเสียเงินไม่เยอะมากหรอก คุณขาดทุนมาเยอะเเล้ว ขาดทุนอีกนิดเพื่อตัวเองจะเป็นไรไป การออกไปเที่ยวมันจะทำให้เราได้ปลดปล่อยอะไรหลายๆอย่างออกไป ทางออกของปัญหามันจะมาตอนที่ใจเราผ่อนคลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น