วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การจดทะเบียนหลักทรัพย์

  ความแตกต่างระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คืออะไร

  SET ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งระดมทุนระยะยาวของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ในขณะที่ mai เป็น
  แหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีทุน  ชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 20 ล้านขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนว
  โน้มการเติบโตดีในอนาคต อย่างไรก็ตามแนวทางการพิจารณาคำขอรับอนุญาต IPO จากสำนักงาน กลต. ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติ  ภายหลังการเข้า
  จดทะเบียนแล้วจะไม่มีความแตกต่างกัน




 
 มีประเด็นอุปสรรคใดบ้างที่มักพบบ่อย จนอาจจะทำให้เกิดความล่าช้าในการเข้าจดทะเบียน

  1. บริษัทมีโครงสร้างทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจนไม่เป็นธรรม และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)
  2. บริษัทยังมีระบบการควบคุมที่ไม่เพียงพอ/ไม่มีประสิทธิภาพ
  3. บริษัทยังมีระบบบัญชีที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี



  ภายหลังจากการยื่นคำขอกับสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วที่ปรึกษาทางการเงินจะต้องเตรียมการอย่างไร สำหรับการเข้า
  เยี่ยมชมกิจการของสำนักงาน ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

  ที่ปรึกษาทางการเงินควรร่วมกับผู้สอบบัญชีในการเตรียม Working Paper ให้พร้อม และนัดหารือกับสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ได้ภายใน 10 วันทำการ นับ
  จากวันที่ยื่นคำขอ เพื่อที่สำนักงาน ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะได้นัดเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัทที่ยื่นคำขอได้ภายในอีก 10 วันทำการถัดไป




ในการห้ามขายหุ้น (Silent Period) เป็นระยะเวลา 1 ปี หลังหุ้นเข้าซื้อขายภายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ผู้ถือหุ้นที่เข้าข่ายเป็น Strategic Shareholder ทุกรายต้องถูกห้ามขายหุ้นหรือไม่ และหุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นสัดส่วนเท่าใด
 
Strategic Shareholder ที่เข้าข่ายทุกรายไม่จำเป็นต้องถูกห้ามขายหุ้น ทั้งนี้ ให้ผู้เข้าข่ายทุกรายทำการตกลงกันภายในกลุ่มโดยจะแบ่งหุ้นมาในสัดส่วนคนละเท่าใดก็ได้ แต่รวมแล้วต้องให้ได้จำนวนหุ้นที่ห้ามขายคิดเป็น 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO




ถ้าบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนจากประชาชนไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆก่อน ซึ่งไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน จะถือว่ามีความผิดหรือไม่

หากบริษัทผู้ยื่นคำขอได้มีการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆก่อน แต่ยังคงมีเจตนารมย์ที่จะดำเนินงานตามโครงการที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะถือว่าบริษัทไม่มีความผิดแต่อย่างใด  อย่างไรก็ตามบริษัทจำเป็นที่จะต้องมีการชี้แจงเหตุผลที่ไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนด้วย




หากบริษัทต้องการสอบถามข้อมูลหรือขอรับคำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถติดต่อหน่วยงานใดได้บ้าง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีทีมงานที่พร้อมให้คำแนะนำในการเตรียมความพร้อมแก่บริษัทที่สนใจเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทสามารถติดต่อนัดวันและเวลาที่สะดวกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าพบเพื่อให้คำแนะนำปรึกษาได้ ตามรายละเอียดนี้่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น




ควรจะเลือกที่ปรึกษาการเงิน และผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างไรดี

การเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้ตรวจสอบบัญชี เป็นสิ่งแรกๆ ที่บริษัทจะต้องเริ่มทำหลังจากตัดสินใจที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีหลักในการเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้ตรวจสอบบัญชี ดังนี้
  1. ต้องเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้สอบบัญชีที่อยู่ในรายชื่อที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยท่านสามารถหาข้อมูลได้ที่ Website ของสำนักงาน ก.ล.ต. รวมถึงสามารถดูผลงานของที่ปรึกษาทางการเงินได้ด้วย
  2. ต้องเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้ตรวจสอบบัญชี ที่มีหลักการที่ถูกต้อง สามารถแนะนำให้บริษัทในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่สำคัญของ สำนักงาน ก.ล.ต. และ ตลท. ได้ โดยไม่ตามใจผู้บริหารจนไม่มีหลักการในการแนะนำ
  3. ควรเลือกที่ปรึกษาการเงิน และผู้สอบบัญชี ที่มีความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ในธุรกิจของท่าน อีกทั้งมีเวลาเพียงพอ ที่จะให้บริการ


ถ้าเจอปัญหาขณะเตรียมตัว จะสามารถแก้ไขได้หรือไม่

ทีมงานของ ตลท.และ ก.ล.ต. พร้อมที่จะให้คำแนะนำ (Early Consultation) กับบริษัทและ FA ก่อนการยื่น Fling เพื่อให้บริษัทสามารถแก้ไขปัญหาสำคัญต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อนยื่น Filing แต่บางปัญหาอาจต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข เช่น โครงสร้างการเข้าจดทะเบียนยังมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์อยู่ (Conflict of Interest) ปัญหาการจัดทำบัญชี และปัญหาเรื่องระบบควบคุมภายในยังไม่เพียงพอ เป็นต้น


การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ระยะเวลาเตรียมตัวประมาณเท่าไร

ขึ้นอยู่กับความพร้อมของบริษัทในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความพร้อมของระบบบัญชี การควบคุมภายใน  ซึ่งมีระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 2  ปี


กรณีบริษัทมีการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเข้าจดทะเบียนแล้ว  หากบริษัทต้องการออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในภายหลังนั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร

การแปรสภาพเป็น บริษัทมหาชนแล้วนั้น ไม่สามารถแปลงกลับเป็นบริษัทจำกัด จึงได้ต้องทำตาม พรบ.มหาชน 
ส่วนการเพิกถอนหลักทรัพย์ ให้เป็นไปข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งกำหนดขั้นตอน และวิธีดำเนินการไว้อย่างชัดเจน


กิจการเป็นกงสีทำอย่างไรให้ระบบกงสียังคงอยู่ และสามารถเข้าจดทะเบียนได้

ให้พิจารณาว่าบริษัทที่อยากนำเข้าจดทะเบียน มีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทอื่น ๆ ในกงสีที่ยังเหลืออยู่หรือไม่ ถ้ามีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งดังกล่าว ให้นำธุรกิจเหล่านั้นรวมกันเพื่อเข้าจดทะเบียน  หรือเรียกว่า เป็นการจัดโครงสร่างกลุ่มบริษัท  นอกจากนี้ ในระดับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน บริษัทยังสามารถจัดเป็นบริษัท Holding ของกลุ่มครอบครัวเพื่อถือหุ้นรวมกันในบริษัทที่จะนำเข้าจดทะเบียนเพื่อเป็นการควบคุมการออกเสียงในกลุ่มธุรกิจที่นำเข้าจดทะเบียนได้ไม่แตกต่างจากเดิม อันจะช่วยลดความกังวลของเจ้าของกิจการได้ ขณะเดียวกันก็มีโครงสร้างที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะเข้าจดทะเบียนได้


Conflict of interest พิจารณาอย่างไร มีตัวอย่างหรือไม่

กรณีที่ 1 แข่งขันกัน
บริษัท A และ B ถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน และทำธุรกิจเหมือนกัน คือ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ผู้ถือหุ้นเลือกที่จะนำบริษัทใดบริษัทหนึ่งเข้าจดทะเบียนเท่านั้น โดยไม่นำรวม ทั้งสองบริษัทเข้าจดทะเบียน เป็นต้น จะสร้างความไม่โปร่งใสว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่จะดูแลผลประโยชน์เชิงธุรกิจของบริษัทเป็นหลัก
กรณีที่ 2 มีรายการระหว่างกัน 
บริษัท C และ D ถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน แต่ผู้ถือหุ้นต้องการนำบริษัท C เข้าจดทะเบียนเพียงบริษัทเดียว อย่างไรก็ตามบริษัท C และ D มีรายการซื้อขายวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตระหว่างกันจำนวนมาก หากบริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่ารายการระหว่างกันของบริษัท C และ D เป็นราคาตลาดที่อ้างอิงได้ หรือเป็นราคาที่ยุติธรรม จะถือว่าเป็นการบริหารจัดการประเด็นเรื่อง Conflict of Interest ตามเกณฑ์


การมีระบบควบคุมภายในที่ดี มีความสำคัญหรือไม่สำหรับใช้ประกอบการขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้น IPO

ระบบควบคุมภายในถือได้ว่าเป็นหัวข้อที่สำคัญที่ สำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณาอนุญาตให้ขายหุ้น IPO โดยผู้ยื่นคำขอจะต้องมีระบบควบคุมภายในที่ดี ไม่มีข้อบกพร่อง หรือได้แก้ไขข้อบกพร่องตามที่ผู้ตรวจสอบภายในได้ให้ความเห็นแล้ว อีกทั้ง จะต้องมีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน (Segregation of Duty) และมีระบบ Check and Balance


กรณีที่บริษัทมีหน่วยงานตรวจสอบและคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งปฎิบัติหน้าที่ตามบทบาทที่กำหนดอย่างเคร่งครัด การเตรียมความพร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำเป็นต้องว่าจ้าง Internal Audit Outsource อีกหรือไม่

ไม่จำเป็น สามารถใช้หน่วยงานตรวจสอบภายในบริษัท (Internal Audit In house) ได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าระบบควบคุมภายในเพียงพอไม่มีข้อบกพร่อง ซึ่งสังเกตได้จาก Management Letter ของผู้สอบบัญชีว่าประเด็นที่ผู้สอบบัญชีมีความเห็นได้ถูกแก้ไขแล้ว รวมถึงมีระบบ Check and Balance ที่ดี


การเตรียมระบบระบบบัญชี ควรทำอย่างไรบ้าง

หากบริษัทยังไม่มีมาตรฐานในด้านการจัดทำงบการเงิน ควรเริ่มจากการวางระบบบัญชีที่ถูกต้องก่อน โดยแต่งตั้งผู้สอบบัญชีที่สำนักงาน ก.ล.ต.ให้ความเห็นชอบ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับระบบบัญชีของบริษัท อีกทั้งเริ่มจัดทำงบรายไตรมาส และงบการเงินของบริษัท และบริษัทย่อย (ถ้ามี) ทั้งนี้งบการเงินของบริษัทต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีในรายชื่อที่สำนักงาน ก.ล.ต. อนุญาตอย่างน้อย 1 ปี ก่อนยื่นคำขออนุญาต


ในแบบ Filing มีหลักเกณฑ์การเปิดเผยรายการระหว่างกันอย่างไร

แนวทางการเปิดเผยรายการระหว่างกันมีดังนี้
  1. ให้เปิดเผยรายการที่ทำในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ ชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และลักษณะความสัมพันธ์ ข้อมูลรายการที่เกิดขึ้น อธิบายลักษณะ มูลค่า ราคา/อัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขการค้า ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องรายการระหว่างกันของบริษัทจดทะเบียน ต้องแสดงได้ว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม เป็นราคาตลาด อีกทั้งเงื่อนไขเป็นไปตามธุรกิจปกติ
  2. เปิดเผยถึงความจำเป็นและเหตุผลของการเข้าทำรายการและความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee)
  3. นโยบายหรือแนวโน้มการทำรายการในอนาคต ตลอดจนมาตรการในการดูแลรายการดังกล่าวที่เหมาะสม


หลังจากบริษัทได้รับการอนุมัติให้ขายหุ้นต่อประชาชนจาก สำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว จะต้องนำหลักทรัพย์ออกขายให้กับประชาชนภายในระยะเวลาเท่าใด

ต้องขายหุ้นให้แล้วเสร็จภายในหกเดือนนับแต่วันที่สำนักงาน ก.ล.ต. แจ้งการอนุญาต และสามารถขออนุญาตขยายระยะเวลาได้อีก 6 เดือน โดยต้องส่งหนังสือ พร้อมเหตุผลให้กับ สำนักงาน ก.ล.ต. ไม่น้อยกว่า 30 วัน 
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็กำหนดให้ผู้ยื่นคำขอต้องกระจายการถือหุ้นรายย่อยให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และขอผ่อนผันได้ 6 เดือน โดยต้องแจ้งขอผ่อนผันและชี้แจงเหตุผลเป็นหันงสือต่อคณะกรรมการไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันครบกำหนดเช่นเดียวกัน


คุณสมบัติของกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ

เนื่องจากเกณฑ์เรื่องคุณสมบัติกรรมอิสระ และกรรมการตรวจสอบ เป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ยื่นคำขอสามารถพิจารณาคุณสมบัติของกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบโดยละเอียดได้ที่http://capital.sec.or.th/webapp/nrs/data/4425s.pdf หรือ ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.14/2551


หน้าที่ของกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ

หน้าที่ของกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ จะคล้ายคลึงกัน ซึ่งกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบจะมีหน้าที่คล้ายกับเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นรายย่อย เพื่อที่จะดูแล รวมถึงให้ความเห็นกับคณะกรรมการบริษัท รวมถึงผู้บริหารของบริษัท โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผุ้ถือหุ้น รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัททุกฝ่าย


ผู้บริหารมีธุรกิจส่วนตัว และถือหุ้นอยู่หลายบริษัท จำเป็นต้องขายหุ้นออกไป หรือต้องขายกิจการเหล่านั้นออกไปก่อนหรือไม่

ในกรณีที่สามารถแสดงได้ว่าไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เช่น ไม่ได้ทำธุรกิจทับซ้อน หรือแข่งขันกัน หรือไม่มีรายการระหว่างกัน  หรือหากมีรายการระหว่างกันแต่เป็นรายการที่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย หรือสามารถอธิบายได้ว่ารายการระหว่างกันนั้นเป็นประโยขน์ต่อบริษัทผู้ยื่นคำขอ ผู้บริหารยังสามารถถือหุ้นนั้นต่อไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องขายกิจการ หรือขายหุ้นออก แต่ต้องเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน


ธุรกิจโรงเรียน ธุรกิจ Gold Futures Broker สามารถเข้าจดทะเบียนได้หรือไม่

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับธุรกิจที่จะเข้าจดทะเบียน จึงสามารถเข้าจดทะเบียนได้ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาถึงประกาศของสำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.  28/2551 เรื่อง  การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ด้วยว่าจะต้อง 
1. ไม่ขัดต่อนโยบายสาธารณะหรือนโยบายของรัฐ 
2. ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือต่อตลาดทุนไทยโดยรวม หรือ อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ลงทุนโดยรวม 
3. ไม่ทำให้ผู้ลงทุนโดยรวมไม่ได้รับความเป็นธรรม


บริษัทจะได้รับเงินระดมทุนอย่างไรจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป

หลังจากที่บริษัทได้รับอนุญาตให้ขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว ต้องแต่งตั้งผู้รับประกันการจัดจำหน่ายเพื่อให้เป็นผู้ที่นำหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวเสนอขายให้กับผู้ลงทุนโดยทั่วไป โดยราคาขายที่ได้จะขึ้นอยู่กับผลประกอบการ และศักยภาพทางธุรกิจของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ราคาที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก มักจะมีราคาที่สูงกว่าราคาพาร์ของหุ้นของบริษัท เช่น บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น ซึ่งมีราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท แต่สามารถขายได้ในราคา IPO 3 บาทต่อหุ้น ดังนั้น บริษัทจะได้รับเงินระดมทุนเท่ากับ 300 ล้านบาท เป็นต้น


เหตุใดบริษัทผู้ยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนต้องจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)

ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนปี 2544 ข้อ 5 (11) มีข้อกำหนดให้บริษัทต้องมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการดูแลพนักงานซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของบริษัท ถือเป็นสวัสดิการให้กับพนักงานอันแสดงถึงการมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี  (Good Corporate Governance)


ค่าใช้จ่ายในการเข้าจดทะเบียน มีอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าจดทะเบียน จะประกอบด้วยหลายส่วนด้วยกัน โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ได้แก่
  1. ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการยื่นคำขอ ทั้งต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ เช่น ค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี
  2. ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งทั้งสองรายจะต้องอยู่ในรายชื่อที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบวิชาชีพอิสระอื่นที่อาจต้องใช้บริการตามความจำเป็น  เช่น ที่ปรึกษากฎหมาย ผู้ตรวจสอบภายใน ผู้ประเมินค่าสินทรัพย์ เป็นต้น
  3. ค่ารับประกันการจำหน่ายหุ้น (Underwriting Fee) ซึ่งคิดเป็นร้อยละของมูลค่าเงินที่ระดมทุนได้
  4. ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพของบริษัทให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น การวางระบบบัญชี  ระบบข้อมูล และการพัฒนาหรือสรรหาบุคคลากรเพิ่ม เป็นต้น




ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนแล้ว บริษัทมีหน้าที่อะไรบ้าง?

บริษัทยังต้องรักษาคุณสมบัติที่ดีของการเป็นบริษัทจดทะเบียนสืบเนื่องไป เช่น การมีระบบบัญชีที่ดี  มีระบบการควบคุมภายในที่ดีและมีประสิทธิภาพ ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์  ที่สำคัญที่สุดคือการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดให้ครบถ้วน ถูกต้อง และทันเวลา


สารสนเทศที่ต้องรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเรื่องอะไรบ้าง

โดยหลักการแล้ว สารสนเทศที่ถือว่าสำคัญ คือ สารสนเทศที่มีผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน หรือมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
  1. สารสนเทศที่รายงานตามรอบระยะเวลาบัญชี (Periodic Reports) ได้แก่ งบการเงินรายไตรมาส งบการเงินประจำปี แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี และรายงานประจำปี เป็นต้น
  2. สารสนเทศที่รายงานตามเหตุการณ์ (Non-Periodic Reports) ได้แก่ การได้มา/จำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ รายการที่เกี่ยวโยงกัน การร่วม/ยกเลิกการร่วมทุน การเพิ่มทุน/ลดทุน การออกหลักทรัพย์ใหม่ การซื้อหุ้นคืน   การจ่าย/ไม่จ่ายเงินปันผล เป็นต้น
ซึ่งเกณฑ์การรายงานเป็นไปตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศและการปฏิบัติการใดๆ ของบริษัทจดทะเบียน (บจ/ป 11-00)
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน ก.ล.ต. ยังมีการจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้ยื่นคำขอ และบริษัทจดทะเบียนอย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับการรายงานสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนจัดทีมงานในการดูแลให้คำแนะนำเพื่อให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง




ทำไมต้องมีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขึ้นมาใหม่ แยกต่างหากจากตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีศักยภาพ ในการเติบโตสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนได้ โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ในอนาคต (Business for the Future) อุตสาหกรรมที่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เน้นทำการตลาดเชิงรุก ได้แก่ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) อุตสาหกรรมด้านสุขภาพและท่องเที่ยว สื่อ โลจิสติคส์ พลังงาน และพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการอื่นๆ หากมีคุณสมบัติ ครบตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีความยินดีรับเป็นบริษัทจดทะเบียนเพื่อให้ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีบริษัทจดทะเบียนในหลากหลายอุตสาหกรรมให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนได้ ตามความเหมาะสม ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สามารถรองรับธุรกิจได้ทุกขนาด ทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นต่ำภายหลังกระจายหุ้น 20 ล้านบาทขึ้นไป และไม่มีการจำกัดทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่รองรับได้เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีทุนชำระแล้วขั้นต่ำ 300 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น




หลักเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทยอย่างไร

  • การกำหนดทุนชำระแล้วและส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีจำนวนน้อยกว่า
  • การกำหนดระยะเวลาในการประกอบธุรกิจต่อเนื่องที่สั้นกว่า ก่อนการยื่นขอจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
  • การกระจายหุ้นให้มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่น้อยกว่า
  • การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต่ำกว่า
นอกจากนี้ ยังจะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) เข้ามาลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่มี ศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น เพราะมีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นช่องทางในการนำบริษัท ที่ร่วมลงทุนเข้าจดทะเบียนเพื่อที่จะขายหุ้นที่ลงทุนออกไปเมื่อเห็นว่าได้ รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนนั้น




ทำไมบริษัทต้องเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ทั้งที่บริษัทสามารถกู้ยืมเงิน จากสถาบันการเงินได้อยู่แล้ว

การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการเพิ่มแหล่งเงินทุนให้แก่บริษัท ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่น ในการบริหารต้นทุนทางการเงินให้แก่บริษัทมากขึ้น และรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและอัตรา ดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่ทำให้บริษัทมีภาระที่จะต้องจ่าย ดอกเบี้ยแม้ว่าจะมีผลขาดทุนจากการ ดำเนินงานก็ตาม การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถ ระดมทุนจากประชาชนได้โดยตรง และบริษัทจะจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นนั้น ในรูปของเงินปันผล เมื่อบริษัท มีผลกำไรจากการดำเนินงาน และเมื่อบริษัทมีความต้องการเงินทุนเพิ่มเติมในการขยายกิจการในอนาคต บริษัทก็สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเพิ่มเติมอีกได้




เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะทำให้ถูกผู้ลงทุนมองว่าเป็นบริษัทที่มีคุณภาพแตกต่าง จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือไม่

นักลงทุนจะพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไรและแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยมิได้คำนึงว่าบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใด สำหรับเรื่องคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนนั้น ทางสำนักงาน ก.ล.ต. จะใช้หลักเกณฑ์ เดียวกันในการพิจารณาอนุมัติให้กระจายหุ้นต่อประชาชน และนอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเรื่อง การเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนเช่นเดียวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้น กล่าวได้ว่า คุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไม่แตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย




สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว เงินที่ระดมทุนได้จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะคุ้มกับค่าใช้จ่ายในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือไม่

ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้น บริษัทควรจะต้องมีแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ที่จะต้องมีการใช้เงินในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งหากบริษัทมีการวางแผนการระดมทุนในจำนวนเงินที่เหมาะสมใน แต่ละช่วงเวลาให้สอดคล้องกับแผนการขยายกิจการในอนาคตแล้ว จะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการระดม ทุนต่ำกว่าจำนวนดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินหากบริษัทกู้ ยืมเงินในจำนวนที่เท่ากัน และบริษัท สามารถที่จะระดมทุนเพิ่มเติมได้ในภายหลังอีกให้สอดคล้องกับแผนการใช้เงินของ บริษัท โดยบริษัทสามารถ ออกตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ตามสภาวะตลาดทุนในช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินนั้น เช่น หุ้นกู้ ใบสำคัญ แสดงสิทธิ เป็นต้น




บริษัทจะมีข้อพิจารณาอย่างไรบ้างว่า ควรจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงจะเหมาะสม

หากบริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าบริษัทเหมาะสมที่จะเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดี บริษัทอาจจะพิจารณาถึงประเด็นหลักๆ ประกอบกัน ดังนี้
  • แผนการใช้เงินในอนาคต: บริษัทจะต้องพิจารณาว่ามีความต้องการที่จะระดมทุนเป็นจำนวนเงินมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการใช้เงินในอนาคต และดูว่าภายหลังการระดมทุนเพิ่มขึ้นแล้วบริษัทจะมีขนาดของทุนเท่าไร ถ้าบริษัทจะมีทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุนน้อยกว่า 300 ล้านบาท บริษัทจะต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แต่ถ้ามากกว่าหรือเท่ากับ 300 ล้านบาท บริษัทสามารถเลือกได้ว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 
  • ความโดดเด่นของบริษัท: บริษัทควรพิจารณาถึงความโดดเด่นของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทจด ทะเบียนอื่น ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อจะดูว่าบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไหนแล้วหุ้นของบริษัทจะ เป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุนมากกว่ากัน




ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีบริการพิเศษอย่างไรบ้าง

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะเน้นให้การสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และบทวิเคราะห์ของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัท เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนทราบข้อมูลของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ โดยในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้ทุนบริษัทหลักทรัพย์ในการจัดทำบทวิเคราะห์หุ้นที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ยังไม่มีบทวิเคราะห์ เพื่อให้นักลงทุนทราบข้อมูลของบริษัท การเผยแพร่บทวิเคราะห์ต่อนักลงทุนและประชาชน ได้รับการตอบสนองที่ดี ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน สะท้อนผลการดำเนินงานและคุณภาพของบริษัทอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ยังสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนโดยการให้สัมภาษณ์และเผยแพร่ข่าวบริษัทจดทะเบียน ผ่านสื่อต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสื่อของตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) อีกด้วย




เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีขั้นตอนที่ยุ่งยากหรือไม่

ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้นมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากมากนัก บริษัทจะมีที่ปรึกษาทางการเงินเป็นผู้ช่วยในการเตรียมการต่างๆ แต่หากบริษัทอยากที่จะประหยัดค่าใช้จ่าย บริษัทก็สามารถเตรียม ความพร้อมด้วยตนเองในเบื้องต้น ก่อนการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินให้มาช่วยเตรียมการในขั้นตอนการยื่นคำขออนุญาต เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนกับสำนักงาน ก.ล.ต. และการยื่นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ดังนี้
  • เปลี่ยนผู้สอบบัญชีบัญชีให้เป็นผู้สอบที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในงบการเงินปีล่าสุดก่อนปีที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน
  • ปรับปรุงระบบบัญชีและการควบคุมภายใน เพื่อให้ได้มาตรฐาน
  • เตรียมการสรรหาบุคคลที่จะเข้ามาเป็นกรรมการอิสระหรือคณะกรรมการตรวจสอบ
  • จัดเตรียมเอกสารภายในบริษัทให้เป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกต่อการให้ที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาศึกษาข้อมูล ในการเตรียมยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนกับสำนักงาน ก.ล.ต. และการยื่นเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
หลังจากนั้น บริษัทจึงทำการคัดเลือกและแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อช่วยในการจัดโครงสร้างบริษัท โครงสร้างธุรกิจโครงสร้างทุนและผู้ถือหุ้น และจัดเตรียมข้อมูลในการยื่นคำขอ อนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนกับสำนักงาน ก.ล.ต. และการยื่นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และในการขายหุ้นนั้น บริษัทจะมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย (Underwriter) มาช่วยในการจัดจำหน่ายหุ้นของบริษัทไปยังผู้ลงทุนได้อย่างกว้างขวาง ตามจำนวนที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด
นอกจากนี้ ในการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนกับสำนักงาน ก.ล.ต. และการยื่นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้น ก็มีขั้นตอนที่สะดวก คือ บริษัทสามารถยื่นคำขอต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้พร้อมกัน และโดยทั่วไปสำนักงาน ก.ล.ต. จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการพิจารณาอนุมัติให้ขายหุ้น และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์หลังจากสำนักงาน กลต. อนุมัติให้บริษัทกระจายหุ้นให้ประชาชนได้




บริษัทต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะสามารถติดต่อหน่วยงานใดได้บ้าง

สำหรับบริษัทที่ต้องการข้อมูลหรือคำปรึกษาเกี่ยวกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) บริษัทสามารถ ติดต่อมาที่ฝ่ายสรรหาบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ได้ที่ โทร. 0-2229-2222 ต่อ 2022, 2026, 2027, 2029 และ 2057 นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการระดมทุนของฝ่ายฯ ยินดีที่จะเข้าไปให้คำปรึกษาแก่บริษัทที่สนใจ ถึงสถานที่ทำการของบริษัท โดยบริษัทสามารถนัดเวลาได้ที่เบอร์โทรศัพท์ดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


http://www.set.or.th/th/faqs/listing_p1.html#1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น