วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

มจธ.ผลิต “เอทิลไบโอดีเซล” ไม่ใช้ความร้อนรายแรกของโลก

21 พฤศจิกายน 2558 07:47 น.
http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000128934

มจธ.ผลิต “เอทิลไบโอดีเซล” ไม่ใช้ความร้อนรายแรกของโลก
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
มจธ.ผลิต “เอทิลไบโอดีเซล” ไม่ใช้ความร้อนรายแรกของโลก

“การนำเอทานอล คือ แอลกอฮอล์ชนิดที่ได้จากพืช มาใช้ผลิตเอทิลไบโอดีเซล กำลังจะเป็นทางออกที่ดีที่ทำให้ประเทศไทย ก้าวไปอีกขั้นในการคิดค้นเชื้อเพลิงพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์กับเกษตรกร รวมถึงภาคอุตสาหกรรมของไทย” รศ.ดร.คณิต กฤษณังกูร นักวิจัยคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สะท้อนถึงความสำคัญของเอทิลไบโอดีเซล เชื้อเพลิงพลังงานอนาคตของประเทศไทย
      
       ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตเอทานอล และไบโอดีเซล (เชื้อเพลิงที่ผลิตจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน) เพื่อทดแทนน้ำมันเบนซิน หรือแก๊สโซลีน และน้ำมันดีเซล ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากกระบวนการทางปิโตรเลียม/ปิโตรเคมี ในขณะที่เมทานอล (ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการกลั่นทางปิโตรเคมี) มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับเอทานอล ที่ประเทศไทยสามารถผลิตได้เองและเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ
      
       รศ.ดร.คณิต กล่าวว่า หากมีการขยายการใช้ไบโอดีเซล จากบี 5 เป็นบี 7 หรือบี 10 (น้ำมันดีเซลที่ผสมไบโอดีเซล 5, 7 และ 10% ตามลำดับ) ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลก็จะสูงขึ้น การเติบโตของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมก็จะโตตาม ทำให้คาดคะเนได้ไม่ยากว่าในอนาคตเอทิลไบโอดีเซลจะเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต เราจึงคิดที่จะนำเอาเอทานอล ซึ่งล้นตลาดอยู่ ณ ขณะนี้มาศึกษาวิจัย ถึงความเป็นไปได้ในการผลิตเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กระบวนการผลิต จนกระทั่งออกมาเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด อีกทั้งช่วยเหลือเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมไปด้วยพร้อม ๆ กัน
      
       ด้วยความรู้ด้านงานวิจัยเชื้อเพลิงพละงงานมากว่า 25 ปี จึงส่งผลให้ รศ.ดร.คณิต สามารถผลิตเอทิลไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง โดยไม่ใช่ความร้อนและกลีเซอรอลบริสุทธิ์ ได้ประสบความสำเร็จเป็นรายแรกของโลก จนได้รับรางวัลความคิดสร้างสรรค์พลังงานทดแทน จากสำนักนโยบายและแผนพลังงานกระทรวงพลังงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ ยังได้คิดค้นปฏิกรณ์แบบต่อเนื่องซึ่งต้องใช้ความร้อนและตัวทำละลายอินทรีย์ (organic solvent) เพื่อเตรียมเมทิลไบโอดีเซล ได้เป็นรายแรก ๆ ของโลกด้วย
      
       “ก่อนหน้านี้ เราพบว่า ตัวเมทานอลกับน้ำมันจะมีความไม่เข้ากันอยู่มาก ซึ่งพอไม่เข้ากันปฏิกิริยาก็จะเกิดช้า เราจึงคิดที่จะหาตัวที่จะไปกระทำให้เกิดความเข้ากันเพื่อเร่งให้เกิดปฏิกิริยาได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ เรายังเคยใช้ไมโครเวฟเป็นตัวส่งความร้อนให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นตามที่เราคาดคะเน ก็ได้ผลเช่นกัน แต่ยิ่งเราทำไป ๆ ก็ค้นพบว่าการไม่ใช้ความร้อนเลยก็อาจจะทำได้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของการเขียนโครงการนี้ขึ้น และของบประมาณสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ใช้เวลาในการวิจัยประมาณ 1 ปีก็ทำสำเร็จ
      
       รศ.ดร.คณิต กล่าวว่า การใช้น้ำมันพืชทำปฏิกิริยากับเอทานอล โดยมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เรียกว่า ปฏิกิริยาทรานส์เอทิเลชัน (Transethylation) ผลจากการทดลองพบว่าการผลิตไบโอดีเซลจากปฏิกิริยา ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที ในสภาวะอุณหภูมิห้องหากมีการสัมผัสระหว่างน้ำมัน แอลกอฮอล์ และตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดี นอกจากนี้ ยังได้ประดิษฐ์ micro-reactor สำหรับปฏิกิริยา Transethylation ปฏิกิริยาจะสมบูรณ์ภายในเวลา 45 วินาที ที่อุณหภูมิห้อง เนื่องจากปฏิกรณ์นี้ออกแบบมาให้มีการสัมผัสระหว่างน้ำมัน แอลกอฮอล์ และตัวเร่งปฏิกิริยาเกิดได้ดี
      
       “สำหรับเอทิลไบโอดีเซลที่ได้ พบว่า มีค่าซีเทน (Cetane Number) ตามมาตรฐานของยุโรปบ่งบอกถึงคุณภาพของการจุดระเบิดของเชื้อเพลิงที่ดี การเผาไหม้ดีกว่าจึงปลดปล่อย CO2 ได้ลดลง นอกจากนี้ ยังได้กลีเซอรีนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ (by-product) ที่ใสและบริสุทธิ์กว่าที่ได้จากกระบวนการผลิตเมทิลไบโอดีเซล สามารถนำกลีเซอรีนไปฟอกสี และทำสบู่ได้ดีกว่า” รศ.ดร.คณิต กล่าว
      
       นับว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของคนไทยในอนาคต ที่นอกจากจะได้เชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังได้ใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้เองภายในประเทศ ลดการนำเข้า ส่งเสริมภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอย่างโรงงานผู้ผลิตเอทานอล และโรงหมักต่าง ๆ ได้จริง

จากเด็ก “ต่างด้าว” สู่เจ้าของธุรกิจ สังฆภัณฑ์ ออนไลน์เงินล้าน

ผมได้มีโอกาสรู้จักคุณทัศน์ ในงานสัมมนาหนึ่ง ตอนนั้นผมเป็นวิทยากร คุณทัศน์เป็นผู้เข้าอบรม คุณทัศน์เป็นคนเงียบ ๆ แต่เก็บรายละเอียดทุกเม็ดของสัมมนา หลังจากนั้นผมก็เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว ธุรกิจของคุณทัศน์ และนี่คือเรื่องราวที่คุณทัศน์ได้มาบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของธุรกิจ “สังฆภัณฑ์” เงินล้าน ที่ผมบอกได้เลยครับว่า ต่อให้เราจนสักเพียงไหน ต่อให้เราขาดโอกาสสักเพียงไหน หากเรา “ไม่ยอมแพ้” ทุกสิ่งอย่างก็จะเป็นของเราด้วย การลงมือทำ อย่างพยายาม
คุณทัศน์ แนะนำตัวกับเพื่อน ๆ หน่อยครับ
ผมชื่อ สุทัศน์  ศรีพรม ชื่อเล่นทัต  ครับ  อาชีพปัจจุบันเจ้าของร้านบูชาสังฆภัณฑ์ออนไลน์
จำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์  และของใช้ทำบุญทุกชนิด เช่น พระพุทธรูป, ระฆัง ฆ้อง กลอง, เครื่องบวชเครื่องกฐิน เป็นต้น
ทราบว่าเป็นคนต่างด้าวเป็นมาอย่างไรมาเป็นเจ้าของกิจการครับ
ผมเป็นเด็กต่างด้าว จากแขวงจำปาสัก อาศัยวัดบวชเรียนเขียนอ่าน เรียนจบก็ลาสิกขา  ออกมาแรก ๆ ก็ยังอาศัยวัดอยู่  และทำงานเดินขายซิมโทรศัพท์  DTAC  รับผิดชอบเขตฝั่งธน  และแถวสะพานควาย  ทำได้ 3 เดือน  เขาจะบรรจุเป็นพนักงานประจำ แต่ไม่มีบัตรประชาชนก็เลยหมดสิทธิ์ เป็นพนักงาน DTAC  ลาออกมาหางานใหม่ ถูกหลอกให้ทำงานแชร์ลูกโซ่เสียเงินฟรีไป 5,000  บาท ลาออกมาเป็นเซลขายนาฬิกา,กระติกน้ำ,ฯ ตามบ้านเรือนประชาชน ทำอยู่ 3 เดือน  ก็ลาออกอีก
ออกจากงานไม่มีงานทำเอาเงินที่ไหนใช้ครับ 
เวลาตกงาน  สถานที่ที่คิดถึงมากที่สุดก็คือ “วัด” อย่างน้อยก็มีข้าวให้ประทั้งชีวิตไปวัน ๆ
ผมเข้าวัดที่รู้จักมักคุ้นกับครูบาอาจารย์ ท่านก็สอบถามสรทุขร์สุขดิบทราบว่าผมตกงานท่านก็แนะนำให้ไปสมัครงานร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากท่านรู้จักกับ
เจ้าของ  บอกว่ามาจากท่าน  และท่านก็โทร.ไปฝากฝัง หลังจากนั้นผมก็ได้ทำงานในห้างสรรพสินค้าสังฆภัณฑ์  เป็นเวลา  6  ปี  จากเงินเดือน 6,000  บาท ขึ้นมาตามลำดับสูงสุด ได้เงินเดือน  15,000  บาท
รับหน้าที่อะไรบ้างครับ งานทำ
ทำทุกอย่าง  ทำทุกหน้าที่  ตั้งแต่เด็กยกของ ส่งของ ขายของ  เดินแจกโบว์ชัว  ทั่วผืนที่ในย่านเขตฝั่งธน  (ยกเว้นฝ่ายบัญชี  และฝ่ายบุคคล) เป็นพนักงานฝ่าย IT  ออกแบบและจัดทำเว็บไซต์, โบว์ชัวร์  แค็ตตาล็อก,นามบัตร, โฆษก,พิธีกรงานทำบุญต่าง ๆ, หัวหน้าฝ่ายการตลาด, หัวหน้าฝ่ายกิจกรรม และรับจัดงานทำบุญครบวงจร และ ได้ทำงานใกล้ชิดเถ้าแก่  คือเจ้าของ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อ  พี่ชายก็ว่าได้
จากลูกจ้าง เปลี่ยนมาเป็นเจ้าของกิจการได้อย่างไร
ผมคิดตลอดเวลา  “เป็นลูกจ้างไม่รวย”  มันฝังอยู่ในหัว  เราต้องเป็นเจ้าของกิจการให้ได้
แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็น ขายเครื่องสังฆภัณฑ์  ตอนนั้นคิดว่าจะเปิดรับจัดทำเว็บไซต์,ป้ายโฆษณา
ซึ่งทำไปทำมา เอ…..เราไม่ได้เชี่ยวชาญจริงนี่หวา อีกอย่างกว่าจะได้เงินลูกค้า ยากเย็นสะเหลือเกิน กำไร  ก็น้อย  คู่แข่งก็เยอะ  อ่านในหนังสือก็บอกว่า ทำจากสิ่งที่ถนัดแล้วรวย…. เชื่อเลยครับ
เปลี่ยนความคิดทันที
ความจริงคิดอยากจะลาออก…ประมาณ  ปีกว่า ๆ  แต่ก็ผัดตัวเองมาเรื่อย หรือ  ยังทำใจไม่ได้  ผมรักองค์กร  รักงานนี้เท่ากับชีวิตผมเลย เพราะทำแล้วมีความสุข  ในองค์กรไม่มีใครเชี่ยวชาญงานเท่าเราอีกแล้ว ยกเว้นเจ้าของ  และแล้ววันนั้นก็มาถึง  วันที่ผมตัดสินใจลาออก เจ้านายเรียกไปพบเพื่อสอบถามเรื่องการทำเว็บไซต์ให้แฟนขายสินค้า “เครื่องสังฆภัณฑ์”  ท่านแจ้งว่ามีคนมารายงาน จะให้ทำอย่างไร  นายมีทางเลือก 2 ทาง  1.หยุดการกระทำนั้นทุกอย่าง แล้วปรับปรุงตัวใหม่เริ่มใหม่ไม่ยุ่งเรื่องเว็บไซต์นั้นอีก  2.ลาออก
ให้เวลานายภายในวันนี้ตัดสินใจ  ผมขอเลื่อนการตัดสินใจเป็นพรุ่งนี้เช้าได้ไหม นายบอกว่าไม่ได้ เป็นสถานการณ์ที่บีบหัวใจและชีวิตมาก
“ผมขอลาออกครับ”เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และความสบายใจของทุกคน
จากนั้นเจ้านายก็ร่ายยาว…….”คุณต่างจากคนในครอบครัวผมแค่ ไม่ได้นอนที่บ้านผมและไม่ได้ทานข้าวเย็นด้วยกันทุกมื้อเท่านั้น”
แค่นี้แหละครับ  น้ำตาผมไหลพร่างพรูอย่างกับสายฝน
ออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจเอง เป็นอย่างไรบ้าง เจอปัญหามากน้อยขนาดไหน
การลาออกแม้จะเจ็บปวด….แต่ผมทำเพื่ออนาคตของตัวเอง  ซึ่งเรามองเห็นโอกาสมองเห็นอนาคตอยู่แล้ว  ถ้ารอพร้อม มีเงินเก็บมีเงินทุน  เรารอพร้อม แต่เวลาไม่เคยรอเราพร้อมไม่พร้อม
ธุรกิจผมเริ่มต้นจากห้องเช่าน้อย ๆ ของอพาร์ทเม้นท์ และก็ทำเว็บไซต์เอง  ขายเอง
ซึ่งเราทำของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จมาแล้ว  แล้วทำไมของตัวเองจะทำให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ ต่างแค่เราไม่มีสถานที่หน้าร้าน  ไม่มีสินค้าโชว์  ไม่มีเงินทุน ไม่มีบุคลากร  ไม่มีแม้แต่รถยนต์  ผมมีมอเตอร์ไซต์รถคันแรกของชีวิต
สิ่งที่มีมากที่สุดของผม ก็คือ  ประสบการณ์  ความรู้ความสามารถล้วน ๆ  ถ้าเป็นจอมยุทธ  ผมมีเพียงแค่เพลงกระบี่  และพลังภายใน  เงินทุนจริง ๆมีประมาณหมื่นกว่าบาท รวมกันสองคนกับแฟน  แน่นอนครับ ความรัก + ความหวัง + ความฝัน  ทุกอย่างเป็นจริงได้อย่างมหัศจรรย์
สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดก็คือ  เว็บไซต์….ผมทำเว็บไซต์ด้วยชีวิต  และจิตวิณญาณของตัวเอง ของคนที่กลัวอดตาย  เพราะวันพรุ่งนี้….ไม่มีใครจ่ายเงินเดือนให้เรา  เราเท่านั้นที่จะต้องจ่ายให้ตัวเอง
เพราะฉะนั้น  คำว่าท้อ คำว่ายอมแพ้ คำว่าเป็นไปไม่ได้  ถ้ามีก็โง่ที่สุดในโลก เท่ากับฆ่าตัวตายครับ
มีปัญหาบ้างไหม ?
ตอบตามตรงครับ  โคตรเยอะที่สุดในโลก  แต่สิ่งที่ผมท่องอยู่ตลอดทุกลมหายใจคือ  อดทน  ไม่ยอมแพ้  ใช้สติให้มากที่สุด  ยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ  เราขอยอมตายไปข้างหนึ่ง  เราขอพิสูจน์  เราขออุทิศชีวิตทำเพื่อสิ่งนี้ครับ  ตกเย็นก่อนนอนช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ  ผมกับแฟนสวดมนต์ทุกวัน  ตื่นเช้ามาวันพระก็ตักบาตร
ทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และตั้งจิตอธิษฐานให้ธุรกิจของเราดำเนินไปได้และเจริญเติบโต
เป็นความเชื่อของอดีตมหาที่ชื่อ “ สุทัศน์  ศรีพรม”  ครับ  เราเชื่ออย่างนั้น
มีปัญหา…เราก็ต้องแก้เป็นข้อ ๆ เหมือนแก้ปมที่เชือก
ตอนไหนคือวิกฤติที่สุดในการทำธุรกิจ ผ่านมาได้อย่างไร
นึกถึงผมขายของออนไลน์ อยู่บนอพาร์ทเม้นท์ ลูกค้าก็ต้องถามร้านอยู่ที่ไหน
บริการจัดส่งไหม  แน่นอนครับ  ผมก็ต้องแจ้งลูกค้าว่า  เราบริการจัดส่งถึงบ้าน ถึงที่  ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลครับ  ช่วงแรกไม่มีรถส่งของ แท็กซี่บ้าง,  ยืมรถคนอื่นบ้าง,จ้างรถคนอื่นบ้าง  ทำเรื่องซื้อรถก็ไม่ผ่าน เนื่องจากเขาดูเงินในบัญชีเราไม่เยอะ  ขออ้อนวอนคนค้ำเขาก็ไม่กล้า แฟนผมนั่งร้องไห้มองหน้ากันไปมา  สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ  กัดฟัน….อดทน….และตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้รถส่งของสักคัน  เพื่อเราจะส่งบุญ….เพื่อเราจะเป็นสะพานบุญให้กับคนต้องการจะทำบุญ  ได้ทำบุญสมความตั้งใจ  และแล้วปาฏิหาก็มีจริงครับ  ได้รถกระบะรถเต้นท์มือ 2 คุณภาพเยี่ยมมาใช้ส่งของ  ทุกอย่างคล่องตัว  ราวกับฟ้าลิขิต  รถกระบะคันเดียวเขาช่วยทำเงินล้านได้อย่างน่าอัศจรรย์  จนตั้งชื่อรถกระบะ  คันนั้นว่า  “มารวย”
สภาพธุรกิจในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
วันที่เป็นลูกจ้างผมทำด้วยใจและชีวิตจิตวิณญาณ  สำนึกในความเป็นเด็กต่างด้าว  และมีเจ้านายให้โอกาส ให้งานทำ  หนึ่งเดียวในประเทศไทย  จึงไม่เคยซีเรียสเรื่องเงินเดือน  ผมเริ่มทำงานปี 49 เงินเดือน  6,000  บาท  เงินเดือนปรับขึ้นเรื่อย ๆ  (เฉพาะผมเท่านั้นที่ได้ปรับบ่อย) จนวันที่ลาออก เงินเดือน  15,000  บาท
ผมกำลังจะบอกว่า  ออกมาทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์ “ผมทำและทุ่มเทยิ่งกว่าชีวิต”  ช่องทางการจำหน่ายอื่นไม่มีเลย  ยกเว้นเว็บไซต์ …..www.buchasangkapan.comบูชาสังฆภัณฑ์
ผ่านไป 1 ปี  ลูกค้ามากขึ้น  และเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์  ผมก็ยิ่งมองเห็นโอกาส  ผมต้องเติบโต
ผมต้องรีบคว้า  ผมอับเดทเว็บไซต์ตลอดเวลา  จนเว็บไซต์ติดหน้าหนึ่ง อันดับหนึ่งใน  Google  โดยที่ผมไม่ได้ใช้เงินจ้างทำโฆษณาแม้แต่บาทเดียว
ธุรกิจในปัจจุบันแข่งขันกันดุเดือดมาก  โดยเฉพาะในโลกออนไลน์  แต่ผมก็ไม่หวั่นไหว เพราะไม่ใช่ว่า  ทุกคนทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์ได้  จะขายได้อย่างเดียว  คนล้มเหลวก็มี
เข้าปีที่ 2 เริ่มขยับขายเรื่องพื้นที่  เนื่องจากขายสินค้ามากขึ้น  ที่พักสินค้ามากขึ้น  แต่เราจะไม่สต๊อกสินค้า  ส่วนมากไม่สต๊อกเลย  ผมคิดว่าถ้าผมสต๊อกก็คงโง่ที่สุด  ปากมีก็บอกลูกค้าเอาสิ  เทคนิคมีมากมายครับ
Keysuccess ในการทำธุรกิจคืออะไร
Anser :ความสำเร็จของผมขั้นที่ 1  ด่านที่ 1 เลย  ลูกค้ามาเจอเราในเว็บไซต์  เพราะเว็บไซต์ผมติดอันดับหนึ่งใน  Google  เกือบทุกหมวดหมู่สินค้า  ไม่ว่าลูกค้าจะค้นหาอะไรเกี่ยวกับของทำบุญ  ลูกค้าเจอบูชาสังฆภัณฑ์เป็นคนแรก  หรือคนที่ 2
เว็บไซต์บูชาไม่สวยเลอเลิศในปฐพี  แต่มีเสน่ห์  มีจิตวิญญาณ  มีมนต์ขลัง  คนเห็นแล้วต้องตาต้องใจ  ต้องใช่  (ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนมากความน่าจะเป็นเช่นนั้น) และมี ข้อมูลบทความสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากจะทำบุญ….สำคัญมากเพราะมันคือ  ความแตกต่าง ๆ  รวมทั้งโครงสร้างเว็บไซต์ด้วย
เริ่มมีพนักงาน มีวิธีการจัดการลูกน้องอย่างไร
เข้าปีที่ 3และ 4 เราเริ่มมีคนมาช่วย จาก 2 – 3 เป็น 4- 5 -7 ชีวิต เอาเฉพาะคนที่สำคัญต่องานจริง  ๆ  เช่น  เจ้าหน้าที่จัดส่ง  เจ้าหน้าที่แพ็คกิ้งสังฆทาน  ผมเริ่มสร้างบุคลากร  ด้วยการส่งหลานไปฝึกงานที่เสาชิงช้า 2 คน  ระยะเวลา 1 ปี  แล้วก็เอากลับมาช่วยงาน  ก็ถือว่าคุ้มสุดคุ้ม
เราอยู่กันแบบครอบครัวพี่น้อง  อยู่กันด้วยความรัก  ความเอื้ออาทร เวลางานต้องทำงานเต็มที่โดยมีผมทำให้ดูเป็นตัวอย่าง มีความเสียสละ  ผลตอบแทนปรับขึ้นให้ตามลำดับตามผลงาน  รวมทั้งโบนัสเล็ก ๆ  น้อย ๆ สิ้นปี
“การให้…คือหน้าที่ของเราที่จะทำให้ทุกคนอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่ดี เพื่อให้พวกเขาจุนเจอครอบครัวของพวกเขา  เราก็ได้บุญ” 
นี้คือสิ่งที่ผมมีในหัวใจ
แนวทางการทำธุรกิจแบบ “รากหญ้า Marketing”ของคุณคืออะไร ?
ถ้าจะให้ผมพูดแบบโม้ ๆก็ ผมใช้กลยุทธ์ทางการตลาดน้อยมาก  ใช้แค่  50 %  สมัยผมทำงานในบริษัทเก่า  ใช้เกือบ  100 %  ใช้ทุกช่องทางครับ  คืออย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นครับว่า
ลูกค้าผมมาจากเว็บไซต์อย่างเดียว ดูจากสถิติในเครื่องมือตรวจนับ  ส่วนมากมาจากลูกค้าค้นพบเราใน  Google  แค่นี้จริง ๆ ครับ  ส่วนที่ผมโพสในเฟชส่วนตัวนั้น  ไม่มีลูกค้าแม้แต่รายเดียว  วัตถุประสงค์ที่โพสในเฟชส่วนตัวเพื่อสร้างตัวตน  บอกตัวตนผมเอง  เพราะเพื่อนในเฟชเป็นกลุ่มคนทำงานประจำมากกว่า
ผมแยกกลุ่มเป้าหมาย  ลูกค้าบูชามีแต่ลูกค้าคนชั้นกลางขึ้นไป  พูดง่าย ๆคือคนรวยครับ เพราะฉะนั้นเฟชของร้านก็คือของร้าน ไม่มีตัวตนผมแม้แต่น้อย  ยกเว้นลูกค้าบางท่านเอาชื่อ นามสกุลผมไปเสิร์ชหาใน  Google  แล้วเจอผม(เขากลัวโดนหลอกครับ)
แผนการตลาดในอนาคต
ผมยังคงรักและศรัทธาอย่างรู้บุญคุณในความกรุณาของเทพ  อย่างGoogle  ที่ช่วยนำทางลูกค้ามาเจอเรา  นี้คือสิ่งมหัศจรรย์  เมื่อลูกค้ามาเจอเราแล้ว เราทำให้ลูกค้าประทับใจหรือเปล่า  ตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือเปล่า  ผมยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง….”ลูกค้าคือหัวใจ”
“ประชาชนคือหัวใจ”  ปากพูดได้ต้องทำได้อย่างที่ปากพูด  แค่นี้ก็เทพแล้วครับ
ผมเชื่อในพลังของการบอกต่อ  และจดจำความทรงจำที่ดีที่เคยใช้บริการ
สื่อโฆษณา โทรทัศน์  ทีวีตู้เย็นต่าง ๆ  ถ้าฟรีเอา…เสียตังก์ไม่เอา….มีมากมายที่โทรเข้ามาจีบ  ผมก็จะบอกอย่างนี้(ฟรี…เอา)
ก็ในเมื่อเครื่องมือฟรี  อย่าง facebook,  Line, youtube,  และเทพพระเจ้า  Google ก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่าไปยัดเยียดโฆษณาให้ลูกค้ามาก  เช่น  ส่งเมล  ขอโทษโคตรรำคาญเลย
ผมจะพัฒนาระบบเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ทันสมัยมากกว่านี้ คือเป็นเว็บไซต์ขายสินค้าเครื่องสังฆภัณฑ์ ออนไลน์ครบวงจร  สั่งซื้อผ่านหน้าเว็บได้เลย ง่ายสะดวกรวดเร็ว  ตอบสนองคนทำบุญยุคใหม่  อยู่ตรงไหนในโลกนี้ก็ทำบุญได้
ฝากข้อคิดให้กำลังใจเพื่อน ๆ หน่อยครับ
ทุกสาขาอาชีพ ล้วนแล้วแต่ต้องมีใจรักก่อน  มีความศรัทธาในสาขาอาชีพของตน อินในสิ่งที่ทำ  แล้วมันจะเป็นความสุข เมื่อเกิดปัญหาเราก็มองว่า  ดีที่มีปัญหาให้เราแก้  แต่ถ้าเราไม่รักในอาชีพเราเลย เกิดปัญหานิดหน่อยเราก็ท้อแล้วครับ
ใครต้องการทำธุรกิจนี้ มีเงินอย่างเดียวก็ทำไม่ได้  ต้องมีศรัทธา  มีความรัก  มีการเป็นผู้ให้  รู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง  มีแนวความคิดทางธุรกิจที่ถูกต้อง ถ้าแนวคิดผิด  ทุกอย่างจะเขว
รู้จักพระพุทธศาสนา  แก่นแท้  แก่นเทียม  เปลือกนอกเปลือกใน และรู้จักพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์  โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่ใช้ของทำบุญเรา  และเครื่องใช้ในวัดวาอารามต่าง ๆครับ
ช่องทางติดต่อธุรกิจ
คุณสุทัศน์  ศรีพรม  หรือ  ร้านบูชาสังฆภัณฑ์
37/11 ถ.กาญจนาภิเษก (ซ.สมาคมปักใต้)แขวงศาลาธรรมศพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ  10170
1.โทรศัพท์  08-3179-9099,  02-885-8115
2.Line ID :  buchas
3.E-mail:  buchaskp@hotmail.com
เถ้าแก่ใหม่รีวิว : คุณทัศน์ คือแบบอย่างของคนที่ผมต้องเรียกว่า “ติดดิน” ไม่มีอะไรเลย ความรู้ทางด้านการค้าขายก็ไม่มี ทำธุรกิจก็ไม่มี มีแต่ “หัวใจ” ที่พร้อมจะ “แบ่งปัน” และ “ต่อสู้” วันที่คุณทัศน์ลาออกจากงานประจำ นั่นอาจจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด แต่วันนี้คุณทัศน์ก็ได้พิสูจน์ให้โลกได้เห็นแล้วว่า แค่ 2 มือ 2 เท้า 1 สมองของ เขาก็สามารถทำธุรกิจ พร้อมกับการเป็นพุทธศาสนิกชน ที่ช่วยสืบสานประเพณีวัฒนธรรม แบบอย่างของคนทำธุรกิจแบบ “รากหญ้า” เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว ทำไปทีละนิดแล้วเติบโตอย่างมั่นคง
ส่งต่อบ้านมือ2 ลงขายที่ Kaidee ราคาดีที่สุด
ขายบ้านไว ไม่ต้องง้อนายหน้า ลงขายที่นี่เลย!

5 เคล็ดลับสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก


เรื่อง กองบรรณาธิการ

              


    ผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นและเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก มักจะต้องประสบปัญหาการทำงานอย่างหนักในระยะเริ่มต้น เพื่อนำพาธุรกิจให้อยู่รอด มิต้องพูดถึงการเติบโตที่ยังเป็นเรื่องไกลออกไป ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับ 5 ข้อที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “ต้องทำ” สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการประสบความสำเร็จในปี 2013


1.ตรวจสอบธุรกิจของคุณเองอย่างซื่อสัตย์

    ก่อนอื่น ถามตัวคุณเองก่อนว่า “คุณได้มีปีที่ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้วหรือยัง?” หากคำตอบคือ ยังไม่มี รีบกลับมาทบทวนดูการทำธุรกิจของคุณเองก่อนว่า เพราะเหตุใด ทำไมคุณถึงยังไม่สามารถทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ สิ่งจำเป็นที่สุดคือ ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะกุญแจสำคัญที่จะทำให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ อยู่ที่การประเมินการทำธุรกิจที่อยู่ในมือคุณอย่างซื่อสัตย์ที่สุดนี้เอง เพื่อที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กจะได้นำข้อมูลที่ได้เป็นแนวทางในการดำเนินงานปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นต่อไป


2.ปรับปรุงพนักงานในองค์กรตั้งแต่ยอดจนถึงฐานปิรามิด

               เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กมักจะตกอยู่ในรูปแบบและติดกับกระบวนการทางธุรกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ สาเหตุสำคัญหนึ่งคือ “พนักงาน” อย่าปล่อยให้วิธีการที่ล้าสมัยในการทำธุรกิจหรือพนักงานที่ไม่มีมีประสิทธิภาพมาคอยถ่วงธุรกิจของคุณอีกต่อไป เร่งสำรวจจุดอ่อนและปรับปรุงการทำงานทั้งระบบ เป็นโอกาสสำหรับคุณที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำและแสดงให้เห็นอำนาจของคุณ เพราะถ้าหากไม่สามารถควบคุมระบบและกระบวนการในการทำธุรกิจของคุณเอง ก็ไม่อาจถือได้ว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นจริงๆ


3.หามุมมองจากภายนอก

             การพบปะพูดคุยเพื่อหามุมมองทางธุรกิจจากบุคคลภายนอกองค์กร เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ บางบริษัทอาจเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง สำนักงานกฎหมาย บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี ฯลฯ เข้ามาช่วยในการทำงาน นอกจากให้คำปรึกษาเฉพาะทางแล้ว การได้ประชุมนอกรอบหรือพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ อาจทำให้ได้รับมุมมองที่กว้างและสดใหม่ ที่ส่งผลต่อธุรกิจของคุณอย่างคาดไม่ถึง


4.ขอบคุณลูกค้าที่ดีที่สุดของคุณ

            ธุรกิจแต่ละประเภทมีนิยามคำว่า ‘ดีที่สุด’ สำหรับลูกค้าแตกต่างกันไป มองหาว่าใครคือลูกค้าที่ดีที่สุดในธุรกิจของคุณ จากนั้นลงมือแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขามีความสำคัญมากแค่ไหน อาจจัดเป็นโปรโมชั่นหรือกิจกรรมพิเศษแทนคำขอบคุณสำหรับลูกค้า เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้


5.กระตุ้นความคึกคักให้กับธุรกิจ

               ความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน อาจส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่มีความเสี่ยง เปลี่ยนความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้มาเป็นการตอบสนองตนเองด้วยการทำนายถึงอนาคตที่สดใสทางธุรกิจแทนที่ อย่าไปฟังข่าวที่มีข้อมูลแย่ๆ เชิงลบ ชวนให้หดหู่มากนัก แต่หันมาผลักดันให้ธุรกิจของคุณเดินไปข้างหน้าดีกว่า เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กควรจะมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไม่ย่ำอยู่กับที่ ในขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยหรือทอดทิ้งการดูแลธุรกิจที่มีอยู่เดิมของคุณด้วย

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ SME (เอสเอ็มอี)

สิ้นสุดปริศนาพันปี! ไขกระจ่าง วิธีน่าทึ่งที่ชนอียิปต์โบราณใช้สร้าง 'พีระมิด'


Meekhao หมีขาว มีข่าวมาเล่าให้ฟัง |
                                          
ภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเสมอ เพราะทั้งๆ ที่ยังไม่มีวิวัฒนาการอันแสนก้าวหน้า แต่กลับมีการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่น่าอัศจรรย์อย่างเช่นพีระมิดสูงเสียดฟ้าในอียิปต์
พีระมิดในประเทศอียิปต์นั้นตั้งอยู่กลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ซึ่งเมื่อดูสภาพภูมิศาสตร์แล้วพบว่าตั้งอยู่ห่างไกลจากแหล่งของวัสดุหลักอย่างก้อนหินขนาดยักษ์หลายกิโลเมตร
แล้วชาวอียิปต์โบราณใช้วิธีไหนในการขนส่งรวมถึงยกหินหนักเป็นตันๆ ขึ้นไปเรียงตัวกันจนใหญ่โตมโหฬารได้? นักทฤษฏีจากแชนแนล pyramidsreallybuilt บนยูทูปก็ได้ออกมาอธิบายการสันนิษฐานที่ตอบโจทย์ข้อสงสัยนั้น
การก่อสร้างสุดโหดย่อมก่อให้เกิดการสูญเสีย แรงงานหลายพันคนคงเหนื่อยจนสิ้นใจถ้าหากไม่มีการใช้เครื่องทุ่นแรง
เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีพาหนะแสนสะดวกอย่างรถยนต์ การขนส่งจึงต้องอาศัยคลองที่ขุดขึ้นมาใหม่
น้ำทำให้วัสดุที่หนักอย่างหินนั้นเบาขึ้นจนเคลื่อนย้ายได้ง่ายดายราวกับเวทย์มนตร์
ชาวอียิปต์สร้างแพหนังแพะขึ้นมาเพื่อใช้ในการยกหินก้อนใหญ่
ไกลออกไป คนงานแกะสลักก้อนหินในลำคลอง เพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ
จากนั้นก็ส่งมันมาทางคลองที่ขุดไว้หลายสาย
นี่คือคลองเหล่านั้นที่ยังพบเห็นได้ในยุคปัจจุบัน
ส่วนการยกหินขึ้นไปประกอบเป็นพีระมิดก็ต้องอาศัยน้ำเช่นเดียวกัน
พีระมิดขนาดใหญ่เต็มไปด้วยบ่อน้ำตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอก
คนงานมีหน้าที่แค่ควบคุมหินให้เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางที่ต้องการ จากนั้นหินที่ถูกสร้างมาจนได้มุมพอดีแล้วก็จะทิ้งตัวลงไปยังจุดหมายโดยอาศัยกระแสน้ำ
สิ่งสำคัญก็คือหินแต่ละก้อนต้องทำมุมที่พอดีไม่มีพลาด คือ 51 องศา
ภาพด้านล่างแสดงให้เห็นว่าถ้าองศาเกิดผิดเพี้ยนน้ำก็จะไม่อยู่ในการควบคุม
หินแต่ละก้อนค่อยๆ ไหลไปตามคลองที่ขุดไว้ จากนั้นจึงก่อตัวกันเป็นพีระมิดขนาดใหญ่ตามการคำนวนที่แม่นยำของชาวอียิปต์
แนวคิดดังกล่าวถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเพียงทฤษฏีที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้เท่านั้น และการถกเถียงถึงวิธีการสร้างก็จะยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพีระมิดคือสิ่งมหัศจรรย์ตลอดกาล ที่ช่างดูซับซ้อนล้ำหน้าเกินยุคสมัยนั้นเหลือเกิน
ถ้าหากใครอยากศึกษาแบบละเอียดก็สามารถชมวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลย

ที่มา: panjury

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ในตลาดการเงินที่ค่อนข้างจะผันผวน

เนื่องจากตลาดการเงินที่ค่อนข้างจะผันผวนในปีนี้นะคะ เราจะเห็นว่านักลงทุนเริ่มที่จะให้ความสนใจในการลงทุนทางเลือกมากขึ้น เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนคอนโดให้เช่า เป็นอะไรที่ได้รับความสนใจมากทีเดียว โดยแนวทางการลงทุนที่เป็นกระเสอยู่ตอนนี้คือ "การลงทุนคอนโดโดยไม่ใช่เงินตัวเองแม้แต่บาทเดียว" ซึ่งทำได้โดยกู้เงินเต็ม 100% ของมูลค่าคอนโดจากธนาคาร ไม่ต้องใช้เงินตัวเองดาวน์ และปล่อยคอนโดให้เช่า โดยค่าเช่าที่ได้รับจะต้องเท่ากับหรือมากกว่าเงินที่ต้องผ่อนธนาคารในแต่ละเดือน ฟังดูเป็นแนวคิดที่ดีเลยใช่ไหมคะ ทั้งไม่ต้องลงทุนเงินตัวเองเลย ไม่ต้องผ่อนธนาคาร ได้กำไรจากค่าเช่า แถมยังได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อีก
วันนี้เลยอยากจะมาชี้ให้เห็นถึงมุมมองอีกด้านหนึ่งนะคะ ว่าการกู้เงินมาลงทุน หรือ เรียกว่าการใช้ Leverage มีความเสี่ยงอย่างมากที่ไม่เราไม่อาจมองข้ามได้ค่ะ อย่างผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่บริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ยังต้องมีการจำกัดว่าสามารถกู้เงินมาลงทุนได้เป็นอัตราส่วนเท่าไหร่ของมูลค่าสินทรัพย์ (Loan-to-Value หรือ "LTV") ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 80% เช่น ถ้ามูลค่าคอนโดอยู่ที่ 1 ล้านบาท ก็จะกู้เงินมากที่สุดแค่ 8 แสนบาทเท่านั้น
ทำไมถึงต้องกำหนดว่าจะใช้ Leverage ได้เท่าไหร่ด้วยล่ะ?
ที่ต้องกำหนดไว้ก็เพราะว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงในเวลาที่มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง (Buffer) ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆกันดีกว่าค่ะ สมมุติว่าเรามีเงิน 2 แสนบาท กู้เงิน 8 แสนบาท เพื่อมาซื้อคอนโดราคา 1 ล้านบาทนะคะ ในกรณีนี้เรามี Leverage Ratio ที่ 10:2 (หรือ 5:1) ซึ่งหมายถึง ในทุกๆ 10 บาทของมูลค่าสินทรัพย์ เราใช้เงินตัวเอง 2 บาท
ถ้าเวลาหนึ่งปีผ่านไป ราคาคอนโดเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านบาท เราจะมองได้ว่า เราได้กำไร 10% ใช่ไหมคะ แต่จริงๆแล้วเราลงทุนเงินตัวเองแค่ 2 แสนบาทเท่านั้น แต่ได้กำไร 1 แสนบาท เท่ากับกำไร 50% เลย (ในกรณีนี้สมมุติง่ายๆว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้นะคะ แต่ในชีวิตจริงแล้วเราต้องเสียดอกเบี้ย การคำนวณกำไรต้องหักลบจำนวนดอกเบี้ยที่เราเสียด้วยค่ะ) เราจะเห็นได้ว่าการกู้เงินมาลงทุนสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากเงินต้นของเราได้ทีเดียว (Leverage Enhance Return)
แต่ถ้าในทางกลับกันล่ะ มูลค่าของคอนโดลดเป็น 9 แสนบาท เท่ากับ เราขาดทุน 50% จากเงินลงทุนเลยทีเดียว คิดง่ายๆได้โดย มูลค่าคอนโด 9 แสนบาท หักลบหนี้ 8 แสนบาท เหลือเป็นส่วนของเราแค่ 1 แสนบาท (ถ้าคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้เข้าไปอีก ก็คือขาดทุนมากกว่า 50% อีกค่ะ)
คราวนี้เราลองกลับมาดูที่แผนการลงทุนโดยไม่ใช่เงินตัวเองเลยสักบาทเดียวนะคะ คอนโด 1 ล้านบาท หากมูลค่าลดลงเหลือ 9 แสนบาท นั่นหมายถึง เรามีเงินกู้ที่ต้องคืน 1 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย ในขณะที่คอนโดมีมูลค่า 9 แสนบาทเท่านั้น ต่อให้เราขายคอนโดได้ เราก็ยังเข้าเนื้อตัวเองอย่างน้อยหนึ่งแสนบาท
หลายๆคนอาจจะมองว่าถ้าเราไม่ขายคอนโดล่ะ เราก็ยังไม่ต้องรับรู้การขาดทุนนี้ (Unrealized Loss) ซึ่งก็ทำได้ค่ะ ถ้าเรายังมีผู้เช่าที่จ่ายเงินให้เราทุกเดือนไปผ่อนธนาคารได้ แต่ถ้าเกิดเราไม่มีผู้เช่าล่ะ กลายเป็นว่าเรามีมูลค่าหนี้ที่ต้องผ่อนชำระที่มากกว่ามูลค่าคอนโดของเราเสียอีก
นี่คือตัวอย่างง่ายๆ และสมมุติว่าราคาคอนโดลงมาแค่ 10% เท่านั้นนะคะ ในช่วงเวลาวิกฤต Subprime ของอเมริกาที่ผ่านมาในช่วงปี 2007-2009 มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัวลงเกินกว่า 30% ทำให้ผู้กู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะไม่ผ่อนต่อ และให้ธนาคารยึดอสังหาริมทรัพย์ไป เนื่องจากมูลค่าหนี้ที่มีสูงกว่ามูลค่าหลักทรัพย์มาก ผ่อนต่อไปก็ไม่คุ้ม เท่ากับว่าเงินที่เราผ่อนไปแล้วก็เสียไปฟรีๆ แถมคอนโดก็โดนธนาคารยึดอีก
แต่ถ้าเราลงทุนเงินตัวเองสัก 4 แสนบาท ต่อให้ราคาคอนโดลดมา 30% เหลือ 7 แสนบาท เราก็มีภาระหนี้ที่ 6 แสนบาทรวมดอกเบี้ยเท่านั้น เราก็ยังอยากผ่อนต่อเพราะคอนโดมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ที่เหลือ เราไม่อยากให้ธนาคารยึดคอนโดไป ถึงจะขาดทุนเงินดาวน์ไปแล้ว แต่เราไม่ได้มีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ จะเห็นได้ว่าการลงทุนเงินตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็จะมี Buffer รองรับการลดลงของมูลค่าคอนโดมากเท่านั้น
ในขณะที่การไม่ลงทุนตัวเองสักบาทเดียว หากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ลดลงแม้แต่นิดเดียว เราก็จะมีหนี้ทันทีนะคะ แทนที่จะเป็นการลงทุนที่ได้กำไร กลับมีหนี้เสียอีก เทียบกับการเล่นหุ้น (ที่ไม่ได้ Leverage หรือกู้เงินมาเล่นนะคะ) เราขาดทุนสูงสุดก็แค่มูลค่าพอร์ตเราเท่านั้น เราไม่ได้มีหนี้เพิ่ม Hedge Fund ที่โด่งดังในอดีตหลายกองที่ปิดตัวไปก็เพราะว่าการกู้เงินมาลงทุนอย่างมาก (Excessive Leverage) เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นที่คาดหวัง ทำให้กองทุนมีหนี้มากมาย จนรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยชำระหนี้ให้ก็มีค่ะ
เพราะแบบนี้แหล่ะค่ะ ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทั้งหลายถึงต้องมีการกำหนด LTV หรือ Leverage Ratio ในการจำกัดไม่ให้ใช้หนี้มากเกินไปในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์อะไรก็ตาม เพราะกู้เงินมามากเท่าไหร่ เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นตามที่คาดหวัง ความเสียหายก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น (Leverage Multiply Loss)
หวังว่าบทความนี้จะนำเสนอมุมมองอีกด้านให้กับผู้ลงทุนเรื่องการกู้เงินมาลงทุนนะคะ ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างดีไปหมด เป็นไปตามแผนทุกอย่าง การกู้เงินมาลงทุนจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนได้มากขึ้น แต่ถ้าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น ตามคำกล่าวในวงการการเงินว่า "When the music stops" การกู้เงินมาลงทุนจะสร้างหนี้ให้เราอย่างมากค่ะ
เพจ DD Healthymind ที่เป็นเพจที่ให้ความรู้ในเรื่องการลงทุนคอนโด ได้เคยพูดเรื่องการกู้เงินมาลงทุนไว้อย่างน่าสนใจเหมือนกันค่ะ https://www.facebook.com/DDhealthymind/posts/1641060196171750

คุณครูอธิบายว่า “การแกล้งกันในโรงเรียนประถมเป็นเรื่องปกติ โรงเรียนไหนๆ ก็มี เด็กๆ ย่านนี้ก็ซนๆ กันทั้งนั้น เราไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนได้หรอกครับ”

【คุณแม่ที่ไม่ดุลูก】

สมัยเรียนมัธยม ซายากะจังเป็นสาวสุดซ่าตัวแสบประจำคลาส
เธอเริ่มไปเรียนพิเศษกวดเข้ามหาวิทยาลัยตอนม.5
เธอทำข้อสอบวัดทักษะความรู้ของโรงเรียนกวดวิชา...
ผลสอบคือ..... “ระดับความรู้เทียบเท่าชั้นป.4”

แต่ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง

เด็กม.5 สติปัญญาป.4 คนนี้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเคโอ
... ม.เอกชนที่สอบเข้ายากที่สุดในญี่ปุ่นได้สำเร็จ

ผู้อยู่เบื้องหลังปาฏิหาริย์ของเธอ คือ ครูสอนพิเศษ และ “ก้าจัง”
วันนี้ ดิฉันขอเล่าถึง “ก้าจัง” ค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ก้าจัง(*)” หรือ คุณแม่ของซายากะจัง มีลูก 3 คน
คือ ซายากะ...ลูกสาวคนโต ลูกสาวคนรอง และลูกชาย

ตอนเด็กๆ ซายากะจังโดนเพื่อนแกล้ง
ก้าจังบุกไปถึงโรงเรียนเพื่อพบครู

คุณครูอธิบายว่า
“การแกล้งกันในโรงเรียนประถมเป็นเรื่องปกติ โรงเรียนไหนๆ ก็มี
เด็กๆ ย่านนี้ก็ซนๆ กันทั้งนั้น เราไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนได้หรอกครับ”

วันนั้น ก้าจังให้ลูกลาออกและย้ายโรงเรียนทันที

พอขึ้นชั้นมัธยม ซายากะจังเริ่มแต่งหน้า ย้อมผม
ใส่ชุดผิดระเบียบ ไม่เข้าเรียน
ครูบางคนถึงกับด่าเธอว่า “นักเรียนอย่างเธอมันคือขยะชัดๆ”

ก้าจังโดนโรงเรียนเรียกไปพบอยู่บ่อยๆ
เธอก้มศีรษะขอโทษ แต่ขณะเดียวกัน ก็พร่ำบอกครูว่า

“ลูกดิฉันเป็นเด็กดีค่ะ
โปรดอย่าตัดสินเด็กว่าเป็นเด็กดีหรือเลวแค่ที่เครื่องแบบ
หรือคะแนนสอบสิคะ”

สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้น ตอนที่ซายากะถูกครูจับได้ว่า สูบบุหรี่

ครูเรียกเธอมาพบที่ห้อง และขู่ว่า
“ซายากะ...สารภาพมาซะดีๆ มีใครไปสูบกับเธออีกบ้าง
ถ้าเธอสารภาพ โรงเรียนจะลดโทษให้”

ซายากะปกป้องเพื่อนโดยการปิดปากเงียบ

พอก้าจังมาพบฝ่ายปกครอง เธอบอกทางโรงเรียนว่า

“การให้เด็กนักเรียนขายเพื่อนตัวเอง
เป็นนโยบายการศึกษาของทางโรงเรียนเหรอคะ
ถ้าอย่างนั้น ครูจะไล่ลูกดิฉันออกก็เชิญค่ะ
แต่ดิฉันภูมิใจในตัวลูกสาวดิฉันมาก”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนในสังคมอาจมองก้าจังว่า เป็นแม่ที่ “ตามใจลูกเหลือเกิน”
แต่ก้าจังมองว่า
เธอจะทำทุกวิธีเพื่อให้ลูกรู้ว่า
เธออยู่ข้างๆ พวกเขา พร้อมปกป้องพวกเขา

เวลาลูกทำดี เธอจะชมเสมอๆ
เวลาลูกทำผิด เธอไม่ดุด่า
แต่จะค่อยๆ สอน ค่อยๆ บอกให้เขารู้
แยกให้ออกระหว่าง "การเตือน" กับ "การดุด่าโดยใช้อารมณ์"

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“กำเนิดก้าจัง”

ตอนเด็กๆ คุณแม่เลี้ยงก้าจังแบบเข้มงวดมาก
แม่อยากให้เธอเป็นกุลสตรี มารยาทดี ทำงานบ้านเก่ง
จะได้แต่งงานไปมีชีวิตดีๆ มีความสุข

แม่ดุและบ่นก้าจังตลอดเวลา
“ล้างจานไม่ได้เรื่อง ต้มผักแย่”

เธอรู้ว่าแม่อยากให้เธอได้ดี แต่เธอก็ทรมาน
เธอคิดเสมอๆ ว่า “ฉันมันเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลย”
ความมั่นใจในตัวเองของเธอสลายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

นอกจากนี้ ตอนเด็กๆ ก้าจังเห็นแม่โดนพี่น้องมาขอเงินอยู่บ่อยๆ
พี่สาวแม่ เรียนจบมหาลัยชื่อดัง หน้าตาสะสวย ได้แต่งงานกับคนรวย
แต่เธอใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จนทำให้สามีล้มละลาย

ส่วนน้องชายแม่ เคยเป็นนักเบสบอลตัวเอกของทีม
และฝันอยากไปทีมชาติ แต่พอล้มเหลว
ก็กลายเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานและติดการพนัน

“หน้าตาสะสวย” “เรียนจบม.ชื่อดัง” “ตำแหน่งดังๆ”
ไม่ได้ทำให้คนมีความสุขเลย

เมื่อมีลูก เธอจึงอยากให้ลูกรักตัวเอง
ไม่ได้เกลียดตัวเองเหมือนที่เธอเคยเป็น

เธออยากให้ลูกๆ เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด
ไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งที่สุด หรือรวยที่สุด

เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่ไปโรงเรียน เธอไม่โมโห ไม่บังคับให้เชื่อฟังครู
แต่จะถามเหตุผลว่า ทำไมไม่อยากไป

ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป
พอเด็กรู้สึกสบายใจ เดี๋ยวเด็กก็เริ่มอยากไปเอง
ถึงตอนนั้น เธอก็จะชมและให้กำลังใจเขา คอยอยู่เคียงข้างเขา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ลูกชายกับพ่อ”

คุณพ่อซายากะรับไม่ได้ที่ก้าจังเลี้ยงลูกสาวคนโตและคนรอง
แบบให้อิสระขนาดนี้
พ่อยื่นคำขาดว่า เธอดูลูกสาวของเธอไป ส่วนฉันจะดูแลลูกชายเอง

พ่อฝันอยากให้ลูกชายเป็นนักกีฬาเบสบอลทีมชาติ
แกฝึกลูกชายอย่างหนักตั้งแต่เล็กๆ
ทุ่มเทฝึก สั่งสอน อบรม
พ่อไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้ลูกสาวเลย
แต่กลับซื้อรองเท้ากีฬาและถุงมือเบสบอลที่ดีที่สุดให้ลูกชาย

ความฝันและความทุ่มเทของพ่อ
กลับกลายเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้งบนไหล่ลูกชาย

สุดท้าย ตอนม.ปลาย ลูกชายรับแรงกดนั้นไม่ไหว
เขาเกลียดเบสบอลจนขอลาออกจากชมรม และไม่กลับไปอีกเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ลูกสาวกับแม่”

พ่อเลี้ยงดูลูกชายแบบเข้มงวด แต่แม่กลับเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระ
วิธีหว่านพืชต่างกัน ผลที่งอกงามก็ต่างกัน

+ตอนซายากะถูกครูจับเรื่องมีบุหรี่
เธอเห็นแม่ก้มหัวขอโทษทั้งน้ำตา แต่ก็ยังปกป้องเธอ และภูมิใจในเธอ
เธอรู้สึกผิดและตัดสินใจเลิกบุหรี่ตั้งแต่วันนั้น...

+ตอนที่ถูกพักการเรียน ก้าจังเดินมาถามว่า
สนใจไปเรียนพิเศษสักนิดไหม ลองไปฟังก่อนนิดนึงก็ได้
ซายากะเชื่อว่าแม่อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทำเพื่อเธอเสมอ
จึงเชื่อฟังคำแนะนำของแม่ ....ยอมไปเรียน
(จนได้พบกับครูสอนพิเศษที่เปลี่ยนชีวิตเธอ ไว้จะเล่าให้ฟังค่ะ)

+ ตอนก้าจังไปขอเงินพ่อเพื่อส่งลูกเรียนพิเศษ
พ่อของซายากะเห็นความเหลวไหลของลูกสาว
แถมมองว่า ภรรยาโดนครูสอนพิเศษหลอก
อย่างซายากะเหรอจะเข้าม.เคโอ ไม่มีทาง....

แต่ก้าจังที่อยู่เคียงข้างลูกมาตลอด กลับเชื่อมั่นในตัวลูก
เมื่อคุณพ่อก็ปฏิเสธ ไม่ยอมออกเงินค่าเรียนพิเศษ
ก้าจังเลยไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินส่งลูกเรียนเอง

+ตอนซายากะลองทำข้อสอบวัดผล แล้วได้คะแนนต่ำกว่าที่คิดไว้เยอะ
เธอคิดจะเลิกสอบเข้าม.เคโอ..มันเป็นไปไม่ได้

เมื่อก้าจังได้ยินลูกสาวพูด
เธอบอกว่า “ถ้าเหนื่อย ก็พอเถอะลูก”
แต่ประโยคนั้น กลับทำให้ซายากะฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง

ซายากะยังจำซองใส่ปึกธนบัตรหนาเตอะที่เป็นค่าเรียนพิเศษได้
ธนบัตรปึกนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่

ก้าจังทำเพื่อเธอมาตลอดชีวิต เธอก็เลยอยากทำเพื่อก้าจังบ้าง
อยากให้ก้าจังดีใจที่เธอสอบเข้าได้

...และเธอทำสำเร็จ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง
ดิฉันคงไม่ค่อยปลื้มเด็กแบบซายากะจังเท่าไร
แต่งตัวทำผมแบบนั้น...แถมยังโดดเรียนอีก

แต่พอคิดดีๆ ...ดิฉันก็เกิดคำถามกับตัวเอง

ใครที่ทำให้เด็กคนนี้ต่อต้านโรงเรียน
ถ้าเด็กคนนี้เหลวไหลจริง แต่ทำไมเธอถึงกลับมาทุ่มเทอ่านหนังสือสอบ
จนเข้ามหาลัยได้

ตอนติวสอบเข้า ซายากะตัดสินใจเลิกแต่งหน้า เลิกย้อมผม
เอากรรไกรมาตัดผมตัวเองให้สั้นกุด
จะได้เอาเวลาไปดูหนังสือ ไม่ต้องแต่งตัวอีก
หน้าตาน่าเกลียดๆ อย่างนี้ดีแล้ว จะได้ไม่กล้าไปเที่ยวกับเพื่อน
ไม่มีใครบอกให้เธอทำอย่างนั้น
เด็กคนนี้คิดเอง ทำเอง

ความรักและวิธีสอนลูกแบบก้าจัง
แม้จะสร้างเด็กที่ดูภายนอกเหมือนเป็นเด็กแบบไม่เอาถ่าน

แต่จริงๆ แล้ว ก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจ อ่อนโยน และคิดถึงผู้อื่น โดยเฉพาะแม่

คำชม แทนที่ คำด่า
เหตุผล แทนที่ อารมณ์
การให้อิสระ แทนที่ การยัดเยียดความต้องการของพ่อแม่

ความเชื่อมั่นในตัวลูก
ความเชื่อมั่นในความรักที่ให้ลูก
และความเชื่อมั่นว่าลูกรับรู้ความรักตนเองได้

นี่คือวิธีการสอนลูกแบบก้าจังค่ะ

Japan Gossip by เกตุวดี Marumura
===================================================
หมายเหตุ: จริงๆ ซายากะเรียกคุณแม่ว่า “อ้าจัง” ไม่ใช่ “ก้าจัง” แต่พอเขียนเป็นภาษาไทยแล้วดูตลก ไม่เหมือนชื่อเรียก เกรงว่า ผู้อ่านจะสับสน จึงขออนุญาตใช้คำว่า “ก้าจัง” ซึ่งมาจากคำว่า “โอก้าซัง” ที่แปลว่า "แม่" ในบทความค่ะ

แชร์ประสบการณ์ แนวคิด กับคำว่า “ระบบเทรด” ในทัศนคติ และประสบการณ์ ของ “ผม”


อ่านเล่นๆ ไปก่อนนะครับ ยังเขียนไม่หมด ขอคิดก่อนว่าจะเพิ่มไรยังไง เพราะมีหลายประเด็นไม่กล้าเขียน เป็นข้อความที่ผมจะเขียนให้น้องคนหนึ่งนะครับ ขอให้แทนตัวเองว่าพี่ละกัน)
     มีน้องมาคุย มาถามเกี่ยวกับแนวคิดการทำระบบ การสร้างระบบ การสร้าง EA, Robot Trade ส่วนใหญ่คำถามมักจะจะมาแนวเดียว   กันคือ …” พยายามหา พยายาม optimize ให้ได้ค่าที่ดีที่สุด” เลยขออนุญาติ เขียน เล่า สรุป แบบไม่ได้กลั่นกรองไรมากนะครับ เขียนจากประสบการณ์ อาจจะมีข้อผิดพลาดเยอะ แต่คิดว่า จะได้เป็นแนวทางแนวคิด ให้คนที่สนใจด้านนี้นำไป ปรับแต่ง แก้ไข จากข้อผิดพลาดของผม ต่อไป

#ภาพประกอบจาก internet
ถ้าคุณทำระบบแล้วมุ่งแต่การ optimize คุณก็จะได้ระบบที่ดีที่สุดในอดีตระบบหนึ่ง แต่มันไม่ได้รับประกันว่าจะดีที่สุดในอนาคต แต่ถ้าคุณไม่ Optimize เลย คุณก็จะได้ระบบมโนตามจิต … ที่ไม่รู้ว่า ความเสี่ยง คืออะไรยังไง มาใช้
# ปรับแต่งข้อความจากหนังสือ Market Wizard
จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ อาจจะไม่ตรงกับหลักการทฤษฏี แต่ลองใช้เหตุผล วิเคราะห์ตามพี่ดูนะครับ
  • ทุกตลาดมี market marker ไม่ก็ต้องมีขาใหญ่คุม หรือสามารถทำอะไรบางอย่างในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆได้
  • หลายๆ ตลาดเป็น Zero Sum Game มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย
  • ตลาดมีผู้เล่น 2 ฝั่ง…มีคนซื้อ ก็ต้องมีคนขาย
  • ทุกหลักการทฤษฏี ยิ่งถ้าคนใช้เป็นระยะเวลายาวนานแสดงว่ามันต้องมีดีของมัน เราไม่ต้องไปว่าคนที่เขาไม่ได้ใช้หรือทำไม่เหมือนเรา
ทีนี้มาดูสำหรับประสบการณ์พี่มี 2 ตลาดคือ
ตลาดไทยกับเรื่องระบบเทรด
แง่คิดง่ายๆ
               ถ้าใครสักคนที่ทำระบบที่สามารถทำกำไรได้สูงๆ ทำกำไรได้แบบ แน่นอน ไม่เสี่ยง… (ใช้คำว่าไม่เสี่ยงมากก็ได้)…เขาคงไม่เอามาเร่ขาย แต่เขาควรเอามันไปทำเงิน สร้างเงิน ต่อให้ได้น้อยก็เหอะ ในระยะยาวยังไงก็ได้ เขาควรจะเก็บมันไว้สร้างฐานให้เขา หรือคนที่เขารัก อนาคตของคนเหล่านั้นก่อนดีกว่าไหม…ดีกว่าเอามาขาย ไม่ก็วิ่งไปหานายทุน ขายบ้าน ขายรถ เทใส่ให้หมดเลย
               แต่ถ้าการที่เอามาขาย พี่ก็เดาว่า ระบบเอง ยังมีความสี่ยง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ คนขายเขาก็รู้ แต่คนซื้อ..ต่างหากที่ไป มโน กำไรสูงๆ โดยไม่อย่างเสี่ยง (ความเสี่ยง เกิดจากความไม่รู้ +ความโลภ ที่เกินความรู้)   แน่นอน ดังนั้นการเอามาขายหรือมาให้บริการ มันก็ต้องบวกความเสี่ยง มากน้อยก็ว่ากันไป ซึ่งคิดว่าคนขายคนทำระบบดีๆ เขาจะแจ้ง ส่วนพวกที่กำไร 100% 1000% ในระยะสั้นๆ คำโฆษณาเวอร์ๆ นะ… ก็ลองขอดูผลงานที่เชื่อถือได้จากเขาดู และต้อง…ระยะเวลายาวๆ นานๆ หน่อย ถ้าไม่มีให้ดู หรือตัดนั่น ต่อนี่ ก็ให้ระวังทุน ระวังตัวกันไว้ก่อน มองความเสี่ยง ก่อนมองกำไร เพราะ…. ไม่มีระบบไหน จะสามารถคำนวณ ความโลภ ความกลัวของคนในระยะสั้นได้แม่นยำ 100% ได้เสมอไปหรอก นั่นแหละเขาเลยเลือกที่จะใช้ TF ใหญ่ๆ หรือ Period ใหญ่ๆ ในการลงทุนกัน
ปัญหาที่พี่เจอ
  • ระบบการเทรด หรือแนวคิดการเทรดที่เป็นระบบเทรดของผมส่วนใหญ่ …ทำกำไรได้แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น มากสุดที่รับได้ตอนนี้คือ 3-4 เดือน เท่านั้น หลังจากนั้น %DD มันสูง ผมก็เลยหยุด กลับมาแก้ พัฒนา ทำหลายระบบ บางตัวก็เจ้ง บางตัวก็กำไรบ้าง บางตัวก็กำไรเยอะ เฉลี่ยภาพรวมคือ ขยับนิดหน่อย ในบางรอบ และบางรอบก็ต้องกลับมาทวนใหม่
  • สาเหตุมีหลายสาเหตุ และกำลังทำการแก้ไข พัฒนา ไปเรื่อยๆ คาดว่าคงต้องใช้เวลา ลองผิด ถูกอีกเยอะมาก วางไว้อีก 2-3 ปี น่าจะพอเห็นรูปร่างที่ชัดเจน…ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก เพราะตอนนี้เทรดมือ ก็เอาตัวรอดได้อยู่
ถามว่าข้อสรุปคืออะไร….
               สรุปก็คือ สำหรับพี่… ณ วันนี้ พี่ยังใช้ …เครื่องมือ ช่วยในการเทรด ประมาณ 70% ของการเทรด คือใช้มันเป็น tools ในการช่วยตัดสินใจ มีระบบซื้อขายจริงที่ทดสอบทดลอง กับ ตลาด FOREX, GOLD แต่ก็ไม่ได้ดังใจเท่าไรนัก ก็กำลังพยายามปรับ คิด แต่ง ไปเรื่อยๆ เพราะเพิ่งทดสอบ ลองมาได้ 2 ปีกว่าๆ แต่ถามว่า port โตไหม..ตอบครับว่า.โต แต่ไม่ได้โตจากระบบเทรด แต่โตจากการใช้ระบบเทรดมาช่วยในการตัดสินใจหรือการเทรดครับ
     ทั้งปวงคือประสบการณ์ มุมมอง ส่วนตัวของพี่เอง..เลยไม่กล้าตอบว่า …ต้องทำไรยังไง ปรับอะไร เพราะ …การที่พี่ยังทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แต่พี่อาจจะคาดหวังหรือต้องการอะไรจากคำว่าระบบ เยอะมากเกินไปก็เป็นไปได้ครับ แต่พี่แชร์ไว้ว่า การทีเราจะเชื่อใคร อะไรยังไง …สมัยนี้ควรฟัง เพื่อเป็นข้อมูล แล้วเราก็ต้องนำมาวิเคราะห์ต่อ เพื่อตัดสินใจเอง วันนี้คนเก่งเยอะ คนสอนเยอะ แยกยาก แต่เขาบอกว่า …จะเชื่อคำพูดใครมากกว่ากัน ให้ดูว่าปัจจุบันเขาเป็นยังไง ถ้าจะดูว่าสิ่งที่เขาบอกสอน ว่ามีความจริงมากน้อยแค่ไหน ถ้าดู port เขาประกอบได้ มันก็น่าเชื่อ แต่ถ้าพูดสวย พูดเก่ง สอนเก่ง แปลมาสอนเก่ง เราก็ฟัง เรียนเพื่อรู้ …เขาไม่ได้ผิด แต่เรานะผิด ถ้าไม่นำมา “ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ “
ด้วยความเคารพนะครับ…เน้นว่าทั้งหมดที่ ทัศนคติ กับ ประสบการณ์ แนวคิด ส่วนตัวผม …เท่านั้น

จากมะพร้าวธรรมดาๆ สู่การรังสรรค์จนได้เป็นมะพร้าวเปิดฝา สร้างรายได้มหาศาล


17 พฤศจิกายน 2558 : น. เวลา 18:04 น. |  (26694 view)
       
      COCO Easy หรือที่รู้จักกันในนาม มะพร้าวมีฝา ธุรกิจที่ถูกสรรสร้างจากไอเดียที่แปลกใหม่ โดยการนำเอานวัตถกรรมเข้ามาใช้ในการผลิต ทำให้ตัวมะพร้าวมีมูลค่ามากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการรับประทานอีกด้วย แถมธุรกิจนี้ยังสร้างรายได้ให้กับเจ้าของได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
       
       ธุรกิจ COCO Easy บริหารงานโดยคุณบรรพต เคลียพวงทิพย์ ผู้คิดค้นมะพร้าวเปิดฝา แต่กว่าที่จะมาเป็นผลิตภัณฑ์ดีๆให้ผู้บริโภคได้รับประทานกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลย โดยจุดเริ่มต้นมาจากส่วนตัวแล้วคุณบรรพตทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง และหลังจากเลิกงานจะชอบหาซื้อน้ำมะพร้าวดื่มเพราะรู้สึกสดชื้นเมื่อได้ทาน แต่แล้ววันนึงก็มีความคิดที่อยากเฉาะมะพร้าวกินเองให้ได้อย่างที่ซื้อ แต่ด้วยที่บ้านไม่มีมีดสำหรับเฉาะมะพร้าวจึงได้นำมะพร้าวไปทุบเข้ากับกำแพง แต่ผลที่ได้คือ มะพร้าวแตกเป็นเสี่ยงและทานไม่ได้ ทันใดนั้นเองภาพของมะพร้าวที่มีฝาก็เข้ามาในความคิดของคุณบรรพตจนกระทั่งเป็นไอเดียมะพร้าวมีฝาที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
       
       อุปสรรคของการทำธุรกิจนี้นอกจากจะเป็นในเรื่องของการหานวัตถกรรมมาเพื่อรองรับการผลิตแล้วยังเป็นเรื่องของผลผลิตที่บางฤดูกาลไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งบางฤดูกาลชาวสวนก็มีผลผลิตมะพร้าวมามากเกินความต้องการ แต่ในบางฤดูผลผลิตที่ได้กลับน้อยไม่พอต่อความต้องการ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของคุณบรรพตคือ การรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชาวสวนมีความไว้วางใจและขายมะพร้าวให้กับคุณบรรพต แถมการแก้ไขปัญหาวิธีนี้ยังเป็นการสร้างอาชีพและกระจายรายได้แก่ชาวสวนอีกด้วย
     
       โดยในปัจจุบัน COCO Easy ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งจัดจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ แต่ทว่าการทำธุรกิจนี้ก็ถือได้ว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของแหล่งผลผลิตที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งทางคุณบรรพตได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังคิดที่จะเริ่มทำธุรกิจว่า เมื่อคิดที่จะทำธุรกิจแล้วก็ควรที่จะลงมือทำเพื่อร่นระยะเวลาที่จะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน๋ เพียงแค่คุณศึกษาและลงมือทำทุกวันก็ถือว่าเป็นการลงมือทำที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพราะการเริ่มต้นทำธุรกิจจากศูนย์ไปจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นต้องอาศัยการก้าว ไม่ว่าจะก้าวมากก้าวน้อย แต่แค่คุณก้าวไปข้างหน้าทุกวันก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จแล้ว

      สำหรับใครที่สนใจสามารถติดตามมุมมองความคิดจากผู้บริหาร COCO Easy กับแนวคิดดีๆในการทำธุรกิจเพิ่มเติมได้ในรายการ Smart Focus ออกอากาศวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 คลิกเลย >> http://smartsme.tv/vod_detail.php?gid=19&id=4267

13 ขั้นตอนสร้างความมั่งคั่งของบุคคลระดับโลก

เส้นทางชีวิตของเศรษฐีที่สร้างตัวเองมาแล้วกว่า 500 คน ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นลำดับทั้งหมด 13 ขั้นบันได เขียนโดย Napoleon Hill ครับ.. . 1. ”ปราถนาอย่างแรงกล้า” ความต้องการที่ชัดเจนว่าคุณจะร่ำรวย เป็นสิ่งที่เศรษฐีทุกคนทำก่อนที่จะได้เห็นตัวเงินในบัญชีธนาคารซะอีก เมื่อปรารถนาแล้ว ความหวัง ความฝัน และแผนการ จะเริ่มผุดขึ้นในความคิดของเรา . 2. “ศรัทธาในความเชื่อของตัวเองว่าเราจะประสบความสำเร็จ” ความร่ำรวยเริ่มต้นจากวิธีคิดและหากคุณมีความเชื่อมั่นในหัวใจตัวเองอย่างชัดเจนว่าคุณก็สำเร็จได้ ความคิดคุณก็จะไม่ถูกจำกัดอยู่กับที่.. . 3. “ตอกย้ำใจตัวเองให้เชื่อในความคิด” คุณมีหน้าที่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปตอกย้ำจิตใต้สำนึกให้มีความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นว่า คุณจะเดินไปสู่ความร่ำรวยและทำได้แน่ๆ ...จะไม่มีอะไรเบี่ยงเบนความสนใจของเราได้ . 4. เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ ..ยกระดับตัวเองเป็นผู้มีทักษะพิเศษ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มัวแต่คิดว่าความรู้จบลงเมื่อได้ปริญญา แต่ไม่ใช่กับเศรษฐี พวกเขายังคงหาความรู้อยู่เสมอ ทั้งจากการพบปะผู้คนและการอ่าน . 5. ต้องให้อิสระในการจินตนาการ ..จินตนาการคือชนวนจุดประกายความคิด ..ก็ไอเดียจากความคิดนั่นแหละที่มีโอกาสสร้างเงินล้านให้คุณ อย่าไปกลัวหรืออายในไอเดียของตัวเองครับ . 6. วางแผนและต้องเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง ..เมื่อชัดเจนแล้วก็อย่ารอช้า ต้องทำทันที ..จำไว้ว่าระหว่างเดินหน้าสู่ความสำเร็จ อาการผิดแผนมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ห้ามถอดใจ ..เราอาจจะก้าวช้า แต่จะต้องไปถึงแน่นอน . 7. เลิกลังเล!.. คนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถสร้างฐานะได้ ก็เพราะไม่มั่นใจในเป้าหมายของตัวเอง มันก็จบ.. วิธีคิด/การตัดสินใจ ก็ไม่เกิด . 8. "มุ่งหน้า ไม่ย่อท้อจนกว่าจะได้สิ่งที่หวัง" ..ความร่ำรวยไม่อาจเกิดได้จากความฝันเพียงลำพัง แต่มันมาจากแผนการที่ชัดเจน สนับสนุนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า และลงมือทำอย่างไม่หยุดยั้ง . 9. พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนที่สุดยอด เพราะด้วยเราเพียงคนเดียวคงเป็นเรื่องยากในการไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การได้แบ่งปันไอเดีย แลกเปลี่ยนความเห็นกับคนเก่งๆ จะทำให้คุณไปได้เร็วขึ้นและไกลขึ้น . 10. เลือกคู่ชีวิตให้ดี คนที่อยู่เคียงข้างคุณจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังมากที่สุดในชีวิต คอยสร้างแรงจูงใจ แรงกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อไปสู่เป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม . 11. พัฒนาความสามารถในการคิดบวกให้แข็งแรงขึ้น ..จิตใต้สำนึกของเรา ไม่ได้ว่างเปล่า มันจะตกเป็นอยู่ในอำนาจของความคิดด้านบวกหรือไม่ก็ลบ ..นั่นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสอนมันให้จดจำพลังด้านบวกเอาไว้ . 12. สมองของคนเราเชือมต่อกันได้ จงเรียนรู้จากคนที่เก่งและฉลาดกว่าคุณ ซึมซับพลังความคิดและความสร้างสรรค์จากคนที่เหนือกว่าคุณอยู่เสมอ . 13. เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง หรือประสามสัมผัสที่ 6 นั่นแหละ เพราะมักจะเป็นตัวบอกให้คุณเตรียตัวระวังอันตราย หรือเป็นตัวยืนยันว่าคุณกำลังมุ่งสู่เส้นทางความรวยที่

Stock2Day1 friend · 570 membersJoin

เคตดิตบทความจาก Wealth Creation
www.facebook.com/wealthcreationpage

"13 ขั้นตอนสร้างความมั่งคั่งของบุคคลระดับโลก"
.
เส้นทางชีวิตของเศรษฐีที่สร้างตัวเองมาแล้วกว่า 500 คน ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นลำดับทั้งหมด 13 ขั้นบันได เขียนโดย Napoleon Hill ครับ..
.
1. ”ปราถนาอย่างแรงกล้า” ความต้องการที่ชัดเจนว่าคุณจะร่ำรวย เป็นสิ่งที่เศรษฐีทุกคนทำก่อนที่จะได้เห็นตัวเงินในบัญชีธนาคารซะอีก เมื่อปรารถนาแล้ว ความหวัง ความฝัน และแผนการ จะเริ่มผุดขึ้นในความคิดของเรา
.
2. “ศรัทธาในความเชื่อของตัวเองว่าเราจะประสบความสำเร็จ” ความร่ำรวยเริ่มต้นจากวิธีคิดและหากคุณมีความเชื่อมั่นในหัวใจตัวเองอย่างชัดเจนว่าคุณก็สำเร็จได้ ความคิดคุณก็จะไม่ถูกจำกัดอยู่กับที่..
.
3. “ตอกย้ำใจตัวเองให้เชื่อในความคิด” คุณมีหน้าที่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปตอกย้ำจิตใต้สำนึกให้มีความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นว่า คุณจะเดินไปสู่ความร่ำรวยและทำได้แน่ๆ ...จะไม่มีอะไรเบี่ยงเบนความสนใจของเราได้
.
4. เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ ..ยกระดับตัวเองเป็นผู้มีทักษะพิเศษ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มัวแต่คิดว่าความรู้จบลงเมื่อได้ปริญญา แต่ไม่ใช่กับเศรษฐี พวกเขายังคงหาความรู้อยู่เสมอ ทั้งจากการพบปะผู้คนและการอ่าน
.
5. ต้องให้อิสระในการจินตนาการ ..จินตนาการคือชนวนจุดประกายความคิด ..ก็ไอเดียจากความคิดนั่นแหละที่มีโอกาสสร้างเงินล้านให้คุณ อย่าไปกลัวหรืออายในไอเดียของตัวเองครับ
.
6. วางแผนและต้องเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง ..เมื่อชัดเจนแล้วก็อย่ารอช้า ต้องทำทันที ..จำไว้ว่าระหว่างเดินหน้าสู่ความสำเร็จ อาการผิดแผนมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ห้ามถอดใจ ..เราอาจจะก้าวช้า แต่จะต้องไปถึงแน่นอน
.
7. เลิกลังเล!.. คนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถสร้างฐานะได้ ก็เพราะไม่มั่นใจในเป้าหมายของตัวเอง มันก็จบ.. วิธีคิด/การตัดสินใจ ก็ไม่เกิด
.
8. "มุ่งหน้า ไม่ย่อท้อจนกว่าจะได้สิ่งที่หวัง" ..ความร่ำรวยไม่อาจเกิดได้จากความฝันเพียงลำพัง แต่มันมาจากแผนการที่ชัดเจน สนับสนุนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า และลงมือทำอย่างไม่หยุดยั้ง
.
9. พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนที่สุดยอด เพราะด้วยเราเพียงคนเดียวคงเป็นเรื่องยากในการไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การได้แบ่งปันไอเดีย แลกเปลี่ยนความเห็นกับคนเก่งๆ จะทำให้คุณไปได้เร็วขึ้นและไกลขึ้น
.
10. เลือกคู่ชีวิตให้ดี คนที่อยู่เคียงข้างคุณจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังมากที่สุดในชีวิต คอยสร้างแรงจูงใจ แรงกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อไปสู่เป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม
.
11. พัฒนาความสามารถในการคิดบวกให้แข็งแรงขึ้น ..จิตใต้สำนึกของเรา ไม่ได้ว่างเปล่า มันจะตกเป็นอยู่ในอำนาจของความคิดด้านบวกหรือไม่ก็ลบ ..นั่นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสอนมันให้จดจำพลังด้านบวกเอาไว้
.
12. สมองของคนเราเชือมต่อกันได้ จงเรียนรู้จากคนที่เก่งและฉลาดกว่าคุณ ซึมซับพลังความคิดและความสร้างสรรค์จากคนที่เหนือกว่าคุณอยู่เสมอ
.
13. เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง หรือประสามสัมผัสที่ 6 นั่นแหละ เพราะมักจะเป็นตัวบอกให้คุณเตรียตัวระวังอันตราย หรือเป็นตัวยืนยันว่าคุณกำลังมุ่งสู่เส้นทางความรวยที่

เคตดิตบทความจาก Wealth Creation
www.facebook.com/wealthcreationpage